นิยายแฟนตาซีแบบไทย

ศึกหกภพ

โดย เชษฐา

บทที่ 1 หมู่บ้านนิษาท
(2)


เวลาล่วงเลยไปจนเป็นยามวิกาล
อยู่ๆสนก็ถูกปลุกขึ้นด้วยเสียงตะโกนโหวกเหวกในหมู่บ้าน
คบไฟถูกจุดให้ลุกโชนขึ้นหลายแห่ง อาจจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้น
สนไม่สนใจนักจะอย่างไรอยู่บนต้นมะม่วงอย่างนี้นับว่าปลอดภัยที่สุด

แล้วสนก็เหลือบเห็นเงาประหลาดร่างหนึ่งโดดผ่านหลังคาบ้านสามสี่บ้านตรงมาทางตน

มันเป็นเงาของสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ที่เคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว
สิ่งนั้นต้องเป็นสัตว์แต่สัตว์ชนิดใดเล่าจะเคลื่อนที่ได้เช่นนี้

อยู่ๆเจ้าตัวประหลาดนั่นก็กระโดดผึงขึ่นมาเหยียบบนกิ่งมะม่วงต้นที่สนอยู่
ใบมะม่วงร่วงกราว ลำต้นสั่นไหวจนสนแทบจะตก
แต่ความน่ากลัวพึ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้นเพราะภาพที่สนมองเห็นต่อไปคือแขนหยาบใหญ่สัตว์ประหลาดตัวนั้นที่เหมือนแขนมนุษย์ไม่มีผิด

ในมือมันยังกำลำไส้ชุ่มเลือดไว้ท่อนหนึ่งดุจพึ่งแหวะกินมาสดๆ!

“ฮูมมมมมม” สัตว์นั้นคำราม สนมองหน้ามันไม่ชัดนักเนื่องจากอยู่ในความมืด
รู้แต่ว่ามันมีเขี้ยวสองข้างยาวมากและมีผมหยิกรุงรัง
ที่สำคัญคือสัตว์นั่นกำลังพุ่งเข้ามาทำร้ายเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว

สนลนลานถอยหนี สัตว์ประหลาดก็ไล่ตาม
การเคลื่อนไหวของทั้งสองทำให้กิ่งมะม่วงสั่นไหวอย่างรุนแรง

“เฮ้ยๆๆ” พลั่ก กิ่งมะม่วงทานน้ำหนักทั้งสองไม่ไหวหักโครมลง
ยังผลให้ทั้งสนและสัตว์ประหลาดตกไปกระแทกกับพื้นอย่างแรง
ชาวบ้านสิบกว่าคนถือคบไฟและอาวุธวิ่งมาตามเสียง

ไอ้เยื้องยิงธนูถูกสีข้างด้านซ้ายของสัตว์นั่นบาดเจ็บ
เขาได้ใจจะยิงซ้ำ ไอ้น้อยก็ห้ามไว้ “อย่ายิง เดี๋ยวโดนสน”
ขณะที่ทั้งสองกำลังละล้าละลังไอ้สัตว์นั่นก็กู่ร้องเสียงดังน่าสะพรึงกลัว
แล้วโจนหนีไปในความมืดด้วยการเคลื่อนไหวที่ช้าลงเล็กน้อย
มันคงบอบช้ำจากการตกต้นไม้เมื่อครู่เหมือนกัน

สนยันกายลุกขึ้นอย่างยากลำบาก พ่อเทิด
ไอ้เยื้องและไอ้น้อยนำชาวบ้านมาถึงเขาพอดี “เป็นอะไรหรือเปล่าวะสน”
ไอ้น้อยถาม
“อะ... ไอ้นั่นมันตัวอะไร”
“ข้าก็ไม่รู้ แต่มันพึ่งบุกไปกัดตามากตายถึงในบ้านแล้วเผ่นหนีมาทางนี้”
“เจ้าหมายความว่าตามากตายแล้ว!”
“ใช่” ไอ้เยื้องกล่าวเคร่งเครียด “ไม่ว่าจะเป็นตัวอะไรก็ตาม
สัตว์อุบาทว์นั่นมันกินคนเราต้องหาทางกำจัดมันโดยเร็ว”

“พูดอย่างกับเอ็งมีปัญญานั่นแหละไอ้เยื้อง” พ่อเทิดปรามลูกชายตน
“เฮอะ พ่อก็เห็นข้ายิงถูกมัน ยังจะว่าฆ่ามันไม่ได้อีกหรือ?”
“แต่เอ็งก็เห็นเหมือนกัน
เมื่อครู่สัตว์นั่นมันมีกำลังกระโดดข้ามบ้านได้ทีละหลาย ๆ หลังอย่างรวดเร็ว
แถมยังมีเขี้ยวเล็บแหลมคม พละกำลังมหาศาล เราไม่อาจเสี่ยงกับมันตรง ๆ เด็ดขาด
ที่เอ็งมีโอกาสยิงมันได้เพราะมันทุลักทุเลจากการตกต้นไม้มาก่อน”

“ปัดโธ่
ถ้าไม่สู้กับมันจะให้นั่งรอดูมันมาฆ่าชาวบ้านเราไปทีละคน ๆ หรืออย่างไร”
“อย่างน้อยเราต้องรู้จักมันดีกว่านี้หน่อยจึงค่อยคิดอุบายกำราบมันภายหลัง”
พ่อเทิดครุ่นคิด “สน เมื่อกี้เจ้าอยู่บนต้นมะม่วงเห็นมันชัดตาหรือไม่?”
“หน้ามันนั้นข้าเห็นไม่ชัด รู้แต่ว่ามันมีเขี้ยวยาวแหลมสองข้าง
แต่ตอนที่มันเข้ามาใกล้ข้า ข้าเห็นชัดๆว่ามันมีแขนเหมือนคนไม่มีผิด”

ทุกคนอุทานพร้อมกัน “หรือว่ามันเป็นลิงใหญ่?”
“ไม่ข้าดูไม่ผิดแน่ มันไม่ยาวเหมือนแขนลิง ขนก็ไม่หนาเท่า”

ไม่ใช่ลิง ไม่ใช่คน แต่เป็นสัตว์คล้ายคนที่มีพละกำลังเหนือสัตว์อื่น
มันคือตัวอะไรกันแน่ แม้พ่อเทิดยังไม่รู้จักสิ่งมีชีวิตเช่นนี้มาก่อน
ความกลัวจากการไม่รู้เริ่มแผ่ซ่านไปในจิตใจของเหล่านิษาท

ขณะยังหาคำตอบไม่ได้ กลิ่นเหม็นชนิดหนึ่งก็ลอยมาแตะจมูกสน
ชายขอทานท่าทางป้ำๆเป๋อๆเดินลอยชายออกมา “ฮาฮา
อะไรกันทำไมมีคนมารวมกันที่นี่เยอะขนาดนี้เชียว”
“ไอ้นี่ มันใครวะ” ไอ้เยื้องถาม
“มันเป็นขอทานบ้าคนหนึ่งไม่รู้ระหกระเหินมาถึงที่นี่ได้อย่างไร
ข้านึกสงสารจึงให้มันพักอยู่บ้านข้า
ความจริงนอกจากมันยังมีชายตัวใหญ่อีกคนหนึ่งร่วมทางมาด้วย” ไอ้น้อยตอบ

ชายขอทานยังคงเกาะแกะคนอื่นต่อไปจนเมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยากคุยกับเขา
ชายขอทานก็หันหน้าไปหาสน “นั่นน้องชายที่อยู่บนต้นไม้เมื่อกลางวันนี่ ฮาฮา
ข้าจำได้ ตอนนั้นเจ้าฟังข้าพูดไม่รู้เรื่อง
ไหนเจ้าลองเล่ามาซิว่าเกิดอะไรขึ้น
คนที่ฟังข้ารู้เรื่องเขาไม่ยอมเล่ากันสักคน”
“พักนี้มีสัตว์ร้ายมาอาละวาด ทางที่ดีลุงอย่าอยู่นี่ต่อไปเลย” สนตอบ
“ฮาฮา เจ้าว่าอะไรไม่รู้เรื่อง เจ้าฟังไม่รู้เรื่อง พูดไม่รู้เรื่อง
ข้าก็ฟังเจ้าพูดไม่รู้เรื่อง ฮาฮา” ขอทานว่าดังนี้จึงจากไป

ไอ้เยื้องมองตามด้วยสายตารังเกียจ “ไอ้น้อย พรุ่งนี้เช้าเอ็งไล่พวกมันไปเสีย
คนบ้าเช่นนี้อยู่หมู่บ้านเราก็เป็นเสนียดเปล่าๆ”

“สงสารเขาเถอะเยื้อง
เขาไม่ใช่ชาวไพรอย่างไรหากปล่อยกลับเข้าป่าไปตอนนี้น่ากลัวจะมีอันตรายถึงชีวิต
ยิ่งตอนนี้มีสัตว์ประหลาดนั่นอาละวาดอยู่ด้วย”
“เฮอะ จะสนอะไร เห็นว่ามันมีเพื่อนตัวใหญ่อีกคนไม่ใช่หรือก็ให้ดูแลกันเองสิ
อีกอย่างหมู่บ้านเราไม่ใช่ที่ลับแล
มีทางเท้าทางเกวียนเข้าเมืองถมไปไม่ต้องกลัวมันหลงหรอก”
“แต่ สองคนนั่น...” ไอ้น้อยท้วงแต่พ่อเทิดแทรกขึ้นว่า “เอาละๆพอที
ตอนนี้สิ่งที่เราต้องทำคือจัดการงานศพตามากแล้วหาทางแก้ไขปัญหาสัตว์ประหลาดต่างหาก
ส่วนเรื่องคนต่างถิ่นเอาเป็นว่าข้าให้พวกมันอยู่ได้อีกสามวัน
ถึงตอนนั้นไม่ว่าปัญหาจะหมดไปหรือไม่เอ็งก็ต้องไล่มันไป เข้าใจไหมไอ้น้อย”

สำหรับชาวบ้านหากมีการตัดสินอะไรคำพ่อเทิดถือเป็นสิ้นสุดเสมอ
ไอ้น้อยไม่กล้าขัดได้แต่ยืนนิ่ง
ส่วนสนเห็นว่าไม่ใช่เรื่องและเป็นเวลาดึกแล้วหากคิดทำอะไรก็ควรเป็นพรุ่งนี้จึงปีนขึ้นไปนอนบนต้นมะม่วงดุจเดิม


เช้าวันต่อมา
ไอ้เยื้องพาลูกน้องสิบกว่าคนถืออาวุธครบสรรพออกตระเวนรอบหมู่บ้าน
สนว่าจะไปร่วมขบวนด้วยแต่ต้องลงมาเหลาธนูเพิ่มสักสิบดอกก่อน
เขาเห็นชายร่างใหญ่เมื่อวานเดินผ่านหน้าไป ชายคนนั้นเปลือยท่อนบน
ความคิดแปลกแล่นขึ้นมาสั่งให้สนต้องลอบมองสีข้างด้านซ้ายของเขา เฮ้อ...
ไม่มีแผลธนู เราไม่น่าคิดมากไปเอง

แต่สนก็ไม่ใช่ระแวงโดยไม่มีมูลเหตุ คนอะไรหน้าดุฉิบหาย
ตาขวางยังกับจะไปกินเลือดกินเนื้อใครที่ไหน

เวลานี้ขบวนของไอ้เยื้องตระเวนสวนมาพอดี
หน้าตาดุร้ายของชายคนนั้นทำให้ไอ้เยื้องนึกประหวั่นอยู่บ้างแต่เมื่อเห็นพวกตนมีมากจึงร้องตวาดออกไป

“เฮ้ย” ไอ้เยื้องร้องเมื่อเห็นชายร่างใหญ่ไม่สนใจจึงสำทับไปอีก
“ข้าเรียกเอ็งนั่นแหละ หันมานี่”
เขาเดินเข้าไปใกล้ชายร่างใหญ่
“ได้ข่าวเอ็งคือคนที่พึ่งเข้ามาพักที่บ้านไอ้น้อยเมื่อวาน
ระยะนี้หมู่บ้านเรามีสัตว์บ้าอาละวาด
ข้าขอเตือนให้เอ็งระวังตัวเอาไว้ดีๆนะเว้ย”
ชายร่างใหญ่นิ่งเฉย ลูกน้องไอ้เยื้องคนหนึ่งไม่พอใจ “เอ็งหูหนวกหรืออย่างไร
พี่เยื้องเตือนดีๆยังมาทำเฉย” เขาตีหน้าดุยกไม้ขึ้นเคาะหัวชายร่างใหญ่
เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ตอบโต้จึงยิ่งได้ใจตีอีกโดยแรง “เฮ้ย
คราวนี้ได้ยินหรือเปล่า!?”

คนอื่นลดความกลัวชายร่างใหญ่ลง
ต่างส่งเสียงเยาะเย้ยคนต่างถิ่นพร้อมทั้งลงมือทุบตีเอาบ้าง
ยิ่งทุบตียิ่งมันมือพากันใช้กำลังหนักขึ้นเรื่อยๆ
มีคนหนึ่งฟาดไปที่ข้อพับขาจนชายร่างใหญ่คุกเข่าลง

สนไม่ค่อยพอใจการกระทำที่ไม่มีเหตุผลนี้นัก
ใจหนึ่งนึกจะร้องห้ามแต่อีกใจคิดว่ามันแส่หาเรื่องเองไม่เห็นต้องช่วยเลยจึงนั่งเหลาธนูต่อไป

เมื่อเห็นว่าพรรคพวกสั่งสอนพอแล้วไอ้เยื้อง “เอ็งมาจากไหนก็ตาม
รู้ไว้ว่าที่นี่เป็นเขตข้า
หากอยากผ่านทางกลับไปซุกหัวบ้านไอ้น้อยก็คลานลอดขาข้าไป!”
ว่าจบเขายกขาขึ้นพาดกับต้นไม้และมองด้วยสายตาที่หยามหยันเต็มที่
ชายร่างใหญ่ดูเหมือนจะอัดอั้นความโกรธอยู่นาน
เมื่อได้ยินดังนั้นใบหน้ากลับกลายเป็นโหดเหี้ยมถมึงทึงขึ้นหลายเท่า
แม้สนที่อยู่ไกลยังสะดุ้งเขารู้สึกถึงรังสีชนิดหนึ่ง
เป็นชนิดเดียวกับเขารู้สึกตอนประจันหน้ากับสัตว์ใหญ่ดุร้าย

มันเป็นความรู้สึกแห่งการฆ่าฟัน ความอำมหิต ความตาย
สนใจสั่นไม่หยุดกับแรงกดดันที่ถาโถมมาอย่างฉับพลัน
บางอย่างทำให้เขานึกถึงหากนี่เป็นสมรภูมิทหารที่พบกับความรู้สึกเช่นนี้จะต้องไม่มีใจสู้รบ
จะต้องแพ้แน่ๆ

พวกไอ้เยื้องยิ่งตื่นตระหนก ไม่มีใครกล้าขยับ
ต่างพบว่ามัจจุราชอยู่ตรงหน้าตนไม่ไกลปัสสาวะอุจจาระนั้นหากไม่อั้นอยู่เต็มแรงก็แตกทะลักออกมาตามสัญชาตญานแห่งความกลัวแล้ว


ภายใต้บรรยากาศอันกดดันไอ้เยื้องเป็นคนรวบรวมความกล้ากล่าวออกมาคนแรก
“นี่กลางวันแสกๆ เอ็งกล้าหาเรื่องพวกข้าถึงถิ่นเชียวรึ”
แม้กระนั้นเสียงมันก็อ่อยลงไปกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
เหมือนหนูที่สิ้นหวังกำลังขู่ขวัญแมว

หากชายร่างใหญ่ได้ยินดังนั้นกลับมีความสั่นสะเทือนจนเป็นฝ่ายลังเลเสียเอง
เขาค่อยๆสงบลงเหมือนคิดได้ ชายร่างใหญ่หันมองหน้าไอ้เยื้องแวบหนึ่ง

แล้วเขาก็ก้มลงคลานลอดขาอันธพาลหนุ่มไปช้าๆ
เรื่องนี้แม้แต่ไอ้เยื้องยังไม่ใคร่จะเชื่อสายตาตนเอง

รังสีอำมหิตคลี่คลายออก
ทุกคนเหงื่อไหลพลั่กๆแต่ก็ยังคงดีใจดุจได้ตายแล้วเกิดอีกครั้ง
เมื่อชายร่างใหญ่เดินไปไกลแล้ว ไอ้เยื้องค่อยถอนหายใจอย่างโล่งอกหัวเราะดังๆ
“ฮ่าๆๆๆ เห็นท่ามันไหม ดูไม่จืดเลย” พรรคพวกหัวเราะตาม
ทุกคนแสดงอาการฮึกเหิมเก่งกล้ากันเต็มทีและเหยียดหยามชายร่างใหญ่มากที่สุดเท่าที่จะมากได้


สนเพียงดูก็รู้นั้นเป็นการกระทำเพื่อกลบเกลื่อน
เขาเองกลับเริ่มดูแคลนคนกลุ่มนั้นและในขณะเดียวกันก็คิดว่าชายร่างใหญ่นั้นต้องไม่ใช่ธรรมดาแน่
คนเช่นนั้นยอมคลานลอดขาคนเช่นไอ้เยื้อง
หากเมื่อครู่ชายร่างใหญ่ใช้มือเปล่าเตะต่อยพวกไอ้เยื้องสิบกว่าคนพ่ายแพ้เขายังไม่แปลกใจเท่านี้

สนเลิกล้มความคิดที่จะเข้ากลุ่มไอ้เยื้องไปโดยสิ้นเชิง
เขาเริ่มสงสัยว่าบางทีเภทภัยที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านจะมาจากคนต่างถิ่นที่พึ่งเข้ามานี่ต่างหาก
แต่สนก็ได้แค่สงสัยเพราะไม่มีหลักฐานใดๆพิสูจน์เรื่องนี้ได้

ค่ำวันนั้น สนถูกปลุกขึ้นอีก คราวนี้เป็นเพราะไอ้เยื้องมาเขย่าต้นมะม่วง
“เกิดอะไรขึ้นวะ?” เขาถาม
“ไอ้สน...” ไอ้เยื้องกล่าวหน้าซีด “ช่วยข้าด้วย ไอ้สัตว์นั่นมันจะฆ่าข้า!”
“หา” สนอุทานรีบดึงไอ้เยื้องขึ้นมาบนต้นไม้
ไอ้เยื้องทุลักทุเลยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะกล่าวลนลานด้วยน้ำตานองหน้า
“มัน...มันฆ่าไอ้เขียวตายแล้ว”
“ไอ้เขียว! ใครฆ่าไอ้เขียว”
“มัน ปีศาจบ้านั่น มันกำลังตามมาทางนี้”

สนหยิบธนูขึ้นมาพาดกระชับไว้ เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า
เมื่อเห็นว่าสัตว์ประหลาดคงไม่มาแล้ว สนค่อยถามไอ้เยื้องว่า
“เอ็งเจอมันที่ไหน”
“ข้าเจอมันขณะกำลังเดินตระเวนตอนกลางคืน” ไอ้เยื้องตอบโดยยังไม่หายกลัว
“มันกระโดดลงมาตะปบไอ้เขียวคอแหว่งเกือบหลุด
คนที่เหลือวิ่งหนีไปคนละทิศคนละทาง ส่วนข้าวิ่งมาหาเอ็งนี่ไงล่ะ”

สนคิดชั่วครู่ ไอ้เขียวหรือ?
เมื่อกลางวันพวกไอ้เยื้องไปมีเรื่องกับชายร่างใหญ่
ไอ้เขียวเป็นคนหาเรื่องขึ้นคนแรก ตอนนี้ชายร่างใหญ่พักที่บ้านไอ้น้อย
หน้าเขาค่อยๆเปลี่ยนเป็นซีดขาว “ไปที่บ้านไอ้น้อยเร็ว! ข้าสังหรณ์ไม่ดี”
เขาปีนลงจากต้นมะม่วงแล้วรีบวิ่งไป “เดี๋ยว เอ็งจะไปทำไมวะ?”
ไอ้เยื้องตะโกนตามหลัง แต่ความกลัวบรรยากาศวังเวงทำให้เขาต้องติดตามสนไปด้วย

เมื่อไปถึงกระท่อมบ้านไอ้น้อย เห็นข้าวของเกลื่อนกลาด “ไอ้น้อย!” สนตะโกน
“ไอ้น้อย! เอ็งเป็นอะไรหรือเปล่าวะ”
“นี่เกิดอะไรขึ้นนี่” ไอ้เยื้องที่พึ่งวิ่งตามมาถึงกล่าวพลางหอบ
สนเห็นร่างๆหนึ่งนอนอยู่ในเงาเลือนลางทำให้ใจชื้นขึ้นเป็นกอง
“ไอ้น้อยนั่นเอ็งใช่ไหม?” เขาวิ่งไปดู ใช่แล้ว ร่างนั้นคือไอ้น้อย

...แต่เป็นไอ้น้อยที่ถูกฉีกพุงล้วงกินเครื่องในจนหมดสิ้น
เลือดสดๆไหลท่วมบริเวณ ...........................(อ่านต่อ)

หมายเหตุ


ชี้แจงคำว่า ทวาปรยุค
อันนี้ต้องเริ่มว่าเคยได้ยินสำนวน"สิ้นกัปสิ้นกัลป์"ไหมครับ

กัปในความหมายนี้คือช่วงเวลายาวนานมากๆ
เป็นช่วงเวลาที่โลกถูกสร้างและทำลายลงรอบหนึ่ง แต่ละกัปแบ่งเป็นสี่ยุค

ยุคแรกชื่อกฤดายุค เป็นยุคที่ความดีครอบครองร้อยเปอร์เซ็นต์
ทวาปรยุคคือยุคที่สอง ซึ่งเป็นยุคที่มีความดีสามส่วนและความเลวหนึ่งส่วน
ยุคที่สามชื่อไตรดายุค มีความดีความเลวก้ำกึ่งกัน
ยุคที่สี่ชื่อกลียุค มีความเลวสามส่วนความดีส่วนเดียว

ในปัจจุบันเราอยู่ในภัทรกัป(กัปที่มีพระพุทธเจ้า๕พระองค์)ในกลียุค

พอสิ้นยุคนี้ก็สิ้นภัทรกัป
โลกที่เน่าแล้วจะถูกทำลายล้างไปครั้งหนึ่งเพื่อสร้าง
โลกใบใหม่ขึ้นมาแล้วขึ้นกัปใหม่
อ้างอิงจากหนังสือ "เกร็ดจากวรรณคดี" ของสำนวน งามสุข
เชษฐา

กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป 1