นิยายแฟนตาซีแบบไทย

ศึกหกภพ

โดย เชษฐา

บทที่ 3 อสูรกายภูมิ
(7)


สิ่งแวดล้อมในห้องนั้นนิ่งสงบมาก ไม่เย็นไม่ร้อน ไม่มือไม่สว่าง
จะว่าไปคือไม่มีอะไรที่ผิดไปจากความเป็นปกติเลย
ซึ่งลักษณะเช่นนี้เหมาะกับการสำรวมจิตที่สุด
ทุกอย่างน่าจะไปได้สวยแต่สนนั่งนิ่งๆอยู่พักหนึ่งก็กล่าวว่า “มัน…
ยังมีปัญหาอยู่”

“อะไรล่ะ?”

“เมื่อก่อนตอนที่ข้าฝึกฤทธิ์ใหม่ๆใช้วิธีเพ่งสมาธิไปที่แสงสว่าง
แต่ในนี้ไม่มีอะไรเลย ไม่รู้จะเพ่งจิตไปตรงไหนดี”

“อ้าว แค่เพ่งจิตแค่นี้ต้องหาของด้วยเหรอ เจ้านึกถึงอะไรสักอย่างสิ”

สนส่ายหน้า “ตอนนี้กำลังตื่นเต้น ถ้าพยายามนึกจะยิ่งกดดันใหญ่”

คีตาคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า
“ได้ยินว่าพวกพราหมณ์เมืองมนุษย์บางคนทำสมาธิโดยการสวดมนต์
หรือเจ้าจะลองสวดดู”

“โอย นั่นมันเรื่องของพวกพราหมณ์เขา ข้าเป็นคนป่า ไม่ได้รับอนุญาตให้สวดหรอก
ไม่รู้จักบทสวดสักอย่างด้วย”

“นึกคำสักอย่างมาท่องก็ได้นี่นา”

“ตอนนี้นึกไม่ออกเจ้าช่วยหน่อยสิ”

คีตาคิดในใจว่าผู้ชายอะไรเรื่องมากจริง
แต่เนื่องจากนางเป็นคนทำให้เขาเดือดร้อน จึงต้องช่วยคิด “นึกได้แล้ว
ข้ามีสมุดรวมบทกวีของพ่อที่แอบหยิบติดมาด้วย
เดี๋ยวจะลองอ่านให้เจ้าฟังสักบทหนึ่ง”

นางหยิบสมุดขึ้นมาพลิกอ่านเป็นโคลงว่า

“ นวลพักตร์เจ้าสล้าง      ปรางทอง
เนตรเจ้าคือครรลองแห่งฟ้า
นิ่มเจ้าดังละอองสุธา ละเอียด
น้ำใจเจ้าหวังข้าคู่หล้า ควรเคียง”

สนฟังแล้วส่ายศีรษะ “โคลงนี้มีไว้เกี้ยวสาว จะใช้ทำสมาธิได้อย่างไร”

คีตาพ้อว่า
“เจ้าก็รู้อยู่ว่าเป็นเวลาคับขันยังจะเอาเลือกเอาอย่างโน้นอย่างนี้อีก
ไม่รู้ละ ข้าช่วยเจ้าได้เท่านี้แหละ” กล่าวดังนั้นก็ผินหน้าไปอีกทางหนึ่ง

สนเห็นหญิงสาวมีท่าทีแง่งอนหากปล่อยเช่นนี้ต่อไปจะไม่เป็นการจึงกล่าวปลอบว่า
“โธ่ ไม่เอาน่าอย่าพึ่งโกรธไปสิ ก็ได้ เอ่อ… โคลงบทนั้นน่ะ
เจ้าลองว่าให้ข้าฟังอีกทีสิ”

คีตาจึงอ่านให้สนฟังอีกเที่ยว นิษาทหนุ่มขัดสมาธิท่องตามไปว่า
“ นวลพักตร์เจ้าสล้าง      ปรางทอง
เนตรเจ้าคือครรลองแห่งฟ้า
นิ่มเจ้าดังละอองสุธา ละเอียด
น้ำใจเจ้าหวังข้าคู่หล้า ควรเคียง”

เขาเอื้อนซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบทั้งยังกำหนดนึกในใจสำทับไปบ่อยๆว่า
“เราต้องการฝึกฤทธิ์ทางแปรสภาพ”

ในที่สุดสมาธิจึงเริ่มก่อตัวขึ้น ทำนองสนที่ว่าโคลงค่อยๆช้าลง
จนในที่สุดฟังคล้ายเป็นบทสวดอันเยือกเย็น
เขาสำนึกรู้ว่าบัดนี้ตนเองกำลังเข้าสู่การวิปัสสนาแล้ว

...แต่เดี๋ยว ไม่ใช่สิ ไม่ใช่วิปัสสนา สติเขาเริ่มเลือนรางลงเรื่อยๆ
เขากำลังไม่รู้สึกตัว กำลังเข้าสู่ภวังค์ต่างหาก!!

หมายความว่าเขากำลังจะหลับไปโดยที่มิได้ง่วงหรือ เป็นไปได้อย่างไร
เท่าที่ผ่านมาเวลาทำสมาธิไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้นี่นา
หรือเป็นเพราะอาถรรพ์ของห้อง?
สนคิดเพียงเท่านี้ก็คงสติไว้ไม่ได้
จิตค่อยๆปล่อยวางลงจนกระทั่งสำนึกสุดท้ายดับวูบไป

วินาทีหนึ่งผ่านพ้น นาทีหนึ่งผ่านพ้น ชั่วโมงหนึ่งผ่านพ้น
เป็นวัน เป็นเดือน เป็นปี

ในขณะนั้นวินาทีหนึ่งกับหลายสิบปีแทบจะเรียกได้ว่าไม่แตกต่างกันเลย

นิษาทหนุ่มตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบตนเองอยู่ในป่า
“สติของเรากลับมาแล้วหรือ?” เขาสำรวจดูรอบๆตัว

มันเป็นป่าที่เขียวชอุ่ม มีความสดชื่นของกลิ่นพืชไพรลอยมาแตะจมูก
ที่จริงกลิ่นเป็นที่คุ้นเคยยิ่งนัก
เมื่อสังเกตให้ละเอียดก็พบว่าป่านี้คือป่าที่อยู่ของพวกนิษาทนั่นเอง
หากแต่ต่างกันเล็กน้อยตรงที่อุดมสมบูรณ์กว่ามาก
...หรือมันจะเป็นป่าช่วงที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดซึ่งไม่ได้ปรากฏมานานแล้ว

“นี่คล้ายเวลาเมื่อเรายังเด็ก” เขากล่าวกับตัวเอง ใช่แล้ว
เป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์ที่สุด เป็นช่วงที่เขามีความสุขที่สุดตั้งแต่จำความได้

สนลองก้มลงดูแขนขาตน
เป็นร่างวัยเด็กจริงๆนั่นแหละ
เมื่อพิจารณาดูก็เข้าใจว่าตนกำลังอยู่ในมโนภาพของห้องฝึกฤทธิ์นั่นเอง

สนคิด
นี่แปลได้อีกอย่างว่าหากมโนภาพนี้ไม่ผิดเพี้ยนตัวเขาต้องอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านนิษาทนักสินะ


เขาจึงลองเดินไปตามทางไปหมู่บ้าน ยิ่งเข้าใกล้เขายิ่งรู้สึกคุ้นเคย นั่น
เห็นรั้วไม้ของหมู่บ้านแล้ว เป็นหมู่บ้านเราจริงๆ
เมื่อก้าวเข้าไปข้างในเขาก็พบกันนิษาทหลายคนกำลังทำกิจวัตรประจำวันของตนอยู่

อา... เราจำได้ นั่นบ้านของยายเจียมสินะ ใช่แล้ว
ดูจากแดดตอนนี้เป็นช่วงเย็นยายเจียมกำลังหุงหาอาหารตามปกติของแก
บ้านทางซ้ายเป็นบ้านของพ่อทอง นั่นพ่อทองกำลังลับมีด
ถัดไปก็มีตามากนั่งแล่เนื้ออยู่

...เอ๊ะ ผิดปกติอยู่นะ
ตามากถูกสัตว์ประหลาดของพวกอสูรฆ่าตายไปตั้งนานแล้วมิใช่หรือ?

เขาเข้าไปคุยกับชายชรา “ตามาก…”
“ทำไมหรือไอ้สน” ตามากกล่าว
“ตา… เอ่อ ตากำลังทำอะไรอยู่น่ะ”
“เอ็งมีตาก็มองสิวะ ข้าก็นั่งแล่เนื้ออย่างเคยนั่นแหละ”

“ตายังไม่ตาย!!”
“บ๊ะ ไอ้นี่ อยู่ๆมาแช่งข้า เดี๋ยวเถอะเดี๋ยวๆ อยู่ใกล้ๆ เดี๋ยวปั๊ด”
ตามากร้อง แต่สนกลับโผไปกอดชายชราไว้ด้วยความดีใจ
“ตาไม่ตายแล้ว ไชโย ตาไม่ตายแล้ว!”
“เอ... ไอ้นี่ เอ็งเป็นอะไรของเอ็งวะ” ตามากกล่าวงงๆ

สนเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ “พ่อแม่ข้าล่ะ พ่อแม่ข้ายังอยู่ใช่ไหม?” เขาร้อง
“เออ พ่อแม่เอ็งก็อยู่ที่บ้านเอ็งสิวะ”

สนฉีกยิ้มกว้างที่สุด “ขอบใจมากตา” เขาหัวเราะวิ่งรี่กลับบ้านตนทันที
ปล่อยให้ตามากเกาหัวแกรกๆด้วยความสงสัย

เมื่อสนไปถึงบ้าน แม่บัวทำหน้าดุทันทีที่เห็นเขา “ไอ้สน
วันนี้เอ็งตามไอ้เยื้องกับไอ้น้อยไปเล่นถึงไหนจนเย็นย่ำป่านนี้ค่อยกลับมาฮึ
รู้ไหมเอ็งทำให้แม่เป็นห่วงแทบตาย”

แต่คำเหล่านั้นสนไม่ได้ยินแล้ว “แม่!!!!” น้ำตาของสนไหลทะลักออกมา
วิ่งเข้าไปกอดเท้ามารดาแน่น

“อะไรกันสน ทำไมอยู่ๆก็ร้องไห้ หรือว่าใครรังแกเอ็ง” แม่บัวกล่าวด้วยความวิตก

“ไม่มี… ไม่มีทั้งนั้น ข้าแค่คิดถึงแม่เท่านั้นเอง”
แม่บัวมีสีหน้าไม่ไว้วางใจนัก หันไปพูดว่า “พ่อแสงมาดูหน่อยสิ
ไอ้สนมันเป็นอะไรของมันก็ไม่รู้”

พ่อแสง ...พ่อเหรอ?

ชายฉกรรจ์คนหนึ่งเดินออกมาจากในกระท่อม “สนเอ๊ย เอ็งโตไม่น้อยแล้ว
อย่าทำตนเป็นลูกแหง่ไปหน่อยเลย” น้ำเสียงคุ้นเคยนั้นแฝงด้วยความเมตตา

“พ่อ!!!” สนได้แต่ร้องไห้ ร้องไห้ด้วยความดีใจ

บิดามารดาทั้งสองเห็นลูกตนอยู่ในอาการผิดปกติก็เป็นห่วงจึงเข้าไปซักถามปลอบโยน

พ่อแสงว่า “นี่สน เอ็งไม่สบายหรือ?
หรือว่าเอ็งไปทำผิดอะไรมาแล้วกลัวพ่อแม่จะดุ เฮ้อ เด็กโง่เอ้ย
มีอะไรค่อยพูดกันทีหลังก็ได้ เอ็งไปพักผ่อนก่อนเถอะ”

แม่บัวกอดลูกไว้ด้วยความรัก “ใช่ ทำอย่างที่พ่อเขาพูดเถิด พักให้สบาย
เดี๋ยวแม่จะไปหาอะไรมาให้ทาน”

เวลานั้นสนรู้เพียงแต่ตนเองเป็นสุขที่สุด ถ้านี่เป็นมโนภาพ
เขายังปรารถนาจะอยู่ในนี้ตลอดกาลมากกว่าจะตื่นขึ้นอีก
ไม่นึกว่าห้องฝึกฤทธิ์ของจักรทัตจะวิเศษขนาดนี้
ชีวิตที่ไม่ต้องมีการตายการพรากจากกัน
ทุกสิ่งทุกอย่างยั่งยืนจะเป็นสุขเพียงไหนหนอ
6-18-1.jpg
“เฮอะ เจ้าคิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นของจริงหรือ?”

เสียงหนึ่งดังขึ้น

สนเคยได้ยินเสียงนี้ เขาหันหน้าไปกลับพบกันฤทธิกันเดินเข้ามาในกระท่อม

ฤทธิกันหรือ?

ฤทธิกันมาที่นี่ได้อย่างไร? ฤทธิกันเกี่ยวข้องอะไรกับหมู่บ้านแห่งนี้?
เขาน่าจะเป็นนิษาทคนเดียวที่เคยพบฤทธิกันนี่นา?
หรืออสูรตนนี้เป็นสัญลักษณ์ของอะไรบางอย่างในความทรงจำของเขา?
นิษาทหนุ่มเหงื่อกาฬแตกโทรม ได้ยินแต่เสียงฟันกระทบกัน

ฟันกระทบกัน? นี่เขากำลังกลัวอยู่หรือ?

กลัวอะไรกันแน่? กลัวฤทธิกัน? ไม่ใช่นี่
...ถ้าอย่างนั้นเขากำลังกลัวอะไรกันแน่!?

ฤทธิกันกล่าวต่อว่า “เจ้าเข้าใจว่ากายเนื้อของเจ้าเป็นของจริง จะบอกให้
ในโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นแก่นสารของจริงหรอก...”

“หยุดพูด อย่าพูดอีก!!!”
สนตาเหลือกโพรงยกมือขึ้นปิดหูตนเองแต่อสูรตนนั้นก็ยังคงกล่าวไปเรื่อยๆ

“ทุกอย่างเป็นเพียงความฝัน
เจ้าเคยได้ยินตำนานเรื่องพระพรหมสร้างโลกด้วยการหลับฝันไหม?
ไม่ว่าจะเป็นอาคารแห่งนี้ ผืนดินผืนฟ้า
หรือแม้แต่ร่างกายของเจ้าและข้าก็ล้วนแต่เป็นจินตนาการในฝันของพระพรหมทั้งสิ้น”


“หยุดพูด ไอ้สัตว์!!!” สนถลันเข้าบีบคอฤทธิกันเอาไว้โดยแน่น
แล้วเอากำปั้นชกเข้ากรามของอสูรตนนั้นเต็มแรงจนฟันหักออกมาสองซี่
“เอ็งจะหยุดปากได้หรือยัง!!!” นิษาทหนุ่มตะคอกอย่างดุดัน

ฤทธิกันเลือดกบปากไม่อาจเจรจาได้อีกแต่ยังคงชูนิ้วชี้หน้าฝ่ายตรงข้าม

สนพบว่าตัวเองกลับสู่ร่างผู้ใหญ่ตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบ เมื่อดูฤทธิกันอีก
ปรากฏคราวนี้ว่าสายตาของเสนาอสูรมองไปทางข้างหลังของเขา
เขาเกิดความประหวั่นอย่างบอกไม่ถูก ค่อยๆหันไปทั้งๆที่ใจยังกล้าๆกลัวๆ

พ่อแม่ของเขา... บัดนี้มีร่องรอยแก่ชราลงเล็กน้อย
ทั้งสองกำลังก้าวขึ้นบนเก้าอี้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ข้างบนมีเชือกแขวนเอาไว้กับขื่อตอนปลายผูกเป็นห่วงเล็กๆห่วงหนึ่ง
ดูปราดเดียวก็รู้ว่าทั้งสองกำลังจะทำอัตวินิบาตกรรม!

“ฮาฮาฮา ...ฮาฮาฮา” ฤทธิกันหัวเราะ
เลือดและน้ำเหลืองกระเซ็นออกจากทวารทั้ง๗เป็นที่น่าสยดสยองนัก
ร่างของเสนาอสูรค่อยๆเหี่ยวย่นลงเป็นคนแก่ แก่ขึ้นเรื่อยๆ จนเน่าเปื่อย
จนแห้งกรัง จนเป็นโครงกระดูก แต่ปากของโครงกระดูกนั้นก็ยังหัวเราะอยู่

“อะ... อึก” สนครางในลำคอ
เขากลัวมาก แต่คิดได้ว่าต้องช่วยพ่อแม่ก่อน
นิษาทหนุ่มรีบวิ่งกลับไปยับยั้งบิดามารดาของตน

“พ่อ ...แม่ อย่าพึ่ง...!!!” แต่เมื่อถึงจุดที่ทั้งสองท่านยืนอยู่
สนกลับวิ่งทะลุผ่านตัวไปเฉยๆ
เขาหันกลับมาอีกที เป็นภาพพ่อแสงกับแม่บัวยิ้มให้เขาอย่างมีความสุข
ซากศพฤทธิกันก็ยังคงหัวเราะ ฮาฮาฮา ฮาฮาฮา

“ไม่นะ...” สนร้อง
“ไม่!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”

เพล้ง!!!

6-18-2.jpg
...

...

...

ทุกอย่างแตกออก พ่อ แม่ บ้าน ป่า ท้องฟ้า

ความเป็นจริง

สนมองไปรอบๆ ไม่มีอะไรเหลือทั้งสิ้น
ทุกอย่างกลายเป็นสีดำมืดๆที่เคว้งคว้างไร้ขอบเขต

ไม่สิ แม้แต่สีดำก็อาจไม่มี

“...” นิษาทหนุ่มอ้ำอึ้งไปพักหนึ่ง เขาไม่ทราบว่าตอนนี้เขาควรดีใจ เสียใจ
โกรธ กลัว หรือร้องไห้กันแน่

บางทีมันอาจเป็นเช่นนี้แต่แรก เป็นความว่างเปล่า

โลกคือสิ่งพระพรหมจินตนาการขึ้นมา และที่สุดโลกก็ต้องกลับสู่ความว่างเปล่า
ความนิ่ง ความสงบอันเป็นศูนย์

เวลานั้นเสียงของฤทธิกันดังแทรกเข้ามาในหูของสนว่า

“และด้วยหลักการเดียวกันที่ว่ามโนคือพลังความคิดที่อาจบันดาลสิ่งต่างๆให้เป็นไปได้นี่เอง...”

อะไรบางอย่างทำให้สนหลับตาลงจิตกำลังค่อยๆกลับเข้าสู่ภวังค์
“...หากเราฝึกมโนให้มีฤทธิ์มากพอจึงย่อมจินตนาการเสกให้สิ่งต่างๆเป็นอย่างใจได้เช่นกัน”







เวลาไหลย้อนกลับ จากปีเป็นเดือน เป็นวัน เป็นปี เป็นวินาที

สนตื่นขึ้นมาเพราะคีตาเขย่าตัวเขา “ตื่น ตื่นได้แล้ว
เจ้ายังจะหลับอยู่ได้อย่างไร”

นิษาทหนุ่มค่อยๆรู้สึกตัว
มองซ้ายมองขวาก็พบว่าตนกลับเข้ามาสู่ห้องฝึกมโนดังเดิม
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้ากำลังหลับอยู่?” เขาถาม

“ก็เห็นเจ้าท่องโคลงอยู่ดีๆกลับคอพับไปเฉยๆอย่างนั้นใครจะไม่รู้ล่ะ”
คีตากล่าวอย่างไม่พอใจ

สนไม่ว่ากระไรลุกขึ้นช้าๆ แล้วเดินไปลูบผนังห้อง “ข้าเข้าใจแล้ว
...ห้องนี้เป็นห้องพิเศษจริงๆ”
คีตางุนงงกับท่าทีของเขา “เจ้าพูดอะไรอยู่กันแน่?”

“คนสร้างห้องนี้คงลงอาคมเอาไว้สำหรับฝึกฤทธิ์ในหลายๆแนวทาง
พอข้าตั้งจิตว่าอยากฝึกฤทธิ์ทางแปรสภาพ รหัสหนึ่งของห้องก็เปิดออก
จิตจึงหลุดเข้าไปในกลไกของอาคมที่ถูกตั้งไว้แต่แรก” สนกล่าว
“หมายความว่าที่เจ้าเหมือนกับหลับนั้นคือเป็นการที่จิตหลุดลอยไป”

“ใช่” สนยิ้ม
“ข้าเข้าใจคำที่ว่าห้องนี้สามารถทำให้คนฝึกฤทธิ์มีความก้าวหน้าเร็วขึ้นสิบเท่าแล้ว
ก้าวหน้าในความหมายนี้ไม่ได้หมายถึงก้าวหน้าทางสมาธิ
แต่เป็นการก้าวหน้าทางปัญญา
คือเมื่อเราสามารถเข้าใจถึงเนื้อหาของจิตเพิ่มขึ้นอีกบางส่วน
ก็เปรียบเหมือนกับเข้าใจแก่นของวิชาความรู้ขึ้นอีกระดับหนึ่งทำให้มีฤทธิ์ได้เร็วขึ้น”


คีตาไม่ค่อยเข้าใจนักจึงถามอีกว่า “ในภวังค์นั้นเจ้าพบอะไรหรือ?”

“ข้าพบกับสิ่งที่ข้ารักที่สุด ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงและความพลัดพรากจากกัน
จากนั้นจึงได้เห็นว่าพื้นฐานทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเพียงมายาความว่างเปล่า
สิ่งเหล่านี้ทำให้ข้าเกิดความเชื่อมั่นว่าทุกสิ่งเป็นมายาที่ถูกกำหนดขึ้น
และเราสามารถใช้มโนเปลี่ยนแปลงมายาต่างๆได้”

คีตาฟังถึงตรงนี้จึงเห็นจริงด้วย “ใช่แล้ว
ความเชื่อนี่เองเป็นตัวทำให้เกิดฤทธิ์ ถ้าเชื่อว่าจะทำได้ก็ต้องทำได้
หลักการนี้เหมือนกับง่ายๆแต่ที่จริงยากหนักหนา”

นางกล่าวเสียงใส “เจ้าลองแปลงเป็นพรหมทัตดูสิ”

สนผงกหัวรับคำ เขาหลับตาสำรวมใจสักครู่ร่างก็ค่อยๆเปลี่ยนไป

คีตายืนเอาใจช่วยอย่างตื่นเต้น พรหมทัต พรหมทัต พรหมทัต
ในที่รูปกายของพญาอสูรจึงปรากฏออกมาอย่างชัดเจน

“ไชโย!!” คีตาร้อง “เราทำสำเร็จแล้ว” นางจับมือสนพลางยิ้มอย่างดีใจที่สุด

สนยิ้มตอบ “...ข้าเหมือนหรือเปล่า”

คีตาหยุดพิจารณาดูแล้วจึงกล่าวว่า “อาจจะผอมไปหน่อย
แต่ไม่เป็นไรไม่มีใครจับได้หรอก เจ้าเยี่ยมมากเลยนะ
ทีนี้เราก็รีบออกจากที่นี่ก่อนที่พี่ประไพวดีจะเป็นห่วงกันดีกว่า”
นางดึงสนไปทางประตู

สำเร็จหรือ สนรู้สึกดีใจเช่นกัน
อย่างไรก็ตามเขายังใคร่ครวญถึงมโนภาพที่พบเมื่อครู่อยู่

ทุกอย่างเป็นภาพลวงตาใช่ไหม?

ใช่มันเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว

แต่หากเป็นเช่นนั้นแล้วเขากำลังทำอะไรอยู่?

เขากำลังแปลงกายเพื่อหนีโทษ
แต่ถ้าหากเขาถูกทำโทษจะเป็นอย่างไรล่ะ?
ถ้าเขาถูกประหาร อย่างมากก็แค่วิญญาณออกจากร่างไปเกิดใหม่
หลุดจากภาพลวงตาหนึ่งไปสู่อีกภาพลวงตาหนึ่งเท่านั้น

แล้วเราจะอยู่ไปเพื่ออะไร?

ขณะนั้นสนมองเห็นคีตาที่กำลังยิ้มแย้ม เขารู้สึกว่าใบหน้าของนางช่างงดงาม
เป็นความงดงามอันบริสุทธิ์จนกระทั่งเขาเกิดความอบอุ่นในใจ

นิษาทหนุ่มค่อยละความคิดจากคำถามในสมองไปได้
จะมากจะน้อยมายาเหล่านี้พระเจ้าเป็นผู้สร้างขึ้น
เมื่อท่านให้เราเกิดมาอยู่ในมายาเหล่านี้แล้วก็แสดงว่าต้องการให้เราทำหน้าที่บางอย่าง
พระองค์ย่อมมีเมตตาต่อเรา ดังนั้นเราไม่ควรจะคิดอะไรสั้นๆ
แต่ควรจะค้นหาและทำหน้าที่นั้นให้บรรลุตามเจตนารมย์ของพระองค์ต่างหาก

คีตาเปิดประตูห้องออกเมื่อเหลียวกลับมาเห็นสนมองนางไม่วางตาก็เกิดความอายกล่าวว่า
“เจ้ามองข้าทำไม?”

“เอ่อ... ปะ เปล่าไม่มีอะไรหรอก”
สนรู้ว่าเสียมารยาทจึงแสร้งกล่าวกลบเกลื่อนว่า “ข้ากำลังคิดว่าพ่อของเจ้า
อาโปตะไลน่ะ ท่าทางเขาเป็นคนสำคัญของภพอสูรเหลือเกิน
เลยสงสัยว่าที่เขาออกไปข้างนอกนี้กำลังไปทำงานอะไรอยู่?”

“อืม เห็นว่าท่านไปทำเรื่องอะไรสักอย่างในป่าหิมพานต์
แต่มันเป็นความลับของทางราชการเขาน่ะ ข้าไม่ทราบรายละเอียดหรอก” คีตาตอบ

ทั้งสองจึงออกจากห้องฝึกมโนไปด้วยกัน

... ... ...

ปากทางเข้าป่าหิมพานต์ เวลากลางคืน

พระภูมิเทวดาสององค์กำลังคุยกันอยู่
เทวดาหน้าขาวกล่าวว่า “ข้าได้ข่าวว่าเจ้าอาโปตะไลเสนาบดีต่างประเทศของพวกอสูร
มันมาทำอะไรสักอย่างในป่าหิมพานต์นี่”

“อืม” เทวดาหน้าดำรับ สายตาจ้องมองท้องฟ้า

“ระยะหลังพวกอสูรอันธพาลในป่านี้ก็หายไปเกือบหมด
เจ้าว่ามันเรื่องนี้มันเกี่ยวเนื่องกันหรือไม่ล่ะ”

“อืม” เทวดาหน้าดำยังคงจ้องท้องฟ้าอยู่

“นี่เจ้าคุยกับข้าบ้างสิ ไม่ใช่อะไรก็อืม อืม แล้วจ้องท้องฟ้าอยู่ได้
ดูสิคืนนี้ท้องฟ้าไม่สวยหรอก ดาวก็ไม่มีพระจันทร์ก็ไม่มี” เทวดาหน้าขาวบ่น

“เจ้าอยากให้ข้าพูดอะไรล่ะ?”

“ก็มาช่วยกันออกความเห็นหน่อยสิว่าพวกอสูรกำลังทำอะไรอยู่
มันน่าสงสัยไม่ใช่หรือ?”

“สงสัยว่า...”

“ไม่รู้สิ มันอาจจะหาเรื่องยกพวกตีกันเองหรือกลับเมืองไปหาเมีย
ยังไงซะพวกมันก็คงไม่ฉลาดพอที่จะทำอะไรมากกว่านั้นหรอก”

“อืม”

“อืมอีกแล้ว นี่เจ้าพูดคำอื่นไม่เป็นเชียวหรือ?”

“ข้าว่าพวกอสูรฉลาดกว่าที่เจ้าคิดนะ”

“เฮอะ ข้าเป็นพระภูมิอยู่ที่นี่มาก่อนเจ้า เห็นอสูรมานักต่อนักแล้ว
พวกมันส่วนมากโง่เง่าและป่าเถื่อน
ไม่เชื่อเดี๋ยวพรุ่งนี้ข้าจะไปจับมาให้เจ้าดูสักตัวสองตัวก็ได้”

“ไหนเจ้าว่าอสูรในป่านี้หมดแล้วไงล่ะ?”

“ใครว่าข้าจะจับมาจากป่าล่ะ ข้าจะบุกไปถึงอสูรกายภูมิให้ดูโว้ย
จับได้อสูรสาวๆสวยๆแล้วเรามาแบ่งกัน”

“อืม”

เทวดาหน้าขาวเห็นฝ่ายตรงข้ามไม่รับบทสนทนาต่อไปแล้วก็ถอนหายใจจึงเดินมานั่งข้างๆ
“ก็ได้ๆ ข้าจะดูท้องฟ้าเป็นเพื่อนเจ้า
อยากรู้เหมือนกันว่ามันมีอะไรสวยหนักหนาถึงได้มองอยู่นั่นแหละ”

ครู่หนึ่งผ่านไปทั้งสองก็เห็นลูกไฟลูกหนึ่งส่องประกายเจิดจ้าพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า


“เฮ้ยนั่นมันอะไรวะ!!?” เทวดาหน้าขาวลุกขึ้นจ้อง

“นั่นคือพลุสัญญาณไฟของพวกอสูร” เทวดาหน้าดำตอบ
“ที่คืนนี้ไม่มีดวงจันทร์และดวงดาวเพราะอสูรที่มีฤทธิ์บางตนได้ร่ายเวทย์บังท้องฟ้าเอาไว้
ดังนั้นจะมีแต่คนในป่าหิมพานต์ที่เห็นพลุนี้ได้
คนภายนอกมองเข้ามาเพียงเห็นเป็นท้องฟ้าปกติเท่านั้น”

เทวดาหน้าขาวได้ยินดังนั้นก็ตกใจหันกลับไปมองเพื่อน “จะ...
เจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร!?”

แต่ที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าเขานั้นไม่ใช่เทวดาหน้าดำ
หากแต่เป็นอสูรกายร่างใหญ่ทมึนยืนจังก้าอยู่!!

“เจ้า เจ้า...” เทวดาหน้าขาวละล่ำละลัก
มือไม้สั่นเทาจะคว้าตรีที่เหน็บอยู่ที่เอว

แต่มันสายเกินไปเสียแล้ว
อสูรร้ายยกตะบองจิตตปาลิแข็งกล้าขึ้นฟาดศีรษะของเทวดาหน้าขาวแหลกละเอียดอย่างไม่มีทางตอบโต้ได้เลย

6-18-3.jpg
“ข้าบอกแล้วว่าพวกอสูรฉลาดกว่าที่เจ้าคิด” อสูรตนนั้นกล่าว



เขาล้วงกล่องเล็กๆใบหนึ่งออกมาเอามันวางลงกับพื้นดินแล้วเสกไฟขึ้นจุดที่ฐานของกล่อง


“จุดนี้เรียบร้อยแล้ว” อสูรร้ายกล่าวกับตนเอง
กล่องระเบิดออกปรากฏเป็นดวงไฟสว่างจ้าพุ่งสู่ท้องฟ้า
6-18-4.jpg
คืนนั้นหากมีใครได้ดูท้องฟ้าของหิมพานต์ละก็
เขาจะเห็นดวงไฟสุกสว่างพุ่งขึ้นกระจายไปทั่วป่านับแสนๆล้านๆลูก
ดูประหนึ่งเป็นดวงดาวในเดือนมืดก็ไม่ปาน
........................... (อ่านต่อ)

กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป 1