ข้างในอาคารเป็นเหมือนห้องสมุดขนาดย่อม
มีหนังสือและเอกสารมากมายจัดวางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ
ทันทีที่มาถึงคีตาก็ตรงไปยังตู้ไม้ตู้หนึ่ง เมื่อเปิดออกปรากฏว่าเป็นที่สำหรับเก็บหนังสือเช่นกัน นางค่อยค้นหนังสือเหล่านั้นอย่างระมัดระวัง หาอะไรน่ะ? สนถาม หนังสือของพ่อเล่มหนึ่ง เจ้ารู้หรือว่าอยู่ตรงไหน? ไม่แน่ใจหรอกเวลามันผ่านไปนานมาก สมัยข้าเด็กๆที่นี่เคยเป็นห้องสมุดสำหรับคนในวัง เมื่อพ่อข้ามาอ่านหนังสือก็จะพาข้ามานั่งเล่นด้วยเสมอๆ แต่ภายหลังเมื่อพ่อผลักดันให้จักรทัตขึ้นเป็นกษัตริย์ ท่านได้เปลี่ยนห้องสมุดนี้เป็นที่ส่วนตัว คนนอกแม้แต่ข้าไม่มีสิทธิเข้าเด็ดขาด แล้วเขาทำอย่างนั้นทำไมล่ะ? เข้าใจว่า ในนี้มีหนังสือราชการสำคัญเก็บอยู่ แต่ที่ข้าจะหาไม่ใช่หนังสือพันธุ์นั้นหรอก นางค้นต่อไป สนมองไปที่ชั้นวางข้างๆตน มีหนังสือชื่อ การสร้างความเชื่อ, ว่าด้วยจิตวิทยา, ลักษณะประชากรของภูมิทั้งหก แต่ละชื่อท่าทางจะอ่านยากทั้งนั้น เขาเหลือบไปเห็นหนังสือเล่มเล็กๆที่วางอยู่ในจุดที่โดดเด่นกว่าเล่มอื่น ความแค้นเจ็ดประการ เขียนโดย อาโปตะไล ชื่อประหลาดดีแฮะ สนลองหยิบมาพลิกๆดู หน้าแรกของหนังสือเขียนว่า ความแค้นเจ็ดประการ เทพกระทำอสูรกาย พึงจดจำให้มั่น
๒.ความแค้นของผู้ชาย ๓.ความแค้นของผู้หญิง ๔.ความแค้นของคนดี ๕.ความแค้นของคนถ่อย ๖.ความแค้นของสุรา ๗.ความแค้นของสุนัข คีตาเหลียวมามองแวบหนึ่งจึงว่า อ๋อ นั่นคือต้นฉบับหนังสือที่หลายปีก่อนพ่อทำขึ้นมาแจกให้ประชาชนเก็บไว้คนละเล่ม เป็นเรื่องเกี่ยวกับอุดมการณ์ในการสร้างชาติน่ะ สร้างชาติด้วยความแค้นนี่นะหรือ? ข้าก็ไม่เข้าใจนัก แต่อสูรเรากับพวกเทพต่อสู้กันมานานจนไม่ใช่ของแปลกแล้ว ต่อให้มีความแค้นมากขึ้นอีกนิด อะไรๆมันก็ไม่ได้เปลี่ยนไปหรอก สนฟังดูก็เห็นจริง หนังสืออย่างนี้คงไม่ใช่ของใหม่สำหรับพวกอสูร เขาคิด พวกนี้คงดุร้ายพิลึกแฮะถึงต้องสร้างชาติกันด้วยความแค้นเลยทีเดียว อ่านรายชื่อความแค้นประเภทต่างๆก็พอเดาที่มาที่ไปได้ มีแต่ความแค้นของสุนัขที่สนไม่ค่อยแน่ใจนักว่ามันหมายถึงอะไร อืม อาจจะแปลว่าพวกเทพดูถูกพวกอสูรเหมือนสุนัขกระมัง อย่างไรก็ตามมันไม่ใช่เรื่องที่เขาจะต้องไปสนใจให้มากความจึงวางหนังสือนั้นกลับเข้าที่เดิม ในที่สุดคีตาก็พบของที่กำลังหา นางร้องว่า นี่ไง พลางหยิบสมุดเล่มหนึ่งที่ดูจะคล้ายแผ่นกระดาษเก่าๆเย็บรวมกันเสียมากกว่าขึ้นมา อะไรน่ะ? พักหลังนี้พ่อกับแม่ข้าทะเลาะกันบ่อยจนระหองระแหงถึงขั้นแยกกันอยู่ ข้าจึงคิดจะหาบทกลอนสมัยที่พ่อหนุ่มๆแต่งเกี้ยวแม่ไว้ส่งไปให้ท่านแม่ เผื่อจะทำให้ท่านจะระลึกความหลังคืนดีกันได้ เจ้าหาที่อื่นไม่เจอเลยคิดว่าจะต้องอยู่ในนี้ ใช่แล้ว ตอนแรกข้าก็ไม่รู้ว่าจะเข้ามาในนี้ได้อย่างไรเหมือนกัน ดีที่พบเจ้าช่วยได้ ขอบคุณมากนะ คีตากอดสมุดเล่มนั้นแน่นและยิ้มอย่างดีใจที่สุด สนมองนาง ดูๆไปก็น่ารักเหมือนกันแแฮะ ใครว่าอสูรดุร้ายกันทุกตน อย่างน้อยพวกอสูรหญิงก็ เวลานั้นคีตาหันกลับมาทางสน กลับกันเถอะ แต่เมื่อนางเห็นหน้านิษาทหนุ่มถึงกับต้องอุทานออกมาด้วยความตกใจว่า เจ้า หน้าเจ้า !! หน้าข้ามีอะไรหรือ? เจ้า ไม่ใช่พรหมทัตแล้ว แล้วข้าเป็นพรหมทัตตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ สนยกมือขึ้นเกาหัวอย่างสงสัย รู้สึกลักษณะเส้นผมของตนเปลี่ยนไปมาก ไม่สิ มันเปลี่ยนไปอย่างน่าประหลาดต่างหาก เขาชักรู้สึกไม่ดีจึงลองลูบหนวดเคราตนเองดูก็พบว่ามันอันตรธานไปหมดสิ้นเช่นกัน
นี่ข้ากลับเข้าสู่ร่างเดิมแล้ว! สนร้อง ทำไมมันเป็นอย่างนี้ล่ะ? คีตาถาม พลังของฤทธิกันที่เนรมิตร่างข้าไว้อาจจะเสื่อมพอดี สนตอบตามที่นึกได้ตอนนั้น ถ้าไม่มีร่างพรหมทัตเราก็กลับปราสาทไม่ได้น่ะสิ! อย่าว่าแต่กลับปราสาทเลย แค่เจ้าคนออกจากห้องนี้โดยไปโดยไม่มีร่างของพรหมทัตก็น่ากลัวจะยากยิ่งแล้ว สนไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง หรือว่าจะให้เจ้าออกไปขอความช่วยเหลือจากจักรทัตก่อน คีตาส่ายหน้า ไม่ได้ ต่อให้ข้าสามารถออกไปจากที่นี่ แต่จะเข้าถึงกษัตริย์ต้องขออนุญาตผ่านยามตั้งไม่รู้กี่ชั้นคงไม่เสร็จเรื่องในวันเดียว อย่างนั้นหากเจ้ากลับไปขอความช่วยเหลือจากประไพวดีที่ปราสาทล่ะ? วังหลวงนี้ไม่ใช่จะเข้าออกกันได้ง่ายๆนะ ข้าลงชื่อไปว่าเป็นผู้ติดตามพรหมทัตจึงสามารถเข้ามาและจะกลับไม่ได้เว้นแต่จะมีพรหมทัตออกไปด้วยกัน นี่หากตกเย็นเจ้ายังไม่กลับที่พักพี่ประไพวดีก็จะขอให้คนในวังก็ช่วยกันตามหา ถึงตอนนั้นจะไม่มีที่ซ่อนอีกต้องถูกจับได้ในที่สุด นางคิดไปคิดมาเห็นเป็นทางตันก็ร้องว่า แย่แล้ว ถ้าใครมาเห็นอย่างนี้ก็ต้องคิดว่าข้าลอบพาผู้ชายเข้ามาน่ะสิ แล้วข้าจะทำอย่างไร! นางมีสีหน้าตื่นกลัว แต่สนกลับตื่นกลัวกว่านั้นหลายเท่า เจ้าไม่เท่าไหร่หรอก ถ้าข้าถูกจับได้ก็มีแต่ต้องโดนประหารแล้ว! ทั้งสองเงียบลง นั่งจ้องหน้ากัน จริงสินะ เจ้ายังอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากกว่าข้านัก คีตาเริ่มน้ำตาซึม หากข้าไม่แอบอ้างเข้ามา ไม่รั้งเจ้าไว้ ให้เจ้ากลับไปหาพี่ประไพวดีทันเวลาก็คงจะไม่เป็นอย่างนี้ เพราะเข้าเอาแต่ใจแท้ๆเชียว เจ้าถึงต้อง นางร้องไห้ออกมา สนเองไม่รู้จะสงสารใครดีเพราะเขาเองก็กำลังใจสั่นกลัวอยากร้องไห้อยู่เช่นกัน เอาวะ สงสารตัวเองก็ไม่มีประโยชน์ สู้ปลอบให้คีตากลับมาตั้งสติได้ก่อนดีกว่า เขาจึงจับไหล่นางกล่าวว่า ไม่เอาน่า อย่าพึ่งร้อนรนไป เจ้านี่เป็นเด็กกว่าที่ข้าคิดนะ แต่ เจ้า เจ้าจะต้องโดนประหาร หญิงสาวกล่าวทั้งน้ำตานองหน้า อย่าพูดให้กลัวสิ ไม่ถึงขั้นนั้นหรอก เจ้าจำไม่ได้เหรอว่ากษัตริย์ยังเป็นพวกของเราอยู่ ต่อให้คนอื่นจับได้ก็ยังมีทางผ่อนผันโทษ โทษใหญ่ๆที่ไม่ถึงตายมันมีอยู่สองอย่างเท่านั้นแหละ คือขังคุกกับเนรเทศ หากข้าถูกเนรเทศก็จะกลับดีใจเสียอีกเพราะได้กลับบ้าน แต่หากถูกขังคุกเจ้าก็ช่วยมาเยี่ยมบ้างแล้วกัน เขาทำตาลอย พูดตามตรง ชีวิตข้าก่อนนี้เป็นชาวป่ามีความลำบากยากเข็ญ ไม่แน่ว่าอยู่ในคุกกินอิ่มนอนหลับอาจสบายกว่าเดิมหลายเท่าด้วยซ้ำ เจ้าเป็นคนดีจริงๆ คีตากล่าว นางยกแขนขึ้นเช็ดตาอยู่สองสามรอบจึงว่า ข้าจะอ้อนวอนพ่อข้าอีกแรง ท่านเป็นเสนาบดี เป็นคนสำคัญมาก ต้องช่วยได้แน่ ทั้งสองเงียบลงอีกคราหนึ่ง เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ในที่สุดสนก็กล่าวว่า เออ เราจะนั่งอยู่อย่างนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ข้าว่าเราออกไปสารภาพผิดแล้วขอเข้าพบกับจักรทัตกันเถอะ นิษาทหนุ่มทำท่าจะลุกขึ้นแต่คีตาดึงแขนของเขาไว้ เดี๋ยว อย่าเพิ่งไป นั่งอยู่ตรงนี้อีกสักครู่เถอะ สนเห็นนางขอบตาแดงก่ำก็สงสารแต่เมื่อมองดูสถานการณ์แล้วจึงว่า ไม่ได้หรอก ที่นี่เป็นเขตห้ามหากเราอยู่นานไปจะไม่ดี ทั้งกับข้าและตัวเจ้าเองด้วย คีตาจนด้วยเหตุผลจึงได้แต่กล่าวว่า เสียดาย ถ้าข้าหัดฤทธิ์มาบ้างบางทีอาจช่วยแปรสภาพร่างเจ้าให้เป็นพรหมทัตได้ แต่นี่เราทั้งคู่ยังมีฤทธิ์ไม่ถึงขั้นด้วยซ้ำ สนได้ยินดังนั้นจึงคิดในใจว่านี่แหละหนาที่ประไพวดีเคยดุว่าเขายังมีความรู้เท่าหางอึ่งแต่กลับไม่ประมาณตนฝ่าเข้ามาในหิมพานต์ หากตอนอยู่เมืองมนุษย์เขาตั้งใจฝึกฤทธิ์ให้แปลงกายได้ก็ดีน่ะสิ แต่เอ๊ะ เดี๋ยว ฝึกเหรอ? สนคิดๆดูเห็นทางรอดขึ้นมาฉับพลันกล่าวว่า ได้การละ! ข้ามีวิธีให้เราไม่ต้องรับโทษแล้ว อะไรหรือ? คีตาถาม ถ้าข้าจำไม่ผิดห้องฝึกฤทธิ์ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่และไม่มียามรักษานี่ จักรทัตบอกว่าถ้าฝึกภายในห้องนี้จะทำให้พลังมโนรุดหน้าขึ้นเร็วกว่าปกติสิบเท่า ตัวข้าเองเคยมีพื้นฐานอาจจะพอฝึกถึงขั้นแปรสภาพได้ แต่มันเสี่ยงไปนะ หากเจ้าทำไม่ได้ขึ้นมาล่ะ ถ้าไม่ได้ก็ถูกลงโทษเท่าเดิม ยังไงเราก็ไม่มีอะไรเสียอีกแล้วนี่ คีตานิ่งตรึกดูในที่สุดก็ผงกหัวเอาตาม เมื่อวางแผนในรายละเอียดเรียบร้อย คีตาจึงออกไปชวนคุยกับบรรณารักษ์ก่อน จวบจนเพลิดเพลินพอให้ลืนตนไปบ้าง สนจึงเดินมุดๆเลียบออกมาด้านข้าง บรรณารักษ์เห็นอีกทีเป็นแต่เงาหลังแล้ว นั่นท่านพรหมทัตจะรีบไปไหนน่ะ? อ๋อ เขาคงเห็นว่าไม่มีหนังสือที่สนใจจึงคิดจะกลับ ปกติท่านก็เงียบๆอย่างนี้แหละ บางทีมาอยู่ข้างๆแล้วข้ายังไม่รู้ตัวเลย แต่ เอ ทำไมดูท่านตัวเล็กไปนะ คีตากล่าวกลบเกลื่อนว่า ไม่หรอก เจ้าตาฝาดไปเองกระมัง ท่านออกมาแล้วก็จัดแจงใส่กุญแจห้องเถิด เมื่อพ้นจากด่านแรกแล้วสนจึงไปหลบอยู่ในจุดปลอดคนที่นัดแนะกับคีตาไว้ สักครู่เมื่อนางมาหาเขาแล้วทั้งสองจึงทำการเคลื่อนที่อย่างช้าๆ โดยที่คีตาเป็นคนดูต้นทางและสนก็ค่อยๆตามไปอย่างพยายามไม่ให้พบกับใครทั้งสิ้น เมื่อถึงห้องฝึกฤทธิ์โดยสวัสดิภาพ ทั้งสองจึงรีบเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว เอ จะฝึกแบบไหนดีนะ? นิษาทหนุ่มมองดูประตูของห้องเล็กทั้งหก คีตากล่าวว่า การแปลงกายไม่ใช่ฤทธิ์ของธาตุไหน เจ้าใช้ห้องสมาธิก็แล้วกัน ทั้งสองจึงเข้าไปในห้องที่เขียนว่า สมาธิ สนจัดแจงนั่งขัดสมาธิบนเบาะที่มีการเตรียมไว้ โดยที่คีตานั่งอยู่ห่างๆทำนองว่าไม่รบกวน สิ่งแวดล้อมในห้องนั้นนิ่งสงบมาก ไม่เย็นไม่ร้อน ไม่มือไม่สว่าง จะว่าไปคือไม่มีอะไรที่ผิดไปจากความเป็นปกติเลย ซึ่งลักษณะเช่นนี้เหมาะกับการสำรวมจิตที่สุด น่าจะไปได้สวยแต่สนนั่งนิ่งๆอยู่พักหนึ่งก็กล่าวว่า
มัน
ยังมีปัญหาอยู่ |