นิยายแฟนตาซีแบบไทย

ศึกหกภพ

โดย เชษฐา

บทที่ ๔ ชำระแค้นเจ็ดประการ
(๓)


ขณะที่ทั้งสองกำลังคิดว่าจะทำประการใดดี กัลเกย์ตนนั้นก็รู้สึกได้ถึงผู้บุกรุก จึงร้องว่า “ใครอยู่ตรงนั้นน่ะ?” ว่าพลางทหารยักษ์ก้าวสวบๆตรงมาอย่างรวดเร็ว กระบองจิตตปาลิที่ใหญ่กว่าปกติกระชับมั่น

“แย่แล้วมันรู้ตัว” คีตารีบดันแผ่นหลังไปฟุบกับตัวสน “จับข้าเป็นตัวประกัน เร็ว!”

แต่ในสถานการณ์คับขันสนเหงื่อไหลทำอะไรไม่ถูก

“...ไม่มีมีดแล้วข้าจะจี้เจ้าได้อย่าไงไร...?” เขาว่า

แต่ถูกคีตาค้อนควับมาทันที นางจัดมือของเขามาบีบกดไว้ที่คอแล้วร้องไปเป็นเสียงดังว่า “ช่วยด้วย! เจ้าคนร้ายนี้มันจะฆ่าข้า!!!”

ว่าพลางทางร้องไห้ไม่สมประดีไปด้วย เล่นละครเก่งเหมือนกันแฮะ

กัลเกย์มาเห็นภาพนั้นถึงกับชะงัก “นั่น... คุณหนูคีตาไม่ใช่หรือครับ”

เห็นมันลังเลเป็นที สนจึงจำต้องแสดงสดอย่างเสียไม่ได้ เขาตะโกนว่า “เอ็งหลีกไป ห้ามเรียกคนช่วยด้วย ไม่อย่างนั้นนังนี่ตาย!” ไม่ลืมระวังเสียงไม่ให้ดังนัก เดี๋ยวปลุกคนในวังตื่นอีกจะยุ่งกันใหญ่

หากเป็นทหารทั่วไปคงตื่นตระหนกและยอมปล่อยสนแต่โดยดี หากกัลเกย์ตนนั้นย่อมแตกต่างกัน มันนิ่งพิจารณาโดยละเอียดแล้วกล่าวว่า “เจ้าเป็นมนุษย์นี่... แล้วคุณหนูมาที่นี่ได้อย่างไร?”

สนเสียดายที่เมื่อครู่นี้ไม่ทันคิดจะแปลงกลับเป็นพรหมทัต ตอนนี้ฝ่ายตรงข้ามคงนึกเอะใจ ไหนเลยจะมีมนุษย์ธรรมดามาอยู่ในอสูรกายภูมิ ยิ่งวังหลวงยามกลางคืนยิ่งไม่ใช่สถานที่ๆจะเข้าออกได้ใหญ่ คีตาแกล้งร้องว่า “เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะ รีบทำตามคำสั่งของมันเร็ว เจ้าอยากให้ข้าตายหรือ!?”

กัลเกย์นิ่งไปครู่หนึ่ง สายตาจับจ้องยังสนไม่วาง นิษาทหนุ่มดูก็รู้ว่ามันกำลังใช้ตาทิพย์อยู่! โธ่ๆๆ คราวนี้ต่อให้อยู่ในร่างพรหมทัตก็ปิดปังไม่ได้แล้ว

ทหารยักษ์เริ่มยิ้ม “คุณหนูไม่ต้องกังวล คนร้ายคนนี้ฝีมืออ่อนด้อยกว่าข้าขั้นหนึ่ง นับว่าจัดการไม่ยาก” มันกล่าวต่ออย่างเยือกเย็น “แต่ที่ข้าสงสัยคือ ทำไมจึงมีมนุษย์อ่อนหัดฝ่าเข้ามาถึงใจกลางแดนยักษ์เช่นนี้ได้ ...ซ้ำมันยังไร้อาวุธ คุณหนู... ข้าก็สงสัยท่านเช่นกัน...”

“สามหาว!” คีตาร้องทั้งๆที่ใจนางเริ่มระส่ำระสายแล้ว “เจ้าไม่เกรงพ่อข้าหรือ”

“เกรงนั้นย่อมเกรง หากท่านเสนาบดีคิดอ่านลึกซึ้ง ที่ท่านให้ข้าเฝ้าอยู่ ณ จุดเปลี่ยวเช่นนี้จะต้องมีความหมาย” กัลเกย์กล่าว “อาจเพราะท่านนึกได้ว่านี่เป็นเส้นทางหนึ่งที่ลูกสาวของตนสามารถพาผู้ชายหนีมา”

มันทำเสียงยียวน คีตาร้องตวาดไป “เจ้า!!!”

กัลเกย์กลับยิ้ม “ฮาฮา แสดงว่าที่ข้าคาดการณ์มีส่วนถูกไม่น้อย” มันหันไปทางสน “นี่แน่ะไอ้หนุ่ม ข้าดูมโนแล้วฝีมือเจ้าไม่เท่าไหร่ แต่ดูแล้วหมั่นไส้ที่เป็นหิ่งห้อยกลับหมายดวงจันทร์ ทางที่ดีเจ้ายอมคลานและเห่าตรงนี้ ข้าจะยอมคุมตัวไปอย่างสบายๆ”

“เจ้ากล้าเรอะ!!!” สนโมโหยกมือขึ้นชี้หน้ากัลเกย์

หากรู้สึกตัวอีกทีเขาก็ได้ปล่อยมือจากคอของคีตาแล้ว ตามหลักจิตวิทยาคนร้ายจี้ตัวประกันจะไม่ทำเช่นนี้ สนนิ่งอึ้งที่แท้เมื่อรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามใช้แผนยั่วโทสะ

คีตากัดฟันเอาศอกกระทุ้งเขากล่าวว่า “เจ้านี่ใจร้อนไม่เข้าเรื่อง” แต่มันสายไปเสียแล้ว ทหารยักษ์ค้อมกายลงกล่าวว่า “คุณหนู ความจริงข้าไม่อยากล่วงเกินท่าน แต่หากทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก็เกรงอาญาพ่อท่าน โปรดอย่าทำให้ข้าลำบากใจเลยครับ”

มันใช้วาจานอบน้อมสุภาพ แต่ความหมายแฝงนัยสำหรับควบคุมสถานการณ์หมดสิ้น สนและคีตารู้สึกอึดอัดไม่ทราบจะทำประการใดดี นิษาทหนุ่มเริ่มคิด การครั้งนี้ได้เสียล้วนเกิดแต่ตัวเขา คีตาไม่ควรต้องมาลำบากไปด้วย จึงประกาศว่า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนาง เป็นข้าทำคนเดียวโดยตลอด หากเจ้าอยากจับกุมข้าก็ต้องมาสู้กันให้เป็นฝีมือสักครั้ง”

กัลเกย์แปลกใจเล็กน้อยแต่สักพักมันก็หัวเราะ “ดี เช่นนี้จึงเป็นลูกผู้ชาย ข้าขอทราบนามเจ้าหน่อย”

“ข้าชื่อสน!”

“สนรึ? ไม่เคยได้ยินชื่อทำนองนี้มาก่อน เฮอะเฮอะ เตือนเจ้าก่อนว่ากระบองจิตตปาลิที่ข้าใช้อยู่หนักกว่ากระบองทั่วไปสามเท่า ยามฟาดแต่ละครั้งกระดูกต้องละเอียดเนื้อต้องกระจุย หากคิดกลับใจตอนนี้ยังไม่สายนะ”

สนกลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่ง เหงื่อไหลแต่ไม่ยอมยกมือขึ้นปาด

คีตาที่อยู่ข้างหลังขยี้เท้ากล่าวว่า “ถึงขั้นนี้แล้วเจ้ายังจะสู้เป็นเด็กๆอีก ยอมมอบตัวแล้วเดี๋ยวค่อยหาทางแก้ไขกันอีกทีก็ยังไม่สาย”

สนหันไปมองนางมีสีหน้าเป็นห่วง ต้องกล่าวอย่างยากเย็นว่า “มะ... ไม่เป็นไร...”

“ปัดโธ่เจ้าบ้า! นึกว่าตนเองเป็นพระเอกไปสู้กับมันหรือ? ฝีมือมันต่างจากทหารอสูรที่เจ้าเคยเจอมาหลายเท่านะ เจ้าสู้มันไม่ได้หรอก” คีตาร้องเสียงดุ

ได้ยินดังนี้สนถึงกับคอตก ไม่ให้กำลังใจกันเลยแฮะ

อย่างไรก็ตามนี่เป็นเวลาที่เขาต้องตัดสินใจเด็ดเดี่ยวแล้ว “เอาเถอะความผิดที่ทำมาแล้วมันก็หลายกระทงอยู่เพิ่มอีกสักกระทงจะเป็นไร ไหนๆตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ข้าก็ไม่ค่อยมีทางเลือกอยู่แล้ว” เขาหันไปกล่าวกับกัลเกย์ว่า “ข้ามีข้อแม้อย่างหนึ่ง การต่อสู้ครั้งนี้เราสองคนต้องพยายามทำให้เกิดเสียงและแสงน้อยที่สุด เพราะหากคนในวังตื่นขึ้นมาเห็น มันอาจกลายเป็นข่าวนินทาใหญ่โตซึ่งเสื่อมเสียแก่นาง และอัปยศไปถึงอาโปตะไลได้ ข้อนี้เจ้าเองก็คงไม่ปรารถนาเช่นกัน”

กัลเกย์มองสนครู่หนึ่งไม่แน่ใจว่าศัตรูจะมาไม้ไหน แต่ที่สุดมันก็หัวเราะ “ฮาฮา พูดได้ดี ก็ได้ ตกลงตามนี้” มันกล่าวต่อ “น้องชาย เห็นแก่ความกล้าหาญของเจ้า ข้าจะให้โอกาสเจ้าลงมือก่อน”

สนยิ้มน้อยๆยังไงเขาก็ไม่ได้เปรียบเลยเพราะไม่มีอาวุธอยู่แล้ว “ไม่เกรงใจนะ”

“อืม” กัลเกย์ผงกศีรษะ

ฉวยโอกาสที่อากัปกิริยานั้นสายตามันละจากเขาไปแวบหนึ่ง นิษาทหนุ่มจึงโถมตัวเข้าหาทหารยักษ์ทันที เขาเตะหลอกเป็นเชิง พอศัตรูยกกระบองขึ้นตั้งรับก็พลิกตัวเข้าคลุกวงในอย่างคล่องแคล่ว

สองมือล้วงกุม ณ คอกับรักแร้ซึ่งเป็นจุดที่ไม่มีเกราะ “ร้อน!!” สนตวาด พลางใช้เวทย์แสงอัดใส่ศัตรูหวังให้อวัยวะภายในได้รับบอบช้ำ

เมื่อครู่ไม่เพียงแต่กัลเกย์ลอบใช้ตาทิพย์วัดดูมโนสน สนก็ใช้แอบดูมโนของมันเช่นกัน

เขาทราบ กัลเกย์ตนนี้มีฤทธิ์ธาตุไฟ ซึ่งแม้เทียบกับฤทธิ์ทางแสงของเขาแล้วจะไม่เป็นจุดอ่อน แต่ธาตุไฟเป็นธาตุแรงยามใช้ต้องยิงออกมาจึงมีพลังทำลายล้าง ที่ก่อนสู้กันนิษาทหนุ่มพูดดักว่าอย่าให้เกิดแสงและเสียงมากไปก็เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะฤทธิ์โดยตรงเป็นประการแรก และให้กัลเกย์มีความพะวักพะวงจำกัดขอบเขตการฟาดกระบองไม่ให้เกิดเสียงโครมครามเป็นประการสอง

อาวุธของอสูรค่อนข้างยาว หากสู้ระยะประชิดจะได้เปรียบกว่า ข้อนี้สนก็คำนวณอยู่แล้ว เขามั่นใจการโจมตีของเขาน่าจะทำอันตรายได้บ้าง

แต่อยู่ๆสนก็รู้สึกว่าสองมือพองเหมือนจับเหล็กลวกขึ้นมาเฉยๆ “โอ๊ย!” เขาร้องพลางชักมือออกอย่างรวดเร็ว มองดูอีกทีเห็นรอยไหม้และตุ่มน้ำมากมายบริเวณที่สัมผัสกับกายกัลเกย์เสียแล้ว!

“เฮ้อ พวกธาตุแสงมักจะสำคัญตนว่าเก่งกล้านัก เข้าใจว่าจะสู้ความร้อนกับฤทธิ์ธาตุไฟได้...” กัลเกย์กล่าวลอยๆ “พวกมันล้วนโง่เขลา ยิ่งเจ้าที่มีพลังมโนต่ำชั้นกว่าข้ายังคิดประลองกันออกจะไม่ดูถูกไปหน่อยหรือ”

มันฟาดกระบองหวือวูบหนึ่ง สนเอี้ยวตัวหลบได้หวุดหวิดแต่แรงลมที่อัดมากับกระบองถึงกับกระแทกให้เขาซวนเซไป

“ทีนี้เข้าใจหรือยัง ด้านฤทธิ์เจ้าสู้ข้าไม่ได้ ส่วนพลังทางกายเนื้อเพียงเทียบชาติยักษ์กับมนุษย์กระจ้อยร่อยยิ่งไม่ต้องพูดถึง กระบองที่ข้าใช้ไม่ใช่ทำจากเปลือกไม้จิตตปาลิอย่างทั่วไป แต่ใช้เนื้อไม้ชั้นดีประดิษฐ์ขึ้น อานุภาพย่อมร้ายกาจรุนแรง ส่วนเจ้ามีเพียงมือเปล่า”

กัลเกย์ก้มตัวต่ำ แทงกระบองไปด้านหน้า หมุนตัว แล้วตวัดขึ้นด้านบน จากนั้นแทยงเข้าซ้ายอีก ทุกท่าสนหลบได้อย่างหวุดหวิด เนื้อตัวถูกแรงลมปะทะต้องบอบช้ำไม่น้อย นี่หากโดนเข้าจังๆสักทีหนึ่งมีหวังมโนหลุดออกจากร่างแน่นอน

ยักษ์ร้ายยังพูดไปเรื่อยๆ “ที่เจ้าเห็นคือเพลงอาวุธ ฝ่ายกลาโหมเรารวบรวมกลั่นกรองมาอย่างดีสามประเภท คือเพลงอาวุธสำหรับสู้ในสงคราม เพลงอาวุธสำหรับสู้เป็นกลุ่ม และเพลงอาวุธสำหรับสู้ตัวต่อตัว ปกติทหารทั่วไปจะได้รับการฝึกเพียงเพลงอาวุธสำหรับสงครามเท่านั้น แต่ข้าเป็นกัลเกย์จึงใช้เพลงอาวุธสำหรับสู้ตัวต่อตัวโดยเฉพาะได้ ที่เจ้าเห็นครั้งนี้นับเป็นบุญตาไม่น้อย”

มันต้องการเปรียบเปรยว่าแม้แต่ด้านกระบวนท่าก็ยังเหนือกว่าสนที่เป็นแต่มวยวัดมากนัก กระทั่งเห็นนิษาทหนุ่มร่างกายอ่อนล้าพอเหมาะ กัลเกย์จึงยกกระบองฟาดฉากตรงๆทำนองเป็นท่าเผด็จศึก

เมื่อเห็นว่าอย่างไรก็หลบไม่ได้ สนยกสองมือขึ้นรับอย่างสิ้นหวังทั้งๆที่รู้แก่ใจว่าสู้แรงไม่ได้ แต่เขายังคำนวณผิด กระบองนั้นไม่มีแรงแม้แต่น้อย หากพอสนรับไว้อย่างแผ่วเบา กัลเกย์ก็ตวาดคำว่า “ร้อน” ขึ้นทันที!!!

ที่แท้เนื้อไม้จิตตปาลินั้นไม่คล้ายไม้ แต่เป็นเหมือนเหล็กที่สื่อความร้อนได้ดีมากกว่า นิษาทหนุ่มรู้สึกเหมือนมือถูกเหล็กร้อนนาบ จะดึงออกก็ไม่ได้เพราะหนังนั้นไหม้ติดกับกระบองดุจเนื้อเดียวเสียแล้ว “ฤทธิ์จริงๆเขาต้องใช้อย่างนี้ไอ้หนู” กัลเกย์กล่าวพลางปล่อยความร้อนผ่านกระบองเผาสนอย่างต่อเนื่อง

“อ๊ากกกก.. อ๊ากกกกกกก” สนร้องโหยหวน

“ฮาฮาฮา ทีนี้จะยอมแพ้หรือยัง” ทหารยักษ์หัวเราะ ทำให้คีตาใจไม่ดี ก่อนที่นางกำลังจะขอร้องให้มันปล่อยสนซึ่งกำลังเพลี่ยงพล้ำย่ำแย่ นิษาทหนุ่มกลับครางขึ้นมาเองเป็นเสียงเบาๆปนกันหอบ “...เจ้า ...เจ้าเหนือกว่าข้าจริง กระบองเมื่อครู่หากเจ้าฟาดมาข้าก็คงจะตายไปแล้ว แต่ที่เจ้าไม่ลงมือทำให้ข้ามีโอกาสคิด และคิดออกอย่างหนึ่ง...”

“หืม”

“...ตอนนี้เจ้าเป็นเสือ ข้าเป็นลิงป่า ด้านกายเนื้อเสือเหนือกว่าลิงป่าทุกประการ แต่มีประการหนึ่งที่ลิงมีเสือไม่มี”

“อะไร?”

แวบหนึ่งที่สนยิ้มน้อยๆ นั่นทำให้กัลเกย์ลำบากใจบ้าง

ความลำบากใจนั้นย่อมเกิดจากความไม่รู้ แต่ทหารที่ได้รับการฝึกมาดีแล้วย่อมไม่พะวักพะวงกับเรื่องเหล่านี้ง่ายๆ เมื่อเห็นสนไม่ตอบกัลเกย์จึงกล่าวว่า “ไม่ตอบรึ แต่ข้าก็ไม่จำเป็นต้องกลัวกับดักของเจ้า ดี วันนี้แหละข้าจะให้เจ้าเสียมือสองข้างไป”

มันเร่งพลังยิ่งขึ้น แผลของสนที่ไหม้เกรียมแล้วกลับลุกไหม้ขึ้นอีก ทำลายชั้นหนังกำพร้า ทำลายถึงกล้ามเนื้อและกระดูก

“อ๊ากกกกกกก!!!” สนครวญดังกว่าเดิม นี่เป็นความเจ็บปวดชนิดที่เขาไม่เคยประสบมาก่อนในชีวิต

“เป็นยังไงล่ะ ฮาฮาฮา ยังมีอะไรจะใช้อีก” กัลเกย์ใช้พลังถึงเจ็ดส่วนในการเผาครั้งนี้ กะว่าต่อให้สนมีอาวุธลับก็ทำอะไรตนไม่ได้

มันย่อมผ่านการคำนวณในใจหลายเที่ยว จนได้ข้อสรุปมา มันมั่นใจว่าชนะแล้ว ต้องชนะแน่ๆ ตอนนี้ศัตรูตรงหน้าไม่อาจเคลื่อนไหวได้อีกแน่ๆ ไม่ว่ามันจะมีเล่ห์กลอะไร ขอเพียงเราไม่คลาดสายตาจากมันในตอนนี้...

ชั่วเวลานั้นสนกลับหลับหูหลับตาร้องว่า “คีตา ตอนนี้แหละ!!”

“หา?” กัลเกย์หันไปมองคีตา

“หา?” คีตามองสน

...

...

กัลเกย์ทราบว่าตนพลาดท่าก็ต่อเมื่อ มีส้นเท้าหนักๆตอกเข้าที่หน้าตนอย่างจัง ส่งผลให้หน้ากากที่มันภาคภูมิใจซึ่งสวมไว้แต่ครั้งได้รับแต่งตั้งเป็นหน่วยกัลเกย์อันทรงเกียรติเป็นวันแรกแตกกระจายสลายสิ้นดุจชามกระเบื้องหลุดร่วงลงกระทบหิน

มนุษย์น้อยตรงหน้าฉวยโอกาสที่ยักษ์ละความสนใจชั่วขณะพลิกตัวตีลังกาเตะมันด้วยท่าพิลึกพิสดารจนสะดุดกระแทกพื้นโครมใหญ่ กระบองหลุดจากมือมันไปสู่การจับกุมของสนแทน เพราะการถูกเผานาบจนเนื้อหนังติดตรึงนั้นย่อมแน่นหนากว่าการจับด้วยมือเปล่าๆ

สนทรุดลงหอบเช่นกัน “ลิงพลิกแพลงได้มากกว่าเสือ” เขากล่าวซึ่งก็ฟังคล้ายๆคำสรุป

อย่างไรก็ตามสนรู้สึกว่ากระบองที่หลุดมามีน้ำหนักไม่น้อย ต้องทรุดตัวลงเซไปเช่นกัน สิ่งนี้เป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนไหว หากสู้ต่อไปเขาคงไม่อาจใช้ท่าหวือหวาอย่างเมื่อครู่ได้อีก

สายตาของชายหนุ่มจับจ้องไปที่ร่างฝ่ายตรงข้ามอย่างระมัดระวัง

กัลเกย์ตนนั้นครางในคอ แน่นอนว่าการโจมตีเมื่อครู่ยังเอาชนะมันไม่ได้ พักหนึ่งมันสะบัดหน้าซ้ายขวาเพื่อเรียกสติ เอามือกุมหัวอย่างเจ็บปวด แล้วค่อยๆชันเข่าขึ้นมาพร้อมกับถลึงตามองสน พลางส่งเสียงกราดเกรี้ยว “เจ้า... มนุษย์อย่างเจ้า...”

แต่กัลเกย์ก็ไม่ทันสังเกตว่ามีกระถางใหญ่ใบหนึ่งร่วงลงตกที่หัวดัง “โพละ” ส่งผลให้ต้องล้มลงไปอีก

สนรีบหันไปมองเจ้าของกระถางนั้น ปรากฏว่าเป็นคีตาเอง “เกือบลืมไปว่าศัตรูของเจ้ามีสองคน” นางกล่าวกับทหารยักษ์ซึ่งแน่นิ่งแล้ว

ไม่ทราบว่าหญิงสาวอ้อมไปเบื้องหลังกัลเกย์เมื่อใด แต่นั่นก็ทำให้สนโล่งใจลงมาก “ฮาฮา ที่แท้เจ้าฉวยโอกาสอยู่แล้ว”

คีตายิ้ม “ก็เจ้าบอกให้ข้าช่วยนี่”

ทั้งสองหัวเราะ สนถึงกับทิ้งตัวลงกองกับพื้น เขาต้องยอมรับว่าในชีวิตไม่เคยสู้กับอะไรที่เหนือกว่าตนอย่างนี้มาก่อน โชคดีที่พวกเขา (และแม้แต่กัลเกย์) ค่อนข้างรักษากิริยาได้ดีจึงไม่ทำให้เกิดเสียงโครมครามพอจะปลุกคนในวังขึ้นมา ซึ่งจริงๆก็ประกอบกับบริเวณนั้นค่อนข้างอยู่ห่างจากส่วนพักอาศัยด้วย

“มือเจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า?” คีตาถามเมื่อเห็นว่าสนยังจับกระบองอยู่

สนทำหน้าเบ้ “ตอนนี้เจ็บน้อยลงแล้ว แต่มันถูกเผาติดกับกระบอง หากข้าขยับผิดทีหนึ่งหนังมันทำท่าจะหลุดเอาให้ได้”

“อืม... ตำหนักของพระราชินีอยู่ค่อนไปข้างหน้าสักหน่อย ที่นั่นคงมียารักษา เจ้าเดินไหวไหม?”

“ข้าเอามือออกไม่ไหว คงต้องแบกกระบองไป ...ว่าแต่พระราชินีนี่เป็นคนแบบไหนหรือ เจ้าจึงคิดว่านางจะช่วยข้า”

“นางเป็นคนที่ใจดีมาก” คีตากล่าว “มักเมตตากับคนในวังเสมอๆ แม้หากมีความผิดเกิดขึ้นพระราชินีก็มักจะช่วยทูลทัดทานกษัตริย์ให้ หรือชิงลงโทษเบาๆไปเสียก่อน แม้ว่าจักรทัตต้องฟังเสนาบดีอย่างพ่อแต่เขาก็รักและเกรงใจภรรยาคนนี้มาก คิดว่านางคงเป็นคนเดียวที่ช่วยเจ้าได้”

ฟังดังนั้นสนค่อยรู้สึกสบายใจ เขามองคีตาอย่างขอบคุณที่ช่วยหาทางออก ขณะนั้นคิดว่าจะกล่าวอะไรต่อเขาเหลือบเลยไปเห็นกัลเกย์ยังนอนนิ่งอยู่จึงเกิดนึกสนุกขึ้นมา “ไอ้ตัวนี้ร้ายนัก ไหนๆหน้ากากมันหลุดไปแล้ว ข้าขอลองดูหน้าจริงมันชัดๆหน่อยซิ”

สนค่อยลากกายมาดูหน้ากัลเกย์ตนนั้น พิจารณาดีๆก็ร้องว่า “ฮาฮา ไอ้นี่น่าเกลียดอย่างนี้เอง มิน่ามันถึงต้องใส่หน้ากากบังเอาไว้”

คีตาตามไปมองอสูรร้ายนั้นบ้าง พบว่าแม้กัลเกย์ตนนี้อาจเคยสง่างามมาก่อน แต่เมื่อมันถูกเตะจมูกหักใบหน้าดูไม่ได้เลย นางก็อดหัวเราะตามไม่ได้

สนกล่าวอีกว่า “ฮาฮา อาจเป็นพระเจ้าช่วยเรา ที่ให้สู้กับศัตรูเช่นนี้ ถ้ามันเกิดเป็นอสูรจมูกบี้คงไม่บาดเจ็บต้องล้มลง”

“เจ้านี่ เวลาอย่างนี้ยังจะมีอารมณ์ขัน” คีตาหัวเราะพลางยกมือตีสน นึกไม่ถึงว่าทำให้ฝ่ายตรงข้ามร้องอูยโอยยกใหญ่

“เป็นอะไรหรือเปล่า?” อสูรหญิงร้องด้วยความตกใจ

“มือมันๆ” สนคราง ณ เวลานี้มือทั้งสองข้างของเขาคือสิ่งที่ละเอียดอ่อนที่สุดในโลก

คีตาสำนึกผิดบ้าง “ข้าไม่ตั้งใจ เอ้อ ข้าขอโทษ”

สนไม่อยากให้นางกังวลจึงแสร้งหัวเราะเหะ “ไม่เป็นไรหรอก...” เขายิ้มเจื่อนๆ ทั้งสองจึงช่วยกันยกกระบองขึ้นในท่าที่พาดบ่าของสนได้อย่างระมัดระวัง

ทันใดนั้นอะไรบางอย่างก็นขยับขึ้นเบื้องหลังคนทั้งสอง คีตาเป็นสังเกตเห็นเป็นคนแรก “สน! มือ มือมัน...” หน้านางซีดลง

“นี่เจ้าอย่าล้อข้าเล่นสิ ยิ่งเจ็บๆอยู่” สนกล่าวเมื่อคีตาพูดเหมือนเขา

คีตาไม่ทันร้องว่าไม่ กัลเกย์ที่คล้ายสลบไปก็ลืมตาโพลงขึ้น แล้วผุดขึ้นตะปบมือหยาบหนา เข้าที่ข้อเท้าสนอย่างจัง!!

“กูรอจังหวะนี้มานานแล้ว!!!” เสียงดังออกมาจากปากยักษ์บาดเจ็บ

ด้วยความตกตะลึงสนถึงแก่สะดุดหกล้มในขณะอสูรร้ายยันกายในท่ากึ่งนั่ง

“กูจะฉีกเนื้อมึงกินเสียที่นี่แหละ!”
........................... (อ่านต่อ)


หมายเหตุ

gulgey.jpg
V.S.
son-levelup.jpg
เชษฐา

กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป 1