นิยายแฟนตาซีแบบไทย

ศึกหกภพ

โดย เชษฐา

บทที่ 3 อสูรกายภูมิ
(4) สู่อุตรกุรุ



...

ประไพวดีเห็นสนนิ่งไปก็รู้ว่าเขาเข้าใจสถานการณ์แล้วจึงกล่าวว่า “แต่เจ้าไม่ต้องวิตกไปหรอก ข้าบอกแล้วว่ามันเป็นการปลอมตัวชั่วคราว เอาไว้เวลาผ่านไประยะหนึ่งจนสถานะของข้าปลอดภัยเจ้าก็ไปได้ ตกลงไหม”

เมื่อทั้งสองฝ่ายมีความประสงค์ตรงกันพันธสัญญาจึงลุล่วงแต่แรก สนแกล้งบ่นอุบอิบเล็กน้อยให้ดูไม่น่าสงสัยแล้วจึงตกลงตามคำของประไพวดี

หลังจากนั้นหญิงอสูรจึงให้เขาจดจำข้อมูลต่างๆของพรหมทัตให้แม่นยำ ทั้งยังต้องฝึกทำลักษณะอากัปกิริยาของพระยามารให้ละม้ายเหมือน
“พรหมทัตเป็นคนเงียบ” ประไพวดีกล่าว “นี่เป็นประโยชน์กับเราเพราะทำให้เจ้าไม่จำเป็นต้องสนทนากับคนอื่นมากเกินไป จำไว้ว่าหากพบพวกขุนนางหรือเวลารับแขกให้ทำตนนิ่งๆเข้าไว้ ถ้าเกิดเหตุติดขัดข้าจะรับหน้าเอง”

สุดท้ายนางบอกให้สนทำตัวตามสบายๆเป็นธรรมชาติ อย่าเกร็งค่อยๆเรียนรู้ไปเรื่อยๆ “เรื่องนี้เป็นความลับที่จะเปิดเผยให้ใครรู้ไม่ได้แม้แต่ญาติพี่น้องของข้า และเพื่อไม่ให้ใครสงสัย ข้าจะพาคีตาจะไปคอยท่าอยู่ที่เมืองอุตรกุรุก่อนระยะหนึ่ง จากนั้นให้เจ้าทำเป็นว่าพึ่งกลับมายังภพอสูร ฤทธิกันจะเป็นคนติดต่อเรื่องเข้าเมืองให้กับเจ้า เมื่อถึงเมืองแล้วอย่าลืมตบรางวัลให้มันในนามของพรหมทัตด้วยล่ะ”

ประไพวดีกล่าวย้ำทิ้งท้ายว่า “พวกอสูรในนี้เป็นคนของข้าทั้งนั้น เจ้าวางใจได้ในเรื่องการรักษาความลับ แต่นอกจากนี้แล้วห้ามแสดงพิรุธให้ใครเห็นเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นคนที่เดือดร้อนที่สุดจะเป็นเจ้าเอง”

จากนั้นนางก็จากไป
สนถูกจับให้ซ้อมแสดงเป็นพรหมทัตในห้องของโครงการชีวาวุธอยู่สามสัปดาห์กว่าๆ ฤทธิกันจึงออกมาบอกว่า “ถึงเวลาแล้ว”

ดังนั้นนิษาทหนุ่มในร่างของพญาอสูรจึงต้องแต่งองค์ทรงเครื่องอย่างในรูปภาพ แล้วไปนั่งบนรถม้าหรูหราซึ่งฤทธิกันใช้เวทย์มนต์บางประการทำให้พวกเขาสามารถเดินทางได้อย่างรวดเร็วมุ่งสู่เมืองหลวงของอสูรกายภูมิ

เมืองอุตรกุรุ

ด่านกำแพงเมืองทั้งเจ็ดอันยิ่งใหญ่มหึมาดุจภูเขาตั้งชันซึ่งมองเห็นแต่ระยะห่างไกลสามารถบ่งบอกถึงความเกียรติยศความยิ่งใหญ่ของมหานครแห่งนี้ได้อย่างดี
รอบนครปรากฏถนนหลักสองสายทอดยาวไปถึงนครบริวารคือนครอมรโคยานทางทิศตะวันตกและนครบุรพวิเทหะทางทิศตะวันออก ถนนแต่ละสายถูกควบคุมผ่านประตูเมืองทั้งสี่ทิศอันได้รับการรักษาแปรเวรยามจากพลทหารชั้นเลิศที่พร้อมจะพลีชีพปฏิบัติหน้าที่อยู่ตลอดเวลาถึงทิศละหมื่นนาย

ฤทธิกันเป็นผู้ติดต่อกับนายทหารแต่ละด่านให้ค่อยๆเปิดประตูออกทีละชั้นเพื่อให้ขบวนของสนเคลื่อนเข้ามาโดยสะดวก
ภายในมหานครอันโอ่อ่าประกอบด้วยสถาปัตยกรรมวิจิตรงดงามทั่วทุกหนแห่ง ประชากรที่อาศัยอยู่ในเมืองนี้มีจำนวนประมาณโกฏิเศษ ประกอบด้วยชนทุกอาชีพทั้งชาวนา พ่อค้า ศิลปินอย่างที่ชาติอื่นๆในโลกจะมีและเป็นได้ทุกประการ
รถม้าของสนแล่นผ่านประตูเมืองเอกเข้าไปยังถนนสายหลักของเมืองซึ่งได้มีการจัดเตรียมขบวนต้อนรับแห่งมหาชนตามถนนที่เขาแล่นผ่านไว้ล่วงหน้าแล้ว

ผู้คนแออัดเบียดเสียดสองข้างถนนส่งเสียงโห่ร้องยินดีดังอื้ออึง
บ้างว่า “ไชโย ท่านพรหมทัตกลับมาแล้ว!”
บ้างว่า “ไชโย ท่านเจ้าเมืองกลับมาต่อไปพวกเราจะได้อยู่เย็นเป็นสุขกันยิ่งขึ้น!” ต่างโปรยดอกไม้และเครื่องหอมให้กับนิษาทหนุ่มในร่างของพรหมทัต
สนไม่เคยเห็นคนจำนวนมากขนาดนี้มาก่อน นี่คงเป็นเพราะยามที่พรหมทัตปกครองบ้านเมืองนั้นเขาทำความดีไว้ไม่น้อยจึงมีผู้คนรักใครนับถือมากมาย

นิษาทหนุ่มโบกมือให้กับฝูงชนด้วยใบหน้าเคร่งขรึมอย่างที่พญาอสูรควรจะเป็น ทั้งๆที่ในใจเขาตกตะลึงพรึงเพริดไปกับความอลังการของอุตรกุรุแห่งนี้มิได้หยุดหย่อนสักวินาทีเดียว

ฤทธิกันนำรถม้าของสนแล่นไปสู่วังของพรหมทัต
ที่หน้าวังประไพวดีกับคีตายืนรอรับเขาอยู่แล้ว สองพี่น้องนี้คนพี่มีสีหน้ายิ้มแย้ม ส่วนคีตายังมีท่าทีระแวงอยู่บ้าง

สนลงจากรถม้าไปหาพวกนาง ประไพวดีกล่าวว่า “ท่านพรหมทัตจากเราไปเนิ่นนาน น้องต้องสารภาพว่าพึ่งรู้ข่าวการกลับมาของท่านพี่เมื่อไม่นานนี้เอง ต้องขอบคุณฤทธิกันที่แจ้งเรื่องนี้ให้ทราบแต่เนิ่นๆมิฉะนั้นงานต้อนรับครั้งนี้คงจัดขึ้นอย่างสมเกียรติไม่ได้”

นางเดินเข้าใกล้เขากระซิบว่า “ให้รางวัลฤทธิกันมันสิ”

“เออ อ๋อ... ฤทธิกันรึ?” สนหันไปกล่าวกับฤทธิกันกล่าวว่า “เจ้าทำดีมาก เรื่องเงินสนับสนุนโครงการของเจ้านั้น ข้าจะเพิ่มให้อย่างถึงขนาด”

ฤทธิกันหัวเราะแหะแหะ แล้วทำความเคารพสนอย่างนอบน้อม
ประไพวดีพาเขาไปหาคีตา “ท่านพี่ นี่คือคีตาน้องสาวข้าอย่างไรล่ะ ดูสินางโตขึ้นมากใช่ไหม?”

คีตาไหว้สนครั้งหนึ่งแต่สายตายังจ้องเขม็ง สนแกล้งทำเป็นหัวเราะร่วนรับไหว้ ประไพวดีกล่าวว่า “ท่านพี่เดินทางมาไกลคงจะเหนื่อย ข้าจะพาไปพักผ่อนก่อน” นางจึงพาเขาเข้าวัง

เมื่อถึงห้องๆหนึ่งซึ่งคาดว่าจะเป็นห้องของพรหมทัตและปิดประตูลงแล้ว ประไพวดีก็เปลี่ยนท่าทีอย่างรวดเร็วนางเดินไปตรวจดูความสนิทมิดชิดรอบๆห้องอย่างละเอียดถี่ถ้วน หลังจากแน่ใจว่าไม่มีใครแอบฟังอยู่นางจึงกล่าวว่า “วันนี้ทำได้ดี คงไม่มีใครสงสัย แต่พรุ่งนี้อย่างน้อยต้องมีขุนนางกว่าครึ่งมาเยี่ยมเจ้า วันที่สามเจ้าต้องพบกษัตริย์ และหลังจากนั้นยังมีหน้าที่ต้องออกประชุมในสภาขุนนางทุกวัน ดังนั้นเราจะประมาทไม่ได้”

“สภาขุนนาง? นี่ท่านคาดหวังว่าข้าจะทำได้ขนาดนั้นเชียวหรือ”
“ความจริงไม่ยากเกินไปนัก เพราะพรหมทัตนั้นฟังมากแต่จะไม่พูดคำพูดที่เขาเห็นว่าไม่จำเป็นจริงๆเด็ดขาด ดังนั้นเจ้าเพียงไปอยู่เฉยๆในที่ประชุมแล้วทำเป็นสนใจเรื่องที่เขาคุยราชการกันเท่านั้นก็พอ จำไว้ว่าอย่าออกความเห็นเด็ดขาด เพราะเมื่อพรหมทัตพูดแต่เรื่องสำคัญจริงๆเท่านั้น คนอื่นจะประเมินค่าความเห็นของเขาไว้สูงมากแทบจะเรียกว่าเป็นกฎหมายตายตัว และหากเจ้าใช้สถานะของเขาพูดพล่อยๆกลายเป็นภัยต่อชาติอสูรข้าย่อมไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่”

ประไพวดีกล่าวต่อว่า “พรุ่งนี้ตอนพวกขุนนางมาเยี่ยมข้าจะรับหน้าให้เอง ขุนนางคนอื่นๆเจ้าไม่จำเป็นต้องจำชื่อก็ได้ แต่ชื่อของกษัตริย์และเจ้าเมืองอีกหกคนเจ้าต้องจำเขาให้ขึ้นใจเข้าใจไหม?”

“กษัตริย์และเจ้าเมืองอีกหกคน?”

“ใช่ อสูรกายภูมิมีเมืองเอกอยู่สี่เมือง แต่ละเมืองจะมีเจ้าเมืองอยู่สองคนตามหลักการคานอำนาจ เมืองบุรพวิเทหะทางทิศตะวันออกมีเจ้าเมืองชื่อพระยายุวราชกับพระยาสุจิต เมืองอมรโคยานทางทิศตะวันตกมีพระยาเวราสูรกับพระยาบริกาศปกครอง เมืองชมพูทางทิศใต้มีพระยาสุลิและพระยาสังปรี ส่วนเมืองอุตรกุรุซึ่งอยู่ทางทิศเหนือและเป็นเมืองหลวงแห่งนี้นอกจากจะมีองค์กษัตริย์คือพระเจ้าจักรทัตแล้ว ก็ยังมีเจ้าคือพระยาพรหมทัตเป็นเจ้าเมืองอยู่อย่างไรล่ะ”

สนฟังอย่างเคลิบเคลิ้มมาตลอด พอมาถึงคำที่ประไพวดีบอกว่าเมืองอสูรมีกษัตริย์ชื่อพระเจ้าจักรทัตเขาก็นึกเอะใจ “เอ... ทำไมไม่เห็นมีชื่อของพระยาราหูผู้เป็นเจ้าของกระบองโลหะวิเชียรเลยล่ะ กษัตริย์ของอสูรกายภูมิน่าจะเป็นเขาไม่ใช่หรือ”

“เจ้าไม่รู้อะไร สิบปีก่อนภพอสูรเราเกิดการเปลี่ยนแปลง อาโปตะไลพ่อข้าเป็นผู้ช่วยเหลือให้จักรทัตก่อการปฏิวัติโค่นล้มราหูสำเร็จ บัดนี้แม้ท่านจะไม่ยอมรับตำแหน่งใดๆเหนือกว่าเสนาบดีต่างประเทศที่เคยเป็นอยู่เดิม แต่ในเชิงพฤตินัยแล้วพ่อข้ามีอำนาจเท่ากับอุปราชของอสูรกายภูมิทีเดียว”

สนตกใจอย่างยิ่งกับข้อมูลนี้
อะไรกันบุคคลในตำนานอย่างราหูถูกโค่นล้มแล้วหรือ? มิน่าวันนั้นที่ชยารพดูดาวจึงไม่เห็นจันทรคราสเกิดขึ้นตามเวลาที่ควรจะเป็น แต่ทำไมถึงไม่มีใครรู้เรื่องนี้เลยล่ะ?

“...แปลว่ากระบองก็...”
“กระบองโลหะวิเชียรเป็นของคู่บ้านคู่เมืองอสูร เมื่อราหูหลุดจากอำนาจแล้วมันย่อมเปลี่ยนมาเป็นอาวุธประจำกายของจักรทัตแทน แต่เจ้าจะสนใจเรื่องนี้ไปทำไมกัน?”

“เออ... เปล่า ข้าก็แค่เคยได้ยินอาจารย์ของข้าพูดถึงมันเท่านั้น” สนบอกปัดแล้วเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อหันเหความสนใจ

วันนั้นเขาใช้เวลาที่เหลือหมดไปกับการเล่าเรียนข้อราชการที่พรหมทัตจะต้องปฏิบัติ และเรื่องต่างๆในวัง
รุ่งเช้าวันต่อมา มีขุนนางน้อยใหญ่มากมายมาหาเขา ประไพวดีออกต้อนรับขุนนางเหล่านั้นและจัดงานเลี้ยงอาหารขนาดย่อมๆขึ้นในขณะที่สนเพียงแต่นั่งเฉยๆเป็นประธานโดยกล่าวสลับไปสลับมาด้วยคำพูดเพียงสิบกว่าประโยคที่ประไพวดีสอนให้ เช่นพูดว่า “ขอบคุณ” “ขอโทษ” “ข้าสบายดี” ในโอกาสที่พึงจะพูดได้ เพียงเท่านี้ก็ไม่มีใครสงสัยเขาแล้ว

พอถึงวันที่สาม ประไพวดีมาหาเขาและบอกว่า “วันนี้เป็นวันที่เจ้าต้องไปพบจักรทัต กษัตริย์องค์นี้เป็นผู้มีอำนาจทางมโนสูง แม้มายาของฤทธิกันก็ไม่อาจตบตาเขาได้ ดังนั้นข้าจึงชิงบอกความจริงกับเขาไปเสียเองแล้ว และเขารับปากจะช่วยปิดความลับให้เราอีกแรง เจ้าไปครั้งนี้จึงไม่มีอะไรยากนัก”

สนนึกสงสัยในใจว่าในเมื่อสิ่งที่ประไพวดีทำนั้นผิดกฏอสูรจนเป็นความลับต้องปกปิดแล้ว ทำไมกษัตริย์ของอสูรกายภูมิถึงยอมปล่อยปละละเลย ซ้ำยังให้ความช่วยเหลืออีกต่างหาก
อย่างไรก็ตามเขาชักติดนิสัยเงียบขรึมของพรหมทัตมาแล้ว จึงไม่คิดถามให้มากความและออกเดินทางไปยังวังหลวงโดยดี

เมื่อถึงวัง สนถูกให้นั่งรออยู่ที่ห้องๆหนึ่ง ไม่นานก็มีเสียงประกาศว่าพระเจ้าจักรทัตมาถึงแล้ว
ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง เขาดูยังมีอายุไม่สูงนัก หน้าตาคมคาย มีรอยยิ้มที่มีสเน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์พิเศษ และมีบุคคลิกองอาจเปิดเผย
6-15.jpg
ภาพ: จักรทัต

จักรทัตยิ้มให้สนตั้งแต่แรกพบทั้งยังเดินมาตบไหล่เขาอย่างเป็นกันเอง “เป็นเจ้านี่เอง ประไพวดีได้เล่าเรื่องที่เจ้าช่วยเหลือคีตาซ้ำยังยอมปลอมตัวเป็นพรหมทัตเพื่อให้นางไม่ต้องเป็นม่ายหลวงให้เราฟังหมดแล้ว”

เป็นอย่างนั้นไปแล้วหรือ สนแกล้งตอบตามน้ำไปว่า “ที่แท้ท่านรู้เรื่องทั้งหมด”

“ถูกต้อง น้องเราชื่อสนสินะ เจ้าเป็นมนุษย์แต่ถึงกับยอมยื่นมือช่วยเหลือถึงเพียงนี้ นี่แหละที่คนเขาว่าคุณธรรมย่อมปรากฏอยู่ในทุกที่ๆมีผู้ทรงคุณธรรม ไม่ว่าอสูรหรือมนุษย์ก็เป็นเช่นเดียวกัน”
“เรื่องนั้น… ข้าไม่”
“ฮาฮาฮา น้องเราทำความดีไม่ต้องเขินอายดอก การจับผู้หญิงที่สามีตายมาขังในวังนั่นเป็นระเบียบโบราณคร่ำครึที่เราเองก็ไม่ชอบเหมือนกัน บัดนี้เห็นประไพวดีแหกกฎนั้นได้รู้สึกสบใจนัก” จักรทัตหัวเราะร่วน

สนรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวที่จักรทัตพบเขาครั้งแรกก็เรียกเป็นน้อง แม้เขาจะคิดว่าคนเป็นผู้นำก็ต้องมีบุคลิกเช่นนี้แหละ แต่นั่นมันต่างกับผู้นำที่เป็นกษัตริย์อสูรในจินตนาการของเขาโดยสิ้นเชิง หัวหน้าของพวกยักษ์มารน่าจะมีหน้าตาถมึงทึงดุร้าย พูดง่ายๆว่าต้องน่ากลัวกว่าพวกมารด้วยกันเสียอีกจึงจะคุมกันอยู่ หรือไม่เช่นนั้นให้เป็นแบบนิ่งลึกอย่างพรหมทัตก็ใช้ได้
แต่นี่กษัตริย์ที่อยู่เหนือพรหมทัตไปอีกขั้นกลับเหมือนกับคนธรรมดาคนหนึ่งซึ่งออกจะมีใจนักเลง อย่างนี้หรือที่ว่าชิงอำนาจจากราหูมาได้ หรือที่ว่ามีฤทธิ์มากที่สุด มโนของคนแบบนี้จะเป็นอย่างไรนะ? นิษาทหนุ่มคิดได้ดังนั้นจึงลอบใช้ตาทิพย์แอบดูมโนของจักรทัต

เนื่องจากกษัตริย์อสูรไม่ได้ใช้อำนาจบังมโนของตนเองไว้สนจึงสามารถมองมโนของเขาได้โดยง่าย นิษาทหนุ่มเห็น มโนนั้นบริสุทธิ์จริงๆ ไม่มีธาตุแห่งสันดานหยาบเจือปนเลย อืม… เป็นสีแดงเจิดจ้า ธาตุไฟหรือ? …ไม่ใช่ ยังมีสีอื่นอีก …สีเหลือง ไม่สิสีแสด

สนมองนานเข้าเขาก็พบว่ามโนของจักรทัตนั้นไม่ใช่มีเพียงสีเดียวที่ดูไม่ออก หากแต่มีทั้งสามสีคือ สีแดง เหลือง แสด เป็นธาตุไฟ ธาตุแสง ธาตุดิน ซึ่งแต่ละธาตุมีฤทธิ์สูงที่สุดพอๆกันและแบ่งแยกกันอย่างเด็ดขาดในมโนดวงเดียว

นิษาทหนุ่มรู้สึกตกใจกับสีดังกล่าว ชยารพเคยบอกเขาว่าปกติมโนจะมีเพียงสีเดียว และหากเป็นกรณีของคนพิเศษจริงๆอย่างมากก็มีได้สามสี นี่แปลว่าจักรทัตคือคนพิเศษจริงๆอย่างนั้นหรือ?

จักรทัตมองเขาเหมือนรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ เจ้าอสูรกล่าวเปรยขึ้น “มนุษย์มีความเชื่อดั้งเดิมมาก่อนว่าอสูรเป็นพวกชั่วร้าย น้องเราคงสงสัยว่าอสูรเช่นเราจะมีมโนที่ไม่มีลักษณะแห่งสันดานหยาบแบบนี้ได้อย่างไร คำตอบนั้นไม่ใช่เพราะเราไม่มีสันดานหยาบหรอก แต่หากเจ้าฝึกฤทธิ์ไปได้ถึงขั้นหนึ่งแล้ว แสงสว่างแห่งพลังจะกลบจุดมืดของสันดานหยาบของเจ้าจนดูเหมือนไม่มี ทั้งๆที่ความชั่วร้ายต่างๆมันก็ยังแฝงอยู่เท่าเดิม ดังนั้นคนฝึกฤทธิ์ต้องระวังกายใจให้มาก หากลำพองว่าตนประเสริฐแล้วไม่ช้านานจะต้องถูกด้านมืดครอบงำในที่สุด”

สนรู้สึกตกใจและละอายใจที่ถูกจับได้จึงต้องก้มหน้าลง “…ที่ท่านพูดมาเป็นความจริง เมื่อก่อนข้าไม่เคยรู้จักอสูรมาก่อนเลย ได้ยินได้ฟังแต่ในนิทานเท่านั้นครับ”

จักรทัตกลับยิ้มแล้วตบบ่าปลอบใจสน “ไม่หรอก เจ้าจะคิดว่าพวกเราชั่วร้ายก็ไม่แปลก เพราะจริงๆพวกเราก็ชั่วร้ายจริงๆ ฮาฮาฮา”

อ้าว จะเอายังไงกันแน่ สนคิด อย่างไรก็ตามจักรทัตกล่าวต่อทันทีว่า “ที่เราพูดเจ้าคงไม่เข้าใจ เอาเป็นว่าเราจะเล่านิทานให้เจ้าฟังเรื่องหนึ่งแล้วกัน”
........................... (อ่านต่อ)

หมายเหตุ

jakatat.jpg
เชษฐา

กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป 1