นิยายแฟนตาซีแบบไทย

ศึกหกภพ

โดย เชษฐา

บทที่ ๔ ชำระแค้นเจ็ดประการ
(๑) แตกนครอลกา


สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาคือสวรรค์ชั้นล่างสุด

หน้าที่ของสวรรค์ชั้นนี้คือการสอดส่องดูแลประชากรทั้งหลายในพื้นโลกเพื่อจัดทำรายงานบันทึกพฤติกรรมของประชากรคนนั้นๆส่งไปยังสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ซึ่งทางดาวดึงส์จะนำรายงานเข้าผ่านกระบวนการพิจารณาชั้นต่างๆแล้วจึงส่งต่อให้แก่พระยายมราชเอาไว้เป็นเครื่องประกอบการตัดสินความดีชั่วเมื่อเจ้าของบันทึกถึงแก่ความตายและวิญญาณล่องลอยสู่ยมโลกในชั้นสุดท้าย

ผู้ที่ทำหน้าที่บริหารสวรรค์จาตุมหาราชิกาได้แก่ท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่อันประกอบด้วย

  • ท้าวกุเวรเป็นโลกบาลรักษาทิศเหนือ
    อาณาเขตรับผิดชอบคือป่าหิมพานต์ส่วนกลางทั้งหมด
  • ท้าววิรุฬหกเป็นโลกบาลรักษาทิศตะวันตก
    อาณาเขตรับผิดชอบตั้งแต่ป่าหิมพานต์ส่วนดินแดนอันตริกษ์ ไปจนจดมนุสสภูมิบางส่วน
  • ท้าววิรุฬปักข์เป็นโลกบาลรักษาทิศตะวันออก
    อาณาเขตรับผิดชอบอยู่เหนือคาบสมุทรของพวกนาคและทะเลหลวง
  • ท้าวธตรฐราชเป็นโลกบาลรักษาทิศใต้
    อาณาเขตรับผิดชอบคือมนุสสภูมิและเปตวิสัยภูมิส่วนใหญ่
บริวารของท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ที่คอยทำหน้าที่จดบันทึกพฤติกรรมของสัตว์ทั้งหลายนั้นเรียกว่าพระภูมิเทวดา ว่ากันว่าทุกเขตขันธ์ในพื้นโลกจะมีพระภูมิเทวดาประจำอยู่องค์หนึ่งคอยดูแลสิ่งมีชีวิตตั้งแต่ชั้นสูงสุดเช่นเทพเทวดาด้วยกันเรื่อยมาจนถึงชั้นต่ำที่สุดจำพวกแมลงมดปลวก และเนื่องจากเทวดาประเภทนี้จัดเป็นเทวดาพวกที่ใกล้ชิดกับมนุษย์ที่สุดด้วย ดังนั้นจึงมีมนุษย์มากมายสร้างศาลเจ้าเซ่นไหว้พระภูมิเทวดา ซึ่งในความหมายดั้งเดิมเป็นการติดสินบนให้พระภูมิจดบันทึกเรื่องราวของตนเองดีๆนั่นเอง

ในโลกบาลทั้งสี่คนนี้ ผู้ที่มีชื่อเสียงและความสามารถเป็นที่ยอมรับที่สุดคือกุเวร อาณาเขตของเขาครอบคลุมป่าหิมพานต์ถึงสองในสามจัดเป็นบริเวณยุทธศาสตร์อันล้อมรอบเขาสัตตบริภัณฑ์คีรีที่ตั้งของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ไว้ นอกจากนั้นนครอลกาที่โลกบาลผู้นี้ประทับยังเป็นด่านทำศึกแรกสุดที่ใช้ป้องกันดาวดึงส์เวลามีอสูรมาโจมตีอีกด้วย

ประชากรในความดูแลของกุเวรส่วนมากประกอบด้วยสัตว์เดรัจฉานและอสูรป่า บริวารพระภูมิเทวดาซึ่งรั้งเขตย่อยๆมีถึงล้านสองแสนองค์ต่างเป็นพวกเจ้าป่าเจ้าเขา ทุกวันนครอลกาจะมีเทวดาเหล่านี้คอยเข้าออกหมุนเวียนมาส่งรายงานที่บันทึกไว้มิได้ขาด โดยบรรดาพระภูมิจะต้องทำการจำแนกรายงานของตนเองเป็นสองประเภทมาก่อนในชั้นต้น คือรายงานแบบปกติสำหรับคนธรรมดา และรายงานแบบพิเศษสำหรับผู้ที่มีความดีหรือเลวมากกว่าคนทั่วไป

ในการพิจารณาชั้นแรกกุเวรจะเลือกเอาเฉพาะรายงานแบบพิเศษมาตรวจดูและเขียนคำวิจารณ์ก่อนรอบหนึ่งจึงส่งให้ทางสวรรค์ ส่วนรายงานแบบปกติแม้จะไม่ผ่านขั้นตอนนี้แต่ทุกๆวันที่เรียกเป็นวันพระท้าวโลกบาลจะออกตรวจตราประชากรทั้งหมดในอาณาเขตด้วยตนเองให้เห็นจริงว่าเป็นดังคำที่พระภูมิรายงานมาหรือไม่

เหตุนี้ทำให้กลุ่มชนหลายเผ่าเกิดค่านิยมการทำดีเฉพาะในวันพระเพื่อหลอกท้าวโลกบาลขึ้น อย่างไรก็ตามมันไม่มีประโยชน์นัก เพราะไม่ว่าอย่างไรความไม่สม่ำเสมอในรายงานย่อมยังคงปรากฏให้ท้าวเธอเห็นอยู่นั่นเอง

นอกจากหน้าที่ตรวจดูพฤติกรรมแล้ว กุเวรยังมีอีกบทบาทหนึ่งคือเป็นเทพเจ้าแห่งทรัพย์สมบัติ ว่ากันว่าด้วยทิศเหนือที่เขารักษานั้นเป็นจุดที่มีทรัพยากรธรรมชาติต่างๆอุดมสมบูรณ์ที่สุดโดยเฉพาะแหล่งแร่รัตนชาติและทองคำจึงเป็นเหตุให้ท้องพระคลังของกุเวรเต็มไปด้วยของมีค่าเหล่านี้ถึงขั้นที่ตวงเท่าไรก็ไม่หมด

เหล่ากวีและนักประพันธ์ทั้งหลายมักจะใช้คำเปรียบเทียบคนร่ำรวยมากๆว่า “ร่ำรวยเหมือนท้าวกุเวร” บ้าง “ได้รับการประทานพรจากท้าวกุเวร” บ้าง อันเป็นการยอมรับสถานะ ‘ผู้มั่งคั่งที่สุดในโลก’ ของเขา

แต่แม้จะร่ำรวยถึงเพียงนั้น กุเวรก็ไม่เคยตกอยู่ในความตระหนี่เหมือนเศรษฐีคนอื่นๆ เขามีชื่อเสียงทางศีลธรรมว่าเป็นเจ้านายที่มีความโอบอ้อมอารี และมักบริจาคทรัพย์เจือจานผู้ตกทุกข์ได้ยากเสมอ หลายคนสงสัยว่าทำไมเมื่อเขาบริจาคมากๆทรัพย์จึงไม่พร่องลงไปบ้าง ใช่แล้ว สมบัติของกุเวรไม่เคยพร่องเลยจริงๆและดูเหมือนยิ่งบริจาคจะยิ่งมีมากขึ้นด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ตามแม้กุเวรมีทั้งคุณสมบัติและทรัพย์สมบัติแทบจะพร้อมมูล การดูแลของเขาก็ไม่ได้กินเนื้อที่ไปถึงอสูรกายภูมิด้วย มันเป็นประเพณีบางอย่างที่คนของเทพจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับยักษ์มารเหล่านี้ยกเว้นแต่จะมีอสูรตนใดกำเริบเสิบสานขึ้นมารุกรานพวกเทพก่อน

ในเมื่อระยะหลังนี้บรรดาอสูรที่อาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์ต่างพากันหายหน้าหายตาไปหมด หน้าที่ของโลกบาลจึงลดลงไปมาก กุเวรไม่จำเป็นต้องออกตรวจตราในวันพระอีก เขาเลือกใช้เวลาว่างในการนั่งสมาธิปฏิบัติธรรมครั้งละนานๆ หากมีเรื่องสำคัญให้เทวดาที่เฝ้าห้องเป่าแตรสัญญาณท้าวโลกบาลจึงจะออกมาจัดการเรื่องเหล่านั้น

คืนนี้ก็เหมือนคืนทั่วไปสำหรับนครอลกา เทวดารักษากำแพงเมืองใกล้จะหลับอยู่รอมร่อแล้ว การที่โลกบาลไม่อยู่ทำให้วินัยของพวกเขาหย่อนยานลงไปมาก

“เฮ้ย ห้ามหลับ เรามีหน้าที่อยู่เวรยามนะ!!” เทวดาหัวหมู่กล่าวกับลูกน้องตน

“โธ่ หัวหน้าครับ ใครมันจะกล้าบุกเมืองเราล่ะ? อย่างน้อยก็ไม่ใช่คืนนี้นั่นแหละ”

ผู้เป็นหัวหน้าเขม่นตา “มันก็อาจจะถูก แต่นั่นไม่ใช่ข้ออ้างที่จะละเลยหน้าที่ เราเป็นเทพต้องมีระเบียบแน่นอนเด็ดขาด มิฉะนั้นความยุติธรรมในโลกก็จะรักษาไว้ไม่ได้”

“แต่…”

“ไม่มีแต่ หากข้าเห็นเจ้าหลับยามละก็จะลงทัณฑ์ด้วยร้อยหวาย!”

“เฮ้อ ก็ได้ครับ ก็ได้…” ผู้ลูกน้องกล่าวอย่างขอไปที เขาหันไปมองท้องฟ้า น่าแปลกนะทำไมคืนนี้ถึงไม่มีทั้งดวงจันทร์และดวงดาว พวกเทพเจ้าบนดาวดึงส์คงจะเหน็ดเหนื่อยเหมือนเขากระมังจึงละหน้าที่ไม่ออกมาโคจร

จู่ๆลูกไฟดวงหนึ่งก็พุ่งขึ้นมาจากพื้นป่าทึบเบื้องหน้า

เทวดาลูกน้องประหลาดใจ หันไปกล่าวว่า “เอ หัวหน้าครับนั่นมันอะไรครับ?”

“อะไร?” หัวหน้าหันมา เป็นเวลาที่ลูกไฟดวงนั้นลุกไหม้จนแตกดับกลางอากาศไปแล้ว “ไม่เห็นจะมีอะไรเลยนี่หว่า”

“แต่เมื่อกี้ข้าเห็นลูกไฟพุ่งขึ้นมาจริงๆนะครับ”

“ไร้สาระน่า เจ้าคงจะตาฝาดกระมัง”

“แต่ข้าเห็นจริงๆ…”

“อย่ามาหลอกข้าเสียให้ยาก ไม่เช่นนั้นจะต้องถูกลงโทษ!”

เทวดาลูกน้องจำต้องเงียบเสียงลงโดยเก็บความไม่พอใจไว้ ผู้เป็นหัวหน้ากระแอม ขณะจะหันไปตรวจตราดูจุดอื่นต่อ เขาก็รู้สึกว่ามีแสงสว่างจ้าส่องผ่านมาทางด้านหลังดังอยู่ในยามกลางวัน

“หัวหน้าครับ หัวหน้า!!!” เทวดาลูกน้องชี้มือไปด้วยท่าทางละล่ำละลัก

ลูกไฟเป็นแสนๆล้านๆลูกพุ่งจากพื้นป่าขึ้นสู่ฟ้า ประดุจดวงดาวใหญ่น้อยส่องประกายระยิบระยับแตกกระจายเป็นวงกว้างครอบคลุมทั้งผืนป่า

“อะ… อะไร” เทวดาหัวหมู่อ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ เมื่อตั้งสติได้จึงสั่งบริวารว่า

“เจ้าจงเร่งไปปลุกท้าวกุเวรขึ้นมาจากการเข้าฌานเร็ว!”

“ครับ!” เทวดาลูกน้องรับคำสั่ง รีบออกวิ่งเลาะกำแพงไปทันที แต่ยังไม่ทันจะได้ลงบันไดธนูดอกหนึ่งก็แล่นฉิวเข้ามาเสียบทะลุคอหอยของเทวดาองค์นั้นอย่างแม่นยำ

“อัก…” เลือดสดๆไหลทะลักออกมา เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายกุมคอตนเองอย่างแทบไม่เชื่อเขาร้องออกมาอีกคำหนึ่งก็สิ้นชีวิต

เทวดาหัวหมู่เห็นลูกน้องตายไปต่อหน้าต่อตาขณะที่กำลังตกใจทำอะไรไม่ถูก เงาคนผอมยาวก็ปรากฏทาบขึ้นข้างหลังเขา เงานี้สูงจริงๆ สูงกว่าคนทั่วไปสี่ห้าเท่า ผู้เป็นเทวดาแทบไม่เคยคิดว่าจะมีคนเช่นนี้อยู่ เขาค่อยๆหันไปช้าๆ

ภาพที่เห็นคือร่างมนุษย์เก้งก้าง ผอมสูงหนังหุ้มกระดูกและมีปากยาวแหลมขนาดรูเข็มอยู่บนกระหม่อม

“เปต!” เทวดาอุทาน

ไม่สิ ไม่ใช่เปต มัน… มันเป็นกาลกัญชกาสูรต่างหาก

คิดเพียงเท่านี้เทวดาผู้นั้นก็ถูกกาลกัญชกาสูรตรงหน้าใช้มือหนาใหญ่โอบตัวไม่ให้ดิ้นหลุดไปได้ แล้วเอาปากอันแหลมนั้นแทงผ่านกระโหลกศีรษะดูดกินเลือดเนื้ออย่างตะกรุมตะกราม เสียงร้องโหยหวนที่น่าอนาถดังระงมไปทั้งสี่ทิศ

เทวดาโดยรอบที่เห็นเหตุการณ์นั้นต่างพยายามส่งสัญญานเตือนไปยังทุกจุดให้รวมกำลังกันให้มั่น แต่ก็สายไปเสียแล้ว ประตูเมืองทั้งสี่ทิศถูกเปิดออกตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้ พวกอสูรเป็นแสนๆตนล้นทะลักเข้ามาจู่โจมยามรักษาการที่กำแพงเมืองทั้งจากด้านนอกและด้านในอย่างรวดเร็วและรุนแรง

เสียงโห่ร้องก้องไปทั้งเวียงวัง ดังพอๆกับเสียงครวญแห่งความตายของผู้ถูกประหารในการต่อสู้ ฝีมือและจำนวนข้าศึกที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดทำให้เหล่าเทวาต้องแตกพ่ายในทุกจุด พวกเขาพบว่าไม่อาจจะต่อกรกับศัตรูที่ตัวใหญ่กว่าตัวเองเกือบสองเท่าและใช้กระบองที่ยาวและหนักกว่าพระขรรค์ของพวกตนอย่างเทียบกันไม่ติดได้เลย

6-19-1.jpg

การเข่นฆ่าฝ่ายเดียวดำเนินไปตลอดกำแพงเมืองโดยรอบ เทวดาบางคนที่เผ่นออกนอกเมืองไปได้ทั้งที่เหาะและวิ่งไปก็ถูกกองกำลังอสูรที่กันอยู่อีกเป็นหลายสิบชั้นล้อมสังหารอย่างเหี้ยมโหด

อย่างไรก็ตามยังมีเทวดาบางองค์สงสัยกับการกระทำที่ผิดยุทธศาสตร์เช่นนี้อยู่ ทำไมพวกข้าศึกจึงมัวแต่พะวงอยู่กับการสังหารเทวดารอบนอกให้สิ้นแทนที่จะตรงเข้ายึดศูนย์บัญชาการภายในเมืองทันทีนะ?

หรือว่าพวกมันไม่ต้องการให้มีผู้ใดรอดชีวิตจากสมรภูมิแห่งนี้ไปได้!?

ที่น่ากลัวกว่านั้นคือหากพวกเขาสังเกตไม่ผิดทัพศัตรูครั้งนี้ผิดกับก่อนๆมาก ทัพอสูรที่เคยชุลมุนแตกซ่าน บัดนี้ที่เป็นทิพพาสูรทุกตนกลับแต่งกายใส่เกราะเหมือนกันหมดตั้งแต่หัวจรดเท้า นอกจากนั้นเวลามันเคลื่อนทัพเป็นหมู่ยังก้าวย่างพร้อมกันอย่างเป็นระเบียบ!!

หลังจากแน่ใจว่าการศึกที่กำแพงเสร็จสิ้นโดยฝ่ายเทพที่รอดชีวิตถอยไปหมดแล้ว พวกอสูรก็ตีวงโอบสู่เขตกลางเรื่อยๆโดยทลายเข้าไปในอาคารและบ้านทุกแห่งที่พอจะเป็นจุดยุทธศาสตร์ได้และลากเทวดาที่หลบอยู่ข้างในออกมาฆ่าเสีย ศพที่ถูกโยนให้กองรวมกันมีสภาพเหมือนภูเขาขนาดย่อมๆเป็นร้อยๆลูกตั้งพะเนินอยู่ทุกทิศ

เทพในเมืองพยายามเกาะกลุ่มกันต้านทาน แต่ปรากฏว่ามีสมาชิกจำนวนไม่น้อยของกลุ่มเทพเหล่านี้ที่จู่ๆก็กลายร่างเป็นอสูรเข้าตีตลบหลังกลุ่มตนเองให้แตกพ่าย

ถูกต้อง!! การต่อสู้ครั้งนี้ได้รับการวางแผนมาอย่างดีโดยนักการทหารที่เก่งกาจและมีการจัดส่งสายลับจำนวนไม่น้อยเข้ามาแทรกซึมในเมืองเป็นเวลานานแล้ว

บรรยากาศแห่งความกลัว ความสิ้นหวัง และความหวาดระแวงกระจายไปในหมู่เทวดาที่ยิ่งสู้ก็ยิ่งแพ้

ในที่สุดเมื่อปราการชั้นในแตกลง พวกเทพได้มีความพยายามเป็นครั้งสุดท้ายที่จะถอยไปใช้ยุทธวิธีต่อสู้ในตรอกซอกซอยอันเป็นวิธีโบราณซึ่งฝ่ายรับจะได้เปรียบฝ่ายรุกอย่างยิ่ง

ความจริงนี่น่าจะได้ผล แต่ดูเหมือนพวกอสูรได้ทำการศึกษาและคิดหาทางแก้มาอย่างดีก่อนแล้ว ดังนั้นตรอกไหนที่มีเทพอยู่ก็จะถูกพวกอสูรใช้ฤทธิ์ทางไฟยิงนำเข้าไปให้กระจัดกระจายลงเสียก่อนจึงบุกเข้าไปทลาย

มันเป็นความน่าตระหนกที่ไพร่อสูรแต่ละตนสามารถใช้ฤทธิ์ได้เพียงนี้ การสังหารหมู่ดำเนินต่อไปอย่างโหดเหี้ยมและเป็นระเบียบ แม้แต่ที่ตั้งของภูเขาศพก็ดูเหมือนจะถูกกำหนดไว้แต่ต้นแล้ว เหล่าเทวามีแต่ตายยับลงเรื่อยๆ ไม่มีคำว่าตัวประกัน การยอมแพ้ หรือการไว้ชีวิต

กลุ่มเทพที่เหลือเพียงน้อยนิดได้แต่สู้ถ่วงเวลาอย่างสิ้นหวังรอบๆปราสาทกุเวร ในใจต่างสงสัยว่าทำไมจนบัดนี้ผู้นำของเขายังไม่ออกมาร่วมรณรงค์กู้เมืองสักที

อนิจจา… ข้าศึกล้อมเข้ามาทุกทิศแล้ว หากมีท่านคอยบัญชาการแต่แรกพวกเขาคงไม่พบจุดจบที่น่าอนาถเช่นนี้

… … …

“หวู่นนนนนนนนนนนนน……..”

กุเวรค่อยๆลืมตาตื่นจากการเข้าฌาน นี่เป็นเสียงของแตรที่เขามอบให้เทพที่วางใจที่สุดเก็บไว้สำหรับเรียกตัวในยามฉุกเฉินนี่นา

แสดงว่าในเมืองกำลังมีเหตุผิดปกติ จมูกของเขาได้กลิ่นแปลกๆบางอย่างลอยมากับสายลม

กลิ่นคาวเลือด

ห้องชั้นในสุดของปราสาทเช่นนี้จะมีกลิ่นคาวเลือดได้อย่างไร โลกบาลคิดด้วยความกังวล

กุเวรเดินไปเปิดประตูห้องออก เทวดาแต่งกายสะอาดเรียบร้อยสององค์ได้คุกเข่ารออยู่แล้ว

“สุปเคธ คุล พวกเจ้าเรียกข้าทำไม?” เขาถาม

“เรื่องอื่นไว้พูดทีหลัง ก่อนอื่นขอเชิญโลกบาลตามพวกเรามาก่อนครับ” เทวดาที่ชื่อสุปเคธกล่าว

กุเวรจึงตามคนสนิททั้งสองไป โดยมีสุปเคธนำหน้าและคุลอยู่ข้างหลัง ตลอดรายท้าวโลกบาลได้พบกับร่องรอยของการต่อสู้ ทั้งคราบเลือดและกลิ่นไหม้

“มีอะไรเกิดขึ้นในปราสาทข้ากันแน่!?” กุเวรถามด้วยเสียงดังขึ้น สุปเคธหันมายิ้มให้กล่าวว่า “โลกบาลตามพวกเราไปถึงที่ก็จะทราบเองครับ”

“ไม่ต้อง!” กุเวรหยุดเดิน “ข้าเป็นผู้ครองเมืองนี้ เจ้าต้องชี้แจงเรื่องราวให้ข้าฟังโดยละเอียดก่อน!!”

สุปเคธยังคงยิ้ม “เกรงว่าท่านจะไม่อยู่ในสถานะนั้นแล้วครับ…”

“เจ้า!!” กุเวรตวาดพลางจะก้าวเข้าไปลงโทษในความโอหังของคนสนิท แต่เขาก็ต้องรู้สึกถึงของมีคมเย็นยะเยียบชนิดหนึ่งจ่อหลังอยู่ คุลที่กดมีดเข้าไปพอให้กุเวรรู้สถานการณ์ตนเองกล่าวว่า “โลกบาล …เชิญ”

กุเวรมีท่าทีฮึดฮัดแต่ก็ต้องตามเหล่าคนทรยศไปอย่างช่วยไม่ได้ สุปเคธนำเขาไปถึงห้องโถงกว้าง เห็นได้ชัดว่าที่นั่นพึ่งผ่านการต่อสู้อันดุเดือดมาหมาดๆ ถึงกับมีซากศพกองรวมกันที่มุมห้องทั้งสี่ไม่น้อย

กลางห้องโถงมีอสูรตนหนึ่ง คางยื่น จมูกโด่ง ตาเล็กเรียว แต่งกายในชุดขุนนางมียศ กำลังยืนรอกุเวรอยู่ ข้างกายเขามีอสูรที่สวมหน้ากากและเกราะดำสามตนยืนคุ้มกัน นอกนั้นเป็นทหารชั้นปกติที่ควบคุมจุดต่างๆอีกยี่สิบสามสิบตน

6-19-2.jpg

ทันทีที่ขุนนางอสูรเห็นกุเวรถูกบริวารจี้มาก็กล่าวว่า “เจ้าอย่าเสียมารยาท”

คุลรับคำจึงลดมีดลง แต่ยังคงคุมเชิงอยู่ด้วยท่าทีดุร้าย สุปเคธทำความเคารพขุนนางอสูรแล้วกล่าวว่า “ข้าพาท้าวโลกบาลมาแล้ว”

“ดี” ขุนนางอสูรสั่งให้คนไปหาเก้าอี้มาตัวหนึ่ง “เชิญท่านนั่งก่อน”
เขากล่าวกับกุเวร

กุเวรไม่นั่งแต่ถามด้วยเสียงเกรี้ยวกราดว่า “เจ้าเป็นใคร มาที่นี่ต้องการสิ่งใด!?”

“ข้าชื่ออาโปตะไลเป็นเสนาบดีต่างประเทศแห่งแคว้นอุตรกุรุ” ขุนนางอสูรตอบ “สำหรับจุดประสงค์ในการมา โลกบาลเป็นผู้เฉียบแหลมคงประจักษ์กับตาอยู่แล้ว”

อาโปตะไลหมายถึงซากศพของเทวดาที่กองอยู่ทั้งสี่มุมห้องนั้นเอง

กุเวรมองไปรอบๆถึงกับอ้ำอึ้ง “หรือพวกเจ้าจะทำสงครามกับเทพอีกครั้ง” สายตาของเขาปรากฏแววสังเวช “…แต่ทำไม ต้องทำลายนครของข้าเช่นนี้ด้วย?”

“ทั้งหมดก็เพราะท่าน” อาโปตะไลตอบ “ประการที่หนึ่งท่านเป็นอสูรแต่กลับทรยศเผ่าพันธ์ตนเองไปเข้ากับพระอินทร์ ประการที่สองท่านเป็นโลกบาลรักษาทิศเหนืออันเป็นเขตทับซ้อนกับอสูรกายภูมิ หากไม่กำจัดเสียแต่เนิ่นๆจะยกทัพคืบหน้ากว่านี้ก็ลำบาก ประการที่สามท่านมีความสามารถมากเกินไป หากอยู่ฝั่งศัตรูจะเป็นภัยร้ายแรงในภายภาคหน้าได้ ประการที่สี่สมบัติของท่านมีจำนวนไม่น้อยสิ่งเหล่านี้จำเป็นต่อการทำการใหญ่”

เสนาอสูรหรี่ตาลง “ท้องฟ้ารอบอาณาเขตท่านทั้งหมดถูกเราใช้เวทย์มนต์กำบังไว้ พรุ่งนี้อสูรชุดใหม่ก็จะแปลงเป็นเทวาอารักษ์ไปแทนที่เทพชุดเก่า นครอลกาจะถูกเก็บกวาดจนสะอาดดังเดิม และจะไม่มีคนภายนอกล่วงรู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่จนกว่าจะสายเกินไปแล้วสำหรับพวกเขา”

“ดังนั้นเจ้าจึงไม่อาจปล่อยเทวดาออกไปจากที่นี่ได้สักคนเดียวหรือ? โอ… แม้แต่การยั่วยุให้ข้าเข้าฌานแล้วควบคุมแตรที่ใช้ปลุกไว้ก็เป็นแผนการสินะ” กุเวรกล่าวด้วยความสลดทดท้อ “ทำไมไม่ฆ่าข้าเสียเลย…?”

อาโปตะไลตอบว่า “นี่เพราะแม้ท่านจะเป็นกำลังสำคัญของศัตรู แต่หากเปลี่ยนมาอยู่ข้างเราก็จะเป็นกำลังสำคัญของฝ่ายเราเช่นกัน”

เขาค้อมตัวลงเป็นเชิงให้ความเคารพ

“ในรัศมีพันโยชน์นี้ข้ารับประกันว่าไม่มีเทวดาเหลือรอดอยู่แน่นอน แม้แต่สุปเคธกับคุลก็ถูกสังหารเปลี่ยนตัวเสียนานแล้ว ท่านไม่จำเป็นต้องมีความอาลัยถึงพวกเขาอีก หากยินยอมเข้าด้วยเรา พระเจ้าจักรทัตจะตั้งให้ท่านเป็นอันดับสองของอสูรกายภูมิ ยิ่งใหญ่กว่าตำแหน่งในขณะนี้สิบเท่า”

เมื่อเห็นกุเวรยังนิ่งเงียบ เสนาอสูรจึงกล่าวต่อว่า

“ขณะที่ท่านอยู่กับพระอินทร์นั้นเขาเห็นท่านเป็นเพียงเครื่องกันชนให้อสูรชาติเรารบกันเองจะได้ไม่ต้องเป็นที่ระคายเคืองพระบาทเท่านั้น ทรัพย์สินเงินทองที่เขาให้มาจะมากเท่าใดก็เป็นแต่เศษเสี้ยวของสมบัติสวรรค์ หากมาอยู่กับพระเจ้าจักรทัตจะได้มากยิ่งกว่านี้อีก”

“เฮอะ ท่านเข้าใจว่าข้าต้องการของเหล่านั้นหรือ!?” กุเวรตวาด

“…ก็ได้ หากท่านเป็นคนมีคุณธรรมไม่นำพากับสิ่งเหล่านั้น” อาโปตะไลกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เรามาพูดถึงเรื่องคุณธรรมกันบ้าง ท่านคงเคยได้ยินชื่อเหล่านี้ใช่ไหม? มณีครีพ นลกุพร และมีนากษี”

พอได้ฟังชื่อเหล่านั้นท้าวโลกบาลถึงกับตื่นตระหนก เหงื่อหลั่งโทรมกาย

“เจ้า… เจ้า…”

“มณีครีพเป็นคนเอาการเอางาน ประพฤติตนเรียบร้อย อนาคตยังยาวไกลนัก นลกุพรเป็นคนเฉลียวฉลาด ขณะนี้ฝากให้เรียนกับพระฤๅษีตฤณวินทุก็แสดงสติปัญญาเด่นล้ำเหนือกว่าศิษย์อื่นๆ มีนากษีเป็นหญิงที่สวยงามและน่ารัก ช่างเอาอกเอาใจ ท่านเอ็นดูนางที่สุด”

อาโปตะไลพูดไปเรื่อยๆ

“ทั้งสามเป็นบุตรของท่าน ไม่รู้เรื่องการศึกสงครามใดๆทั้งสิ้น ท่านจะทอดทิ้งพวกเขาเชียวหรือ?”

“…” กุเวรพูดไม่ออก แววตาปรากฏร่องรอยแห่งความหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด

อาโปตะไลกล่าวต่อว่า “หากท่านร่วมกับพวกเรากระทำการเพื่อชาติ จะได้เป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ แม้ตายเกียรติยศและชื่อเสียงจะฝากไว้ให้ชนชั่วลูกหลานกล่าวขานไม่มีวันหมดสิ้น แต่หากท่านดึงดันไม่ยอมก็ต้องสิ้นชีวิตลงตรงนี้ดุจสุนัขตัวหนึ่ง การศึกภายหน้าจะแพ้หรือชนะต่างไม่มีผู้ใดสนใจ บุตรทั้งสามของท่านจะต้องประสบชะตากรรมดุจดังผู้เป็นหอกข้างแคร่คนหนึ่งควรประสบเช่นกัน”

เมื่อเห็นฝ่ายตรงข้ามมีท่าทีนิ่งลง อาโปตะไลจึงเจรจาด้วยเสียงนุ่มนวลขึ้นว่า

“ท่านอายุไม่น้อยแล้ว คงไม่คิดสิ่งใดสั้นๆดอก ข้าเพียงหวังให้ท่านไตร่ตรองให้รอบคอบ” เขาหันไปกล่าวแก่บริวาร “เอาเครื่องตั้งมา”

ทหารสามนายเดินถือชุดทรงชุดหนึ่งมาให้กุเวร ในจำนวนนั้นมีหัวสังวาลสลักคำว่า

“พระยาภักดีสุจริต”

หมายถึงตำแหน่งใหม่ที่เขาจะได้และสิ่งที่จักรทัตต้องการจากเขานั่นเอง

กุเวรรับของเหล่านั้นไว้ เขาคิดในใจ เราอายุมากแล้ว มีลูกชายที่เก่งกล้าและลูกสาวที่น่ารัก สมบัติก็ไม่บกพร่อง ยังจะต้องการอะไรอีก เพียงแต่หากมาตายตรงนี้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยมีย่อมสูญสลายไปในพริบตา แม้กระทั่งชื่อเสียงก็มัวหมอง หรือว่าจะยอมทำตามมันดี…

โลกบาลตัวสั่นขณะเผยอปากจะกล่าวอะไรสายตาเหลือบไปเห็นซากศพบริวารเทวดาของตนนอนตายรวมกัน

ตลอดมานี้เรารับใช้สวรรค์เพราะต้องการเงินทองที่พระอินทร์ยื่นให้หรือ…? ไม่ ตั้งแต่เราเป็นโลกบาลมาก็ตั้งใจจะทำงานรักษาความดี ผดุงคุณธรรมให้ปรากฏ หากเราทรยศ ณ บัดนี้ แม้ผู้อื่นจะสรรเสริญสักเพียงใด ก็เท่ากับเหยียดหยามประนามความดีของตนเองที่ผ่านมาตลอด

เขาขมวดคิ้วอย่างคิดไม่ตก ผ่านไปเนิ่นนานจึงเอ่ยออกมาคำหนึ่ง “ข้า…”

“โลกบาลเชิญกล่าว”

“…ข้าจนด้วยเหตุผลของท่าน…” กุเวรพูดในที่สุด

ใบหน้าของอาโปตะไลปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ “ฮาฮา ช่างเป็นบุญของอสูรกายภูมิยิ่งนัก ขอเชิญท่าน...”

ชุดทรงปลิวกระเด็น หมัดหนาหนักพุ่งเข้าใส่เสนาอสูรอย่างรวดเร็วรุนแรงพร้อมด้วยเสียงตวาดกึกก้อง

เป็นหมัดของกุเวรเอง!!!

พลังโลกบาลนั้นย่อมมีอานุภาพปราบได้ทั้งสามโลก บัดนี้หมัดอันมีฤทธิ์สูงอยู่ห่างจากยอดอกของอาโปตะไลเพียงห้านิ้ว เห็นได้ชัดว่าร่างของเสนาอสูรจะต้องแหลกเหลวเดี๋ยวนี้แล้ว!!!

“ผัวะ!!!!!”

สภาวะของกุเวรหยุดลง หมัดก็หยุดลงด้วย อาโปตะไลกลับยังเป็นปกติ อสูรเกราะดำทั้งสามที่คุ้มกันเขาได้ฟาดกระบองไปที่ศีรษะ สีข้างและสะเอวของผู้มาทำร้ายในเวลาพร้อมกัน

อวัยวะภายบุบสลายลาญลงสิ้นไม่คงสัมปชัญญะและลมหายใจไว้ได้

ท้าวกุเวรผู้เป็นใหญ่แห่งทิศเหนือก็ถึงแก่กาลกิริยาในลักษณะนี้

6-19-3.jpg

ร่างโชกเลือดของโลกบาลกองลงกับพื้นเหมือนผ้ายวบ

อสูรเกราะดำตนหนึ่งหันไปมองอาโปตะไลแล้วเอ่ยเป็นเชิงขอคำสั่งต่อว่า

“ท่านเสนาบดี…”

“อืม” อาโปตะไลครางในลำคอ เขากำลังตระหนก ไม่ใช่ตระหนกเพราะกลัวจะถูกทำร้าย แต่ตระหนกเพราะไม่เข้าใจว่าทำไมกุเวรจึงแสดงอาการผิดความคาดหมายนี้ออกมา

บางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งที่เขาห่างเหินเสียนานแล้ว สิ่งที่เรียกว่าคุณธรรม

ครู่หนึ่งอาโปตะไลก็ส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ “…ฝังศพมันซะ”

เขาเดินไปนั่งเก้าอี้ด้วยท่าทางเคร่งเครียด ครุ่นคิดอีกพักจึงกล่าวว่า “ไม่… ทำศพมันอย่างวีรบุรุษ …วีรบุรุษที่พลีชีพเพื่อชาติ และอย่าลืมเก็บโกศเอาไว้ด้วย เราอาจจะได้ใช้ในอนาคต”

สั่งดังนั้นเขาก็ได้แต่ยกมือกุมขมับ ถอนหายใจไม่หยุด

เมื่อเห็นว่าเป็นเวลาอันสมควรอสูรที่แปลงเป็นสุปเคธและคุลต่างพากันกลับร่างเดิมมาทำความเคารพอาโปตะไล

เสนาอสูรพูดว่า “อ้อ พระยาบริกาศ รบกวนท่านแล้วนะ…”

อสูรที่แปลงเป็นสุปเคธรับคำว่า “ครับ”

แล้วร่ายเวทย์แปลงกายอีกครั้งหนึ่งคราวนี้กลับเป็นเหมือนท้าวกุเวรมิได้ผิดเพี้ยน

อาโปตะไลหันไปกล่าวกับอสูรที่แปลงเป็นคุลว่า “เจ้าด้วย เนมิ”

“ครับ” อสูรที่ชื่อเนมิกล่าวจึงแปลงกายเป็นเทวดาผู้ติดตามอีกคนหนึ่ง

ทั้งสองได้ออกไปปฏิบัติงานตามหน้าที่ต่อไป

มีทหารอสูรสองนายควบคุมเทวดาองค์หนึ่งมาหาอาโปตะไล “ท่านเสนาบดีครับ เราจับมันได้”

“ฆ่าซะ” เสนาอสูรสั่งห้วนๆ

“แต่เราฆ่ามันไม่ตาย”

“หืม”

ทหารอสูรสั่งให้ลูกน้องจับเทวดานั่งลงในท่าของนักโทษประหาร ตนเองยกดาบขึ้นแล้วตัดคอฉับ ศีรษะปลิวกระเด็น

“ก็ไม่มีปัญหานี่” อาโปตะไลกล่าว

“ท่านเสนาบดีคอยดูก่อน”

สักพักหนึ่งหัวของเทวดาองค์นั้นก็ค่อยๆเคลื่อนไหว แล้วลอยกลับมาต่อกับคอเองอย่างน่าประหลาด เลือดที่สาดกระจายก็กลับสู่ร่าง รอยแผลปิดสนิทลง ดุจการประหารนั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทั้งตัวนักโทษเองยังสามารถอ้าปากก่นด่าพวกอสูรได้อีกด้วยซ้ำ

“ไม่น่าเชื่อ” อาโปตะไลค่อยๆยิ้มขึ้น

“นึกไม่ถึงเลยว่าที่นี่จะมีเทพชั้นสูงที่ได้ดื่นน้ำอมฤตแล้วอาศัยอยู่ด้วย คงเป็นเพราะพระอินทร์ยังไม่วางใจกุเวรเต็มร้อยกระมัง” เขาหันไปสั่ง “คุมตัวมันกลับอุตรกุรุ เรายังมีอะไรต้องทดลองกับมันอีกเยอะ”

เทวดาองค์นั้นถูกลากถูลู่ถูกังออกไป ยังไม่ทันที่อาโปตะไลจะได้มีเวลาหยุดพักก็ปรากฏนายทหารอีกคนหนึ่งวิ่งมารายงานข่าวอีก “ท่านครับมีข่าวจากเมืองหลวง”

“อะไรอีกล่ะ?”

นายทหารกระซิบเข้าข้างๆหูเสนาบดี อาโปตะไลฟังอยู่ครู่หนึ่งก็ขมวดคิ้วลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางโกรธเกรี้ยว

“จัดขบวนกลับอุตรกุรุเดี๋ยวนี้!!” เขาประกาศิต

ทหารอสูรเกราะดำท้วงติงว่า “ท่านครับ ทหารเราพึ่งทำศึกกำลังเหน็ดเหนื่อยสมควรให้พักสักคืนหนึ่งก่อน”

แต่อาโปตะไลส่ายหน้า “ไม่ได้ การนี้ต้องจัดการเร่งด่วน” เขากล่าวต่อว่า “เรายังมีเรื่องต้องทำกับพระยาพรหมทัตอีก!!!”
........................... (อ่านต่อ)


หมายเหตุ

kuwane.jpg
เชษฐา

กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป 1