นิยายแฟนตาซีแบบไทย

ศึกหกภพ

โดย เชษฐา

บทที่ 3 อสูรกายภูมิ
(6)


ข้างในอาคารเป็นเหมือนห้องสมุดขนาดย่อม มีหนังสือและเอกสารมากมายจัดวางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ

ทันทีที่มาถึงคีตาก็ตรงไปยังตู้ไม้ตู้หนึ่ง เมื่อเปิดออกปรากฏว่าเป็นที่สำหรับเก็บหนังสือเช่นกัน นางค่อยค้นหนังสือเหล่านั้นอย่างระมัดระวัง

“หาอะไรน่ะ?” สนถาม

“หนังสือของพ่อเล่มหนึ่ง”

“เจ้ารู้หรือว่าอยู่ตรงไหน?”

“ไม่แน่ใจหรอกเวลามันผ่านไปนานมาก สมัยข้าเด็กๆที่นี่เคยเป็นห้องสมุดสำหรับคนในวัง เมื่อพ่อข้ามาอ่านหนังสือก็จะพาข้ามานั่งเล่นด้วยเสมอๆ แต่ภายหลังเมื่อพ่อผลักดันให้จักรทัตขึ้นเป็นกษัตริย์ ท่านได้เปลี่ยนห้องสมุดนี้เป็นที่ส่วนตัว คนนอกแม้แต่ข้าไม่มีสิทธิเข้าเด็ดขาด”

“แล้วเขาทำอย่างนั้นทำไมล่ะ?”

“เข้าใจว่า ในนี้มีหนังสือราชการสำคัญเก็บอยู่ แต่ที่ข้าจะหาไม่ใช่หนังสือพันธุ์นั้นหรอก” นางค้นต่อไป

สนมองไปที่ชั้นวางข้างๆตน มีหนังสือชื่อ ‘การสร้างความเชื่อ’, ‘ว่าด้วยจิตวิทยา’, ‘ลักษณะประชากรของภูมิทั้งหก’ แต่ละชื่อท่าทางจะอ่านยากทั้งนั้น เขาเหลือบไปเห็นหนังสือเล่มเล็กๆที่วางอยู่ในจุดที่โดดเด่นกว่าเล่มอื่น

‘ความแค้นเจ็ดประการ’ เขียนโดย อาโปตะไล

ชื่อประหลาดดีแฮะ สนลองหยิบมาพลิกๆดู หน้าแรกของหนังสือเขียนว่า

“ความแค้นเจ็ดประการ เทพกระทำอสูรกาย พึงจดจำให้มั่น

    ๑.ความแค้นของบรรพบุรุษ
    ๒.ความแค้นของผู้ชาย
    ๓.ความแค้นของผู้หญิง
    ๔.ความแค้นของคนดี
    ๕.ความแค้นของคนถ่อย
    ๖.ความแค้นของสุรา
    ๗.ความแค้นของสุนัข”
“ความแค้นเหล่านี้คืออะไรกัน” เขากล่าวลอยๆ

คีตาเหลียวมามองแวบหนึ่งจึงว่า “อ๋อ นั่นคือต้นฉบับหนังสือที่หลายปีก่อนพ่อทำขึ้นมาแจกให้ประชาชนเก็บไว้คนละเล่ม เป็นเรื่องเกี่ยวกับอุดมการณ์ในการสร้างชาติน่ะ”

“สร้างชาติด้วยความแค้นนี่นะหรือ?”

“ข้าก็ไม่เข้าใจนัก แต่อสูรเรากับพวกเทพต่อสู้กันมานานจนไม่ใช่ของแปลกแล้ว ต่อให้มีความแค้นมากขึ้นอีกนิด อะไรๆมันก็ไม่ได้เปลี่ยนไปหรอก”

สนฟังดูก็เห็นจริง หนังสืออย่างนี้คงไม่ใช่ของใหม่สำหรับพวกอสูร เขาคิด พวกนี้คงดุร้ายพิลึกแฮะถึงต้องสร้างชาติกันด้วยความแค้นเลยทีเดียว

อ่านรายชื่อความแค้นประเภทต่างๆก็พอเดาที่มาที่ไปได้ มีแต่ความแค้นของสุนัขที่สนไม่ค่อยแน่ใจนักว่ามันหมายถึงอะไร อืม… อาจจะแปลว่าพวกเทพดูถูกพวกอสูรเหมือนสุนัขกระมัง อย่างไรก็ตามมันไม่ใช่เรื่องที่เขาจะต้องไปสนใจให้มากความจึงวางหนังสือนั้นกลับเข้าที่เดิม

ในที่สุดคีตาก็พบของที่กำลังหา นางร้องว่า “นี่ไง” พลางหยิบสมุดเล่มหนึ่งที่ดูจะคล้ายแผ่นกระดาษเก่าๆเย็บรวมกันเสียมากกว่าขึ้นมา

“อะไรน่ะ?”

“พักหลังนี้พ่อกับแม่ข้าทะเลาะกันบ่อยจนระหองระแหงถึงขั้นแยกกันอยู่ ข้าจึงคิดจะหาบทกลอนสมัยที่พ่อหนุ่มๆแต่งเกี้ยวแม่ไว้ส่งไปให้ท่านแม่ เผื่อจะทำให้ท่านจะระลึกความหลังคืนดีกันได้”

“เจ้าหาที่อื่นไม่เจอเลยคิดว่าจะต้องอยู่ในนี้”

“ใช่แล้ว ตอนแรกข้าก็ไม่รู้ว่าจะเข้ามาในนี้ได้อย่างไรเหมือนกัน ดีที่พบเจ้าช่วยได้ ขอบคุณมากนะ” คีตากอดสมุดเล่มนั้นแน่นและยิ้มอย่างดีใจที่สุด

สนมองนาง ดูๆไปก็น่ารักเหมือนกันแแฮะ ใครว่าอสูรดุร้ายกันทุกตน อย่างน้อยพวกอสูรหญิงก็…

เวลานั้นคีตาหันกลับมาทางสน “กลับกันเถอะ”

แต่เมื่อนางเห็นหน้านิษาทหนุ่มถึงกับต้องอุทานออกมาด้วยความตกใจว่า “เจ้า หน้าเจ้า…!!”

“หน้าข้ามีอะไรหรือ?”

“เจ้า… ไม่ใช่พรหมทัตแล้ว”

แล้วข้าเป็นพรหมทัตตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ สนยกมือขึ้นเกาหัวอย่างสงสัย รู้สึกลักษณะเส้นผมของตนเปลี่ยนไปมาก ไม่สิ มันเปลี่ยนไปอย่างน่าประหลาดต่างหาก เขาชักรู้สึกไม่ดีจึงลองลูบหนวดเคราตนเองดูก็พบว่ามันอันตรธานไปหมดสิ้นเช่นกัน

6-17-1.jpg

“นี่ข้ากลับเข้าสู่ร่างเดิมแล้ว!” สนร้อง

“ทำไมมันเป็นอย่างนี้ล่ะ?” คีตาถาม

“พลังของฤทธิกันที่เนรมิตร่างข้าไว้อาจจะเสื่อมพอดี” สนตอบตามที่นึกได้ตอนนั้น “ถ้าไม่มีร่างพรหมทัตเราก็กลับปราสาทไม่ได้น่ะสิ!””

“อย่าว่าแต่กลับปราสาทเลย แค่เจ้าคนออกจากห้องนี้โดยไปโดยไม่มีร่างของพรหมทัตก็น่ากลัวจะยากยิ่งแล้ว”

สนไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง “หรือว่าจะให้เจ้าออกไปขอความช่วยเหลือจากจักรทัตก่อน”

คีตาส่ายหน้า “ไม่ได้ ต่อให้ข้าสามารถออกไปจากที่นี่ แต่จะเข้าถึงกษัตริย์ต้องขออนุญาตผ่านยามตั้งไม่รู้กี่ชั้นคงไม่เสร็จเรื่องในวันเดียว”

“อย่างนั้นหากเจ้ากลับไปขอความช่วยเหลือจากประไพวดีที่ปราสาทล่ะ?”

“วังหลวงนี้ไม่ใช่จะเข้าออกกันได้ง่ายๆนะ ข้าลงชื่อไปว่าเป็นผู้ติดตามพรหมทัตจึงสามารถเข้ามาและจะกลับไม่ได้เว้นแต่จะมีพรหมทัตออกไปด้วยกัน นี่หากตกเย็นเจ้ายังไม่กลับที่พักพี่ประไพวดีก็จะขอให้คนในวังก็ช่วยกันตามหา ถึงตอนนั้นจะไม่มีที่ซ่อนอีกต้องถูกจับได้ในที่สุด”

นางคิดไปคิดมาเห็นเป็นทางตันก็ร้องว่า “แย่แล้ว ถ้าใครมาเห็นอย่างนี้ก็ต้องคิดว่าข้าลอบพาผู้ชายเข้ามาน่ะสิ แล้วข้าจะทำอย่างไร!” นางมีสีหน้าตื่นกลัว

แต่สนกลับตื่นกลัวกว่านั้นหลายเท่า “เจ้าไม่เท่าไหร่หรอก ถ้าข้าถูกจับได้ก็มีแต่ต้องโดนประหารแล้ว!”

…ทั้งสองเงียบลง นั่งจ้องหน้ากัน…

“จริงสินะ เจ้ายังอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากกว่าข้านัก…” คีตาเริ่มน้ำตาซึม “หากข้าไม่แอบอ้างเข้ามา ไม่รั้งเจ้าไว้ ให้เจ้ากลับไปหาพี่ประไพวดีทันเวลาก็คงจะไม่เป็นอย่างนี้ …เพราะเข้าเอาแต่ใจแท้ๆเชียว เจ้าถึงต้อง…”

นางร้องไห้ออกมา สนเองไม่รู้จะสงสารใครดีเพราะเขาเองก็กำลังใจสั่นกลัวอยากร้องไห้อยู่เช่นกัน

เอาวะ สงสารตัวเองก็ไม่มีประโยชน์ สู้ปลอบให้คีตากลับมาตั้งสติได้ก่อนดีกว่า

เขาจึงจับไหล่นางกล่าวว่า “ไม่เอาน่า อย่าพึ่งร้อนรนไป เจ้านี่เป็นเด็กกว่าที่ข้าคิดนะ”

“แต่… เจ้า… เจ้าจะต้องโดนประหาร…” หญิงสาวกล่าวทั้งน้ำตานองหน้า

“อย่าพูดให้กลัวสิ ไม่ถึงขั้นนั้นหรอก เจ้าจำไม่ได้เหรอว่ากษัตริย์ยังเป็นพวกของเราอยู่ ต่อให้คนอื่นจับได้ก็ยังมีทางผ่อนผันโทษ”

“…”

“โทษใหญ่ๆที่ไม่ถึงตายมันมีอยู่สองอย่างเท่านั้นแหละ คือขังคุกกับเนรเทศ หากข้าถูกเนรเทศก็จะกลับดีใจเสียอีกเพราะได้กลับบ้าน แต่หากถูกขังคุกเจ้าก็ช่วยมาเยี่ยมบ้างแล้วกัน” เขาทำตาลอย “พูดตามตรง ชีวิตข้าก่อนนี้เป็นชาวป่ามีความลำบากยากเข็ญ ไม่แน่ว่าอยู่ในคุกกินอิ่มนอนหลับอาจสบายกว่าเดิมหลายเท่าด้วยซ้ำ”

“…เจ้าเป็นคนดีจริงๆ” คีตากล่าว นางยกแขนขึ้นเช็ดตาอยู่สองสามรอบจึงว่า “ข้าจะอ้อนวอนพ่อข้าอีกแรง ท่านเป็นเสนาบดี เป็นคนสำคัญมาก ต้องช่วยได้แน่”

ทั้งสองเงียบลงอีกคราหนึ่ง เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ในที่สุดสนก็กล่าวว่า

“เออ เราจะนั่งอยู่อย่างนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ข้าว่าเราออกไปสารภาพผิดแล้วขอเข้าพบกับจักรทัตกันเถอะ”

นิษาทหนุ่มทำท่าจะลุกขึ้นแต่คีตาดึงแขนของเขาไว้ “เดี๋ยว อย่าเพิ่งไป นั่งอยู่ตรงนี้อีกสักครู่เถอะ…”

สนเห็นนางขอบตาแดงก่ำก็สงสารแต่เมื่อมองดูสถานการณ์แล้วจึงว่า “ไม่ได้หรอก ที่นี่เป็นเขตห้ามหากเราอยู่นานไปจะไม่ดี ทั้งกับข้าและตัวเจ้าเองด้วย”

คีตาจนด้วยเหตุผลจึงได้แต่กล่าวว่า “เสียดาย ถ้าข้าหัดฤทธิ์มาบ้างบางทีอาจช่วยแปรสภาพร่างเจ้าให้เป็นพรหมทัตได้ แต่นี่เราทั้งคู่ยังมีฤทธิ์ไม่ถึงขั้นด้วยซ้ำ”

สนได้ยินดังนั้นจึงคิดในใจว่านี่แหละหนาที่ประไพวดีเคยดุว่าเขายังมีความรู้เท่าหางอึ่งแต่กลับไม่ประมาณตนฝ่าเข้ามาในหิมพานต์ หากตอนอยู่เมืองมนุษย์เขาตั้งใจฝึกฤทธิ์ให้แปลงกายได้ก็ดีน่ะสิ …แต่เอ๊ะ เดี๋ยว …ฝึกเหรอ?

สนคิดๆดูเห็นทางรอดขึ้นมาฉับพลันกล่าวว่า “ได้การละ! ข้ามีวิธีให้เราไม่ต้องรับโทษแล้ว”

“อะไรหรือ?” คีตาถาม

“ถ้าข้าจำไม่ผิดห้องฝึกฤทธิ์ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่และไม่มียามรักษานี่ จักรทัตบอกว่าถ้าฝึกภายในห้องนี้จะทำให้พลังมโนรุดหน้าขึ้นเร็วกว่าปกติสิบเท่า ตัวข้าเองเคยมีพื้นฐานอาจจะพอฝึกถึงขั้นแปรสภาพได้”

“แต่มันเสี่ยงไปนะ หากเจ้าทำไม่ได้ขึ้นมาล่ะ”

“ถ้าไม่ได้ก็ถูกลงโทษเท่าเดิม ยังไงเราก็ไม่มีอะไรเสียอีกแล้วนี่”

คีตานิ่งตรึกดูในที่สุดก็ผงกหัวเอาตาม

เมื่อวางแผนในรายละเอียดเรียบร้อย คีตาจึงออกไปชวนคุยกับบรรณารักษ์ก่อน จวบจนเพลิดเพลินพอให้ลืนตนไปบ้าง สนจึงเดินมุดๆเลียบออกมาด้านข้าง บรรณารักษ์เห็นอีกทีเป็นแต่เงาหลังแล้ว

“นั่นท่านพรหมทัตจะรีบไปไหนน่ะ?”

“อ๋อ เขาคงเห็นว่าไม่มีหนังสือที่สนใจจึงคิดจะกลับ ปกติท่านก็เงียบๆอย่างนี้แหละ บางทีมาอยู่ข้างๆแล้วข้ายังไม่รู้ตัวเลย”

“แต่ เอ ทำไมดูท่านตัวเล็กไปนะ”

คีตากล่าวกลบเกลื่อนว่า “ไม่หรอก เจ้าตาฝาดไปเองกระมัง ท่านออกมาแล้วก็จัดแจงใส่กุญแจห้องเถิด”

เมื่อพ้นจากด่านแรกแล้วสนจึงไปหลบอยู่ในจุดปลอดคนที่นัดแนะกับคีตาไว้ สักครู่เมื่อนางมาหาเขาแล้วทั้งสองจึงทำการเคลื่อนที่อย่างช้าๆ โดยที่คีตาเป็นคนดูต้นทางและสนก็ค่อยๆตามไปอย่างพยายามไม่ให้พบกับใครทั้งสิ้น

เมื่อถึงห้องฝึกฤทธิ์โดยสวัสดิภาพ ทั้งสองจึงรีบเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว

“เอ… จะฝึกแบบไหนดีนะ?” นิษาทหนุ่มมองดูประตูของห้องเล็กทั้งหก

คีตากล่าวว่า “การแปลงกายไม่ใช่ฤทธิ์ของธาตุไหน เจ้าใช้ห้องสมาธิก็แล้วกัน”

ทั้งสองจึงเข้าไปในห้องที่เขียนว่า ‘สมาธิ’ สนจัดแจงนั่งขัดสมาธิบนเบาะที่มีการเตรียมไว้ โดยที่คีตานั่งอยู่ห่างๆทำนองว่าไม่รบกวน

สิ่งแวดล้อมในห้องนั้นนิ่งสงบมาก ไม่เย็นไม่ร้อน ไม่มือไม่สว่าง จะว่าไปคือไม่มีอะไรที่ผิดไปจากความเป็นปกติเลย ซึ่งลักษณะเช่นนี้เหมาะกับการสำรวมจิตที่สุด น่าจะไปได้สวยแต่สนนั่งนิ่งๆอยู่พักหนึ่งก็กล่าวว่า

“มัน… ยังมีปัญหาอยู่”
........................... (อ่านต่อ)


กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป 1