... ... ... สนถูกจับยัดเข้าไปในกระสอบทั้งๆที่ยังมีสติสัมปชัญญะ ตอนแรกเขาพยายามดิ้นและร้องแต่ยิ่งดิ้นยิ่งร้องก็ยิ่งถูกอสูรเตะต่อยจนต้องสงบไปเอง และยอมให้พวกมันหิ้วเขาในกระสอบนั้นออกเดินทางไป คำนวณจากการระยะเวลา ความเคลื่อนไหว การดมกลิ่น และฟังเสียง สนพบว่าพวกมันกำลังพาเขากลับไปยังอาคารปูนใจกลางพื้นที่โครงการชีวาวุธ! หรือว่าคีตาให้คนของพ่อมาพาเขากลับไปลงโทษ ให้ตายสิเขาไม่ควรไว้ใจยายนั่นเลย เดี๋ยว ไม่สิ ไม่ถูกต้องตามเหตุผล หากคีตาจะจับเขา เพียงเข้าไปสั่งอสูรในอาคารตั้งแต่ตอนที่เขายังจากไปไม่ไกลจะง่ายกว่านี้มาก ถ้าอย่างนั้นอสูรเหล่านี้จะจับเขาไปทำไม? หรือว่าเป็นอสูรตนที่เขาทำร้ายมีความแค้นจึงให้พรรคพวกมาไล่ตาม อย่างนั้นไม่ดีแน่ สนร้อนใจแต่พยายามสงบสติอารมณ์ลง อย่างน้อยเวลานี้ต้องไม่ลนลาน รอดูจุดประสงค์ของพวกมันก่อนค่อยคิดอ่านหาทางแก้ไข เวลาผ่านไปสักครู่ดูเหมือนมันจะเข้าไปในอาคารแล้ว สนพยายามจำทิศทางการเดินวาดเป็นแผนผังของอาคารไว้ในใจคร่าวๆ หลังจากเดินวกวนอยู่พักหนึ่งในที่สุดกระสอบที่บรรจุเขาอยู่ก็ถูกทิ้งโครมลงกับพื้นให้มีความเจ็บปวดไม่น้อย ปล่อยมันออกมา เสียงผู้หญิงนางหนึ่งสั่งมาจากระยะห่างพอสมควร ปากกระสอบจึงถูกเปิดให้สนออกมาอย่างทุลักทุเล ปรากฏว่าเขากำลังอยู่ในห้องเล็กๆที่มีการประดับตกแต่งอย่างสวยงามห้องหนึ่ง เบื้องหน้ามีสตรีในเครื่องแต่งกายชาววังกำลังนั่งอยู่บนแท่นประทับ หน้าตานางจัดว่าสวย แต่มีตาดุ กิริยาท่าทางทรงอำนาจบารมี ดูเหมือนนางจะมีศักดิ์เหนือกว่าทุกคนในที่นั้น ท่านเป็นใคร? สนถาม ผู้หญิงคนนั้นกล่าวว่า ข้าชื่อประไพวดีเป็นพี่ของคีตา เจ้าคือคนที่ลักพาน้องสาวข้าไปใช่ไหม สนมองรอบข้างเห็นทหารอสูรหลายตนล้อมรอบเขาอยู่ในท่าระวังคุ้มกันเต็มที่ แสดงว่าประไพวดีคงไม่มีฤทธิ์นัก ถ้าน้องท่านคือคีตาก็ใช่ แต่ในข้อที่มีเจตนาร้ายนั้นข้า คีตาเล่าให้ข้าฟังหมดแล้ว ข้ารู้แม้กระทั่งที่เจ้ามีชื่อจริงว่าสนด้วย ถ้าอย่างนั้นท่านจับข้ามาทำไม? เพราะตั้งแต่โบราณ ระเบียบของเราคือต้องฆ่ามนุษย์ทุกคนที่ล่วงล้ำมาในเขตอสูรโดยไม่แจ้งล่วงหน้าก่อน ประไพวดีกล่าวอย่างเย็นชา เอาล่ะสิ สนอุทานในใจ ไม่มีเหตุผล ข้าจะไปแจ้งใครได้ล่ะ อีกอย่างทำไมต้องฆ่าเฉพาะมนุษย์ด้วย มนุษย์นับถือบูชาพวกเทพ มีความสัมพันธ์กับพวกเทพแน่นแฟ้น หลายคนอาจเป็นสายลับให้เทพเราต้องกำจัด ขณะที่สนยังนึกทางแก้ไขตนไม่ออก ประไพวดีก็กล่าวอีกว่า ที่พูดมาเพียงให้เจ้าทราบถึงสถานะตนเองเท่านั้น เจ้าคงสงสัยทำไมเราไม่ฆ่าเจ้าทันที นั่นเพราะอสูรที่เจ้าทำร้ายเมื่อตอนที่พาน้องสาวข้าไปนั้น เราสืบทราบภายหลังว่ามันหน้ามืดคิดทำมิดีมิร้ายกับน้องข้าจริง เจ้าจึงเท่ากับช่วยนางโดยไม่ตั้งใจ นางเชิดหน้าเล็กน้อย หากผิดไปจากนี้แล้วอย่าหมายว่าเราจะปล่อยเจ้าให้มีชีวิตรอดเลย อย่างนั้นหรือ คิดอยู่แล้วว่าบริวารผู้ชายมาแอบดูเจ้านายผู้หญิงอาบน้ำมันผิดปกติอยู่ แล้วที่ท่านจับข้ามาที่นี่ ข้าจับเจ้ามาที่นี่เพราะการที่เจ้าช่วยน้องสาวข้าไม่ใช่เหตุผลที่จะไม่สงสัยว่าเจ้าเป็นสายลับเทพน่ะสิ บอกมาก่อนว่าเจ้าเข้ามาในหิมพานต์นี้ทำไม? นางถามกระทันหันจนสนยังนึกคำโกหกไม่ทัน แต่เขาคิดว่าคำหลอกลวงที่ดีควรจะมีความจริงสักส่วนหนึ่งจึงตอบไปว่า เอ่อ อาจารย์ใช้ให้ข้ามาหาของป่าแปลกๆน่ะ ยังไม่ทันที่ประไพวดีจะปลงใจว่าควรเชื่อหรือไม่อสูรตนหนึ่งก็มาหานางแล้วยื่นของเล็กๆบางอย่างให้ นี่คือของที่เราค้นได้จากสัมภาระของมันครับ สนคิดในใจ ห่อผ้าของเราคงถูกมันเอามาด้วย แต่ในนั้นไม่มีอะไรนอกจากเสื้อชุดหนึ่งกับอาหารแห้งนี่ หรือว่าจะเป็น ประไพวดีรับของนั้นมาพิจารณาดูสักครู่ก็ต้องตกใจถึงกับใบหน้าถอดสี นี่มัน แหวนวงนี้ เจ้าได้แหวนวงนี้มาจากไหน!!! นางถามสนด้วยเสียงอันดัง สนนึกเอะใจอยู่บ้างแต่ตอบไปตามตรงว่า ข้าค้นได้จากตัวของกาลกัญชกาสูรตนหนึ่งที่ถูกอาจารย์ข้าสังหาร มันเป็นแหวนของพวกอสูรหรือ? โกหก แหวนนี้ทำด้วยนิลบริวรอันหาค่ามิได้มีหรือจะไปอยู่กับพวกกาลกัญชากาสูร มันคือแหวนประจำตำแหน่งของพรหมทัตอดีตเจ้าครองเมืองอุตรกุรุต่างหาก! บัดนี้สนค่อยตกใจเช่นกัน พรหมทัต! จริงๆเมื่อก่อนมีอสูรชื่อนี้เคยให้แหวนข้า แต่ข้าฝากเพื่อนไว้แทน อะไรนะ ไหนเจ้าลองเล่าเรื่องมาซิ ประไพวดีกล่าวอย่างร้อนใจ สนจึงเล่าเรื่องทั้งหมดตั้งแต่เขาพบกับพรหมทัตและออกจากหมู่บ้านนิษาท ตลอดจนไปพบแหวนอีกทีเมื่อได้ค้นตัวกาลกัญชกาสูร เล่าถึงตอนหลังประไพวดีที่ฟังอยู่อย่างใจจดใจจ่อจึงค่อยๆสงบลง ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง นางกล่าว แต่สนยังมีความวิตกอยู่ นี่แสดงว่ากาลกัญชกาสูรนั่นแย่งแหวนมาจากเพื่อนข้า แปลว่าเพื่อนข้าถูกมันทำอันตรายหรือ? ประไพวดีกล่าวว่า ไม่ใช่หรอก จากที่ข้าฟัง กาลกัญชกาสูรตนนั้นต้องเป็นคนของอาโปตะไลพ่อข้าซึ่งกำลังตามจับสัตว์ประหลาดที่แหกกรงหนีมา พ่อข้ามีคำสั่งเด็ดขาด ห้ามพวกมันทำร้ายมนุษย์เพื่อป้องกันไม่ให้มีเรื่องราวใหญ่โตภายหลัง นี่คงเพราะเพื่อนเจ้ากลัวที่จะรักษาแหวนอสูรไว้กับตัวจึงได้โยนทิ้ง และเผอิญมีพวกกาลกัญชกาสูรมาพบ เห็นเป็นของสวยดีจึงลอบเก็บแทน พวกนี้ปัญญาต่ำย่อมไม่รู้ว่าสิ่งที่มันเก็บมามีค่าเพียงใด สายตาที่นางมองแหวนนั้นแฝงแววเศร้าอยู่บ้าง ตอนที่พรหมทัตจากไปจากภพอสูร สมบัติใดๆเขาไม่เอาติดตัวไปสักอย่างเว้นแต่แหวนนี้ซึ่งเป็นความภูมิใจชั่วชีวิต นึกไม่ถึงบัดนี้แม้แต่เยื่อใยสุดท้ายเขาก็ตัดทิ้งเสียแล้ว ทำไมท่านถึงรู้เรื่องเกี่ยวกับพรหมทัตมากเช่นนี้? กงการอะไรของเจ้า! ประไพวดีตวาด แต่หลังจากนางนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ตอบออกมาเองว่า ก็ได้ ข้าจะบอก ข้าเป็นภรรยาของพรหมทัตเอง ประไพวดีกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสั่นๆว่า เพราะนักบวชบ้าคนเดียว เขาจากข้ามาโดยไม่ร่ำลาด้วยซ้ำ ข้าเฝ้ารอเขามาหลายต่อหลายปี อีกไม่นานก็จะครบห้าปีแล้ว เมื่อนั้นหากเขายังไม่ปรากฏตัวกลับมา ทางราชการจะถือว่าเขาตายและข้าก็จะต้องถูกจับเข้าวังเป็นม่ายหลวง ชาตินี้อย่าหมายมีอิสระได้อีก เฮ้อ เพื่อติดตามนักบวชไปบรรลุหลักธรรมบ้าๆอะไรนั่น เขาช่างไม่เห็นใจเมียของเขาบ้างเลย สนนึกสงสาร แต่เขาไม่อยู่ในสถานะที่จะสามารถปลอบใจนางจึงเพียงแต่นิ่งอยู่ หากพริบตานั้นเองเหมือนประไพวดีจะฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ นางกล่าวกับสนด้วยความกระตือรือร้นว่า เดี๋ยว! เจ้าเป็นมนุษย์สามารถเข้ามาในเขตนี้ได้แสดงว่ามีดีอยู่บ้าง เจ้าฝึกฤทธิ์แล้วใช่ไหม? สนไม่รู้ว่าทำไมประไพวดีจึงเปลี่ยนเรื่องพูดอย่างรวดเร็วแต่เขาก็ผงกหัวเบาๆ หญิงอสูรดูมีท่าทีดีใจยิ่งนัก โบกมือให้พวกอสูรตนอื่นๆออกจากห้องนั้น แล้วหยิบรูปๆหนึ่งขึ้นมาให้สนดู รูปนั้นเป็นรูปของพรหมทัตเมื่อครั้งยังเป็นเจ้าเมือง ตลอดร่างสวมใส่เสื้อเกราะเครื่องทรงที่ประดับอย่างวิจิตรดูองอาจสง่างาม นอกจากนั้นพญาอสูรในรูปยังมีหนวดเคราดกดำรกครึ้ม ข้อนี้สนพึ่งทราบเพราะตอนที่พบกันที่หมู่บ้านนิษาทนั้น ทั้งหนวดทั้งผมพรหมทัตถูกปลงทิ้งหมดสิ้นแล้ว ท่านเอารูปมาให้ข้าดูทำไม? สนถาม ไหนเจ้าลองแปลงกายเป็นอย่างในรูปซิ ประไพวดีสั่งหน้าตาเฉย เฮ้ย จะทำได้อย่างไร! โง่จริง หรือเจ้าแปลงกายไม่เป็น สนผงกหัวเบาๆอีกครา ประไพวดีมีทีท่าเดือดดาลขึ้นมาทันที อะไรกัน แปลงกายแค่นี้ยังทำไม่ได้แล้วยังมีหน้ารุกล้ำเข้ามาในป่าหิมพานต์อีก นี่เจ้าบ้าหรือเปล่า!? ความจริงก็ไม่ได้อยากมานักหรอก ถ้าไม่ใช่คำสั่งอาจารย์ป่านนี้ข้ากลับหมู่บ้านไปนานแล้ว สนตอบว่า ข้าพึ่งฝึกฤทธิ์ยังไม่ถึงปี อย่าว่าแต่แปลงกายเลย แค่รู้ว่าฝึกแล้วจะแปลงได้ยังไม่รู้มาก่อนด้วยซ้ำ ประไพวดีนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง นางถามอีกว่า อย่างนั้นเจ้ามีตาทิพย์หรือยัง? มีแล้ว อืม ฝึกไม่ถึงปีก็มีตาทิพย์แล้ว แสดงว่ามีปัญญาอยู่บ้าง เอาเถอะข้าจะให้เจ้าพบคนๆหนึ่ง นางเดินออกไปที่ประตูห้องแล้วสั่งคำสั่งบางอย่างกับทหารรับใช้ที่เฝ้าอยู่นอกประตู สักครู่ทหารก็ตามคนๆหนึ่งมาที่ห้อง ผู้มาใหม่เป็นอสูรวัยกลางคน สังเกตจากการแต่งกายอันภูมิฐานคงเป็นพวกมียศบ้าง ฤทธิกัน เจ้าเป็นผู้มีฤทธิ์สูงสุดในที่นี้ ลองดูซิว่าจะสามารถเปลี่ยนร่างของเจ้านี่ให้กลายเป็นเหมือนพระยาพรหมทัตได้หรือไม่? ประไพวดีกล่าว สรรพนามเจ้านี่ในคำพูดของนางย่อมหมายถึงสนนั่นเอง ฤทธิกันมีท่าทีลังเลเล็กน้อยยกมือขึ้นปาดเหงื่อ ท่านจะให้ข้าทำเช่นนั้นไปทำไมครับ? ข้าสั่งให้เจ้าทำก็ทำ ไม่ต้องถาม! แต่หากเรื่องนี้ไปถึงหูพ่อท่าน เกรงว่า ข้าย่อมมีวิธีจัดการของข้าได้ เจ้าเร่งทำเข้าอย่าชักช้า ฤทธิกันหันมามองหน้าสน ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง จากนั้นจึงโอมอ่านวิทยาเวทย์มนต์บางอย่างทำให้บรรยากาศดูขลังขึ้นชั่วขณะ สักครู่ฤทธิกันก็กล่าวว่า เสร็จแล้ว สนไม่เข้าใจในความหมายของเขา เหลียวมองมือตนเอง เฮ้ย! ทำไมมือข้าใหญ่ขึ้นแบบนี้ เดี๋ยว เฮ้ย ตัวข้าด้วย! เขาเริ่มกลัว ค่อยๆเอามือลูบหน้าตนเอง เป็นอย่างที่คิด หน้าเขามีหนวดมีเครามีร่องลึกรอยหยักเหมือนกับพรหมทัตในรูปไม่มีผิด !!!!!!!!!!!!!!!!!!!! เจ้าบ้า ทำเป็นตื่นตกใจไปได้ ฤทธิกันดุ มะ มันเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร!!? สนร้อง นี่เป็นวิชาแปลงกาย หรือเพียงเท่านี้ก็ไม่รู้จัก แต่ แต่ร่างจริงของข้าล่ะ? เฮอะ เจ้าเข้าใจว่ากายเนื้อของเจ้าเป็นของจริงรึ จะบอกให้ ในโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นแก่นสารของจริงหรอก ทุกอย่างเป็นเพียงความฝัน เจ้าเคยได้ยินตำนานเรื่องพระพรหมสร้างโลกด้วยการหลับฝันไหม? ฤทธิกันกล่าว ไม่ว่าจะเป็นอาคารแห่งนี้ ผืนดินผืนฟ้า หรือแม้แต่ร่างกายของเจ้าและข้าก็ล้วนแต่เป็นจินตนาการในฝันของพระพรหมทั้งสิ้น และด้วยหลักการเดียวกันที่ว่ามโนคือพลังความคิดที่อาจบันดาลสิ่งต่างๆให้เป็นไปได้นี่เอง หากเราฝึกมโนให้มีฤทธิ์มากพอจึงย่อมจินตนาการเสกให้สิ่งต่างๆเป็นอย่างใจได้เช่นกัน อย่างนั้นร่างข้าจะเปลี่ยนไปตลอดการหรือ!? ร่างเก่าของเจ้าก็ยังอยู่ เพราะร่างเก่าของเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของจินตนาการอันยิ่งใหญ่ของพระพรหมซึ่งย่อมมีอำนาจมากกว่าจินตนาการของข้า ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไปและมนต์ข้าเสื่อมลง เจ้าย่อมกลับคืนสู่สภาพเดิม ประไพวดีกล่าวว่า เอาเถอะ อย่ามัวพักอธิบายเลย พวกมนุษย์ไม่ค่อยได้ฝึกฤทธิ์ในทางแปรสภาพก็ไม่แปลกที่มันจะประหลาดใจ ขอบคุณเจ้ามาก เรื่องการส่งเงินให้โครงการนั้นเอาไว้ข้าจะจัดการให้ เจ้าไปได้แล้วละ ฤทธิกันแสยะยิ้มขึ้นเล็กน้อย เขาทำความเคารพประไพวดีแล้วจึงออกจากห้องไป อะไรน่ะ? สนถามขึ้น ฤทธิกันเป็นผู้รับผิดชอบโครงการชีวาวุธ เมื่อพ่อข้าตัดเงินช่วยเหลือมันจึงลำบากไม่น้อย บัดนี้ข้าค่อยสัญญาจะสนับสนุนรื้อฟื้นโครงการขึ้นมาใหม่ ฤทธิกันย่อมดีใจเป็นธรรมดา ไม่ใช่ ข้าหมายถึงท่านเปลี่ยนร่างข้าเป็นพรหมทัตไปทำไม!? เขากล่าวอย่างมีโมโห ประไพวดีตอบด้วยเสียงเรียบเฉย นั่นเพราะเจ้าเป็นคนมาจากถิ่นอื่นที่ไม่มีใครรู้จัก หากเจ้าปลอมตัวเป็นพรหมทัตใครๆก็จะสืบสาวประวัติเจ้าไม่ได้ นอกจากนั้นเจ้ายังมีแหวนของพรหมทัตเป็นหลักฐานและเคยเห็นลักษณะของพรหมทัตมาก่อน จึงนับว่าเหมาะที่จะปลอมเป็นเขามากที่สุด แล้วทำไมท่านถึงคิดว่าข้าจะยอมปลอมตัวให้ท่านล่ะ!? เพราะที่นี่ข้ามีอำนาจ และข้าไม่อยากเป็นม่ายหลวงเพราะสามีเลวนั่นไม่ยอมปรากฏตัว หากเจ้าขัดขืนข้าไม่เชื่อฟังข้าก็จะฆ่าเจ้า หากเจ้าแอบหนีไปกลางคันข้าก็จะฆ่าเจ้า หากเจ้าปลอมได้ไม่เหมือนพอข้าก็จะฆ่าเจ้า ดังนั้นเจ้ามีทางเลือกไม่มากนักหรอก จงตั้งใจเป็นพรหมทัตให้ข้าไปชั่วคราวเถิด สนเห็นจริงตามคำของประไพวดี แม้ตัวนางเขาจะดูออกว่ามีฤทธิ์ไม่มาก แต่พวกอสูรข้างนอกดูท่าทางจะเชื่อฟังนางทุกตน เหตุผลเดียวที่นางไม่อาจจะฆ่าเขาได้คือนางเองไม่อยากฆ่าเองเท่านั้น เขาค่อยคิด ความจริงอย่างนี้ก็ไม่ใช่ว่าเลวร้ายนัก หากเขาเป็นพรหมทัต อย่างน้อยยังมีโอกาสเข้าไปในวังอสูรและเข้าใกล้กระบองโลหะวิเชียรมากขึ้นอีกก้าวหนึ่ง ประไพวดีเห็นสนนิ่งไปก็รู้ว่าเขาเข้าใจสถานการณ์แล้วจึงกล่าวว่า แต่เจ้าไม่ต้องวิตกไปหรอก ข้าบอกแล้วว่ามันเป็นการปลอมตัวชั่วคราว เอาไว้เวลาผ่านไประยะหนึ่งจนสถานะของข้าปลอดภัยเจ้าก็ไปได้ ตกลงไหม เมื่อทั้งสองฝ่ายมีความประสงค์ตรงกันพันธสัญญาจึงลุล่วงแต่แรก สนแกล้งบ่นอุบอิบเล็กน้อยให้ดูไม่น่าสงสัยแล้วจึงตกลงตามคำของประไพวดี ........................... (อ่านต่อ) หมายเหตุเชษฐา |