นิยายแฟนตาซีแบบไทย

ศึกหกภพ

โดย เชษฐา

บทที่ 3 อสูรกายภูมิ
(3) พรหมทัต



... ... ...

สนถูกจับยัดเข้าไปในกระสอบทั้งๆที่ยังมีสติสัมปชัญญะ ตอนแรกเขาพยายามดิ้นและร้องแต่ยิ่งดิ้นยิ่งร้องก็ยิ่งถูกอสูรเตะต่อยจนต้องสงบไปเอง และยอมให้พวกมันหิ้วเขาในกระสอบนั้นออกเดินทางไป

คำนวณจากการระยะเวลา ความเคลื่อนไหว การดมกลิ่น และฟังเสียง สนพบว่าพวกมันกำลังพาเขากลับไปยังอาคารปูนใจกลางพื้นที่โครงการชีวาวุธ!

หรือว่าคีตาให้คนของพ่อมาพาเขากลับไปลงโทษ ให้ตายสิเขาไม่ควรไว้ใจยายนั่นเลย …เดี๋ยว ไม่สิ ไม่ถูกต้องตามเหตุผล หากคีตาจะจับเขา เพียงเข้าไปสั่งอสูรในอาคารตั้งแต่ตอนที่เขายังจากไปไม่ไกลจะง่ายกว่านี้มาก

ถ้าอย่างนั้นอสูรเหล่านี้จะจับเขาไปทำไม? หรือว่าเป็นอสูรตนที่เขาทำร้ายมีความแค้นจึงให้พรรคพวกมาไล่ตาม อย่างนั้นไม่ดีแน่ สนร้อนใจแต่พยายามสงบสติอารมณ์ลง อย่างน้อยเวลานี้ต้องไม่ลนลาน รอดูจุดประสงค์ของพวกมันก่อนค่อยคิดอ่านหาทางแก้ไข

เวลาผ่านไปสักครู่ดูเหมือนมันจะเข้าไปในอาคารแล้ว สนพยายามจำทิศทางการเดินวาดเป็นแผนผังของอาคารไว้ในใจคร่าวๆ หลังจากเดินวกวนอยู่พักหนึ่งในที่สุดกระสอบที่บรรจุเขาอยู่ก็ถูกทิ้งโครมลงกับพื้นให้มีความเจ็บปวดไม่น้อย

“ปล่อยมันออกมา” เสียงผู้หญิงนางหนึ่งสั่งมาจากระยะห่างพอสมควร

ปากกระสอบจึงถูกเปิดให้สนออกมาอย่างทุลักทุเล
ปรากฏว่าเขากำลังอยู่ในห้องเล็กๆที่มีการประดับตกแต่งอย่างสวยงามห้องหนึ่ง เบื้องหน้ามีสตรีในเครื่องแต่งกายชาววังกำลังนั่งอยู่บนแท่นประทับ หน้าตานางจัดว่าสวย แต่มีตาดุ กิริยาท่าทางทรงอำนาจบารมี ดูเหมือนนางจะมีศักดิ์เหนือกว่าทุกคนในที่นั้น

“ท่านเป็นใคร?” สนถาม
ผู้หญิงคนนั้นกล่าวว่า “ข้าชื่อประไพวดีเป็นพี่ของคีตา เจ้าคือคนที่ลักพาน้องสาวข้าไปใช่ไหม”

สนมองรอบข้างเห็นทหารอสูรหลายตนล้อมรอบเขาอยู่ในท่าระวังคุ้มกันเต็มที่ แสดงว่าประไพวดีคงไม่มีฤทธิ์นัก “ถ้าน้องท่านคือคีตาก็ใช่ แต่ในข้อที่มีเจตนาร้ายนั้นข้า…”
“คีตาเล่าให้ข้าฟังหมดแล้ว ข้ารู้แม้กระทั่งที่เจ้ามีชื่อจริงว่าสนด้วย”
“ถ้าอย่างนั้นท่านจับข้ามาทำไม?”

“เพราะตั้งแต่โบราณ ระเบียบของเราคือต้องฆ่ามนุษย์ทุกคนที่ล่วงล้ำมาในเขตอสูรโดยไม่แจ้งล่วงหน้าก่อน” ประไพวดีกล่าวอย่างเย็นชา

เอาล่ะสิ สนอุทานในใจ “…ไม่มีเหตุผล ข้าจะไปแจ้งใครได้ล่ะ อีกอย่างทำไมต้องฆ่าเฉพาะมนุษย์ด้วย”
“มนุษย์นับถือบูชาพวกเทพ มีความสัมพันธ์กับพวกเทพแน่นแฟ้น หลายคนอาจเป็นสายลับให้เทพเราต้องกำจัด”

ขณะที่สนยังนึกทางแก้ไขตนไม่ออก ประไพวดีก็กล่าวอีกว่า “ที่พูดมาเพียงให้เจ้าทราบถึงสถานะตนเองเท่านั้น เจ้าคงสงสัยทำไมเราไม่ฆ่าเจ้าทันที นั่นเพราะอสูรที่เจ้าทำร้ายเมื่อตอนที่พาน้องสาวข้าไปนั้น เราสืบทราบภายหลังว่ามันหน้ามืดคิดทำมิดีมิร้ายกับน้องข้าจริง เจ้าจึงเท่ากับช่วยนางโดยไม่ตั้งใจ” นางเชิดหน้าเล็กน้อย “หากผิดไปจากนี้แล้วอย่าหมายว่าเราจะปล่อยเจ้าให้มีชีวิตรอดเลย”

… อย่างนั้นหรือ คิดอยู่แล้วว่าบริวารผู้ชายมาแอบดูเจ้านายผู้หญิงอาบน้ำมันผิดปกติอยู่
“แล้วที่ท่านจับข้ามาที่นี่…”

“ข้าจับเจ้ามาที่นี่เพราะการที่เจ้าช่วยน้องสาวข้าไม่ใช่เหตุผลที่จะไม่สงสัยว่าเจ้าเป็นสายลับเทพน่ะสิ บอกมาก่อนว่าเจ้าเข้ามาในหิมพานต์นี้ทำไม?”

นางถามกระทันหันจนสนยังนึกคำโกหกไม่ทัน แต่เขาคิดว่าคำหลอกลวงที่ดีควรจะมีความจริงสักส่วนหนึ่งจึงตอบไปว่า “เอ่อ… อาจารย์ใช้ให้ข้ามาหาของป่าแปลกๆน่ะ”

ยังไม่ทันที่ประไพวดีจะปลงใจว่าควรเชื่อหรือไม่อสูรตนหนึ่งก็มาหานางแล้วยื่นของเล็กๆบางอย่างให้ “นี่คือของที่เราค้นได้จากสัมภาระของมันครับ”
สนคิดในใจ ห่อผ้าของเราคงถูกมันเอามาด้วย แต่ในนั้นไม่มีอะไรนอกจากเสื้อชุดหนึ่งกับอาหารแห้งนี่ หรือว่าจะเป็น…

ประไพวดีรับของนั้นมาพิจารณาดูสักครู่ก็ต้องตกใจถึงกับใบหน้าถอดสี “นี่มัน… แหวนวงนี้ เจ้าได้แหวนวงนี้มาจากไหน!!!” นางถามสนด้วยเสียงอันดัง

สนนึกเอะใจอยู่บ้างแต่ตอบไปตามตรงว่า “ข้าค้นได้จากตัวของกาลกัญชกาสูรตนหนึ่งที่ถูกอาจารย์ข้าสังหาร มันเป็นแหวนของพวกอสูรหรือ?”
“โกหก แหวนนี้ทำด้วยนิลบริวรอันหาค่ามิได้มีหรือจะไปอยู่กับพวกกาลกัญชากาสูร มันคือแหวนประจำตำแหน่งของพรหมทัตอดีตเจ้าครองเมืองอุตรกุรุต่างหาก!”

บัดนี้สนค่อยตกใจเช่นกัน “พรหมทัต! จริงๆเมื่อก่อนมีอสูรชื่อนี้เคยให้แหวนข้า แต่ข้าฝากเพื่อนไว้แทน”
“อะไรนะ ไหนเจ้าลองเล่าเรื่องมาซิ” ประไพวดีกล่าวอย่างร้อนใจ
สนจึงเล่าเรื่องทั้งหมดตั้งแต่เขาพบกับพรหมทัตและออกจากหมู่บ้านนิษาท ตลอดจนไปพบแหวนอีกทีเมื่อได้ค้นตัวกาลกัญชกาสูร เล่าถึงตอนหลังประไพวดีที่ฟังอยู่อย่างใจจดใจจ่อจึงค่อยๆสงบลง “…ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง” นางกล่าว

แต่สนยังมีความวิตกอยู่ “นี่แสดงว่ากาลกัญชกาสูรนั่นแย่งแหวนมาจากเพื่อนข้า …แปลว่าเพื่อนข้าถูกมันทำอันตรายหรือ?”

ประไพวดีกล่าวว่า “ไม่ใช่หรอก จากที่ข้าฟัง กาลกัญชกาสูรตนนั้นต้องเป็นคนของอาโปตะไลพ่อข้าซึ่งกำลังตามจับสัตว์ประหลาดที่แหกกรงหนีมา พ่อข้ามีคำสั่งเด็ดขาด ห้ามพวกมันทำร้ายมนุษย์เพื่อป้องกันไม่ให้มีเรื่องราวใหญ่โตภายหลัง นี่คงเพราะเพื่อนเจ้ากลัวที่จะรักษาแหวนอสูรไว้กับตัวจึงได้โยนทิ้ง และเผอิญมีพวกกาลกัญชกาสูรมาพบ เห็นเป็นของสวยดีจึงลอบเก็บแทน พวกนี้ปัญญาต่ำย่อมไม่รู้ว่าสิ่งที่มันเก็บมามีค่าเพียงใด”

สายตาที่นางมองแหวนนั้นแฝงแววเศร้าอยู่บ้าง “ตอนที่พรหมทัตจากไปจากภพอสูร สมบัติใดๆเขาไม่เอาติดตัวไปสักอย่างเว้นแต่แหวนนี้ซึ่งเป็นความภูมิใจชั่วชีวิต นึกไม่ถึงบัดนี้แม้แต่เยื่อใยสุดท้ายเขาก็ตัดทิ้งเสียแล้ว…”

“ทำไมท่านถึงรู้เรื่องเกี่ยวกับพรหมทัตมากเช่นนี้?”

“กงการอะไรของเจ้า!” ประไพวดีตวาด

แต่หลังจากนางนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ตอบออกมาเองว่า “ก็ได้ ข้าจะบอก… ข้าเป็นภรรยาของพรหมทัตเอง”

ประไพวดีกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสั่นๆว่า “เพราะนักบวชบ้าคนเดียว เขาจากข้ามาโดยไม่ร่ำลาด้วยซ้ำ ข้าเฝ้ารอเขามาหลายต่อหลายปี อีกไม่นานก็จะครบห้าปีแล้ว เมื่อนั้นหากเขายังไม่ปรากฏตัวกลับมา ทางราชการจะถือว่าเขาตายและข้าก็จะต้องถูกจับเข้าวังเป็นม่ายหลวง ชาตินี้อย่าหมายมีอิสระได้อีก …เฮ้อ เพื่อติดตามนักบวชไปบรรลุหลักธรรมบ้าๆอะไรนั่น เขาช่างไม่เห็นใจเมียของเขาบ้างเลย…”

สนนึกสงสาร แต่เขาไม่อยู่ในสถานะที่จะสามารถปลอบใจนางจึงเพียงแต่นิ่งอยู่ หากพริบตานั้นเองเหมือนประไพวดีจะฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ นางกล่าวกับสนด้วยความกระตือรือร้นว่า “เดี๋ยว! เจ้าเป็นมนุษย์สามารถเข้ามาในเขตนี้ได้แสดงว่ามีดีอยู่บ้าง เจ้าฝึกฤทธิ์แล้วใช่ไหม?”

สนไม่รู้ว่าทำไมประไพวดีจึงเปลี่ยนเรื่องพูดอย่างรวดเร็วแต่เขาก็ผงกหัวเบาๆ

หญิงอสูรดูมีท่าทีดีใจยิ่งนัก โบกมือให้พวกอสูรตนอื่นๆออกจากห้องนั้น แล้วหยิบรูปๆหนึ่งขึ้นมาให้สนดู
รูปนั้นเป็นรูปของพรหมทัตเมื่อครั้งยังเป็นเจ้าเมือง ตลอดร่างสวมใส่เสื้อเกราะเครื่องทรงที่ประดับอย่างวิจิตรดูองอาจสง่างาม นอกจากนั้นพญาอสูรในรูปยังมีหนวดเคราดกดำรกครึ้ม ข้อนี้สนพึ่งทราบเพราะตอนที่พบกันที่หมู่บ้านนิษาทนั้น ทั้งหนวดทั้งผมพรหมทัตถูกปลงทิ้งหมดสิ้นแล้ว

“…ท่านเอารูปมาให้ข้าดูทำไม?” สนถาม

“ไหนเจ้าลองแปลงกายเป็นอย่างในรูปซิ” ประไพวดีสั่งหน้าตาเฉย

“เฮ้ย จะทำได้อย่างไร!”

“โง่จริง หรือเจ้าแปลงกายไม่เป็น”

สนผงกหัวเบาๆอีกครา

ประไพวดีมีทีท่าเดือดดาลขึ้นมาทันที “อะไรกัน แปลงกายแค่นี้ยังทำไม่ได้แล้วยังมีหน้ารุกล้ำเข้ามาในป่าหิมพานต์อีก นี่เจ้าบ้าหรือเปล่า!?”
ความจริงก็ไม่ได้อยากมานักหรอก ถ้าไม่ใช่คำสั่งอาจารย์ป่านนี้ข้ากลับหมู่บ้านไปนานแล้ว สนตอบว่า “ข้าพึ่งฝึกฤทธิ์ยังไม่ถึงปี อย่าว่าแต่แปลงกายเลย แค่รู้ว่าฝึกแล้วจะแปลงได้ยังไม่รู้มาก่อนด้วยซ้ำ”

ประไพวดีนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง
นางถามอีกว่า “อย่างนั้นเจ้ามีตาทิพย์หรือยัง?”

“…มีแล้ว”

“อืม… ฝึกไม่ถึงปีก็มีตาทิพย์แล้ว แสดงว่ามีปัญญาอยู่บ้าง เอาเถอะข้าจะให้เจ้าพบคนๆหนึ่ง” นางเดินออกไปที่ประตูห้องแล้วสั่งคำสั่งบางอย่างกับทหารรับใช้ที่เฝ้าอยู่นอกประตู

สักครู่ทหารก็ตามคนๆหนึ่งมาที่ห้อง ผู้มาใหม่เป็นอสูรวัยกลางคน สังเกตจากการแต่งกายอันภูมิฐานคงเป็นพวกมียศบ้าง
“ฤทธิกัน เจ้าเป็นผู้มีฤทธิ์สูงสุดในที่นี้ ลองดูซิว่าจะสามารถเปลี่ยนร่างของเจ้านี่ให้กลายเป็นเหมือนพระยาพรหมทัตได้หรือไม่?” ประไพวดีกล่าว สรรพนาม‘เจ้านี่’ในคำพูดของนางย่อมหมายถึงสนนั่นเอง

ฤทธิกันมีท่าทีลังเลเล็กน้อยยกมือขึ้นปาดเหงื่อ “…ท่านจะให้ข้าทำเช่นนั้นไปทำไมครับ?”
“ข้าสั่งให้เจ้าทำก็ทำ ไม่ต้องถาม!”
“แต่หากเรื่องนี้ไปถึงหูพ่อท่าน เกรงว่า…”

“ข้าย่อมมีวิธีจัดการของข้าได้ เจ้าเร่งทำเข้าอย่าชักช้า”

ฤทธิกันหันมามองหน้าสน ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง จากนั้นจึงโอมอ่านวิทยาเวทย์มนต์บางอย่างทำให้บรรยากาศดูขลังขึ้นชั่วขณะ
สักครู่ฤทธิกันก็กล่าวว่า “เสร็จแล้ว”

สนไม่เข้าใจในความหมายของเขา เหลียวมองมือตนเอง “เฮ้ย! ทำไมมือข้าใหญ่ขึ้นแบบนี้ เดี๋ยว… เฮ้ย ตัวข้าด้วย!” เขาเริ่มกลัว ค่อยๆเอามือลูบหน้าตนเอง เป็นอย่างที่คิด หน้าเขามีหนวดมีเครามีร่องลึกรอยหยักเหมือนกับพรหมทัตในรูปไม่มีผิด

“!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”

“เจ้าบ้า ทำเป็นตื่นตกใจไปได้” ฤทธิกันดุ
“มะ… มันเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร!!?” สนร้อง
“นี่เป็นวิชาแปลงกาย หรือเพียงเท่านี้ก็ไม่รู้จัก”

“แต่… แต่ร่างจริงของข้าล่ะ?”

“เฮอะ เจ้าเข้าใจว่ากายเนื้อของเจ้าเป็นของจริงรึ จะบอกให้ ในโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นแก่นสารของจริงหรอก ทุกอย่างเป็นเพียงความฝัน เจ้าเคยได้ยินตำนานเรื่องพระพรหมสร้างโลกด้วยการหลับฝันไหม?” ฤทธิกันกล่าว “ไม่ว่าจะเป็นอาคารแห่งนี้ ผืนดินผืนฟ้า หรือแม้แต่ร่างกายของเจ้าและข้าก็ล้วนแต่เป็นจินตนาการในฝันของพระพรหมทั้งสิ้น และด้วยหลักการเดียวกันที่ว่ามโนคือพลังความคิดที่อาจบันดาลสิ่งต่างๆให้เป็นไปได้นี่เอง หากเราฝึกมโนให้มีฤทธิ์มากพอจึงย่อมจินตนาการเสกให้สิ่งต่างๆเป็นอย่างใจได้เช่นกัน”

“อย่างนั้นร่างข้าจะเปลี่ยนไปตลอดการหรือ!?”

“ร่างเก่าของเจ้าก็ยังอยู่ เพราะร่างเก่าของเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของจินตนาการอันยิ่งใหญ่ของพระพรหมซึ่งย่อมมีอำนาจมากกว่าจินตนาการของข้า ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไปและมนต์ข้าเสื่อมลง เจ้าย่อมกลับคืนสู่สภาพเดิม”

ประไพวดีกล่าวว่า “เอาเถอะ อย่ามัวพักอธิบายเลย พวกมนุษย์ไม่ค่อยได้ฝึกฤทธิ์ในทางแปรสภาพก็ไม่แปลกที่มันจะประหลาดใจ ขอบคุณเจ้ามาก เรื่องการส่งเงินให้โครงการนั้นเอาไว้ข้าจะจัดการให้ เจ้าไปได้แล้วละ”

ฤทธิกันแสยะยิ้มขึ้นเล็กน้อย เขาทำความเคารพประไพวดีแล้วจึงออกจากห้องไป

“อะไรน่ะ?” สนถามขึ้น

“ฤทธิกันเป็นผู้รับผิดชอบโครงการชีวาวุธ เมื่อพ่อข้าตัดเงินช่วยเหลือมันจึงลำบากไม่น้อย บัดนี้ข้าค่อยสัญญาจะสนับสนุนรื้อฟื้นโครงการขึ้นมาใหม่ ฤทธิกันย่อมดีใจเป็นธรรมดา”
“ไม่ใช่ ข้าหมายถึงท่านเปลี่ยนร่างข้าเป็นพรหมทัตไปทำไม!?” เขากล่าวอย่างมีโมโห

ประไพวดีตอบด้วยเสียงเรียบเฉย “นั่นเพราะเจ้าเป็นคนมาจากถิ่นอื่นที่ไม่มีใครรู้จัก หากเจ้าปลอมตัวเป็นพรหมทัตใครๆก็จะสืบสาวประวัติเจ้าไม่ได้ นอกจากนั้นเจ้ายังมีแหวนของพรหมทัตเป็นหลักฐานและเคยเห็นลักษณะของพรหมทัตมาก่อน จึงนับว่าเหมาะที่จะปลอมเป็นเขามากที่สุด”

“แล้วทำไมท่านถึงคิดว่าข้าจะยอมปลอมตัวให้ท่านล่ะ!?”

“เพราะที่นี่ข้ามีอำนาจ และข้าไม่อยากเป็นม่ายหลวงเพราะสามีเลวนั่นไม่ยอมปรากฏตัว
หากเจ้าขัดขืนข้าไม่เชื่อฟังข้าก็จะฆ่าเจ้า
หากเจ้าแอบหนีไปกลางคันข้าก็จะฆ่าเจ้า
หากเจ้าปลอมได้ไม่เหมือนพอข้าก็จะฆ่าเจ้า
ดังนั้นเจ้ามีทางเลือกไม่มากนักหรอก จงตั้งใจเป็นพรหมทัตให้ข้าไปชั่วคราวเถิด”

“…” สนเห็นจริงตามคำของประไพวดี แม้ตัวนางเขาจะดูออกว่ามีฤทธิ์ไม่มาก แต่พวกอสูรข้างนอกดูท่าทางจะเชื่อฟังนางทุกตน เหตุผลเดียวที่นางไม่อาจจะฆ่าเขาได้คือนางเองไม่อยากฆ่าเองเท่านั้น

เขาค่อยคิด ความจริงอย่างนี้ก็ไม่ใช่ว่าเลวร้ายนัก หากเขาเป็นพรหมทัต อย่างน้อยยังมีโอกาสเข้าไปในวังอสูรและเข้าใกล้กระบองโลหะวิเชียรมากขึ้นอีกก้าวหนึ่ง

ประไพวดีเห็นสนนิ่งไปก็รู้ว่าเขาเข้าใจสถานการณ์แล้วจึงกล่าวว่า “แต่เจ้าไม่ต้องวิตกไปหรอก ข้าบอกแล้วว่ามันเป็นการปลอมตัวชั่วคราว เอาไว้เวลาผ่านไประยะหนึ่งจนสถานะของข้าปลอดภัยเจ้าก็ไปได้ ตกลงไหม”

เมื่อทั้งสองฝ่ายมีความประสงค์ตรงกันพันธสัญญาจึงลุล่วงแต่แรก สนแกล้งบ่นอุบอิบเล็กน้อยให้ดูไม่น่าสงสัยแล้วจึงตกลงตามคำของประไพวดี

........................... (อ่านต่อ)

หมายเหตุ

ritikan.jpg
เชษฐา

กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป 1