... ... ... ก็ไอ้ตัวที่เราเจอที่น้ำตกมันไม่ใช่อสูรหรืออย่างไรล่ะ? สนชักฉุน เขาเอามือลูบรอยที่ถูกตบพลางคิดว่าเหตุการณ์มันเห็นกันอยู่ชัดๆยังจะมาทำเป็นงง เจ้าพูดถึงอะไรกันแน่ หญิงสาวกล่าวอย่างไม่พอใจเหมือนกัน อสูรรึ? ก็ข้านี่ไง อสูร! ! สนตะลึงไปครู่หนึ่ง บ้าน่าเจ้าไม่ใช่อสูรแน่ๆ ตรงไหนที่ไม่ใช่อสูรล่ะ? หญิงสาวถาม แล้วตรงไหนที่ใช่อสูรล่ะ? เจ้าไม่ใช่อสูรจะรู้ได้อย่างไร? หรือว่าเจ้าเป็นอสูร? ก็ใช่น่ะสิ! ไปๆมาๆกลับมาที่เดิม สนขี้เกียจเถียงจึงนิ่งเสีย หญิงสาวสำรวจดูรอบๆ ถ้ำนี่ท่าทางไม่ใช่ที่อยู่ เจ้าเป็นใคร พาข้ามาทำอะไรกันแน่ หรือว่าเจ้าเป็นคนธรรพ์? คนธรรพ์นี่มันตัวอะไรวะ สนถอนหายใจ เฮ้อ เจ้าพูดถึงอะไรข้ายังไม่เข้าใจเลย อีกอย่างหากข้ามีเจตนาร้ายก็ไม่จำเป็นต้องมานั่งทะเลาะกับเจ้าเช่นนี้หรอก หญิงสาวชักลังเล เจ้า หรือว่าเจ้าเป็นศัตรูของพ่อข้า พ่อเจ้าเป็นใครเล่า? ลักพาข้ามาแล้วยังไม่รู้หรือ พ่อข้าชื่ออาโปตะไล เป็นเสนาบดีเมืองอสูรอย่างไรล่ะ อาโปตะไล ชื่อนี้คุ้นๆแฮะ เมื่อหลายเดือนก่อนเคยมีทิพพาสูรตนหนึ่งพาพวกมาหาพระอาจารย์ที่อาศรม หรือว่า สนเหลือกตาขึ้น หันไปมองหญิงสาวอย่างพิจารณาอีกครั้ง ข้าจำเจ้าได้แล้ว เจ้าคือผู้หญิงคนที่อสูรตนนั้นอ้างว่าเป็นลูกสาวคนสุดท้องของมัน! คราวนี้หญิงสาวเป็นฝ่ายงุนงงบ้าง นางไม่เข้าใจว่าคนแปลกหน้าท่าทางประหลาดนี้มีจุดประสงค์อะไรกันแน่ สักเจ็ดเดือนก่อน สนกล่าวด้วยเสียงที่ดังขึ้น พ่อของเจ้าเคยพาเจ้าไปที่อาศรมของพระฤๅษีตนหนึ่ง บอกว่าจะยกเจ้าให้เป็นข้ารับใช้ของพระฤๅษีใช่ไหม? อะ อ๋อ นั่นก็ใช่ แต่ว่า ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็เป็นอสูร! สนร้องอย่างดีใจที่ตนพบความจริงบางอย่างแต่แล้วก็ต้องฉุกคิด บรรยากาศเงียบงันเข้าปกคลุมระยะหนึ่ง ในที่สุดหญิงสาวก็ถามขึ้นว่า เจ้าเป็นมนุษย์ใช่ไหม? สนผงกหัวเบาๆ ในป่านี้มีมนุษย์มาไม่บ่อยนัก พวกนี้จะไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร หญิงสาวกล่าว เจ้าคงเคยฟังนิทานมาบ้าง มีกษัตริย์มนุษย์หลายคนที่ได้ภรรยาเป็นลูกสาวของพวกอสูร หญิงเหล่านั้นนอกจากหน้าตาไม่เหมือนพวกอสูรผู้ชายแล้วยังมีความคล้ายคลึงกับพวกมนุษย์หรือเทวดาเสียมาก ข้าเคยได้ยินนิทานเช่นนั้น สนสารภาพ นั่นเพราะเมื่อก่อนพวกอสูรเราเคยเป็นเทพอยู่บนสวรรค์ ต่อมาถูกพระอินทร์ขับให้มาอาศัยอยู่ใต้พิภพ พวกผู้ชายถูกสาปให้มีหน้าตาอัปลักษณ์เป็นยักษ์มาร แต่คำสาปกลับนั้นไม่มีผลรวมไปถึงผู้หญิงด้วย ทุกวันนี้ผู้หญิงอสูรแทบทุกคนจะมีหน้าเหมือนข้า แม้จะมีบางคนหน้าเป็นยักษ์บ้าง แต่มีน้อยมาก เฮ้ย ทำไมข้าไม่เคยได้ยินเรื่องนั้นมาก่อน! สนตกใจ ฮึ เจ้าไม่ทราบแล้วโลกจะแตกหรือ สนอ้ำอึ้ง ถ้าอย่างนั้น อสูรที่มาหาเจ้า เขาก็คือบริวารของพ่อข้าที่มาเฝ้าระหว่างข้าอาบน้ำอยู่น่ะสิ เจ้านึกว่าตนเองเป็นพระเอกไปทำร้ายเขาแล้วอุ้มข้ามาที่นี่ จะไม่ให้ข้าเข้าใจว่าเจ้าลักพาตัวได้อย่างไร หญิงสาวทำเสียงฮึดฮัด เดินกลับไปนั่ง สนพิจารณาเหตุการณ์ดูก็เห็นจริงตามคำของหญิงสาว จึงเพิ่งสำนึกได้ว่าตนเป็นฝ่ายผิด เอาละ เขากล่าวด้วยเสียงอ่อนลง ข้าผิดไปแล้ว ขอโทษด้วย ข้าพอจะชดใช้อะไรได้บ้าง หญิงสาวเห็นสนสำนึกแล้วก็นึกสงสารจึงกล่าวว่า จะมากจะน้อยเจ้าก็มีเจตนาดี ข้าไม่ถือโทษเจ้าหรอก แต่คนที่เจ้าต้องไปขอโทษจริงๆคืออสูรคนที่เจ้าทำร้าย ไอ้นั่นน่ะเหรอ ถ้าเราไปขอโทษมันซึ่งหน้าต้องถูกมันฆ่าแน่ๆ เอ่อ เอาเป็นว่าข้าฝากเจ้าไปขอโทษแทนดีกว่า สนกล่าว ก็ได้ แต่ข้าไม่ใช่ชาวป่า ถ้าจะขอโทษอย่างน้อยเจ้าต้องไปส่งข้าถึงที่พักก่อน สนจึงต้องพาหญิงสาวไปส่งตามที่นางชี้ทาง ขณะที่พูดคุยกันไปตลอด นิษาทหนุ่มจึงรู้ว่าหญิงสาวนางนั้นมีชื่อว่าคีตา ได้ตามพี่สาวมาเที่ยวที่ป่าหิมพานต์แห่งนี้ สนยังรู้อีกข้างใต้ป่าหิมพานต์นั้นหากมุ่งลงไปจะเป็นที่ตั้งของดินแดนอสูร ใจกลางของดินแดนนั้นมีต้นไม้ขนาดใหญ่ต้นหนึ่ง (ซึ่งตามคำบรรยายของคีตาแล้ว มันต้องใหญ่มากจนสนนึกภาพไม่ออก) ชื่อว่าต้นจิตตปาลิ พวกอสูรกินผลของจิตตปาลิ ถากเปลือกไม้จิตตปาลิมาสร้างบ้าน แต่กิ่งก้านของมหาพฤกษายังถูกนำมาม้วนแล้วชุบน้ำมันทำเป็นกระบองแน่นเหนียวซึ่งพวกอสูรใช้เป็นอาวุธกันอย่างแพร่หลาย นี่ต้องตามคำของชยารพที่ว่ากระบองโลหะวิเชียรทำมาจากแก่นไม้จิตตปาลิอันเป็นผลึกเหล็ก ซึ่งเขามีหน้าที่จะต้องไปขโมยมา สนคิดพลางเหงื่อตก เดินมาสามชั่วโมงในที่สุดก็ใกล้ถึงที่พักของคีตาแล้ว สนได้ยินเสียงสัตว์ร้องดังขึ้นเรื่อยๆ มันเป็นเสียงประหลาดที่เขาไม่เคยได้ยินจากสัตว์ชนิดไหนมาก่อน ไม่สิ ยังมีบางเสียงที่พอคุ้นหูบ้าง ที่พักเจ้ามีเสือหรือ? สนกล่าวกับคีตาเป็นเชิงถาม คีตาเพียงแต่ชี้ไปข้างหน้า สนพึ่งเห็นกรงๆหนึ่งตั้งอยู่ ข้างในมีสัตว์แปลกๆสี่ห้าตัว จะว่าคล้ายช้างก็ไม่ใช่ช้าง จะว่าคล้ายเสือก็ไม่ใช่เสือ มิหนำซ้ำยังมีความคล้ายคนอยู่บ้าง! เหวอ! สนอุทาน ไอ้ตัวนี้ที่เจอตอนจะออกจากหมู่บ้านนิษาทนี่หว่า คีตานึกขำในอาการประหวั่นของเขา ไม่ต้องกลัวหรอก มันคือสัตว์ทดลองของพ่อข้าเอง สัตว์ทดลอง? พ่อข้าเป็นคนชอบริเริ่มทำอะไรแปลกใหม่ ครั้งหนึ่งท่านเห็นว่าครุฑและนาคอันเป็นกึ่งสัตว์นั้นมีฤทธิ์มาก จึงคิดจะสร้างสัตว์ชนิดใหม่ที่มีร่างกายแข็งแกร่งเช่นพวกมัน แต่มีสติปัญญาอย่างสัตว์พอให้พวกอสูรเราควบคุมไปใช้ในยามสงครามได้ คือไอ้ตัวนี้น่ะหรือ? สนชี้ไปยังสิ่งมีชีวิตหน้าช้าง ตัวคน ตีนเสือที่กำลังคำรามใส่เขา ใช่ นอกจากนี้แล้วยังมีสัตว์ประหลาดอีกหลายชนิดอันเกิดจากการตัดต่ออวัยวะของสัตว์ทั่วไปเข้าด้วยกันซึ่งเจ้าจะได้เห็นในกรงต่อๆไปเองนั่นแหละ ท่านพ่อตั้งชื่อโครงการนี้ว่า โครงการชีวาวุธ แต่ระยะหลังโครงการไม่มีผลงานเป็นที่น่าพอใจ ประกอบกับมีสัตว์หลายตัวแหกกรงไปสร้างความเสียหาย ท่านพ่อจึงตัดงบลงไปมาก หากสัตว์เหล่านี้ฆ่าเสียก็จะถูกคนติฉิน จะปล่อยไปก็ไม่ได้ จึงต้องขังเลี้ยงไว้เฉยๆเช่นนี้ คีตาทำหน้าเบ้เล้กน้อย พอดีพี่ข้านึกประหลาด จึงเลือกมาพักในอาคารของโครงการ ดังนั้นรายทางที่ผ่านไปสนจึงพบกับสัตว์แปลกๆมากมาย บางตัวท่อนบนเป็นลิงท่อนล่างเป็นกวาง บางตัวตัวเป็นม้าหน้าเป็นนก นอกจากนั้นยังมีสัตว์พิลึกพิลั่นอีกหลายชนิดส่งเสียงแกว๊กๆ กว๊ากๆดังเซ็งแซ่อยู่ในกรงขัง ตอนแรกสนก็กลัว แต่เมื่อพิจารณาดูก็เห็นจริงตามคำของคีตา สัตว์พวกนี้หลายตัวอยู่ในสภาพพิกลพิการ หากใช้สู้รบในสงครามน่าจะไม่มีประสิทธิภาพเท่าใดนัก แต่หากหลุดออกไปจากการควบคุมก็จะเป็นอันตรายกับชาวบ้านเหมือนที่มันตัวหนึ่งเคยบุกเลยมาถึงหมู่บ้านนิษาทของเขา เมื่อเห็นอาคารปูนขนาดกลางแห่งหนึ่ง คีตาบอกว่าไม่ต้องส่งต่อแล้ว สนจึงจากมาพลางคำนึงว่า หากตนจะหาทางไปอสูรกายภูมิโดยสะกดรอยตามขบวนของพวกคีตาก็จำต้องหาสถานที่มิดชิดแอบซุ่มดูความเคลื่อนไหวของพวกนั้น ซึ่งบริเวณนี้เป็นเขตกรงสัตว์ จะซุ่มอยู่นานๆไม่ให้ใครพบเห็นทำได้ลำบากยิ่ง อย่าเลยตนจะหลีกเลี่ยงอสูรกลุ่มนี้และไปหาทางลงภพอสูรเองที่รอบเขาสัตตบริภัณฑ์ตามคำเทวดาดีกว่า คิดได้ดังนั้นสนจึงหาต้นไม้ใหญ่อันมีใบหนาทึบเป็นที่มิดชิด แล้วขึ้นไปนอนพักอยู่บนกิ่งไม้ ความเหน็ดเหนื่อยของวันนั้นทำให้เขาม่อยหลับไปโดยเร็ว จวบจนเวลากลางคืน สนถูกเขย่าปลุกขึ้นมา อะไรน่ะ เขางัวเงีย ลืมตาขึ้นเห็นอสูรหน้าตาดุร้ายสองตนกำลังจ้องหน้าเขาอยู่! ไม่รู้ว่าชาติก่อนเขาทำกรรมประเภทไหนจึงมักจะเจอสัตว์ประหลาดขณะกำลังนอนอยู่บนต้นไม้ เหวอ!!!! สนอุทาน อสูรสองตนนั้นไม่พูดพร่ำทำเพลงก็จับเขาโยนลงไปข้างล่างซึ่งมีอสูรอีกสี่ห้าตนถือกระสอบรออยู่ สนถูกจับยัดเข้าไปในกระสอบทั้งๆที่ยังมีสติสัมปชัญญะ ตอนแรกเขาพยายามดิ้นและร้องแต่ยิ่งดิ้นยิ่งร้องก็ยิ่งถูกอสูรเตะต่อยจนต้องสงบไปเอง และยอมให้พวกมันหิ้วเขาในกระสอบนั้นออกเดินทางไป คำนวณจากการระยะเวลา ความเคลื่อนไหว การดมกลิ่น และฟังเสียง สนพบว่าพวกมันกำลังพาเขากลับไปยังอาคารปูนใจกลางพื้นที่โครงการชีวาวุธ! ........................... (อ่านต่อ) หมายเหตุเชษฐา |