นิยายแฟนตาซีแบบไทย

ศึกหกภพ

โดย เชษฐา

บทที่ ๔ ชำระแค้นเจ็ดประการ
(๒)


คืนหนึ่งที่อุตรกุรุ

ประตูด้านตะวันตกของเมืองขึ้นชื่อว่าเป็นประตูผี เพราะเป็นทางผ่านซึ่งขบวนแห่ศพทุกขบวนจะต้องใช้ในการนำอัฐิของญาติมิตรตนไปฝังยังป่าช้า

ชาวอุตรกุรุจึงมีความเชื่อว่าหากจะทำการมงคลใดๆต้องหลีกเลี่ยงการใช้ประตูด้านนี้เด็ดขาด แม้ว่าเวลานักเดินทางหรือพ่อค้ามายังเมืองก็จะไม่ใช้ประตูนี้เพราะถือเป็นลางร้ายจะทำให้สินค้าของตนนั้นขายไม่ได้

ดังนั้นเขตประตูตะวันตกจึงค่อนข้างเป็นบริเวณรกร้าง ในยามกลางคืนที่ภูติผีปีศาจมีฤทธิ์เป็นพิเศษชาวบ้านแถบนั้นจะปิดบ้านเงียบเชียบไม่กล้าแม้เปิดหน้าต่างออกมองภายนอก

พวกเขาไม่ใช่หวาดกลัวโดยไร้เหตุผล พวกเขามักจะได้ยินเสียงประหลาดดังลอดมาบ่อยๆ บางทีเป็นเสียงร้องไห้ บางทีเป็นเสียงหัวเราะ บางทีเป็นเสียงโอดครวญอันน่าสยดสยอง เหล่าชาวบ้านกลัวว่าหากเปิดหน้าต่างดูจะถูกปีศาจทำร้าย ดังนั้นทุกๆคืนแม้กระทั่งลูกเล็กเด็กแดงซึ่งอยากรู้อยากเห็นก็จะถูกมารดาขังไว้ในห้องไม่ให้ออกมา

คืนนี้ก็เช่นกัน

เสียงตึงตึงตึง ดังระงมไปทั้งท้องถนน ดังมากเป็นพิเศษ มันเหมือนเสียงรถเข็นของ เสียงเดินขบวนแต่ไม่มีเสียงคุยกันเหมือนขบวนคนจริงๆ

ชาวบ้านได้แต่คลุมโปงตัวสั่นอยู่ข้างในอาคารที่พัก ชะรอยวันนี้คงเป็นวันที่พระยายมราชปล่อยวิญญาณออกมา พวกผีจึงกำลังแห่เข้าเมือง

พวกเขาไม่มีทางทราบเลยว่าผู้มานั้นไม่ใช่ผี หากแต่เป็นขบวนขนสัมภาระของทางการอสูรขบวนใหญ่ต่างหาก สิ่งที่ขนมานั้นนอกจากไม่น่ากลัวแล้วยังหอมหวานอย่างยิ่ง คือหีบใส่แก้วแหวนเงินทองจำนวนนับไม่ถ้วนลำเลียงมาจากสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างไกลออกไป สถานที่นั้นมีชื่อเดียวกับตราซึ่งประทับติดอยู่บนทุกๆบรรจุภัณฑ์

ตราที่จารึกไว้ว่า “อลกา”

... ... ...

อาโปตะไลเลือกใช้ประตูตะวันตกในการเดินทางกลับเพื่อไม่ให้ฝูงชนแตกตื่น

แม้การเข้ายึดครองนครอลกาได้จะทำให้พวกอสูรขยายอาณาเขตปกครองเหนือสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตทั้งหมดในป่าหิมพานต์ส่วนกลางโดยสมบูรณ์ แต่อำนาจนั้นก็ยังเป็นเพียงแต่ในนามของกุเวรอยู่

เรื่องนี้จึงเป็นความลับสำคัญที่ไม่อาจเปิดเผยแม้กับประชาชนอสูรทั่วไป เสนาอสูรทราบดีว่าหากความลับนี้ถูกแพร่งพรายก่อนเวลาที่เหมาะสมที่สุดมันย่อมหมายถึงความเป็นความตายของเผ่าของเขา

ที่ๆอาโปตะไลเดินทางไปแห่งแรกคือปราสาทพรหมทัตซึ่งตั้งแต่เจ้าตัวไม่อยู่ก็ถูกเสนาอสูรปรับใช้เป็นบ้านของตนเรียบร้อย

หลังจากจัดการตรวจตราทุกอย่างแล้ว ประไพวดีกับคีตาก็ถูกปลุกขึ้นมากลางดึกเพื่อไปหาผู้เป็นพ่อทันที

เมื่อถึงที่ห้องทำงาน พวกนางได้พบกับอาโปตะไลจุดเทียนนั่งรออยู่แล้ว ข้างกายเขามีกล่องสีแดงใบหนึ่ง คีตาไม่ทราบว่าข้างในนั้นมีอะไร แต่บางสิ่งบางอย่างทำให้นางรู้สึกประหวั่นใจบ้าง

6-20-1.jpg

หญิงทั้งสองไหว้บิดา ประไพวดีแสร้งยิ้มแล้วถามว่า “ท่านพ่อพึ่งกลับคงเหน็ดเหนื่อย มีธุระอะไรหรือคะ?”

อาโปตะไลมีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย “วันนี้เจ้าพูดดีกับพ่อเป็นพิเศษนะ”

ประไพวดีรีบสวนทันควันว่า “เป็นเพราะท่านจากไปนาน ข้าจึงมีความคิดถึง”

อาโปตะไลหัวเราะ “ฮาฮา ดีที่รู้จักเอาใจขึ้นบ้าง ไม่เสียแรงที่พ่อยกเจ้าให้กับพรหมทัต ฮาฮาฮา”

ได้ยินคำนี้หญิงสาวมีสีหน้าไม่พอใจวูบหนึ่งแต่ก็ต้องยิ้มกลบเกลื่อน

เสนาอสูรกล่าวต่อว่า “แต่ธุระอันดับแรกของข้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับคีตา”

เขาปั้นหน้าเครียดหันไปทางลุกสาวคนสุดท้อง “เจ้ารู้ไหม ข้ากำลังพูดถึงอะไร”

สิ่งแรกที่คีตาคิดถึงคือสมุดกลอนที่นางขโมยไปจากห้องหนังสือของพ่อ แต่ท่านพึ่งกลับมาจะรู้เรื่องนี้ทันทีเชียวหรือ? อย่าเลยทำเป็นไม่รู้เรื่องดีกว่า นางจึงตอบไปว่า “ไม่รู้ค่ะ”

“เจ้าไม่รู้จริงๆ?”

คีตาชักร้อนตัวแต่มาถึงขั้นนี้แล้วก็ต้องตอบไปว่า “เอ่อ ...ไม่รู้จริงๆค่ะ”

“สมุดเล่มหนึ่งหายไปจากห้องหนังสือในวังหลวง” อาโปตะไลกล่าว “เป็นสมุดรวบรวมกลอนที่ข้าเคยไว้สมัยเกี้ยวแม่พวกเจ้า คาดคั้นบรรณารักษ์ได้ว่าคนที่เข้าไปในนั้นมีเพียงเจ้ากับพระยาพรหมทัต”

ผู้เป็นพ่อลุกขึ้นเดินไปใกล้ๆลูกสาว “ห้องหนังสือได้รับการคุ้มกันอย่างดี เจ้าไม่ใช่คนขโมย หรือพระยาพรหมทัตเป็นคนขโมย”

คีตาหน้าแดงเมื่อถูกจับได้ “ข้า...”

อาโปตะไลเห็นนางรู้สึกผิดมากแล้วจึงลูบหัวลูกสาวเบาๆ “เด็กโง่เอ๊ย... พ่อรู้ว่าเจ้ามีเจตนาดี อยากส่งสมุดนั้นไปให้แม่ เพื่อหวังให้พ่อกับแม่มากลับมาคืนรักกัน แต่บางอย่างนั้นก็เป็นเรื่องของผู้ใหญ่จริงๆ แม่ของเจ้าย่อมมีเหตุผลของนาง พ่อก็มีเหตุผลของพ่อ ปัญหานี้ไม่อาจแก้ไขได้ในเร็ววันดอก”

เขากล่าวต่อว่า “เช้าพรุ่งนี้ให้เจ้านำสมุดเล่มนั้นมาคืนกับพ่อเสีย แต่ตอนนี้ดึกแล้วจงกลับไปพักผ่อนก่อนเถิด”

คีตาคิดกล่าวอะไรบางอย่างแต่ก็ต้องนิ่งไว้ จึงทำความเคารพบิดาแล้วลาออกไปจากห้อง

อาโปตะไลกลับมานั่งที่เดิม เขาไม่กล่าวอะไรอีก บรรยากาศกลายเป็นเงียบวังเวง

ประไพวดีรู้สึกไม่สบายตัวนักจึงกล่าวว่า “ท่านพ่อถ้าไม่มีอะไรแล้วข้าต้องขอลาบ้าง” นางทำท่าจะลุกเดินออกไป

“เดี๋ยว!!” เสียงตวาดดังออกมาจากปากของเสนาอสูร “เจ้ายังไปไม่ได้!”

ประไพวดีจึงนั่งลง “โธ่ ท่านพ่อ ทำไมต้องดุด้วยเล่า?”

“เรื่องนั้นเจ้าย่อมทราบแก่ใจดี”

ประไพวดีมีท่าทีไม่พอ่ใจ นางขึ้นเสียงบ้าง “ข้าไม่ทราบและไม่อยากจะทราบด้วย! ต่อให้ทำผิด ข้าก็ถือเป็นคนโตแล้ว ไม่ใช่เด็กที่ท่านจะสั่งสอนได้อีก”

“พ่อไม่ได้สั่งสอนเจ้า แต่เป็นบริภาษ!” อาโปตะไลกล่าวด้วยเสียงหนักแน่น “จากการตรวจสอบ ห้องหนังสือไม่เพียงแต่มีสมุดหายไปเล่มหนึ่ง ยังมีอีกสี่เล่มที่ถูกแอบอ่าน”

ฟังถึงคำนี้ประไพวดีต้องนิ่งอึ้ง นางเหงื่อไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว อาโปตะไลเงียบอีกปล่อยให้นางกดดันไปเรื่อยๆจนต้องกล่าวออกมาเองว่า “ทะ... ท่านพ่อรู้ได้อย่างไร?”

“หนังสือของข้าวางสลับกันทุกวัน เจ้าคิดเองว่าข้าไม่ได้จัดเรียงไว้” เสนาอสูรกล่าวต่ออย่างเยือกเย็น “แผนการการรบระยะยาว แผนที่ยุทธศาสตร์ลับ ร่างโครงการชีวาวุธ ตำราสถิติประชากร หนังสือเหล่านี้ไม่เหมาะกับการใช้อ่านเล่นอย่างยิ่ง แต่เป็นข้อมูลสำคัญมากของภพอสูร หากตกอยู่ในมือศัตรูก็จะเป็นภัยร้ายแรงต่อภพอสูรเช่นกัน”

“แล้วทำไมท่านจึงสงสัยข้า?” ประไพวดีแข็งใจถาม

อาโปตะไลแค่นเสียงแล้วผลักกล่องสีแดงข้างๆต้นให้ล้มกลิ้งไปอยู่เบื้องหน้าบุตรสาว “มันบอก!” เขากล่าว

หญิงสาวเกิดประหวั่นใจไม่น้อย ค่อยๆหยิบกล่องนั้นมาเปิดดู

ภายในเป็นศีรษะ!!

ศีรษะของบรรณารักษ์ที่ประจำอยู่ห้องหนังสือ!!!

ดวงตาศพนั้นยังเหลือกค้างดุจไม่เชื่อว่าตนเองจะต้องตายเช่นนี้ อาโปตะไลกล่าวว่า “มันรับสินบนคนอื่น เปิดเผยความลับของชาติ ก็สมควรตายแล้ว ศีรษะของมันจะถูกนำไปเสียบประจานบนกำแพงเมืองเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู”

แววตาเขาเหี้ยมเกรียมขึ้น “แต่ไม่ว่าใครก็ตาม ข้างบนนั้นย่อมมีพ่อแม่ปู่ย่า ข้างล่างย่อมมีลูกมีเมีย มันตายคนเดียวแต่ผู้อื่นต้องสูญเสียมากมาย ความรับผิดชอบนี้ไม่มีผู้ใดแบกรับได้ตลอดกาล”

ประไพวดียกศีรษะนั้นขึ้นมาจ้องพลางกัดฟันกรอด “รู้เช่นนี้แล้วใยท่านพ่อต้องฆ่ามันด้วย...”

“พ่อไม่ได้ฆ่ามัน เป็นเจ้า!” อาโปตะไลตวาด “เจ้าเป็นหญิง เหตุใดจึงยุ่งกับการบ้านการเมืองไม่เข้าเรื่อง ถามตามตรง เจ้ามีอะไรจะพูดเพื่อแสดงความสำนึกไหม!?”

“ไม่มี!” ประไพวดีขึ้นเสียง

“ดี ...ดีมาก” เสนาอสูรเดินไปสั่งคนข้างนอก “ทัณฑกร เข้ามาได้”

ทัณฑกรสองคนเดินเข้ามาในห้อง อาโปตะไลสั่งว่า “จับผู้หญิงคนนี้เฆี่ยนเสียห้าสิบแล้วคุมไปขังคุก!”

พวกทัณฑกรมองหน้ากันไปมาเลิ่กลั่ก “เอ่อ ...นี่คือนักโทษที่ท่านเรียกเรามาจับหรือครับ?”

“ก็เออสิวะ”

“ตะ ...แต่นางเป็นบุตรสาวของท่านเอง”

“ข้าสั่งแล้วเป็นคำขาด ความจริงนางควรตายด้วยซ้ำ!” อาโปตะไลสำทับ ทัณฑกรไม่มีทางเลือกจึงเดินไปข้างๆประไพวดีกล่าวว่า “ขออภัย”

หญิงอสูรก็ไม่มีท่าทางกลัวเกรงเช่นกัน นางลุกขึ้นยืนตัวตรงยอมให้ถูกจับมัดโดยดี หากสายตายังจ้องเขม็งไปที่บิดา เมื่อถูกคุมตัวเดินผ่านไปใกล้ๆนางจึงกล่าวว่า “ท่านพ่อ ในชีวิตนี้ข้าแค้นใจอยู่สองอย่าง หนึ่งคือแค้นท่าน...”

อาโปตะไลทำหน้าเรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลง

ประไพวดียิ้มดังนางคาดเดาสิ่งนี้ได้อยู่แล้วก่อนจะกัดฟันแล้วกล่าวต่อ “สองคือข้าแค้นที่เกิดเป็นหญิง หากข้าเป็นชายเสียอย่างไหนเลยจะต้องพบกับเหตุการณ์ในวันนี้”

คราวนี้เสนาอสูรเลิกคิ้วเล็กน้อย ทัณฑกรทั้งสองพานางเดินต่อไป

ขณะกำลังออกจากประตู อาโปตะไลจึงกล่าวกับบุตรสาวว่า “พ่อรู้จักพรหมทัตดี เมื่อเขาตัดสินใจไปแล้วจะไม่มีทางกลับมาที่นี่อีกเด็ดขาด ฟังว่าเจ้าแอบพาชายเข้ามาปลอมเป็นเขา ซ้ำยังใช้มันโอนเงินหลวงให้กับโครงการชีวาวุธเป็นเรื่องใหญ่โต แต่ไม่ต้องห่วงหรอกพ่อจะจัดการเรื่องเหล่านั้นให้เรียบร้อยเอง”

ประไพวดีขมวดคิ้ว พักหนึ่งจึงแล้วเชิดหน้าขึ้น ไม่หันมามองผู้เป็นบิดาอีก

เมื่อนางจากไปแล้ว อาโปตะไลยืนนิ่งอยู่เนิ่นนานจึงเรียกทหารเข้ามาสั่งว่า “มนุษย์ที่เข้ามาในหิมพานต์ได้แสดงว่าต้องมีฝีมือไม่น้อย ให้ล้อมปราสาทหลังนี้ไว้แล้วค่อยๆจับเป็นมัน ไม่ต้องรีบร้อนแต่ห้ามประมาท”

ทหารรับคำแล้วจากไปปฏิบัติงาน ส่วนอาโปตะไลเดินกลับมานั่งที่โต๊ะ

สักพักหนึ่งเขาก็ยกมือขึ้นมากุมขมับ คนที่รู้จักเขาจะอธิบายว่าอาการนี้หมายถึงเขากำลังคิดอยู่

...กำลังคิดไม่ตก...

... ... ...

สนถูกจัดให้นอนอยู่ในห้องของพรหมทัต เป็นที่นอนที่ดีที่สุดในชีวิตของเขา วันเวลาผันผ่านดึงให้เขาค่อยๆลืมเรื่องที่เกิดในห้องฝึกมโน แม้ทุกสิ่งจะเป็นมายา แต่ถ้าเป็นมายาที่กินอิ่มนอนหลับทำไมเขาจะอยู่กับมันไม่ได้ล่ะ ซึ่งความจริงการปลงทุกอย่างอาจทำให้เคร่งเครียดไปหน่อย คิดได้ดังนั้นเขาจึงนอนหลับอุตุอย่างสบายใจต่อไปเรื่อยๆ

ขณะกำลังฝันว่าได้กินของอร่อยๆอยู่นั้น อยู่ๆร่างของเขาก็ถูกเขย่า “สน ตื่นๆ”

เป็นเสียงคีตาร้องเรียก “นี่เจ้าฟุ้งซ่านจนกระทั่งหลุดจากร่างพรหมทัตแล้วรู้ไหม?”

สนลุกขึ้นอย่างงัวเงีย ดูไม้ดูมือตนเองก็พบว่ากลับกลายเป็นมนุษย์แล้วจริงๆ เขาหัวเราะเหะหะ “ไม่เป็นไร ...เดี๋ยวข้าแปลงใหม่ก็ได้”

“ไม่ต้องเดี๋ยวคนจะยิ่งจำเจ้าได้ใหญ่ พ่อข้ากลับมาเร็วกว่าที่คิดมาก กำลังคุยอยู่กับพี่ประไพวดีคาดว่าต้องเป็นเรื่องของเจ้าแน่ๆ” คีตากล่าว

“พ่อเจ้า อาโปตะไลน่ะเหรอ?”

“ใช่ ท่านนั่นแหละ” หญิงสาวเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ฝ่ายตรงข้ามฟัง

สนกอดอกพิจารณาครู่หนึ่ง “ต่อให้พ่อเจ้ารู้ว่าข้าไม่ใช่พรหมทัตแล้วจะเป็นอย่างไร กษัตริย์ก็ยังรับรองข้าอยู่นี่นา?”

คีตาจุ๊ปากให้เงียบลง “พ่อข้าฉลาดอย่างยิ่ง เมื่อท่านกลับมาแต่ยังไม่พักผ่อน กลับเรียกข้ากับพี่คีตาไปพบแสดงว่าจะต้องเห็นปัญหาบางอย่างแล้ว และท่านคงโกรธอยู่ไม่น้อยเมื่อฟังจากเสียงที่ท่านตวาดพี่ข้าตอนข้าพึ่งออกมาจากห้อง ท่านอาจมองเจ้าว่าเป็นคนมาทำให้เรื่องในราชการยุ่งเหยิง และอาจกำจัดหาวิธีกำจัดเจ้าก็ได้”

“อืม... ถ้าเขาเนรเทศข้าไปก็จะดี” สนลูบคาง

“มันไม่ใช่อย่างนั้นน่ะสิ เจ้าเป็นมนุษย์ เข้ามาอยู่ในนี้เนิ่นนาน ซ้ำยังเคยเข้าไปในห้องหนังสือลับกับข้า พ่อข้าจะไม่ปล่อยให้คนที่รู้ความลับของภพอสูรมีชีวิตรอดออกไปเด็ดขาด”

สนเริ่มหวั่นไหวบ้าง “...ถ้าอย่างนั้น ...กษัตริย์ล่ะ”

“กษัตริย์ก็เป็นคนที่พ่อสนับสนุนขึ้นมา เขาย่อมมีความเกรงใจต่อท่านและหากพ่อข้าจะประหารเจ้าด้วยข้อหาสายลับเขาก็คงไม่ขัดหรอกเพราะเขายังไม่รู้จักเจ้าดีเหมือนกัน”

คีตาคิดพลางกล่าวอีกว่า “ความจริงข้าเข้าใจว่าท่านพ่อจะแจ้งล่วงหน้ามาก่อนกลับบ้าน ...แต่ตอนนี้ดูท่าคงมีเพียงคนเดียวแล้วที่พอจะช่วยเจ้าได้”

“ใครหรือ?”

“องค์ราชินี”

“ราชินี? ภรรยาของจักรทัตน่ะหรือ”

ไม่ทันที่คีตาจะตอบประการใด ก็มีเสียงดังมาจากข้างนอกห้องของสนในระยะประมาณสิบเส้น เป็นเสียงการก้าวท้าวที่พร้อมเพรียงกัน

“แย่แล้วนั่นเป็นทหารของพ่อข้าที่มาจับเจ้า เราต้องหนีแล้ว!” คีตากระซิบ

สนลุกพรวดขึ้นมาจากที่นอนแล้วไปสำรวจหน้าต่างเห็นแนวแสงไฟอยู่ห่างจากกำแพงไม่ไกลนัก แสดงว่าอาโปตะไลได้สั่งทหารล้อมปราสาทนี้เพื่อไม่ให้เขาหนีแล้ว เขามองต่อไปข้างล่าง ห้องนอนของพรหมทัตอยู่บนชั้นสอง ความสูงพอจะกระโดดลงถึงพื้นโดยไม่มีอันตราย

เขาหันมากล่าวกับคีตา “เจ้ารั้งอยู่ที่นี่เถอะ ข้าจะหนีทางหน้าต่าง”

“ไม่ ทางที่จะไปหาราชินีต้องมีข้านำทาง เจ้าอุ้มข้าลงไปด้วย” คีตาว่า

สนเห็นไม่มีทางอื่นจึงกล่าวขอบคุณ ทั้งสองช่วยกันเอาผ้าห่มมาคลุมที่นอนให้เหมือนคนนอนคลุมโปง จากนั้นผู้เป็นนิษาทจึงอุ้มหญิงสาวกระโดดออกนอกหน้าต่าง

น้ำหนักที่มากกว่าคำนวณทำให้เขาต้องครูดกับต้นไม้ต้นหนึ่งพอให้ความเร็วลดลงและถึงพื้นโดยสวัสดิภาพ นับว่ายังดีที่เสียงตอนตกพื้นนั้นไม่ดังพอเป็นที่สังเกตของพวกทหาร

บริเวณนั้นเป็นสวนแคบๆอยู่ระหว่างกับกำแพงกับตัวอาคาร นับเป็นที่ค่อนข้างเปลี่ยว แต่ก็ยังสามารถเห็นแสงไฟของฝ่ายตามล่าได้แต่ไกล

“หลบไปทางซ้ายก่อน” คีตาว่า

ทั้งสองหลบไปในที่ลับจนเห็นว่าคงปลอดภัยชั่วระยะหนึ่งแล้วจึงค่อยปรึกษากัน

คีตากล่าวว่า “ก่อนที่จักรทัตจะยึดอำนาจเล็กน้อย พี่พรหมทัตได้คาดเดาเหตุการณ์นั้นได้ก่อน และคิดจะช่วยเหลือราหูโดยการขุดทางลับทะลุระหว่างวังแห่งนี้กับวังหลวงและป่านอกเมืองเอาไว้เป็นทางหนีทีไล่”

นางส่องสายตาไปรอบๆ

“แม้การช่วยเหลือราหูจะไม่สำเร็จและเป็นที่เข้าใจว่าท่านพ่อได้จัดการกลบฝังทางนั้นเรียบร้อยแล้ว แต่เมื่อครู่ตอนที่ท่านเรียกข้าเข้าพบบอกว่าได้สืบทราบเรื่องขโมยหนังสือ แปลว่าท่านจะต้องไปตรวจดูที่ห้องหนังสือในวังหลวงมาก่อน ทั้งๆที่ปกติวังหลวงจะปิดไม่ให้คนเข้าออกตอนกลางคืน”

“แปลว่าพ่อเจ้าอาจเห็นว่าทางลับนั้นสะดวกดีเลยเก็บไว้ใช้เองเวลาอยากเข้าวังหลวงโดยไม่ต้องผ่านพิธีการ”

คีตาผงกหัว

สนคิดในใจว่า หากอาโปตะไลทำอย่างนั้นก็ถือเป็นการไม่ให้เกียรติกษัตริย์และราชวงศ์อย่างมาก ชะรอยเสนาอสูรผู้นี้จะมีอำนาจล้นฟ้าจริงๆจึงได้เหิมเกริมถึงเพียงนั้น

“แต่ทำไมเขากลับมาบ้านเหนื่อยๆถึงไม่พักผ่อน แต่กลับต้องไปห้องหนังสือก่อนล่ะ”

“นั่นเพราะพ่อข้ามีนิสัยอย่างหนึ่ง คือทันทีที่เสร็จราชการข้างนอกจะต้องเอาเอกสารที่บันทึกได้ไปจัดเก็บไว้ในห้องหนังสือนั้นก่อนน่ะสิ ตอนนี้เราอย่ามัวแต่คุยให้ช้าไปเลย ช่วยกันหาปากทางลับนั้นดีกว่า ข้าคาดว่ามันน่าจะอยู่บริเวณที่เป็นมุมอับของปราสาท คือตรงแถวๆนี้แหละ” คีตากล่าว

ทั้งสองจึงช่วยกันออกค้นหาเส้นทางดังกล่าว สนเห็นต้นไม้ต้นหนึ่งลำต้นมีความแห้งกรังเป็นพิเศษแต่ใบยังเขียว เขาลองเอามือเคาะดูก็ปรากฏว่าข้างในกลวงมีเสียงสะท้อนออกมาดังกึงกึง “นี่แหละ” เขาเรียกคีตามาดู

เมื่อทั้งสองตรวจสอบโดยละเอียดแล้วพบว่าเปลือกไม้สามารถเปิดออกได้เป็นทางลงไปชั้นใต้ดิน

คีตาตบมือดีใจ “เราพบแล้ว! ไม่นึกว่าจะง่ายอย่างนี้”

สนยิ้ม “ต้องยกให้เป็นความดีความชอบของเจ้าที่คาดเดาถูกว่าตรงนี้ควรจะมีทางลับ”

คีตาเขินจึงพูดกลบเกลื่อน “ไม่หรอก เจ้าเป็นคนพบไม่ใช่หรือ เรารีบลงไปกันเถิด”

ข้างล่างนั้นเป็นทางที่ปูอิฐเรียบร้อยทั้งยังสะอาดพอสมควรแปลว่าต้องได้รับการปัดกวาดบ่อยๆ เนื่องจากมืดเกินไปสนจึงต้องร่ายเวทย์แสงให้เกิดความสว่างเป็นระยะๆ

พวกเขาเดินไปได้ครู่หนึ่งก็เห็นทางแบ่งออกเป็นสองแพร่ง คีตากล่าวว่า “ถ้าดูจากที่ๆเราลงมา ทางซ้ายน่าจะเป็นทิศตะวันออกซึ่งจะเป็นทางสำหรับออกนอกเมือง ส่วนทางขวาน่าจะเป็นทิศตะวันตกสำหรับไปวังหลวง เราเลี้ยวขวากันเถอะ”

ทั้งสองตัดสินใจเดินไปทางตะวันตกประมาณยี่สิบห้าเส้น ทางเริ่มชันขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดก็เจอประตู เมื่อสนเปิดออกจึงพบว่าตนได้อยู่ในมุมลับตาคนที่เคยใช้หลบซ่อนตอนก่อนจะเข้าไปฝึกแปลงกายที่ห้องฝึกมโน

ด้านนอกประตูนั้นฉาบด้วยปูน เมื่อปิดลงจะเข้ากับผนังส่วนอื่นไม่ผิดเพี้ยน “รู้อย่างนี้ตอนที่คืนร่างข้าน่าจะใช้นี่เป็นทางลับกลับไปหาประไพวดีก็ดีหรอก จะได้ไม่ต้องไปฝึกแปลงกายให้เหนื่อย” นิษาทหนุ่มรำพึง

คีตาจุ๊ปากให้เขาเงียบ “ดูนั่น” นางชี้ให้เขาเห็นทหารอสูรสวมเกราะและหน้ากากดำตนหนึ่งซึ่งกำลังตรวจตราอยู่บริเวณนั้น

“เขาเป็นใครน่ะ? ทำไมถึงแต่งกายไม่เหมือนทหารอื่นๆที่ข้าเคยเห็น” สนถาม

“เขาคือทหารสังกัดหน่วยรบที่แข็งแกร่งที่สุดของกองทัพอสูรเรา เรียกว่าพวกกัลเกย์”

“หืม”

“พวกกัลเกย์เป็นพวกที่ได้รับการคัดสรรทั้งทางฝีมือต่อสู้และสติปัญญาแล้ว จะใส่หน้ากากและเกราะสีดำตลอดตัวเช่นนี้แหละ ท่านพ่อบอกว่าเพื่อให้ทหารหน่วยนี้มีคุณภาพอย่างแท้จริง จำนวนประจำการจึงจำกัดอยู่แค่ที่หมื่นนายเท่านั้น”

“ตั้งหมื่นนาย! ข้าว่านี่ไม่น้อยแล้วนะ” สนอุทาน

“ชู่... เจ้าเสียงดังอีกแล้ว” คีตาดุ “ภพอสูรมีทหารประจำการทั้งหมดประมาณโกฏิหนึ่ง คิดตามอัตรานี้หมื่นนายก็เหมือนหนึ่งในพัน นับเป็นยอดของยอดฝีมือจริงๆ ปกติพวกกัลเกย์จะทำหน้าที่คุ้มกันเจ้านายใหญ่ๆเท่านั้น ไม่ถูกเรียกมาใช้ในงานทั่วไปหรอก น่าแปลกที่ตนนี้กลับมายืนยามอยู่ในจุดที่เราโผล่พอดี”

“หรือว่าพ่อเจ้ารอบคอบถึงขนาดที่วางกำลังเอาไว้เผื่อพวกเราจะพบทางลับโดยบังเอิญด้วย?”

“น่าจะเป็นอย่างนั้นนะ”

ขณะที่ทั้งสองกำลังคิดว่าจะทำประการใดดี กัลเกย์ตนนั้นก็รู้สึกได้ถึงผู้บุกรุก จึงร้องว่า “ใครอยู่ตรงนั้นน่ะ?”
........................... (อ่านต่อ)


หมายเหตุ

gulgey.jpg
เชษฐา

กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป 1