นิยายแฟนตาซีแบบไทย

ศึกหกภพ

โดย เชษฐา

บทที่ 3 อสูรกายภูมิ
(5)


กษัตริย์อสูรเดาใจของสนออกจึงกล่าวว่า

“ไม่เอาน่าอย่าพึ่งเสียใจไปสิ สิ่งที่ข้าจะบอกจากนิทานเรื่องนี้ก็คือ ไม่ว่าจะเป็นอสูร เทพ หรือมนุษย์ ต่างก็มีต้นกำเนิดเดียวกัน คือมีธาตุแท้เป็นคนเหมือนกันทั้งสิ้น อีกอย่างข้ายังไม่ได้บอกสักหน่อยว่าสิ่งที่มฆะทำเป็นเรื่องผิด ที่จริงแล้วจะว่าไปมันก็ไม่มีใครถูกใครผิดแท้ๆหรอก มันเป็นการเมือง เป็นเรื่องของการชิงอำนาจเท่านั้นแหละ

“ที่ว่าอสูรกายเป็นพวกชั่วร้ายนั้นก็ถูก เพราะผู้ที่ควบคุมสวรรค์คือพวกเทพมักจะเอามโนของคนที่ดุร้ายมาเกิดในภูมินี้ ส่วนพวกเทพที่ว่าดีนั้นก็ถูกอีกเช่นกัน เพราะเขาใช้วิธีดึงมโนที่บริสุทธิ์ขึ้นไปเกิดบนสวรรค์กันมากๆ ประชากรเทพจึงมักจะเป็นคนดี”

เขาลุกขึ้น สายตาทอดไปนอกหน้าต่าง

“แต่เมื่อเกิดมาเลวแล้วก็ไม่ใช่ว่าจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เจ้าเคยเห็นอสูรอย่างพรหมทัตนี่ เขาเป็นคนดีไหมล่ะ? อืม… แม้กระนั้นค่านิยมของชาวอสูรเราก็ไม่ได้ยกย่องคนดี หากแต่ยกย่องคนเก่งต่างหาก”

“ท่านหมายความว่า…?”

“หมายความว่าเพราะข้าเก่งที่สุดถึงได้เป็นหัวหน้าของพวกอสูรอย่างไรล่ะ!! ฮาฮาฮา ไม่ใช่พรหมทัต ฮาฮา” จักรทัตหัวเราะขึ้นมาเฉยๆ

สนไม่อาจคาดเดากษัตริย์คนนี้ได้เลย อย่างไรก็ตามบางสิ่งบางอย่างทำให้เขารู้สึกไม่พอใจกับคำพูดของฝ่ายตรงข้ามนัก จึงกล่าวว่า “เรื่องราวที่ท่านเล่านี้ทำให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาขึ้นมาก แต่นี่ก็ล่วงเข้าเวลาสายซึ่งข้ายังมีกิจอันจำเป็นของพรหมทัตจะต้องทำอีก กรุณาอนุญาตให้ข้าไปเถิดครับ”

“น้องเราถือที่นี่ให้เหมือนบ้านเจ้าเถิด ไม่ต้องขออนุญาตอะไรให้เป็นระเบียบพิธีดอก เออ พูดก็พูดเถอะ เราดูเจ้าแล้วเห็นว่าด้านฤทธิ์นั้นยังอ่อนแอจนน่าสงสาร หากมีคนอื่นมาแอบดูมโนก็จะจับได้ทันทีว่าเป็นพรหมทัตตัวปลอม …เอาเถอะ หากก่อนจากกันนี้น้องเรายังพอมีเวลาเหลือบ้างเราจะพาไปรู้จักสถานที่แห่งหนึ่ง”

จักรทัตพาสนออกจากห้องแล้วเดินนำไปจนถึงส่วนในของพระราชวัง เมื่อถึงห้องอีกห้องหนึ่งซึ่งมีอักษรเขียนเป็นป้ายชื่อว่า ‘ห้องฝึกมโน’ เขาก็หยุดและกล่าวว่า “เมื่อก่อนนั้นเราก็เป็นเช่นเจ้า คือไม่ค่อยมีอำนาจทางใจเท่าใดนัก ต่อมาอาโปตะไลเห็นว่าผู้นำอสูรควรจะมีฤทธิ์ให้คนเกรงบ้างจึงได้สร้างห้องนี้ขึ้นมา ภายในห้องมีบรรยากาศต่างๆเหมาะแก่การฝึกฤทธิ์ที่สุด หากเจ้าใช้ฝึกในนี้จะทำให้พลังก้าวหน้าเร็วขึ้นถึงสิบเท่า”

กษัตริย์อสูรเปิดประตูให้สนเข้าไปดูข้างในซึ่งยังแบ่งออกเป็นอีกหกห้องเล็กๆ แต่ละห้องมีป้ายชื่อเขียนกำกับไว้ว่า ดิน น้ำ ลม ไฟ แสง และสมาธิตามลำดับ

สนลองเปิดดูห้องที่เขียนว่า ‘ดิน’ ก็เห็นดินสีอรุณเป็นแผ่นวงกลมเรียบอยู่ที่พื้น ข้างๆมีที่สำหรับนั่งอยู่ที่หนึ่ง เขานึกได้ว่านี่คล้ายกับอุปกรณ์การฝึกฤทธิ์ทางดินอย่างที่ชยารพเคยว่าไว้

นอกจากนั้นห้องที่เขียนว่า ‘น้ำ’ ยังมีสระตื้นอยู่สระหนึ่ง ห้อง ‘ลม’ มีหน้าต่างเปิดให้เห็นผ้าขนาดบางหนาต่างกันแขวนไว้ภายนอกสองสามผืน คงไว้สำหรับดูลักษณะที่ลมพัดผ้าเหล่านั้น ห้อง ‘ไฟ’ มีเตาไฟขนาดย่อมซึ่งสามารถจุดให้ติดและดับได้ทันที นอกจากนั้นความรู้สึกที่สัมผัสได้ในแต่ละห้องยังไม่เหมือนกัน ส่วนจะต่างกันอย่างไรสนเองก็บอกไม่ถูก เพียงพูดได้คร่าวๆว่า เมื่ออยู่ในห้องไฟจะรู้สึกร้อนเป็นพิเศษอะไรทำนองนี้เท่านั้น

เมื่อเปิดห้องที่เขียนว่า ‘แสง’ มันเป็นห้องมืดที่ผนังเจาะรูเล็กๆ พอให้แสงสว่างลอดเข้ามาได้รำไร นิษาทหนุ่มนึกดูแล้วก็เหมือนกับห้องเก็บฟืนที่ชยารพเคยทำไว้ให้เขาไม่มีผิด ต่างไปแค่ที่บรรยากาศในห้องนี้ดูอบอุ่นและสงบกว่าห้องเก็บฟืนนั้นหลายเท่า

“นี่คือห้องสำหรับฝึกประภาสนี่ครับ” สนกล่าว

“ถูกต้อง นอกจากห้องนี้แล้ว ห้องอื่นๆก็เป็นที่สำหรับฝึกฤทธิ์ทางดิน น้ำ ลม ไฟโดยเฉพาะ ส่วนห้องสมาธินั้นเอาไว้สำหรับนั่งสมาธิอันเป็นการฝึกพลังค่ากลางๆเพื่อเสริมให้กับฤทธิ์ในธาตุใดก็ได้ที่ฝึกมาก่อนนั่นเอง”

สนคิด ห้องเหล่านี้ต้องสร้างยากมาก ความจริงควรไว้ให้กษัตริย์ใช้คนเดียวเท่านั้น เขากล่าวอย่างไม่ค่อยเชื่อตัวเองว่า “ท่านจะให้ข้าใช้ห้องเหล่านี้จริงๆหรือครับ?”

“ก็เออน่ะสิ พักหลังนี้ข้าชักขี้เกียจฝึกฤทธิ์แล้ว แต่จะทิ้งไว้เฉยๆก็เสียดายค่าบำรุงรักษา เอาเป็นว่าน้องเราสามารถใช้ร่างของพรหมทัตเข้าออกห้องเหล่านี้ได้ทุกเวลาก็แล้วกัน” จักรทัต กล่าว “เอาละบัดนี้ข้าจะรั้งเจ้าไว้นานก็ไม่ดี เจ้าไปทำธุระของเจ้าได้แล้ว”

สนทำความเคารพฝ่ายตรงข้ามแล้วลากลับทางเก่า ก่อนจากกันจักรทัตยังกล่าวไล่หลังมาอีกว่า

“อ้อ เมื่อครู่ดูน้องเราไม่พอใจกับน้ำเปล่าเท่าใดนัก แม้ชาวอสูรจะไม่แตะต้องสุรา แต่หากน้องเราอยากรับประทาน เราก็พอจะสั่งให้พนักงานไปหมักมาให้ได้ จะเอาไหมล่ะ?”

สนกล่าวปฏิเสธ จะมากจะน้อยเขาเกรงใจกษัตริย์อสูรผู้นี้จะแย่อยู่แล้ว ไม่น่าแปลกใจนักที่ความใจกว้างขนาดนี้จะทำให้จักรทัตได้เป็นผู้นำคนได้

ความรู้สึกเมื่อหะแรกที่ปลอมเป็นพรหมทัตซึ่งเขาเคยคิดว่าน่าจะเป็นโอกาสอันดีที่จะขโมยกระบองได้ง่ายขึ้นบัดนี้ค่อยๆจางหายไปจนหมดสิ้น สนรู้ดีว่าสถานะของเขาตอนนี้แค่คิดจะเอากระบองก็ยาก แต่หากคิดหนีไปจากอสูรกายภูมินั้นยังยิ่งยากกว่าสิบเท่าร้อยเท่าอีก อย่าว่าแต่ต้องมาปลอมเป็นเจ้าเมืองซึ่งหากแผนแตกถูกจับได้เมื่อไรก็มีเพียงตายกับตายเท่านั้น

อย่างไรก็ตามเขากังวลที่สุดคือยิ่งทีเขายิ่งรู้สึกละอายที่จะขโมยของสำคัญของกษัตริย์อสูรผู้ที่เรียกเขาเป็นพี่น้อง สนยังคิดด้วยซ้ำว่าหากขอโลหะวิเชียรกันตรงๆจักรทัตอาจจะให้ก็ได้ แต่เมื่อถึงตอนนั้นเขาจะสามารถทนหน้าด้านรับไว้หรือไม่ ตนเองก็ยังไม่แน่ใจ

นิษาทหนุ่มเดินคิดไม่ตกผ่านไปตามระเบียงกว้างขวางของวังอสูร เส้นทางในนี้ไม่ซับซ้อนเกินไปนัก เขาเข้ามาครั้งเดียวก็พอจำได้บ้าง อืม... ทางซ้ายเป็นจัตุรัสกลางสินะ อย่างนั้นถ้าเดินไปข้างหน้าก็จะเป็นทางออก

สนลองหลับตาดู ...จากกลิ่นและเสียงนี้ ทางตะวันตกน่าจะเป็นโรงครัว ทางใต้น่าจะเป็นห้องสวดมนต์ กลิ่นเนื้อไหม้กับกลิ่นหอมขนมมาจากคนละที่กันแปลว่าห้องทำของหวานต้องแยกไปอยู่ทางด้านซ้าย และต้องเป็นห้องใหญ่พอสมควรถึงมีกลิ่นโชยมาถึงนี่ได้ ถึงตรงนี้เขารู้สึกภูมิใจบ้าง เรานี่ก็ช่างสังเกตเหมือนกันนิ

“คนโกหก”

เสียงๆหนึ่งดังแทรกมาในห้วงสำนึกของสน เขาลืมตาขึ้น มองซ้ายมองขวาก็ไม่เห็นใคร หรือว่าเราหูฝาดนะ

“ข้าอยู่นี่” หญิงนางหนึ่งเดินออกมาจากข้างหลังเสาเบื้องหน้า ปรากฏว่าเป็นคีตาเอง

“ตามคำสั่งของพี่ประไพวดี เจ้าไม่จำเป็นต้องหาข้ออ้างรีบร้อนกลับถึงเพียงนี้ไม่ใช่รึ?”

คำพูดของนางทำให้สนประหวั่นใจไม่น้อยแต่ยังพอรักษาอาการให้เป็นปกติกล่าวตอบว่า

“อะไรกัน เดี๋ยวนี้เจ้าขึ้นเสียงกับพี่เขยแล้วหรือ?”

“ยังจะอ้างอีก ละครของเจ้าตบตาได้เฉพาะคนที่ไม่รู้จักพี่พรหมทัตเท่านั้นแหละ”

สนเริ่มลังเล “...หรือเจ้าแอบดูตอนที่ข้าคุยกับกษัตริย์”

“ไม่เพียงนั้นหรอก ข้าจับได้ตั้งแต่แรกพบที่เจ้าหัวเราะให้ข้าแล้ว” คีตาว่า “พี่พรหมทัตไม่มีทางหัวเราะพิลึกๆอย่างนั้นเด็ดขาด ฟังว่าฤทธิกันเป็นคนพบเจ้าในป่าหิมพานต์นึกไปนึกมาก็มีแต่มนุษย์ที่ชื่อสนที่เคยเจอเมื่อหลายอาทิตย์ก่อนเท่านั้นที่ทำอย่างนี้ได้ บอกมาว่าเจ้าไปร่วมมือกับพี่สาวข้าได้อย่างไร!”

“...” สนเหงื่อไหลโทรมกาย ปะติดปะต่อได้เป็นฉากๆเชียวหรือ เขาถอนหายใจ “เฮ้อ ก็ได้ๆ เจ้าถูก …แต่เจ้านึกว่าข้าอยากเล่นละครอย่างนี้นักหรือ?”

“หมายความว่าอย่างไร?”

“หมายความว่าพอพี่เจ้ารู้ว่ามีมนุษย์ล่วงเข้ามาในป่าหิมพานต์ก็ให้คนจับข้าไปหาแล้ว…” สนเล่าเรื่องตั้งแต่เขาพบกับประไพวดีและสาเหตุที่ต้องเป็นพรหมทัตให้คีตาฟังโดยตลอด

“อืม” หญิงสาวยกมือขึ้นลูบคาง “ทำไมเจ้าต้องบอกเรื่องนี้กับข้าด้วยล่ะ?”

“ก็ไม่รู้จะปิดไปทำไม พวกเจ้าจับข้ามาอยู่ในดงอสูรนี่ ถูกใช้ให้แกล้งแสดงประหลาดๆตามใจชอบ ถ้าผิดพลาดเพียงนิดเดียวก็ต้องโดนฆ่า รู้ไหมข้ากลัวแทบตายอยู่แล้ว”

คีตาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าค่อยๆเปลี่ยนเป็นยิ้มแล้วหัวเราะคิกออกมา “ถ้าพูดจริงเจ้านี่ก็ซวยเหมือนกันนะ”

สนทำหน้าบูด คิดว่าความทุกข์ของคนอื่นเป็นเรื่องสนุกนักหรืออย่างไร พวกอสูรนี่มีอารมณ์ขันกับเรื่องตลกร้ายมากกว่าที่คิดแฮะ

คีตาเห็นสนบ่นงึมงำๆอยู่คนเดียวก็รู้สึกเห็นใจจึงกล่าวว่า “ไม่เอาน่า อย่าพึ่งวิตกไปสิ อย่างน้อยก็มีข้าคนหนึ่งนั่นแหละที่พอเข้าใจความรู้สึกเจ้าบ้าง”

“เจ้าเข้าใจข้าจริงๆ?”

“ก็ใช่น่ะสิ ชีวิตคนเราย่อมมีโชคร้ายและโชคดีหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันไปเป็นเรื่องธรรมดา อย่าว่าแต่ในความโชคร้ายของเจ้ายังมีโชคดีปนอยู่ไม่น้อย เจ้ารู้ไหมการที่กษัตริย์เมตตาเจ้าถึงเพียงนั้นเป็นโอกาสที่หาไม่ได้อีกแล้ว”

คำพูดฟังแล้วแปลกๆแต่ก็มีส่วนถูก ยังไม่ทันที่สนจะตอบประการใด คีตาก็ร้องขึ้นว่า “ข้านึกได้แล้ว ไหนๆก็ไหนๆ เราควรใช้โอกาสให้เป็นประโยชน์มากที่สุด เจ้าตามข้ามานี่สิ”

นางทำท่าลากสนไปทางหนึ่ง

“เดี๋ยวสิเจ้าจะพาข้าไปไหน?”

“เอาน่าเดี๋ยวตามมาก็รู้เอง”

“แล้วทำไมข้าต้องไปกับเจ้าด้วยล่ะ?”

“เพราะถ้าเจ้าไม่ไป ข้าก็จะบอกพี่ประไพวดีว่าเจ้าลวนลามข้า …เถอะน่า มันไม่คุ้มหรอก”

ง่ายๆเช่นนี้เองที่ทำให้สนจำยอม นี่นางเห็นใจเราจริงหรือเปล่าวะ

อย่างไรก็ตามเขาต้องตามคีตาไปยังอาคารสองชั้นหลังหนึ่งที่ตั้งตระหง่านอยู่ในจุดที่แทบจะเป็นใจกลางของปราสาทแห่งนี้

“บอกบรรณารักษ์ว่าเจ้าอยากเข้าไปส่วนในของตึกนี้สิ” คีตาสั่งน้ำเสียงสดใส

บรรณารักษ์หรือ ตึกนี้คงจะเป็นห้องสมุดสินะ

สนแกล้งปั้นหน้าขึงขังเป็นพรหมทัตดังเดิมแล้วเปิดประตูเข้าไปข้างใน เมื่อพบกับอสูรตนหนึ่งกำลังนั่งเฝ้าอยู่จึงกล่าวว่า “ข้าอยากเข้าไปในนี้”

บรรณารักษ์เห็นเป็นเจ้าเมืองมาก็หลากใจ กล่าวว่า “แต่ท่านครับ ท่านอาโปตะไลสั่งว่าที่นี่ห้ามใครเข้าออกเด็ดขาดเว้นแต่พระเจ้าจักรทัตกับตัวท่านอาโปตะไลเอง”

สนนึกในใจว่าในสถานการณ์เช่นนี้คนประหยัดคำพูดอย่างพรหมทัตจะกล่าวอย่างไร ใช่แล้วต้องใช้คำให้น้อยที่สุดแต่มีประสิทธิภาพที่สุด

“ข้าอยากเข้าไปในนี้!” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ

คราวนี้บรรณารักษ์ตื่นตระหนกหน้าถอดสี รีบกล่าว “ครับ ครับ” เป็นเสียงตะกุกตะกักพลางหยิบกุญแจเปิดประตูส่วนในขึ้นมา

เวลานั้นคีตาเดินยิ้มๆเข้าตึกมาด้วย บรรณารักษ์ตะโกนว่า “ท่าน… นี่ท่านออกไป ให้เพียงท่านเจ้าเมืองเข้ามาเท่านั้น”

“นางก็เข้าได้!” สนกล่าว

“อา …ครับ ครับ นางก็เข้าได้ครับ”

ทั้งสองจึงผ่านเข้าไปข้างในได้โดยสะดวก
........................... (อ่านต่อ)


หมายเหตุ

โคลงถวายนามพระเจ้าจักรทัต

จักระ คือมหาสากล
ทัต คือน้อมดวงกระมล       มอบให้
คือกษัตริย์ผู้แผ่ถกลจรดโลก
จึ่งตั้งนามดั่งนี้ไว้ให้เห็น เหิมหาญ

เชษฐา

กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป 1