เวลาล่วงเลยไปจนเป็นยามวิกาล อยู่ๆสนก็ถูกปลุกขึ้นด้วยเสียงตะโกนโหวกเหวกในหมู่บ้าน คบไฟถูกจุดให้ลุกโชนขึ้นหลายแห่ง อาจจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้น สนไม่สนใจนักจะอย่างไรอยู่บนต้นมะม่วงอย่างนี้นับว่าปลอดภัยที่สุด แล้วสนก็เหลือบเห็นเงาประหลาดร่างหนึ่งโดดผ่านหลังคาบ้านสามสี่บ้านตรงมาทางตน มันเป็นเงาของสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ที่เคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว สิ่งนั้นต้องเป็นสัตว์แต่สัตว์ชนิดใดเล่าจะเคลื่อนที่ได้เช่นนี้ อยู่ๆเจ้าตัวประหลาดนั่นก็กระโดดผึงขึ่นมาเหยียบบนกิ่งมะม่วงต้นที่สนอยู่ ใบมะม่วงร่วงกราว ลำต้นสั่นไหวจนสนแทบจะตก แต่ความน่ากลัวพึ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้นเพราะภาพที่สนมองเห็นต่อไปคือแขนหยาบใหญ่สัตว์ประหลาดตัวนั้นที่เหมือนแขนมนุษย์ไม่มีผิด ในมือมันยังกำลำไส้ชุ่มเลือดไว้ท่อนหนึ่งดุจพึ่งแหวะกินมาสดๆ! ฮูมมมมมม สัตว์นั้นคำราม สนมองหน้ามันไม่ชัดนักเนื่องจากอยู่ในความมืด รู้แต่ว่ามันมีเขี้ยวสองข้างยาวมากและมีผมหยิกรุงรัง ที่สำคัญคือสัตว์นั่นกำลังพุ่งเข้ามาทำร้ายเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว สนลนลานถอยหนี สัตว์ประหลาดก็ไล่ตาม การเคลื่อนไหวของทั้งสองทำให้กิ่งมะม่วงสั่นไหวอย่างรุนแรง เฮ้ยๆๆ พลั่ก กิ่งมะม่วงทานน้ำหนักทั้งสองไม่ไหวหักโครมลง ยังผลให้ทั้งสนและสัตว์ประหลาดตกไปกระแทกกับพื้นอย่างแรง ชาวบ้านสิบกว่าคนถือคบไฟและอาวุธวิ่งมาตามเสียง ไอ้เยื้องยิงธนูถูกสีข้างด้านซ้ายของสัตว์นั่นบาดเจ็บ เขาได้ใจจะยิงซ้ำ ไอ้น้อยก็ห้ามไว้ อย่ายิง เดี๋ยวโดนสน ขณะที่ทั้งสองกำลังละล้าละลังไอ้สัตว์นั่นก็กู่ร้องเสียงดังน่าสะพรึงกลัว แล้วโจนหนีไปในความมืดด้วยการเคลื่อนไหวที่ช้าลงเล็กน้อย มันคงบอบช้ำจากการตกต้นไม้เมื่อครู่เหมือนกัน สนยันกายลุกขึ้นอย่างยากลำบาก พ่อเทิด ไอ้เยื้องและไอ้น้อยนำชาวบ้านมาถึงเขาพอดี เป็นอะไรหรือเปล่าวะสน ไอ้น้อยถาม อะ... ไอ้นั่นมันตัวอะไร ข้าก็ไม่รู้ แต่มันพึ่งบุกไปกัดตามากตายถึงในบ้านแล้วเผ่นหนีมาทางนี้ เจ้าหมายความว่าตามากตายแล้ว! ใช่ ไอ้เยื้องกล่าวเคร่งเครียด ไม่ว่าจะเป็นตัวอะไรก็ตาม สัตว์อุบาทว์นั่นมันกินคนเราต้องหาทางกำจัดมันโดยเร็ว พูดอย่างกับเอ็งมีปัญญานั่นแหละไอ้เยื้อง พ่อเทิดปรามลูกชายตน เฮอะ พ่อก็เห็นข้ายิงถูกมัน ยังจะว่าฆ่ามันไม่ได้อีกหรือ? แต่เอ็งก็เห็นเหมือนกัน เมื่อครู่สัตว์นั่นมันมีกำลังกระโดดข้ามบ้านได้ทีละหลาย ๆ หลังอย่างรวดเร็ว แถมยังมีเขี้ยวเล็บแหลมคม พละกำลังมหาศาล เราไม่อาจเสี่ยงกับมันตรง ๆ เด็ดขาด ที่เอ็งมีโอกาสยิงมันได้เพราะมันทุลักทุเลจากการตกต้นไม้มาก่อน ปัดโธ่ ถ้าไม่สู้กับมันจะให้นั่งรอดูมันมาฆ่าชาวบ้านเราไปทีละคน ๆ หรืออย่างไร อย่างน้อยเราต้องรู้จักมันดีกว่านี้หน่อยจึงค่อยคิดอุบายกำราบมันภายหลัง พ่อเทิดครุ่นคิด สน เมื่อกี้เจ้าอยู่บนต้นมะม่วงเห็นมันชัดตาหรือไม่? หน้ามันนั้นข้าเห็นไม่ชัด รู้แต่ว่ามันมีเขี้ยวยาวแหลมสองข้าง แต่ตอนที่มันเข้ามาใกล้ข้า ข้าเห็นชัดๆว่ามันมีแขนเหมือนคนไม่มีผิด ทุกคนอุทานพร้อมกัน หรือว่ามันเป็นลิงใหญ่? ไม่ข้าดูไม่ผิดแน่ มันไม่ยาวเหมือนแขนลิง ขนก็ไม่หนาเท่า ไม่ใช่ลิง ไม่ใช่คน แต่เป็นสัตว์คล้ายคนที่มีพละกำลังเหนือสัตว์อื่น มันคือตัวอะไรกันแน่ แม้พ่อเทิดยังไม่รู้จักสิ่งมีชีวิตเช่นนี้มาก่อน ความกลัวจากการไม่รู้เริ่มแผ่ซ่านไปในจิตใจของเหล่านิษาท ขณะยังหาคำตอบไม่ได้ กลิ่นเหม็นชนิดหนึ่งก็ลอยมาแตะจมูกสน ชายขอทานท่าทางป้ำๆเป๋อๆเดินลอยชายออกมา ฮาฮา อะไรกันทำไมมีคนมารวมกันที่นี่เยอะขนาดนี้เชียว ไอ้นี่ มันใครวะ ไอ้เยื้องถาม มันเป็นขอทานบ้าคนหนึ่งไม่รู้ระหกระเหินมาถึงที่นี่ได้อย่างไร ข้านึกสงสารจึงให้มันพักอยู่บ้านข้า ความจริงนอกจากมันยังมีชายตัวใหญ่อีกคนหนึ่งร่วมทางมาด้วย ไอ้น้อยตอบ ชายขอทานยังคงเกาะแกะคนอื่นต่อไปจนเมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยากคุยกับเขา ชายขอทานก็หันหน้าไปหาสน นั่นน้องชายที่อยู่บนต้นไม้เมื่อกลางวันนี่ ฮาฮา ข้าจำได้ ตอนนั้นเจ้าฟังข้าพูดไม่รู้เรื่อง ไหนเจ้าลองเล่ามาซิว่าเกิดอะไรขึ้น คนที่ฟังข้ารู้เรื่องเขาไม่ยอมเล่ากันสักคน พักนี้มีสัตว์ร้ายมาอาละวาด ทางที่ดีลุงอย่าอยู่นี่ต่อไปเลย สนตอบ ฮาฮา เจ้าว่าอะไรไม่รู้เรื่อง เจ้าฟังไม่รู้เรื่อง พูดไม่รู้เรื่อง ข้าก็ฟังเจ้าพูดไม่รู้เรื่อง ฮาฮา ขอทานว่าดังนี้จึงจากไป ไอ้เยื้องมองตามด้วยสายตารังเกียจ ไอ้น้อย พรุ่งนี้เช้าเอ็งไล่พวกมันไปเสีย คนบ้าเช่นนี้อยู่หมู่บ้านเราก็เป็นเสนียดเปล่าๆ สงสารเขาเถอะเยื้อง เขาไม่ใช่ชาวไพรอย่างไรหากปล่อยกลับเข้าป่าไปตอนนี้น่ากลัวจะมีอันตรายถึงชีวิต ยิ่งตอนนี้มีสัตว์ประหลาดนั่นอาละวาดอยู่ด้วย เฮอะ จะสนอะไร เห็นว่ามันมีเพื่อนตัวใหญ่อีกคนไม่ใช่หรือก็ให้ดูแลกันเองสิ อีกอย่างหมู่บ้านเราไม่ใช่ที่ลับแล มีทางเท้าทางเกวียนเข้าเมืองถมไปไม่ต้องกลัวมันหลงหรอก แต่ สองคนนั่น... ไอ้น้อยท้วงแต่พ่อเทิดแทรกขึ้นว่า เอาละๆพอที ตอนนี้สิ่งที่เราต้องทำคือจัดการงานศพตามากแล้วหาทางแก้ไขปัญหาสัตว์ประหลาดต่างหาก ส่วนเรื่องคนต่างถิ่นเอาเป็นว่าข้าให้พวกมันอยู่ได้อีกสามวัน ถึงตอนนั้นไม่ว่าปัญหาจะหมดไปหรือไม่เอ็งก็ต้องไล่มันไป เข้าใจไหมไอ้น้อย สำหรับชาวบ้านหากมีการตัดสินอะไรคำพ่อเทิดถือเป็นสิ้นสุดเสมอ ไอ้น้อยไม่กล้าขัดได้แต่ยืนนิ่ง ส่วนสนเห็นว่าไม่ใช่เรื่องและเป็นเวลาดึกแล้วหากคิดทำอะไรก็ควรเป็นพรุ่งนี้จึงปีนขึ้นไปนอนบนต้นมะม่วงดุจเดิม เช้าวันต่อมา ไอ้เยื้องพาลูกน้องสิบกว่าคนถืออาวุธครบสรรพออกตระเวนรอบหมู่บ้าน สนว่าจะไปร่วมขบวนด้วยแต่ต้องลงมาเหลาธนูเพิ่มสักสิบดอกก่อน เขาเห็นชายร่างใหญ่เมื่อวานเดินผ่านหน้าไป ชายคนนั้นเปลือยท่อนบน ความคิดแปลกแล่นขึ้นมาสั่งให้สนต้องลอบมองสีข้างด้านซ้ายของเขา เฮ้อ... ไม่มีแผลธนู เราไม่น่าคิดมากไปเอง แต่สนก็ไม่ใช่ระแวงโดยไม่มีมูลเหตุ คนอะไรหน้าดุฉิบหาย ตาขวางยังกับจะไปกินเลือดกินเนื้อใครที่ไหน เวลานี้ขบวนของไอ้เยื้องตระเวนสวนมาพอดี หน้าตาดุร้ายของชายคนนั้นทำให้ไอ้เยื้องนึกประหวั่นอยู่บ้างแต่เมื่อเห็นพวกตนมีมากจึงร้องตวาดออกไป เฮ้ย ไอ้เยื้องร้องเมื่อเห็นชายร่างใหญ่ไม่สนใจจึงสำทับไปอีก ข้าเรียกเอ็งนั่นแหละ หันมานี่ เขาเดินเข้าไปใกล้ชายร่างใหญ่ ได้ข่าวเอ็งคือคนที่พึ่งเข้ามาพักที่บ้านไอ้น้อยเมื่อวาน ระยะนี้หมู่บ้านเรามีสัตว์บ้าอาละวาด ข้าขอเตือนให้เอ็งระวังตัวเอาไว้ดีๆนะเว้ย ชายร่างใหญ่นิ่งเฉย ลูกน้องไอ้เยื้องคนหนึ่งไม่พอใจ เอ็งหูหนวกหรืออย่างไร พี่เยื้องเตือนดีๆยังมาทำเฉย เขาตีหน้าดุยกไม้ขึ้นเคาะหัวชายร่างใหญ่ เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ตอบโต้จึงยิ่งได้ใจตีอีกโดยแรง เฮ้ย คราวนี้ได้ยินหรือเปล่า!? คนอื่นลดความกลัวชายร่างใหญ่ลง ต่างส่งเสียงเยาะเย้ยคนต่างถิ่นพร้อมทั้งลงมือทุบตีเอาบ้าง ยิ่งทุบตียิ่งมันมือพากันใช้กำลังหนักขึ้นเรื่อยๆ มีคนหนึ่งฟาดไปที่ข้อพับขาจนชายร่างใหญ่คุกเข่าลง สนไม่ค่อยพอใจการกระทำที่ไม่มีเหตุผลนี้นัก ใจหนึ่งนึกจะร้องห้ามแต่อีกใจคิดว่ามันแส่หาเรื่องเองไม่เห็นต้องช่วยเลยจึงนั่งเหลาธนูต่อไป เมื่อเห็นว่าพรรคพวกสั่งสอนพอแล้วไอ้เยื้อง เอ็งมาจากไหนก็ตาม รู้ไว้ว่าที่นี่เป็นเขตข้า หากอยากผ่านทางกลับไปซุกหัวบ้านไอ้น้อยก็คลานลอดขาข้าไป! ว่าจบเขายกขาขึ้นพาดกับต้นไม้และมองด้วยสายตาที่หยามหยันเต็มที่ ชายร่างใหญ่ดูเหมือนจะอัดอั้นความโกรธอยู่นาน เมื่อได้ยินดังนั้นใบหน้ากลับกลายเป็นโหดเหี้ยมถมึงทึงขึ้นหลายเท่า แม้สนที่อยู่ไกลยังสะดุ้งเขารู้สึกถึงรังสีชนิดหนึ่ง เป็นชนิดเดียวกับเขารู้สึกตอนประจันหน้ากับสัตว์ใหญ่ดุร้าย มันเป็นความรู้สึกแห่งการฆ่าฟัน ความอำมหิต ความตาย สนใจสั่นไม่หยุดกับแรงกดดันที่ถาโถมมาอย่างฉับพลัน บางอย่างทำให้เขานึกถึงหากนี่เป็นสมรภูมิทหารที่พบกับความรู้สึกเช่นนี้จะต้องไม่มีใจสู้รบ จะต้องแพ้แน่ๆ พวกไอ้เยื้องยิ่งตื่นตระหนก ไม่มีใครกล้าขยับ ต่างพบว่ามัจจุราชอยู่ตรงหน้าตนไม่ไกลปัสสาวะอุจจาระนั้นหากไม่อั้นอยู่เต็มแรงก็แตกทะลักออกมาตามสัญชาตญานแห่งความกลัวแล้ว ภายใต้บรรยากาศอันกดดันไอ้เยื้องเป็นคนรวบรวมความกล้ากล่าวออกมาคนแรก นี่กลางวันแสกๆ เอ็งกล้าหาเรื่องพวกข้าถึงถิ่นเชียวรึ แม้กระนั้นเสียงมันก็อ่อยลงไปกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด เหมือนหนูที่สิ้นหวังกำลังขู่ขวัญแมว หากชายร่างใหญ่ได้ยินดังนั้นกลับมีความสั่นสะเทือนจนเป็นฝ่ายลังเลเสียเอง เขาค่อยๆสงบลงเหมือนคิดได้ ชายร่างใหญ่หันมองหน้าไอ้เยื้องแวบหนึ่ง แล้วเขาก็ก้มลงคลานลอดขาอันธพาลหนุ่มไปช้าๆ เรื่องนี้แม้แต่ไอ้เยื้องยังไม่ใคร่จะเชื่อสายตาตนเอง รังสีอำมหิตคลี่คลายออก ทุกคนเหงื่อไหลพลั่กๆแต่ก็ยังคงดีใจดุจได้ตายแล้วเกิดอีกครั้ง เมื่อชายร่างใหญ่เดินไปไกลแล้ว ไอ้เยื้องค่อยถอนหายใจอย่างโล่งอกหัวเราะดังๆ ฮ่าๆๆๆ เห็นท่ามันไหม ดูไม่จืดเลย พรรคพวกหัวเราะตาม ทุกคนแสดงอาการฮึกเหิมเก่งกล้ากันเต็มทีและเหยียดหยามชายร่างใหญ่มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ สนเพียงดูก็รู้นั้นเป็นการกระทำเพื่อกลบเกลื่อน เขาเองกลับเริ่มดูแคลนคนกลุ่มนั้นและในขณะเดียวกันก็คิดว่าชายร่างใหญ่นั้นต้องไม่ใช่ธรรมดาแน่ คนเช่นนั้นยอมคลานลอดขาคนเช่นไอ้เยื้อง หากเมื่อครู่ชายร่างใหญ่ใช้มือเปล่าเตะต่อยพวกไอ้เยื้องสิบกว่าคนพ่ายแพ้เขายังไม่แปลกใจเท่านี้ สนเลิกล้มความคิดที่จะเข้ากลุ่มไอ้เยื้องไปโดยสิ้นเชิง เขาเริ่มสงสัยว่าบางทีเภทภัยที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านจะมาจากคนต่างถิ่นที่พึ่งเข้ามานี่ต่างหาก แต่สนก็ได้แค่สงสัยเพราะไม่มีหลักฐานใดๆพิสูจน์เรื่องนี้ได้ ค่ำวันนั้น สนถูกปลุกขึ้นอีก คราวนี้เป็นเพราะไอ้เยื้องมาเขย่าต้นมะม่วง เกิดอะไรขึ้นวะ? เขาถาม ไอ้สน... ไอ้เยื้องกล่าวหน้าซีด ช่วยข้าด้วย ไอ้สัตว์นั่นมันจะฆ่าข้า! หา สนอุทานรีบดึงไอ้เยื้องขึ้นมาบนต้นไม้ ไอ้เยื้องทุลักทุเลยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะกล่าวลนลานด้วยน้ำตานองหน้า มัน...มันฆ่าไอ้เขียวตายแล้ว ไอ้เขียว! ใครฆ่าไอ้เขียว มัน ปีศาจบ้านั่น มันกำลังตามมาทางนี้ สนหยิบธนูขึ้นมาพาดกระชับไว้ เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า เมื่อเห็นว่าสัตว์ประหลาดคงไม่มาแล้ว สนค่อยถามไอ้เยื้องว่า เอ็งเจอมันที่ไหน ข้าเจอมันขณะกำลังเดินตระเวนตอนกลางคืน ไอ้เยื้องตอบโดยยังไม่หายกลัว มันกระโดดลงมาตะปบไอ้เขียวคอแหว่งเกือบหลุด คนที่เหลือวิ่งหนีไปคนละทิศคนละทาง ส่วนข้าวิ่งมาหาเอ็งนี่ไงล่ะ สนคิดชั่วครู่ ไอ้เขียวหรือ? เมื่อกลางวันพวกไอ้เยื้องไปมีเรื่องกับชายร่างใหญ่ ไอ้เขียวเป็นคนหาเรื่องขึ้นคนแรก ตอนนี้ชายร่างใหญ่พักที่บ้านไอ้น้อย หน้าเขาค่อยๆเปลี่ยนเป็นซีดขาว ไปที่บ้านไอ้น้อยเร็ว! ข้าสังหรณ์ไม่ดี เขาปีนลงจากต้นมะม่วงแล้วรีบวิ่งไป เดี๋ยว เอ็งจะไปทำไมวะ? ไอ้เยื้องตะโกนตามหลัง แต่ความกลัวบรรยากาศวังเวงทำให้เขาต้องติดตามสนไปด้วย เมื่อไปถึงกระท่อมบ้านไอ้น้อย เห็นข้าวของเกลื่อนกลาด ไอ้น้อย! สนตะโกน ไอ้น้อย! เอ็งเป็นอะไรหรือเปล่าวะ นี่เกิดอะไรขึ้นนี่ ไอ้เยื้องที่พึ่งวิ่งตามมาถึงกล่าวพลางหอบ สนเห็นร่างๆหนึ่งนอนอยู่ในเงาเลือนลางทำให้ใจชื้นขึ้นเป็นกอง ไอ้น้อยนั่นเอ็งใช่ไหม? เขาวิ่งไปดู ใช่แล้ว ร่างนั้นคือไอ้น้อย ...แต่เป็นไอ้น้อยที่ถูกฉีกพุงล้วงกินเครื่องในจนหมดสิ้น เลือดสดๆไหลท่วมบริเวณ ...........................(อ่านต่อ) หมายเหตุชี้แจงคำว่า ทวาปรยุค อันนี้ต้องเริ่มว่าเคยได้ยินสำนวน"สิ้นกัปสิ้นกัลป์"ไหมครับ กัปในความหมายนี้คือช่วงเวลายาวนานมากๆ เป็นช่วงเวลาที่โลกถูกสร้างและทำลายลงรอบหนึ่ง แต่ละกัปแบ่งเป็นสี่ยุค ยุคแรกชื่อกฤดายุค เป็นยุคที่ความดีครอบครองร้อยเปอร์เซ็นต์ ทวาปรยุคคือยุคที่สอง ซึ่งเป็นยุคที่มีความดีสามส่วนและความเลวหนึ่งส่วน ยุคที่สามชื่อไตรดายุค มีความดีความเลวก้ำกึ่งกัน ยุคที่สี่ชื่อกลียุค มีความเลวสามส่วนความดีส่วนเดียว ในปัจจุบันเราอยู่ในภัทรกัป(กัปที่มีพระพุทธเจ้า๕พระองค์)ในกลียุค พอสิ้นยุคนี้ก็สิ้นภัทรกัป โลกที่เน่าแล้วจะถูกทำลายล้างไปครั้งหนึ่งเพื่อสร้าง โลกใบใหม่ขึ้นมาแล้วขึ้นกัปใหม่ อ้างอิงจากหนังสือ "เกร็ดจากวรรณคดี" ของสำนวน งามสุข เชษฐา
|