นิยายแฟนตาซีแบบไทย

ศึกหกภพ

โดย เชษฐา

บทที่ 3 อสูรกายภูมิ
(1)



อสูรกายภูมิ

อสุรา อสุระผู้ทรงฤทธิ์
กล้ากาจเพียงพิชิตเทพได้
พื้นดำชาติอำมหิตทุรรูป
ดวงจิตนั้นคือร้ายจึ่งเกิด ในภูมิ

… … …

ป่าหิมพานต์

ป่าใหญ่ที่กินอาณาบริเวณเกือบค่อนทวีป และเป็นเขตอันแบ่งแดนดิรัจฉานภูมิออกจากภูมิของมนุษย์ ภายในมหาไพรสัณฑ์เต็มไปด้วยความลี้ลับประหลาด สัตว์และพืชพันธ์ที่ไม่สามารถหาได้ในภพอื่นๆตลอดกาล ความทมิฬชั่วร้ายและความบริสุทธิ์สวยงามแห่งธรรมชาติ สิ่งมีชีวิตทั้งที่ไร้ปัญญาที่สุดและมีปัญญามากที่สุดล้วนแล้วแต่ปรากฏอยู่ในป่าแห่งนี้

มนุษย์ที่เข้าไปในหิมพานต์แล้วรอดชีวิตกลับมาได้มีน้อยกว่าน้อย แม้ชาวบ้านที่พักอาศัยอยู่ริมป่ายังไม่มีใครคิดเข้าไปหากินข้างในดินแดนอันพิสดารนี้เด็ดขาด อย่างดีคือตกปลาจากลำธารที่ไหลออกมา เท่านี้ก็กล้าที่สุดแล้ว

แต่สนต้องเข้าไปในหิมพานต์

ไม่ใช่เพราะกล้า เขากลัวจะตาย
หากมันเป็นทางเดียวที่จะผ่านไปสู่ภพอสูรอันอยู่ใต้ชั้นธรณีได้
“แค่นี้ไม่ถึงตายหรอกน่า” เขาปลอบใจตนเองอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก

อย่างไรก็ตามเขาจำเป็นต้องมองอุปสรรคนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยที่สุด เพราะเขายังมีภารกิจหลัก คือการไปเอากระบองโลหะวิเชียรของคู่บ้านคู่เมืองอสูรมาตามคำสั่งของอาจารย์
ภารกิจข้อหลังนี้สนยังนึกหาหนทางไม่ออกและไม่เห็นทางเป็นไปได้เลยสักนิดหนึ่ง

เพราะจริงๆแล้วมันไม่มีทางเป็นไปได้เลยนั่นเอง “บ๊ะ เอาไว้เข้าไปในอสูรกายภูมิให้ได้ก่อนแล้วค่อยคิดหาหนทางอีกทีแล้วกัน”

เขาใช้เวลาสองอาทิตย์เดินทางมาจากอาศรมของชยารพ บัดนี้บรรจบเข้าบริเวณชายป่าตรงแนวเขตแบ่งแดน ข้างหน้าเป็นต้นไม้รกทึบ ข้างหลังเป็นที่ราบกว้างใหญ่ของมนุสสภูมิ “ก้าวแรก…” สนคิดแล้วก็ย่างเท้าออกไป

ตุบ…

เสียงเท้าสัมผัสพื้น
ไม่เห็นมีอะไรยากนี่หว่า

หากสนต้องเปลี่ยนความคิดทันที เมื่อเสียงๆหนึ่งดังขึ้นกลางหัวเขา
“ช้าก่อน!”

สนชักเท้ากลับทันควัน “คะ…ใครน่ะ?”

“พอมีฤทธิ์ใช่ไหม ใช้ตาทิพย์แล้วมองเราสิ”

สนทำตาม เบื้องหน้าเขามีชายสองคน คนหนึ่งหน้าดำ คนหนึ่งหน้าขาว ทั้งสองแต่งกายด้วยชุดสวยงามวิจิตรอย่างที่เขาเคยเห็นในรูปวาดของพวกวรรณะสูง
“ท่านคือ…”

“เราคือพระภูมิเทวดาสังกัดโลกบาลทิศเหนือ มีหน้าที่รักษาปากทางเข้าป่าหิมพานต์” ชายหน้าดำกล่าว
“ละ …แล้วท่านมาหาข้าทำไมครับ?” สนเอ่ยกลัวๆ
“ที่นี่เป็นแดนอันตราย หากเจ้าหลงเข้ามาโดยไม่ตั้งใจก็จงกลับไปเสีย”
“…อันตรายอย่างไรล่ะครับ?”

เทวดาหน้าดำถลึงตา***มเกรียม “จากนี้ไปเป็นที่อยู่ของอสูรป่าหลายตน ซึ่งท้าวกุเวรแบ่งเขตให้พวกมันหากินเป็นสัดส่วน หากเจ้าล้ำเข้าไปในเขตของอสูรป่าตนใดแล้วถูกมันจับไปกิน เราจะไม่มีสิทธิช่วยเหลือเจ้าได้!”

ท้าวกุเวรนี่มันใครวะ? คงจะใหญ่มากถึงคุมพวกอสูรอยู่

เทวดาหน้าขาวเหมือนจะอ่านใจของสนได้ เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลกว่าเดิมว่า “เจ้าคงไม่ทราบว่าท้าวกุเวรเป็นใคร ท้าวกุเวรก็เป็นอสูรเหมือนกัน แต่เป็นอสูรที่มีคุณธรรม ทางสวรรค์จึงแต่งตั้งให้มีตำแหน่งเป็นจตุโลกบาลประจำทิศเหนือ ทำหน้าที่ปกครองป่าหิมพานต์แถบนี้ และคอยดูแลสอดส่องว่าพวกยักษ์หรืออสูรที่อาศัยอยู่ในเขตปกครองทำความดีเลวอย่างใด เพื่อจดเป็นบันทึกส่งให้สวรรค์รับไปพิจารณาต่อไป พวกข้าเทวดาเจ้าที่ก็เป็นบริวารผู้ช่วยของท้าวกุเวร”

เทวดาหน้าขาวหันไปกล่าวกับเทวดาหน้าดำว่า “แต่จะว่าไปพวกอสูรป่าก็ไม่ค่อยได้โผล่มานานแล้วนะ ข้าคิดว่ามันต้องเกิดอะไรผิดปกติขึ้นในอสูรกายภูมิแน่ๆ”
“แต่ไหนแต่ไรมา พวกอสูรมันเอาแน่เอานอนไม่ได้อยู่แล้ว ยังไงก็ควรระวังเอาไว้ก่อน” เทวดาหน้าดำตอบ

“อืม…” เทวดาหน้าขาวคิดสักครู่แล้วกล่าวแก่สนว่า “ข้าไม่มีสิทธิห้ามเจ้าหรอก ที่มานี่แค่มาเตือน หากธุระของเจ้าสำคัญจริงๆก็จงเข้าไปเถิด แต่จงระวังตัวให้ดีเพราะในป่านี้มีอันตรายไม่น้อย”

สนเห็นเทวดาพวกนี้ไม่มีเจตนาร้ายจึงถามว่า “แล้วพวกท่านพอจะทราบไหมครับ ว่าจากป่านี้จะไปอสูรกายภูมิต่อไปอย่างไร?”

เทวดาหน้าขาวตอบว่า “ความจริงก็ไม่ซับซ้อน ตรงกลางป่าหิมพานต์นี้จะมีเทือกเขาใหญ่แห่งหนึ่งชื่อเขาสัตตบริภัณฑ์ เขาว่ากันว่าภูมิของพวกอสูรอยู่ใต้ดินลงไปข้างใต้เทือกเขาเหล่านี้ละ ดังนั้นหากเจ้าเดินตรงไปเรื่อยๆจากนี่จนพบเทือกเขาใหญ่ แล้วเดินเลียบแนวเทือกเขานั้นไปเรื่อยๆก็จะเจอทางนำลงไปสู่ใต้ดินอันเป็นพิภพอสูรเอง มันมีหลายทาง หาไม่ยาก ที่ยากคือระหว่างนี่ไปจนถึงเทือกเขาสัตตบริภัณฑ์เป็นป่าทึบจะมีอันตรายอย่างที่บอก”

สนกล่าวขอบคุณแล้วจึงลามา เทวดาหน้าดำเตือนเขาไล่หลังมาว่า “แม้เจ้าจะไปถึงภพอสูรแล้ว พวกอสูรก็ไม่ใคร่ต้อนรับมนุษย์นัก เจ้าต้องระวังให้มาก อย่าเสี่ยงอะไรที่ไม่ควรเสี่ยงดีกว่า”

ไม่ใช่ว่าสนไม่เชื่อฟังเทวดา แต่ตอนนี้เขาต้องเชื่อฟังอาจารย์ผู้มีพระคุณมากกว่า อย่างไรก็ตามนับจากวินาทีนั้นสนระวังตัวทุกฝีก้าว ใช้การฟัง การดมกลิ่น และประสาทสัมผัสอื่นคอยระวังความเคลื่อนไหวรอบๆกายและหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับสัตว์ใหญ่ทุกชนิด

เขาใช้ชีวิตในป่าอยู่สองวัน ไม่ยากอย่างที่คิดแฮะ อย่างน้อยก็ง่ายพอสำหรับคนที่มีพื้นเพเป็นนายพรานอย่างสนเอาตัวรอดอยู่ได้สบายๆ

เท่าที่สังเกตพืชและสัตว์ป่าในหิมพานต์ไม่ต่างจากข้างนอกเท่าไหร่ เพียงแต่ความอุดมสมบูรณ์นั้นเหนือกว่าป่าที่สนเคยอยู่อย่างเทียบกันไม่ได้ หากวันหนึ่งเขาสามารถกลับไปถึงบ้านอาจชักชวนพี่น้องให้มาหากินอยู่ที่นี่ อุปสรรคอย่างเดียวที่สนคิดว่าพอจะมีได้คือพวกอสูรซึ่งเขาก็ยังไม่เห็นร่องรอยสักตัว แต่ในเมื่อเทวดาสององค์นั้นบอกว่ามีก็คงมีสินะ

ตอนนี้หูสนแว่วเสียงน้ำตก น้ำตกมีน้ำ น้ำจำเป็นสำหรับการอยู่ป่า แต่การไปเอาน้ำต้องระวังสักหน่อยเพราะที่ไหนมีแหล่งน้ำก็เป็นไปได้ว่าจะมีสัตว์อันตรายมากินน้ำเหมือนกัน
ดังนั้นเขาจึงค่อยๆย่องไปอย่างเงียบๆ พอใกล้ถึงที่ก็ปีนต้นไม้เพื่อระวังดูก่อน

สนแหวกกิ่งก้านรกทึบที่บดบังสายตาออก อาฮะ มีน้ำตกขนาดย่อมๆที่มีน้ำใสสะอาดจริงๆ

น่าผิดสังเกตที่บริเวณโดยรอบน้ำตกไม่มีรอยเท้าสัตว์มากินน้ำ นิษาทหนุ่มคิดอย่างไม่ใคร่วางใจนัก แต่เมื่อเขาหันไปมองที่ตอนกลางของธารน้ำแห่งนั้น สนก็ต้องตื่นตระหนกแทบลืมหายใจและลืมข้อน่าสงสัยนั้นเสียสิ้น

มีหญิงสาวนางหนึ่ง!
กำลังอาบน้ำอยู่!!!

ความน่าพิศวงประการหนึ่งในวรรณคดีที่สนเคยได้ยินคือผู้หญิงที่พระเอกเผอิญไปได้พบขณะกำลังอาบน้ำมักจะเป็นผู้หญิงที่สวยงาม

น่าประหลาดที่ความบังเอิญนั้นก็บังเอิญปรากฏขึ้นต่อหน้าสนด้วย นางในวรรณคดี ตาของนางสดใสเป็นประกายเหมือนตากวาง เรือนผมเรียบลื่นดำสนิทดุจขนนกน้ำ ผิวขาวนวลเป็นสีชมพูเรื่อๆ เรือนร่างอรชรอ้อนแอ้น…

สนไม่ต้องดูก็รู้ว่ามโนของเขาตอนนี้บังเกิดสีม่วงเข้าครอบงำเสียแล้ว

เขาพยายามคิด เราคงตาฝาด ตามเหตุผลแล้วมันไม่ควรจะมีผู้หญิงสวยขนาดนี้มาอาบน้ำอยู่ที่นี่นี่นา

ป่าบริเวณนั้นร่มครึ้มเป็นธรรมชาติที่งดงามสะอาด ประกอบด้วยพฤกษชาตินานาพันธ์ขึ้นเรียงราย ลมพัดเอื่อยๆโชยให้กลิ่นหอมของไม้สีเขียวๆอันชุ่มฉ่ำลอยมาแตะจมูก น้ำตกก็ไหลซู่ซ่าเป็นฟองแตกเป็นฟองแตกประกายระยิบระยับ และให้ตายเถอะ ภาพหญิงนางนั้นก็เป็นภาพจริง!

ขณะที่สนกำลังตัดใจไม่ขาดนั้น เขาก็เหลือบไปเห็นเงาดำของสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่กำลังเคลื่อนที่เข้ามาในบริเวณริมน้ำตก

ดูเผินๆสิ่งมีชีวิตนั่นคล้ายมนุษย์ แต่มันมีตาเหลือกพอง ผมหยิก ใบหน้าดุดันถมึงทึง และมีร่างกายใหญ่โตกว่ามนุษย์มาก
“อสูร!” นั่นคือสิ่งแรกที่สนคิด แล้วก็จริงเสียด้วย อสูรตนนั้นกำลังแอบเข้ามาอย่างเงียบๆโดยที่หญิงสาวไม่รู้ตัว

โดยไม่จำเป็นต้องไตร่ตรอง สนหยิบธนูที่พึ่งเหลาเมื่อวานขึ้นมาเล็งแล้วยิงใส่อสูรตนนั้นทันที

เสียงฉึก!เมื่อหัวลูกศรต้องตัวมารร้ายเข้าไปฝังในอยู่ตรงบริเวณสะเอว นั่นเพียงพอให้มันต้องร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด และหญิงสาวที่เพิ่งรู้ตัวก็หวีดร้องออกมาเช่นกัน

อสูรตนนั้นเห็นหญิงสาวรู้ตัวแล้วก็แข็งใจหักด้ามธนูเสีย แล้ววิ่งฝ่าน้ำเข้ามาหานางด้วยท่าทางดุร้าย สนตัดสินใจชักมีดกระโดดลงมาขวาง น้ำที่แตกครืนตูมใหญ่ตรงหน้าทำให้อสูรร้ายต้องหยุดการเคลื่อนไหวชั่วขณะหนึ่ง สนรีบฉวยโอกาสนั้นจ้วงแทงตรงหัวเข่าและน่องของมันหลายครั้งจนมันทรุดฮวบลง

ขณะที่เป็นช่วงวิกฤตคับขันถึงขีดสุด อสูรร้ายได้สติก็ชักกระบองออกมาฟาดใส่สน เสียงอาวุธผ่านอากาศดังหวือๆแสดงถึงความรุนแรงของมันซึ่งหากสนหลบไม่ทันก็ต้องถึงแก่ความตายแน่ๆ

นิษาทหนุ่มนึกถึงคำของชยารพขึ้นมา

“คนที่มีฤทธิ์ในทางแสง สามารถเสกแสงสว่างในความมืด ในข้อที่ทำให้เกิดอุณหภูมิสูงขึ้นก็ทำได้เช่นเดียวกับธาตุไฟ”

สนฉากหลบมาหาหญิงสาว “หนีไป” เขากล่าว เมื่อเห็นหญิงสาวตกใจจนทำอะไรไม่ถูก สนจึงถือวิสาสะถอดเสื้อคลุมนางไว้ แล้วอุ้มวิ่งออกจากบริเวณน้ำ

อสูรร้ายพยายามไล่ตามมาติดๆแต่มันก็ทำได้ไม่เร็วนักเพราะกำลังบาดเจ็บอยู่ สนใช้ช่วงเวลาเล็กน้อยนี้สำรวมจิตกำหนดเป็นแสงสว่างมหาศาลมารวมตัวกัน ณ ผืนน้ำบริเวณที่อสูรวิ่งอยู่

“ร้อน!” เขาตะโกน น้ำในบริเวณนั้นเดือดพล่านแตกฟองขึ้นมาทันที เมื่อโดนเข้ากับขาที่เป็นแผลเหวอะหวะอยู่แล้วของอสูรตนนั้นส่งผลให้มันร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อีกต่อไป

แต่เสียงของการต่อสู้ก็ดูเหมือนจะไปต้องหูของบรรดาอสูรที่อยู่ในบริเวณนั้น ปรากฏอสูรอีกยี่สิบสามสิบตนแต่งกายคล้ายอสูรตนแรกวิ่งฝ่าแนวป่าออกมาแล้ว

สนเห็นไม่มีทางสู้ได้จึงรีบอุ้มหญิงสาววิ่งหนีไปโดยเร็ว ตลอดทางนางร้องหวีดและทุบตีขัดขืนเขาจนเมื่อถึงถ้ำแห่งหนึ่งสนเห็นเป็นที่ปลอดภัยแล้วจึงวางหญิงสาวกับพื้น เมื่อนั้นแหละนางจึงค่อยสงบลงได้

“เจ้าอาจจะเข้าใจว่าข้ามีเจตนาร้าย” สนกล่าวพร้อมกับหันหน้าไปทางอื่น ขณะที่หญิงสาวกำลังใส่เสื้อผ้าที่เขายื่นให้ “จริงๆข้ามาหาน้ำเท่านั้น พอดีพบเจ้ากำลังอาบน้ำอยู่…”

เสียงตบฉาดใหญ่ดังขึ้นที่ใบหน้าซีกขวาของเขา หญิงสาวนางนั้นใส่เสื้อเสร็จแล้ว

“โธ่ ฟังให้จบก่อนสิ!” สนร้อง

แต่หญิงสาวไม่มีทีท่าว่าจะทำตาม ซ้ำยังพยายามจะแย่งมีดของสนมาต่อสู้ด้วยซ้ำ
“เฮ้ย ข้าช่วยเจ้านะ เจ้าไม่เห็นอสูรตนนั้นหรือ!?”

ได้ยินคำนี้หญิงสาวเปลี่ยนเป็นทำหน้าฉงน “ตนไหน?” นางถาม

“ก็ไอ้ตัวที่เราเจอที่น้ำตกมันไม่ใช่อสูรหรืออย่างไรล่ะ?” สนชักฉุน เขาเอามือลูบรอยที่ถูกตบพลางคิดว่าเหตุการณ์มันเห็นกันอยู่ชัดๆยังจะมาทำเป็นงง

“เจ้าพูดถึงอะไรกันแน่” หญิงสาวกล่าวอย่างไม่พอใจเหมือนกัน “อสูรรึ? ก็ข้านี่ไง อสูร!”

“!”
........................... (อ่านต่อ)

กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป 1