ขณะที่ท่านสาปผู้อื่น ท่านไม่เพียงแต่กำลังสาปผู้อื่น ท่านกำลังสาปตนเองด้วย ... ... ... |
ในที่สุดสนก็สำเร็จวิชาของสำนักชยารพจนหมดสิ้น จากนี้เป็นขั้นตอนที่เจ้าต้องเข้าใจด้วยตนเองเท่านั้น ชยารพกล่าวเมื่อทั้งสองกลับมาที่อาศรม ต่อไปจงระวังรักษาตัวให้ดีอย่าให้ความชั่วร้ายต่างๆมาครอบงำมโน มิฉะนั้นแล้วฤทธิ์ต่างๆที่เจ้าอุตส่าห์เรียนมาก็จักเสื่อมไปด้วย ความชั่วร้ายที่จะมาครอบงำมโนคืออะไรครับ? สนถาม เป็นคำถามที่ดี ต้องอธิบายว่าการที่มโนลงมาเกิดในกายเนื้อนั้น ไม่ใช่มีแต่มันจะควบคุมกายเนื้อเพียงฝ่ายเดียว กายเนื้อนั้นๆยังมีอิทธิพลต่อมโนอีกด้วย กายเนื้อมีอิทธิพลต่อมโน? ใช่ มีหลายกรณีที่มโนสามารถติดสันดานหยาบในกายสัตว์ที่มันไปถือกำเนิด สันดานหยาบเรียกอีกอย่างว่าสัญชาตญานนั้น คือคำสั่งที่พระพรหมให้มีไว้ในกายเนื้อทุกชนิดเพื่อให้สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นสามารถป้องกันตนเองและดำรงเผ่าพันธุ์ต่อไปได้โดยไม่เกี่ยวกับมโนที่เข้ามาอยู่ การกระทำของสัตว์บางอย่างจึงไม่ได้เป็นไปตามความคิดแต่เป็นการทำตามสัญชาตญานดั้งเดิมของมัน แม้แต่การที่ต้นไม้ซึ่งไม่มีความคิดบางชนิดสามารถล่อแมลงมาเป็นอาหารได้ก็เป็นสัญชาตญานชนิดหนึ่ง จุดนี้เองเป็นจุดที่แยกความดีออกจากความชั่ว ความดีคือลักษณะนิสัยตามธรรมชาติของมโน มโนทุกมโนมีพื้นฐานอันบริสุทธิ์ มีความซื่อสัตย์ มีเมตตาและมีปัญญา ส่วนความชั่วคือลักษณะนิสัยตามธรรมชาติของกายเนื้อ ซึ่งมีสัญชาตญานในการเข่นฆ่า ความโฉดเขลาและความละโมภ แม้สัญชาตญานเหล่านี้จะมีความจำเป็นในการเอาตัวรอดของสัตว์ชั้นต่ำ แต่ในสัตว์ชั้นสูงนั้นย่อมแตกต่างไป ยิ่งในสัตว์ชั้นสูงมโนจะยิ่งมีพลังมากและเข้ามาแทนที่สัญชาตญานมากขึ้นตามลำดับ คนที่มีความคิดและคุณธรรมจะตัดความต้องการอันมิชอบลงเสียได้ การบำเพ็ญตบะบางประเภทที่เป็นการทรมานกายเช่นอดอาหารหรืออดหลับนอนก็เป็นการทำเพื่อข่มสัญชาตญานให้มีน้อยที่สุดเพื่อเพิ่มพลังของมโนนั่นเอง อย่างนั้นจะไม่เป็นการฝืนธรรมชาติหรือครับ สนถาม ชยารพตอบว่า อย่างที่บอกแล้วว่าเป็นการฝืนธรรมชาติของกายเนื้อ แต่เป็นการทำให้เป็นไปตามธรรมชาติของมโนอันเป็นสิ่งสูงกว่า เพราะกายเนื้อจะแก่และตายไม่จีรังแต่มโนยังคงต้องวนเวียนอยู่ตลอดไปและเข้าสิงสู่กายเนื้อนับไม่ถ้วน บางครั้งเราอาจต้องทำตามสัญชาตญานบ้างเพื่อให้มีชีวิตรอด แต่ต้องทำแต่พอดี อย่าปล่อยให้สันดานหยาบนั้นกลับมาครอบงำตัวเรา อย่างนั้นที่ว่าหากสันดานหยาบมาครอบงำเราจะทำให้ฤทธิ์เสื่อมหมายความว่าอย่างไรครับ? อืม ต้องตอบความจริงฤทธิ์แท้ๆนั้นไม่เกี่ยวกับความดีหรือความเลว เจ้าเพียงแต่สามารถรวมความคิดให้เป็นจุดเดียวก็มีฤทธิ์แล้ว นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมพญาอสูรในอดีตหลายตนจึงมีฤทธิ์มากถึงกับขึ้นไปข่มเหงเทวดาได้ แต่โดยทางอ้อมเมื่อสันดานหยาบคือความเลวเข้ามาครอบงำมโนมากๆเข้า มโนก็จะอ่อนกำลังและฤทธิ์ก็จะค่อยๆเสื่อมลงช้าๆ ทำให้แม้พญาอสูรชั่วร้ายเหล่านั้นจะสามารถครองสวรรค์ได้ระยะหนึ่งแต่ไม่นานฤทธิ์ของมันก็จะเสื่อมและถูกปราบลงในที่สุด แล้วเราจะมีวิธีดูอย่างไรครับว่าสันดานหยาบได้เข้าครอบงำมโนแล้ว สนถามต่อ ดูที่มโนนั่นแหละ สันดานหยาบแบ่งเป็นสี่ประเภท คือความใคร่ ความโกรธ ความโลภ และความโฉดเขลา มโนที่ถูกความใคร่ครอบงำจะมีความหยาบกว่าปกติ และมีสีม่วงเข้ม มโนที่ถูกความโกรธครอบงำจะมีความหยาบปานกลางเหนือกว่าความใคร่ และมีสีน้ำตาล มโนที่ถูกความโลภครอบงำจะมีความหยาบสูง และมีสีน้ำเงินคล้ำ มโนที่ถูกความโฉดเขลาครอบงำจะมีความหยาบที่สุด และมีสีดำสนิท สีทั้งสี่นี้ล้วนแล้วแต่เป็นสีในทางมืดซึ่งตรงข้ามกับสีสว่างอันเป็นที่มาแห่งฤทธิ์ นอกจากนั้นยังเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้มโนมีความหยาบคือมีปัญญาน้อยลง และต้องไปอยู่ในภพภูมิที่ต่ำลง ดังนั้นเมื่อได้ฤทธิ์มาต้องระวังรักษากายใจให้ดี อย่าให้ความชั่วร้ายทั้งสี่ประการมามีอิทธิพลต่อตัวได้ มิเช่นนั้นความพยายามที่ผ่านมาจะสูญเปล่าเสียสิ้น ชยารพพริ้มตาลงแล้วกล่าวต่อด้วยความเมตตา เจ้าเรียนจบแล้ว ไม่จำเป็นต้องอยู่ในอาศรมนี้อีก เมื่อออกไปเผชิญกับโลกภายนอกอย่าประมาณตนว่าเก่งแล้วไปดูแคลนคนอื่น ในโลกนี้คนที่มีฤทธิ์สูงกว่าเจ้าและข้ายังมีอีกมาก ซึ่งเจ้าไม่มีทางรู้หรอกว่าเขามีฤทธิ์มากเท่าไหนหรือมีฤทธิ์ในทางใด เพราะคนที่มีฤทธิ์สูงมักจะใช้พลังปกปิดรูปมโนของตนไว้ไม่ให้คนอื่นแอบดูได้ด้วยตาทิพย์ เฉพาะในภูมิมนุษย์ พวกพราหมณ์ต่างๆที่สอนในหลักการเดียวกับเรายังแบ่งเป็นหลายแขนง ซึ่งอาจแยกเป็นสี่จำพวกหลักๆได้แก่ มุนี เป็นพราหมณ์ที่ทำงานให้กับกษัตริย์ มักจะมีตำแหน่งทางการเมืองติดตัวเช่นเป็นอำมาตย์ หรือเป็นโหราจารย์ พวกนี้จะฝึกฤทธิ์ในธาตุลม ธาตุดินและธาตุน้ำ และมีศูนย์อยู่ที่สมาพันธ์พราหมณ์แห่งเมืองพรหมกฎ ชฎิล เป็นพราหมณ์พวกบูชาไฟ เนื่องจากพวกนี้มุ่งฝึกฤทธิ์ทางไฟอย่างเดียวจึงมักมีอุปนิสัยเลือดร้อน รุนแรง แต่โดยเนื้อแท้ก็ไม่ใช่ว่าเป็นคนไม่ดี หากเจ้าพบชฎิลต้องแสดงท่าทางนอบน้อมให้มาก เขาแรงมาอย่าไปแรงตอบ โยคี พวกนี้ไม่ได้ฝึกฤทธิ์ แต่เน้นการทรมานร่างกายตนเองที่เรียกว่าโยคะกรรม เพื่อลดความอยากของสันดานหยาบดังที่กล่าวไปแล้ว พวกโยคีเชื่อว่าการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารเป็นความทุกข์ และหากบำเพ็ญเพียรถึงจุดหนึ่งมโนจะมีความสว่างและความละเอียดเทียบเท่ากับมโนของพระผู้เป็นเจ้าสามารถเข้าไปรวมกับพระองค์และไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก พวกนี้จึงไม่ค่อยมีฤทธิ์และเป็นพวกรักสันติ ฤๅษีหรือดาบส ก็คือพราหมณ์ที่ละทิ้งสังคมเมืองมาบำเพ็ญตัวในป่าเขาเหมือนข้า เนื่องจากไม่ค่อยมีสิ่งรบกวนในการฝึกนัก พวกฤๅษีจึงมักมีฤทธิ์สูงกว่าพราหมณ์ชนิดอื่นๆ กษัตริย์ในเมืองจึงมักให้บุตรของตนเรียนวิชาทางการปกครองกับพวกมุนี และเรียนวิชาทางฤทธิ์กับพวกฤๅษี สำหรับคนวรรณะอื่นจะมีฤทธิ์ในทางใดก็มักจะมาจากการที่เขาเรียนกับพราหมณ์พวกไหนด้วยนั่นเอง แต่ยังมีพราหมณ์อีกพวกหนึ่งเรียกว่าพวกนักสิทธิ์ พวกนี้เป็นพวกนอกรีตและเป็นความน่าละอายของเหล่าพราหมณ์ทั้งหลาย มันไม่สนใจการฝึกจิตให้บริสุทธิ์ หากชอบใช้ฤทธิ์ทางไสยศาสตร์บังคับเปต หรือภูตผีที่มีพลังน้อยกว่ามาทำงานให้โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้อง นอกจากนั้นแล้วมันยังมีประพฤติต่ำช้า เที่ยวใช้อำนาจทำเสน่ห์ให้คนงมงายหรือแม้แต่ฆ่าคนเพื่อแลกกับเงิน หากเจ้าเจอพวกนักสิทธิ์เหล่านี้ให้หลีกเลี่ยงเสีย หรือถ้าปราบมันได้ก็จงปราบ นอกจากมนุษย์แล้ว สิ่งมีชีวิตในภูมิอื่นๆที่มีฤทธิ์ก็มีอีกไม่น้อย เช่นเทวดาในฉกามาพจรภูมิ ครุฑและนาคในดิรัจฉานภูมิ หรือแม้แต่พวกเปตในเปตวิสัยภูมิ แต่ที่เจ้าต้องระวังมากที่สุดคือพวกอสูรแห่งอสูรกายภูมิซึ่งมีฤทธิ์และความชั่วร้ายมาก มักชอบออกมารุกรานภพอื่นๆ ให้หมั่นกราบไหว้บูชาพวกเทวดาเข้าไว้ หากเจออสูรจะได้มีเทวดามาช่วยเหลือ เรื่องทั้งหมดที่ข้าบอกเจ้าได้ก็มีเพียงนี้แหละ นั่นหมายถึงพระฤๅษีสอนจบแล้ว สนก้มลงกราบขอบคุณอาจารย์ ชยารพลูบหัวของนิษาทหนุ่ม จงตั้งอยู่ในศีลธรรม ใช้ฤทธิ์ที่ได้มาในทางที่ถูกต้อง ต่อไปข้าไม่อาจดูแลเจ้าได้อีก เจ้าต้องดูแลตนเองให้ดีนะ แววตาของพระฤๅษีนั้นเต็มไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใยดังที่อาจารย์มีต่อศิษย์ สนเองเป็นนิษาทซึ่งมักถูกดูถูกเหยียดหยามจากวรรณะอื่นๆเสมอ เมื่อมีคนมาสั่งสอนด้วยความรักเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกซาบซึ้งบุญคุณสุดจะประมาณได้ต้องหลั่งน้ำตาออกมา พระอาจารย์ ชีวิตข้าไม่เคยมีใครมาทำดีต่อข้าเช่นนี้มาก่อน พระอาจารย์เป็นยิ่งกว่าพ่อของข้าเสียอีก ข้า ไม่อาจทดแทนบุญคุณของอาจารย์ได้หมดแน่ ข้าจะทดแทนได้อย่างไร ชยารพไม่กล่าวสิ่งใดอีก นี่เป็นลูกศิษย์อีกคนที่สำเร็จไปจากสำนักของเขา และอาจเรียกได้ว่าเป็นคนที่เขาทุ่มเทวิชาความรู้สอนให้ทั้งหมดโดยไม่ปิดบัง ความปีติจาก การให้ ทำให้บัดนี้พระฤๅษีมีความสดชื่นแจ่มใสมากขึ้นกว่าแต่ก่อน อาชีพครูเป็นอาชีพที่ประเสริฐเช่นนี้เอง บรรยากาศอันอบอุ่นเกิดขึ้นระหว่างศิษย์และอาจารย์ ทุกสิ่งทุกอย่างคงจะเป็นไปด้วยดีโดยตลอด ถ้าหากเวลานั้นสนไม่ทำเรื่องผิดพลาดอย่างหนึ่ง อาจเรียกได้เป็นความผิดพลาดที่สุดในชีวิตของเขา!!! พระอาจารย์มีบุญคุณต่อข้ามาก สนกล่าวทั้งที่ยังก้มหน้าอยู่ ข้าไม่อาจโกหกท่านได้อีกต่อไป พระอาจารย์ครับ ข้าไม่ใช่พวกวรรณะแพศย์ ข้าเป็นนิษาทที่แอบอ้างตนมาเพื่อให้เรียนกับท่านได้ ! อะไรนะ เจ้าพูดอีกทีซิ จริงๆข้าไม่ได้ชื่อสุวัจน์ครับ ข้าชื่อสน เป็นนิษาท ข้าต้องขออภัยพระอาจารย์อย่างสูง !!! ชยารพตะลึงงันไปกับที่ ข้อกำหนดอย่างหนึ่งของพวกพราหมณ์ที่ภาสกรไม่ได้บอกแก่สนคือ ข้อห้ามพราหมณ์ไม่ให้อยู่ร่วมกับคนไร้วรรณะประเภทนี้เด็ดขาด ห้ามรับประทานอาหารในภาชนะเดียวกัน ห้ามเข้าใกล้ หรือแม้แต่ห้ามมอง เพราะหากฝ่าฝืนความเสนียดจะเกิดแก่พราหมณ์คนนั้นให้ต้องเสื่อมทั้งในทางโลกและทางธรรม แต่เหนือกฎอื่นๆ คือกฎที่ว่าห้ามมิให้ชนตั้งแต่วรรณะศูทรลงไปฝึกฤทธิ์ชยารพก็ได้ฝ่าฝืนเสียแล้ว พระฤๅษีนิ่งอึ้งไป บรรยากาศแห่งความปลื้มปิติและความเมตตาเมื่อครู่ปลาศนาการไปโดยสิ้นเชิง ความกลัวบาปแทรกแซงเข้ามาแทนที่จนตัวเขาเริ่มสั่นระริก เราผิดบาป เราผิดบาป! เป็นเพราะเรารับมันไว้นั่นเองจึงมีบาปเคราะห์ ถูกพวกอสูรมาทำลายตบะทันตาเห็น น่าเสียดายฤทธิ์เดชที่สู้อุตส่าห์บำเพ็ญเพียรมานานนัก แล้วนี่เรายังไปสอนมันให้รู้จักใช้ฤทธิ์อีก! โอ บาปเราหนานัก จะทำอย่างไรดี จะทำอย่างไรดี หลังจากนั้นความกลัวก็ถูกแทนที่อีกด้วยความโกรธ ชยารพหันมามองสน เป็นเพราะมันคนเดียวเราจึงต้องอยู่ในสภาพเช่นนี้ มันหลอกเรา แล้วยังมาเยาะเย้ยให้เราพินาศในภายหลัง ทุกอย่างล้วนเป็นเพราะมัน เป็นเพราะมันเท่านั้นเราจึงย่ำแย่ เราจะต้องแก้แค้น! แต่ตอนนี้ฤทธิ์เราคงสู้มันไม่ได้แล้วเพราะพึ่งถูกเสนียดจากมัน ดูมันก็ไม่ฉลาดเท่าไหร่นัก หรือว่า เจ้าไม่ต้องซาบซึ้งไป ข้าไม่ได้สอนเจ้าเปล่าๆ ชยารพกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น พระอาจารย์หมายถึง เจ้ารู้จักคำว่า คุรุทักษิณา หรือไม่ มันหมายถึงครูทุกคนมีสิทธิเรียกร้องค่าเล่าเรียนจากศิษย์อย่างไรก็ได้ตามแต่เขาจะประสงค์ พระอาจารย์ประสงค์สิ่งใด ข้าจะเพียรไปหามาให้ได้ครับ! สนกล่าวด้วยคำหนักแน่น ดี คุรุทักษิณาที่ข้าประสงค์คือ กระบองโลหะวิเชียร มันอยู่ที่ใดครับ? ชยารพยืนขึ้นผินหน้าไปอีกทางหนึ่งดุจไม่อยากมองสนอีกต่อไป กระบองโลหะวิเชียร ทำจากแก่นต้นจิตตปาลิ อันเป็นต้นไม้ยักษ์แห่งอสูรกายภูมิ มันมีลักษณะเป็นเหล็กไหลผสมกับแก้วผลึก อานุภาพปราบได้ทั้งสามโลก ปัจจุบันนอกจากจะเป็นอาวุธประจำตัวของพระราหูจ้าวแห่งพวกยักษ์มารแล้ว ยังเป็นของคู่บ้านคู่เมืองภพอสูรอีกด้วย! ถึงตรงนี้สนเองก็ตกใจ ไม่นึกว่าอาจารย์จะให้คำสั่งที่ยากเย็นเช่นนี้แก่เขา ทำไม่ได้รึ? ข้าจะพยายามให้ถึงที่สุดครับ ดี อย่างนั้นเก็บข้าวของออกจากอาศรมนี้ไปได้แล้ว อย่ากลับมาอีกเว้นแต่งานจะสำเร็จ! สนไม่เข้าใจว่าในความเปลี่ยนแปลงของอาจารย์นัก แต่เขาก็ไม่กล้าคิดให้มากความ จึงรีบกลับไปเก็บข้าวของตามคำสั่ง เมื่อสนออกไปสักครู่หนึ่งแล้วชยารพจึงนั่งขัดสมาธิลงเพื่อเข้าญานดูมโนของตนเอง พระฤๅษีพบว่ามโนของตนนั้นมัวหมองลงมาก นอกจากนั้นยังมีสีดำคล้ำแทรกเข้ามาในรัศมีอันควรจะมีแต่สีเหลืองของเขา ฮะ พระฤาษีครางด้วยรอยยิ้มที่แปลกประหลาด ฮะฮะ ฮาฮาฮา ฮาฮาฮา ฮาฮาฮา ฮาฮาฮา ฮาฮาฮา ฮาฮาฮา ฮาฮาฮา ฮาฮาฮา ฮาฮาฮา ฮาฮาฮา ฮาฮาฮา ฮาฮาฮา ฮาฮาฮา ฮาฮาฮา ฮาฮาฮา ฮาฮาฮา ฮาฮาฮา ฮาฮาฮา ฮาฮาฮา ฮาฮาฮา ฮาฮาฮา ฮาฮาฮา ฮาฮาฮา ฮาฮาฮา ฮาฮาฮา ฮาฮาฮา ฮาฮาฮา ฮาฮาฮา ฮาฮาฮา ฮาฮาฮา ฮาฮาฮา ฮาฮาฮา ฮาฮาฮา ฮาฮาฮา ฮาฮาฮา ฮาฮาฮา ฮาฮาฮา ฮาฮาฮา ฮาฮาฮา ฮาฮาฮา ฮาฮาฮา ฮาฮาฮา ฮาฮาฮา ฮาฮาฮา ฮาฮาฮา ฮาฮาฮา ฮาฮาฮา ฮาฮาฮา!!! เสียงหัวเราะดังก้องไปทั่ว แต่หากจะมีใครสังเกต หลายส่วนของเสียงนั้นยังมีความคล้ายคลึงกับเสียงสะอื้น ขณะที่สนกำลังจะเดินทางออกจากอาศรม ภาสกรได้ตามมาส่งเขา พระฤๅษีบอกว่าเจ้าฝึกสำเร็จแล้วรึ? อืม ข้าอิจฉาเจ้าจัง มาอยู่ที่นี่หลังข้าแต่กลับฝึกสำเร็จก่อน ว่าแต่จากนี้เจ้าจะไปทำอะไรต่อล่ะ ข้าจะไปทำงานให้อาจารย์อย่างหนึ่ง หลังจากนั้นยังไม่ได้คิด แต่คงกลับไปหมู่บ้านนิษาทของข้า ข้าอาจจะเอาวิชาที่เล่าเรียนมาไปสอนคนที่นั่น ภาสกรได้ยินดังนั้นก็นิ่งไปครู่หนึ่ง เป็นอะไรหรือ? สนถาม เอ่อ ปะ เปล่า ไม่มีอะไรหรอก ขอให้โชคดีก็แล้วกัน ภาสกรตบบ่าสน สนตบบ่าของเพื่อนตอบ ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง หากไม่มีเจ้า ข้าคงไม่มีวันนี้ ไม่เป็นไรหรอก ก็เราเป็นเพื่อนกันนี่ ต่อไปหากเจ้ามีอะไรเดือดร้อนก็มาหาข้าได้นะ ข้าอยู่ในบ้านใหญ่ตรงกลางเมืองพิชัยปุระ บอกคนเฝ้าประตูที่นั่นว่าเป็นเพื่อนข้าแล้วเขาจะไปเรียกข้าออกมาหาเจ้าเอง บ้านใหญ่มีตั้งหลายหลัง ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นหลังไหน? หลังที่เด่นที่สุดนั่นแหละ เจ้าไม่มีวันพลาดหรอก สนเอาศอกสะกิดพุงเพื่อน เจ้านี่อวดรวยหรือ? ทั้งสองหัวเราะ จากนั้นนิษาทหนุ่มจึงออกเดินทางไป ไปยังที่ไหนสักแห่งในอสูรกายภูมิ! ........................... (อ่านต่อ) หมายเหตุต่อไปนี้เรื่องของเราจะมีการแสดงค่า status ของตัวละครไปเรื่อยๆตามหลักเกมส์rpgศาสตร์ที่ผมชื่นชอบ โดย Lv = level คือระดับโดยรวมของตัวละครนั้นๆ Mp = มโน power ไม่ใช่magic powerนะครับ ในเรื่องผม ก็คือค่าฤทธิ์นั่นแหละครับ Hp = กายเนื้อ power อ่านว่า เคพีครับ ไม่ใช่เอชพี ดูดีๆมันคือตัวk ตัวKแนวตรงไงไม่เคยเห็นเหรอ Str = strength ความแข็งแกร่ง ในที่นี้คือพลังในการต่อสู้ทั้งในเชิงรุกและรับนั่นเอง Agi = agility ความเร็วครับ Intel = Intelligent สติปัญญาครับ Luck = โชคครับ อาชีพ = อาชีพที่ตัวละครเป็นครับ สัญชาติ = สถานะที่ตัวละครแต่ละตัวได้มาโดยชาติ กำเนิดครับ อันนี้เปลี่ยนยาก อยู่ดีๆอสูรมันคงไม่กลายเป็น เทวดาไปได้ เว้นแต่จะเปลี่ยนกายเนื้อเสียก่อน ข้างล่างนี้เป็นค่า status ของสนครับ คำอธิบายรูปข้างบน: ภาพแรก สนก่อนเรียนวิชานั้นมโนเป็นธาตุดินสีแสด ไม่ค่อยมีประกายเพราะไม่มีฤทธิ์ สีขมุกขมัวที่เห็นอยู่ ส่วนล่างนั้นคือสีของสันดานหยาบที่มาครอบงำมโนครับ ภาพที่สอง สนหลังเรียนวิชา มโนเป็นสีเหลืองเพราะ ไปฝึกวิชาธาตุแสง สีแสดจากธาตุดินก็เจือจางไป ส่วนสันดานหยาบนั้นครอบงำมโนได้น้อยลงเพราะ มโนมีพลังมากขึ้นแล้ว ต่อไปเป็นค่าสถานะของชยารพบ้าง มโนของชยารพหลังถูกพวกอสูรทำลายตบะนั้น เกิดความอิจฉาซึ่งเป็นความโฉดเขลาอย่างหนึ่ง ขึ้นมาในใจจึงมีสีดำจางๆ แต่หลังจากที่ชยารพรู้ว่าสนเป็นนิษาทอีก ก็รู้สึก เจ็บแค้น เป็นความหลงเข้าไปใหญ่ มโนจึงถูกสีดำเข้า ครอบงำมากขึ้น ดูดีๆ แม้แต่ความละเอียดของมโนก็ลดลง แสดงถึงค่า Intel ที่ลดลงด้วย ... ตอนนี้ถือว่าจบบทครับ ตอนต่อไปไปพบกันที่ฉากอื่น เย้ เชษฐา |