นิยายแฟนตาซีแบบไทย

ศึกหกภพ

โดย เชษฐา

บทที่ ๔ ชำระแค้นเจ็ดประการ
(๔)


“กูรอจังหวะนี้มานานแล้ว!!!” เสียงดังออกมาจากปากยักษ์บาดเจ็บ

ด้วยความตื่นตะลึงสนถึงแก่สะดุดหกล้มในขณะอสูรร้ายยันกายในท่ากึ่งนั่ง “กูจะฉีกเนื้อมึงกินเสียที่นี่แหละ!”

ร่างของสนถูกเหวี่ยงสูงขึ้นแล้วกระแทกลงเพื่อให้เขาบอบช้ำ หากสนอาศัยสันชาตญาณชั่ววูบเอากระบองที่ติดมือยันพื้นลดแรงกระแทกไว้ได้อย่างหวุดหวิด

เท่านี้ก็ทุลักทุเลมากแล้ว แต่กัลเกย์ซึ่งไม่พอใจในผลงานของตนไม่ยอมปล่อยให้เขาตั้งตัวติด

“มึงบังอาจใช้กระบองกู!!” มันตวาดพลางยื่นมืออีกข้างมากระชากกระบองออกจากมือของสนโดยแรง “เอากระบองกูคืนมา!!”

เสียงดังแควกๆ หนังฉีกหลุดติดกับเหล็กจนเห็นเนื้อแดงๆ สนเป็นอิสระจากกระบองนั้นแล้วแต่ก็แลกมาด้วยการที่มือทั้งสองข้างเปียกชุ่มไปด้วยเลือด

“อ๊ากกกก!!!” ผู้เป็นนิษาทร้องโหยหวน

กัลเกย์ดูเหมือนจะสะใจ มันแลบลิ้นเลียริมฝีปากอย่างน่าขยะแขยง ซึ่งทำให้สนเกิดความรู้สึกประหวั่นอย่างยิ่ง

ภาพนิทานที่พวกยักษ์ป่าไล่จับมนุษย์กินปรากฏขึ้นในจินตภาพของเขา

ไม่ๆ ตามหลักเหตุผลพวกอสูรน่าจะมีวัฒนธรรมพอที่จะไม่ทำเรื่องเช่นนี้หรอกนะ

ซึ่งความจริงเขายังไม่ได้เปรียบเทียบกับมนุษย์ผู้กินสัตว์ทุกชนิดที่เกิดมาในกายเนื้อระดับต่ำกว่าตน ...หากคิดตามตรรกะนี้ อสูรผู้มีระดับกายเนื้อที่สูงกว่ามนุษย์นักก็ไม่น่าแปลกที่มันจะคิดเหมือนกัน

ดังนั้นกัลเกย์จึงเปลี่ยนมาดึงมือสนขึ้น เพราะมันเห็นเลือดแล้ว และต้องการจะรับประทานจากส่วนที่มีเลือดไปก่อน บ่าน้า! สนพร่ำร้องในใจ อย่างน้อยมันควรจะรู้จักทำอาหารให้สุกก่อนสิวะ

คีตาร้องแทรกขึ้นว่า “หยุดนะ หากเจ้ากินเขา ข้าจะฟ้องพ่อให้ลงโทษเจ้า!” เสียงนางหนักแน่นจริงจังแต่กลับใช้ไม่ได้ผลกับกัลเกย์ เพราะบัดนี้มันเลือดขึ้นหน้าแล้ว

ซึ่งความจริงมันเคยเป็นยักษ์ป่ามาก่อน เนื้อทุกชนิดในป่าที่กินได้มันล้วนกินสิ้น แม้หลังจากได้รับการกล่อมเกลามาเป็นทหารจนถึงได้รับแต่งตั้งเป็นกัลเกย์แล้ว ตำแหน่งทางสังคมจะทำให้มันสำคัญตัวเองใหม่และลดพฤติกรรมป่าเถื่อนลง แต่เมื่อวิธีการที่เป็นระเบียบแบบแผนใช้ไม่ได้ผล มันก็พร้อมเสมอที่จะกลับไปสู่วิถีดั้งเดิม

กัลเกย์อ้าปากเผยให้เห็นเขี้ยวสีขาวๆซึ่งแหลมและยาวกว่าสัตว์ร้ายบางชนิดเสียอีก มันดึงมือของเหยื่อยัดเข้าปากไปอย่างรวดเร็ว

สนหวาดเสียวยิ่งนัก ในใจพยายามครุ่นคิดหาทางรอดอย่างรวดเร็ว ขณะที่มือแตะลิ้นมันก่อนเขาก็ร้องดังๆขึ้นว่า “ร้อน!!!!!” แม้เมื่อครู่สนจะลองใช้ฤทธิ์กับกัลเกย์ครั้งหนึ่งแล้วและทราบดีว่าวิธีนี้ใช้ไม่ได้ผล แต่สถานการณ์ที่บีบคั้นทำให้เขาไม่มีทางเลือก

อย่างไรก็ตามดูเหมือนตอนนี้จะผิดกัน กัลเกย์กลับเป็นฝ่ายแสดงอาการบาดเจ็บขึ้นบ้างพร้อมทั้งกลับกิริยาที่จะกลืนกินเขานั้นต้องหยุดชะงักลงทันที

แรกๆสนก็งุนงง แต่เมื่อคิดตามเหตุผลเขาก็พึ่งนึกได้ว่า ข้อแตกต่างของความร้อนที่สร้างจากฤทธิ์ธาตุไฟกับฤทธิ์ธาตุแสงคือ ฤทธิ์ธาตุไฟสามารถส่งพลังความร้อนไปยังจุดๆเดียวได้อย่างรุนแรงยิ่ง ส่วนฤทธิ์ธาตุแสงแม้จะมีพลังโจมตีด้อยกว่าแต่รัศมีการโจมตีสามารถกระจายไปโดยรอบอย่างรวดเร็วและซอกซอนไปได้ทุกหนทุกแห่ง เปรียบเหมือนส่องไฟในความมืดย่อมกินรัศมีกว้างกว่าพระเพลิงลุกลามฉันนั้น คราวก่อนที่เขาพุ่งความร้อนใส่คอกับรักแร้ของกัลเกย์และโดนโต้กลับมาเป็นเพราะกัลเกย์คาดเดาการกระทำของเขาได้ก่อน หากเวลานี้ยักษ์ร้ายบ้าเลือดไปชั่วครู่ไม่ทันระวังการโจมตีของเขา มันจึงโดนความร้อนจากฤทธิ์ธาตุแสงแผ่ผ่านช่องปากเข้าสู่อวัยวะภายในซึ่งไร้การป้องกันโดยฉับพลัน

เมื่อรู้ว่าศัตรูต้องบาดเจ็บสาหัสแน่ สนรีบเร่งพลังขึ้นส่งผลให้กัลเกย์เจ็บจนต้องปล่อยมือจากตัวเขา และยังคงเร่งพลังอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งยักษ์ร้ายดิ้นลงพราดๆ ในที่สุดก็ทนความเจ็บปวดไม่ไหวหมดสติลงไปเอง

หลังจากจัดการศัตรูได้แล้วนิษาทหนุ่มจึงยืดกายขึ้นแต่กลับเสียสมดุลลื้นล้มลงอีก ดีที่คีตามาประคองสนได้ทัน

“เป็นอย่างไรบ้าง?” นางถามด้วยความเป็นห่วง

“ไอ้นี่มันร้ายจริงๆ” สนกล่าวพลางมองไปยังร่างของกัลเกย์ เขาคิดในใจว่าที่จัดการมันได้เป็นเพราะโชคช่วยหลายส่วน บัดนี้เขาเริ่มเข้าใจความหมายของคำว่า ‘ทหารชั้นหนึ่งในอสูรกายภูมิ’ แล้ว

เพื่อไม่ให้มันลุกขึ้นมาได้อีกทั้งสองจึงช่วยกันฉีกเสื้อของทหารยักษ์มามัดตัวมันเองพร้อมทั้งอุดปากไว้อย่างแน่นหนา หลังจากพันแผลเบื้องต้นที่มือสนแล้วทั้งสองจึงช่วยกันประคับประคองไปยังตำหนักของพระราชินี

ด้วยการเดินทางที่เชื่องช้าทำให้กว่าพวกสนจะไปถึงที่หมายเวลาก็ล่วงเลยมาประมาณยามสาม ตำหนักพระราชินีที่เขาเห็นเป็นหมู่ห้องเล็กๆที่เชื่อมต่อมาจากปราสาทใหญ่ ภายนอกมีการประดับตกแต่งที่เรียบง่ายสวยงาม

พอถึงจุดนี้คีตาบอกให้สนแปลงกายกลับเป็นพรหมทัต จากนั้นนางจึงตรงไปที่ห้องที่ใหญ่ที่สุด ที่นั่นมีอสูรหญิงแต่งกายเป็นทหารรักษาอยู่สองคน สนสังเกตได้ว่าแม้ยามเหล่านี้จะเป็นหญิงแต่กลับมีรูปร่างใหญ่โตบึกบึนผิดวิสัยอสุรีอื่นๆที่เขาเคยพบ นี่คงเป็นดังที่เขาได้ฟังจากจักรทัตว่าครั้งกระโน้นนอกจากพระอินทร์จะสาปพวกของไพจิตรที่เป็นผู้ชายทั้งหมดให้ต้องมีรูปร่างเหี้ยมเกรียมอัปลักษณ์แล้วยังมีพวกผู้หญิงโชคร้ายบางส่วนต้องคำสาปไปด้วย

สนแอบใช้ตาทิพย์ดูมโนของก็ทราบว่ายามหญิงเหล่านี้มีแต่ร่างกายแข็งแรงภายนอก ส่วนมโนกลับหยาบเกือบเท่าคนปกติ ลำดับชั้นคงห่างไกลกับกัลเกย์เมื่อครู่มากนัก เขาจึงค่อยวางใจว่าพวกนี้จับการปลอมแปลงของตนไม่ได้แน่

ทหารยามเห็นคีตากับสนในร่างของพรหมทัตเดินมาก็ตกใจร้องถามว่า “ท่านคีตา ท่านพรหมทัต มาทำอะไรที่นี่คะ?”

“เรามีราชการด่วนจะขอพบพระราชินี” คีตาตอบ “และเราขอพบโดยเร็ว เจ้าก็เห็นว่าท่านพรหมทัตกำลังบาดเจ็บ” ว่าพลางนางให้สนชูมือพันแผลขึ้นเพื่อยืนยัน

พวกยามลังเลชั่วครู่จึงผลัดให้คนหนึ่งวิ่งไปส่งข่าวก่อน ซึ่งไม่นานยามคนนั้นก็กลับมาพร้อมกับคำอนุญาต พวกสนจึงถูกพาให้เข้าสู่ตำหนักชั้นใน และให้หยุดรอที่หน้าห้องๆหนึ่งซึ่งมีประตูเป็นบานพับดูเรียบร้อยมิชิด คาดว่าคือห้องของพระราชินีนั่นเอง

สักครู่ก็มีนางกำนัลรูปร่างแช่มช้อยถือหีบเล็กๆใบหนึ่งออกมาจากห้องนั้น “พระราชินีถามว่าแผลที่พระยาพรหมทัตได้รับเป็นแผลชนิดใด” นางกล่าว

สนไม่เข้าเจตนาของฝ่ายตรงข้ามนักแต่ตอบไปว่า “แผลสด”

“ขอข้าดูแผลของท่านหน่อย” นางกำนัลแก้ผ้าพันแผลของสนออกและพิจารณาดู จึงหยิบยากระปุกหนึ่งขึ้นมาจากหีบแล้วเทผงสีเหลืองลงละเลงบนมือเขา สนรู้สึกแสบต้องร้องอุ้ยออกมาเบาๆ พอได้ยินเสียงนั้น นางกำนัลมีสีหน้าเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย “แรกๆอาจเจ็บบ้าง” นางกล่าว “หากเมื่อยาซึมเข้าในแผลแล้วก็จะดีเอง”

จริงดังว่า เลือดของสนก็หยุดไหลอย่างน่าประหลาด เขารู้สึกเย็นซ่านและความเจ็บปวดลดลงอย่างเห็นได้ชัด นางกำนัลถามอาการซ้ำอีก พอสนบอกว่าดีขึ้นแล้วนางจึงหยิบผ้าขึ้นมาพันแผลให้เขา

หลังจากทำแผลให้สนใหม่เรียบร้อยแล้ว นางกำนัลก็กลับเข้าห้องไปอีกโดยไม่ถามถึงสาเหตุของบาดแผลแม้แต่น้อย หลังจากนั้นไม่นานนางจึงเปิดประตูออกมาใหม่และพูดว่า “พระราชินีให้พระยาพรหมทัตเข้าพบได้”

คีตาดันตัวสนให้ลุกขึ้น “เจ้าเข้าไปสิ คำสั่งนี้มีความหมายให้เจ้าเข้าไปคนเดียว ข้าจะรออยู่ข้างนอก”

สนไม่สบายใจบ้าง “เจ้ามีคำแนะนำไหม?”

“ถึงตรงนี้เจ้าต้องขอร้องพระราชินีอย่างสุดความสามารถ ไม่ต้องเล่นละครอีก... จำไว้ว่านางใจดีมาก” คีตากล่าวเพียงนี้ สนจึงจำใจต้องเข้าไปในห้องนั้นแต่ลำพัง ข้างในมีลักษณะเป็นโถงกว้าง เบื้องหน้ามีสตรีนั่งอยู่สามคน

สองคนแรกเป็นนางกำนัลธรรมดานั่งอยู่บนพื้น ส่วนอีกคนนั่งอยู่บนแท่นที่ประดับอย่างวิจิตรเป็นรูปนกยูงห้าสี ซึ่งคนหลังนี้แม้จะดูเหมือนตำแหน่งสูงกว่าแต่กลับเป็นอสูรหญิงอีกผู้หนึ่งที่มีหน้ายักษ์

อย่างไรก็ตามสนไม่รู้สึกว่าใบหน้านั้นดุร้ายเลย มันเป็นใบหน้าที่นิ่งสงบ ประกอบกับลักษณะบางประการทำให้สนอนุมานได้ว่าหากจะมีราชินีนั่งอยู่ในห้องก็คงเป็นหญิงนางนี้แน่

6-22.jpg

บรรยากาศเงียบอยู่พักหนึ่งสนจึงนึกได้ว่าตนควรทำความเคารพพระราชินีก่อน เขาคุกเข่าลงไหว้ทั้งอดคิดในใจไม่ได้ว่า “ดูสง่างามดี ...แต่ไม่สวยเลย จักรทัตเลือกคนเช่นนี้มาเป็นภรรยาหลวงหรือ?”

พระราชินีกล่าวแก่สนด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานว่า “พระยาพรหมทัตมีเรื่องใด? ท่านทำให้ข้าต้องตื่นมากลางดึกแล้วนะ”

“...เรื่อง ...เรื่อง อ้า...” สนไม่รู้จะเริ่มอย่างไรดี เมื่อปรายตาเห็นนางกำนัลทั้งสองที่นั่งอยู่จึงสบโอกาสพูด “ก่อนที่ข้าจะกล่าวสิ่งใดขอให้พวกนางกำนัลออกไปก่อนเถิด” อย่างน้อยเรื่องของเขาควรให้คนรู้มีน้อยไว้ก่อน

หญิงสูงศักดิ์ยิ้ม จึงผงกศีรษะให้นางกำนัลทำตาม ซึ่งพวกนางก็ออกไปจากห้องโดยดี หลังจากนั้นพระราชินีจึงกล่าวกับสนอีกว่า “ทีนี้ท่านชี้แจงความประสงค์ได้แล้วกระมัง”

“...ข้าอยากให้พระราชินีช่วยเหลือข้า” สนพูดไปตามตรง “ตอนนี้อาโปตะไลกลับมาจากราชการ เขาจะทำร้ายข้า”

“เหตุใดท่านจึงมั่นใจว่าอาโปตะไลจะทำร้ายท่าน?”

“เพราะข้าขัดแย้งกับเขา”

“เรื่องขัดแย้งภายในหมู่ขุนนางเป็นเรื่องใหญ่ ทำไมท่านไม่ลองคุยกับเขาดูก่อน ข้าทราบว่าท่านเสนาบดีแม้จะมีอุปนิสัยเด็ดขาดสักหน่อยแต่มีข้อดีคือเป็นคนฟังคน หากท่านเปิดอกเจรจากับเขาอย่างจริงใจเชื่อปัญหาทุกอย่างต้องคลี่คลายได้”

อะไรบางอย่างทำให้สนไม่กล้าเปิดเผยตัว ดังนั้นเขาจึงอิดเอื้อนต่อไปอีก “เหตุผลในเรื่องนี้ข้ายังบอกท่านไม่ได้”

“แล้วปัญหาของพวกท่านมีความเป็นมาอย่างใด?”

“...เรื่องนั้นข้าก็ยังบอกท่านไม่ได้”

“เมื่อแค่นี้ท่านยังบอกข้าไม่ได้ ข้าจะช่วยเหลือท่านได้อย่างไร?” หญิงสูงศักดิ์กล่าวด้วยคำพูดเย็นๆ

อย่างไรก็ตามคำของนางกดดันสนจนเหงื่อกาฬแตกโทรม นี่เป็นสิ่งที่สนไม่กล้าเปิดเผย เพราะหากเอาเข้าจริงๆ ก็ต้องเล่าไปตั้งแต่ความที่เขาคิดจะมาขโมยกระบองโลหะวิเชียรจากภพอสูร แล้วจึงปลอมมาเป็นพรหมทัตเพื่อทำตามความต้องการของประไพวดีจนกระทั่งนางถูกริบอำนาจไป เขาครุ่นคิดว่าควรจะเปิดเผยความจริงเพียงใดดี เรื่องขโมยกระบองไม่ว่าอย่างไรก็เปิดเผยไม่ได้อยู่แล้ว สนจึงตัดสินใจกล่าวไปว่า “จริงๆแล้วข้าไม่ใช่พรหมทัตครับ”

“หืม...”

“ข้าเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งของประไพวดี เมื่อไม่มีนางคุ้มศีรษะจึงต้องหนีหัวซุกหัวซุน” สนกล่าว “ทราบว่าพระราชินีมีความเมตตาล้นเหลือ ข้าจึงมาขอพึ่งบารมีน่ะครับ” สนใช้โอกาสนี้แปลงกายกลับเป็นมนุษย์เช่นเดิมเพื่อสนับสนุนคำพูดของเขา

“อืม” พระราชินียิ้มน้อยๆ

สนนึกสงสัยที่พระราชินีไม่แสดงทีท่าแปลกใจเลยจึงถามว่า “หรือท่านทราบอยู่แล้วว่าข้ามิใช่พรหมทัต?”

“พรหมทัตไม่เรียกข้าว่าพระราชินีดอก” หญิงสูงศักดิ์กล่าว “เขายังจงรักภักดีกับราหู และแทบไม่ยอมรับสามีข้าเป็นกษัตริย์ด้วยซ้ำ ดังนั้นเขาจึงเรียกข้าด้วยชื่อเดิมคือสุคนธ์ ซึ่งก็เป็นชื่อที่ทุกคนเอ่ยถึงข้าเวลาอยู่ลับหลังด้วย เจ้าอาจใช้มันก็ได้”

“ข้า ข้าไม่กล้า” สนรีบพูด แต่สุคนธ์ยกมือปรามไว้

“ไม่ต้องกลัวเมื่อครู่ข้าก็เรียกพรหมทัตแต่นามเฉยๆไม่ได้เรียกเขาเป็นเจ้าเมือง เช่นนี้ถือว่าเสมอกันมิใช่หรือ?” นางหัวเราะซึ่งทำให้สนผ่อนคลายลงมาก

“อ้า ...ก็จริงครับ” เขายกมือขึ้นลูบท้ายทอยแก้เก้อ

“เอาละ ทีนี้เจ้าบอกความเป็นมาของปัญหาได้หรือยัง เจ้าเกี่ยวข้องกับประไพวดีอย่างไร และทำไมนางจึงไม่อาจปกป้องเจ้าได้?”

“ครับ” สนยิ้ม เขาเริ่มเล่าเรื่องตั้งแต่เข้ามาในป่าหิมพานต์อย่างไร พบกับคีตาและประไพวดีอย่างไร บอกถึงจุดประสงค์ของประไพวดีในการใช้เขาปลอมเป็นพรหมทัตตลอดไปจนเรื่องที่จักรทัตให้การสนับสนุนเรื่องนี้

สนเล่าอยู่นานอย่างสนุกสนาน เขาเล่ากระทั่งเรื่องที่ได้แอบเข้าไปยังห้องหนังสือกับคีตาซึ่งเป็นเหตุที่ทำให้อาโปตะไลจับได้ นอกจากนั้นยังบอกวิธีหนีการจับกุมมายังวังหลวงโดยตลอด เมื่ออยู่ต่อหน้าสุคนธ์ สนสัมผัสได้ถึงความความอบอุ่นอย่างประหลาดซึ่งทำให้เขารู้สึกวางใจจนพูดทุกสิ่งทุกอย่างออก ที่จริงเขาเกือบจะพูดแม้เรื่องความตั้งใจในการขโมยกระบองอยู่หลายครั้งทีเดียว

พระราชินีรับฟังด้วยอาการสงบและสอบถามบางครั้งเพื่อให้การสนทนาสมบูรณ์ขึ้น จนเมื่อสนเล่าจบลงนางจึงหลับตาคิดครู่หนึ่ง

“อืม... เรื่องของเจ้าช่างประหลาดเสียจริง” สุคนธ์เอ่ย “อาโปตะไลเป็นคนช่วยให้สามีข้าได้เป็นกษัตริย์ และเขาก็เชื่อฟังอาโปตะไลเสมอมาดังนั้นคราวนี้เขาคงช่วยอะไรเจ้าไม่ได้แน่”

“แหะแหะ ก็คงอย่างนั้นแหละครับ” สนทำหน้าเจื่อน

สุคนธ์ส่ายศีรษะกล่าวว่า “อีกไม่นานพวกผู้ชายก็จะรู้ว่าเจ้าหนีมาพึ่งข้า และพวกเขาคงมาถึงตำหนักนี้ก่อนเวลาอาหารเช้าด้วยซ้ำ ...เด็กน้อยเจ้าประเมินข้าสูงไปแล้ว เมื่อพระเจ้าจักรทัตไม่อาจช่วยเจ้าแล้วเมียของเขาจะช่วยเจ้าได้หรือ?”

ฟังดังนี้สนต้องอ้ำอึ้งไป “อ้า... ท่าน...”

“หึหึ ข้าหยอกเจ้าเล่นดอก” สุคนธ์หัวเราะ “กว่าจะเช้าเรายังพอมีเวลา เจ้าคงเหนื่อยมาทั้งคืนแล้วจะลองรับประทานขนมนี้หน่อยไหม”

นางลงจากแท่นแล้วเดินไปเปิดตู้ข้างๆหยิบเอาอาหารถาดหนึ่งมา เป็นขนมสีเหลืองรูปดอกพิกุลส่งกลิ่นหอมหวนซึ่งคาดว่าน่าจะทำมาจากแป้งผสมกับไข่และน้ำผึ้ง สุคนธ์ยื่นถาดให้สนกล่าวว่า “นี่เป็นของเหลือจากมื้อค่ำ จริงๆไม่ใช่ของดีนักหรอก แต่รสชาติเอร็ดอร่อยนักเจ้าลองรับประทานดู”

สนเห็นว่าตอนนี้เป็นสถานการณ์คับขันเป็นตาย จะให้ทานอาหารเช่นนี้ออกจะแปลกประหลาดอยู่ แต่เมื่อคนออกคำสั่งเป็นพระราชินีเองเขาจึงได้แต่หยิบมาเข้าปากชิ้นหนึ่งแล้วกล่าวขอบคุณอย่างสูง

พริบตาเดียวที่สัมผัสอันนุ่มลื่นของขนมชิ้นนั้นเข้าไปแตะลิ้น สนก็รู้สึกถึงรสชาติอ่อนละมุลแผ่ซ่านไปทั่วทั้งปาก ทั้งบังเกิดความปลอดโปร่งอย่างน่าประหลาด

“อย่าพึ่งกลืน” สุคนธ์กล่าว “ขนมชนิดนี้จะอร่อยที่สุดหลังจากอยู่บนลิ้นระยะหนึ่ง ดังนั้นเมื่อเข้าสู่ปากแล้วควรอมไว้นานๆ ข้าจะนับหนึ่งถึงห้า พอนับครบแล้วเจ้าค่อยกลืนลงไปได้”

สนพยักหน้ารับคำ จึงนั่งเฉยรอให้สุคนธ์ค่อยๆนับไปเรื่อยๆ ในความคิดของเขาเสียงของนางต่อจากนั้นไพเราะเป็นจังหวะเหมือนเสียงดนตรีไม่มีผิด หากพอนางนับถึงสามเขาเริ่มง่วงนอนอย่างไม่รู้สาเหตุ

สุคนธ์นับถึงห้าแล้วจึงถามว่า “เจ้ากลืนขนมหรือยัง?”

“ยัง... ครับ มันละลายหมดในปากเอง...”

“อร่อยไหม?”

“อร่อยครับ... อร่อยมากที่สุด...” สนกล่าวด้วยเสียงยานๆเหมือนคนง่วงนอน “ท่าน... พระราชินีครับ...”

“หืม”

“ท่าน... ข้าเพิ่งรู้อย่างหนึ่ง... พึ่งรู้เมื่อกี้...”

“อะไรหรือ?” สุคนธ์ถามด้วยเสียงอ่อนโยน

“ท่านเหมือนแม่ข้ามาก... ท่านต้องเป็นแม่ข้ากลับชาติมาเกิดแน่ๆ...” สนว่าได้ดังนี้ก็น้ำตาไหลแล้วฟุบหลับไปเหมือนกับเด็ก

สุคนธ์นิ่งไปพักหนึ่งจึงค่อยๆอุ้มร่างของเขาขึ้นไปวางนอนลงบนแท่นประทับนกยูงของนาง

“ข้าคงเป็นแม่ที่ใช้ไม่ได้ มีปัญญากล่อมลูกให้หลับเพียงด้วยวิธีนี้” นางรำพึงกับตนเองพลางทรุดกายลงนั่งพับเพียบกับพื้นแล้วร้องว่า “คีตา เจ้าเข้ามาได้แล้ว”

ประตูถูกแง้มออกช้าๆ คีตาค่อยย่างเข้ามาอย่างระมัดระวัง

“เขาเป็นอย่างไรบ้างคะ?” นางถาม

“ก็น่ารักดี” สุคนธ์ตอบ นางรอจนหญิงสาวเดินมานั่งข้างๆตนแล้วจึงถามว่า “เจ้าคิดอย่างไรจึงจะให้ข้าช่วยมนุษย์ผู้นี้ล่ะ?”

“ข้า...” คีตาเบือนหน้าไปมองพื้น “ข้ารู้สึกว่ามันจะไม่ยุติธรรมอย่างยิ่งหากเราทำให้เขาต้องมารับเคราะห์กับเรื่องของพ่อและพี่”

“แต่เขาไม่ใช่คนจริงใจนะ” สุคนธ์กล่าว

“ท่านหมายถึง...”

“เขายังเปิดเผยตัวช้าเกินไป ต้องรอให้ข้าถามคำถามไล่ต้อนก่อนจึงยอมพูดความจริง ซ้ำยังไม่กล้าเปิดเผยต่อหน้านางกำนัลทั้งสองอีก”

“ความจริงข้าก็เตือนเขา...” คีตากล่าว นางบอกสนไม่ให้เล่นละคร หากสนคิดตามสักนิดก็จะนึกได้เองว่ามันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่คนภายนอกจะสามารถเข้าพบพระราชินีของประเทศโดยไม่ผ่านการตรวจสอบป้องกันเลย

แท้จริงนางกำนัลที่ออกมาทำแผลให้สนก็คือกัลเกย์ซึ่งลอบดูมโนเขาเรียบร้อยแล้ว

“เฮ้อ... แต่ก็ดีอย่างหนึ่งที่กัลเกย์เหล่านั้นไม่ได้อยู่ฟังด้วย เพราะพวกนางเป็นคนที่พ่อเจ้าให้มาถวายการรับใช้ข้า ไม่แน่ว่ายังเป็นลูกน้องของเขาอยู่” สุคนธ์รำพึงซึ่งทำให้คีตาต้องนั่งนิ่งด้วยความสะทกสะท้อน

หญิงสูงศักดิ์ถามอีกว่า “แล้วถ้าอาโปตะไลจับสนได้จะทำอะไรกับเขา?”

“โทษที่พ่อกำหนดไว้ในใจแล้วคือโทษตาย... ปกติท่านก็ไม่เคยปราณีคนเผ่าอื่นนอกจากอสูรกายอยู่แล้ว” คีตากล่าว

“อืม...” สุคนธ์เหลียวมาทางสน “แล้วจุดประสงค์ที่แท้จริงของชายคนนี้คืออะไรกันแน่?”

“เขา...” คีตาพูดด้วยเสียงสั่น “เขาต้องการกระบองโลหะวิเชียร... เพื่อนำไปให้อาจารย์ของเขา”

“เพียงนั้นเชียว!?” สุคนธ์ขมวดคิ้ว นางยื่นมือมาลูบหัวคีตาเบาๆ “เด็กโง่เอย... เมื่อเขามีความประสงค์ร้ายแรงเช่นนี้ยังจะบอกว่าเป็นเรื่องของพ่อและพี่ของเจ้าอีก แล้วนี่ข้าจะช่วยเหลือได้อย่างไรไหว”

“แต่จริงๆแล้วเขาไม่ได้ต้องการมันนะคะ! ข้าเห็นจากความทรงจำที่เขานึก อาจารย์ของเขาสั่งให้มาเอาทั้งๆที่น่าจะรู้อยู่แล้วว่าเป็นการใช้เขามาตาย!” คีตาร้อง “เขาเป็นคนซื่อเกินไป หากไม่ใช่โชคดีได้พี่ข้าช่วยเหลือเขาต้องไม่มีทางมาถึงจุดนี้ได้เองเด็ดขาด”

ฟังดังนั้นสุคนธ์กลับเป็นฝ่ายยกมือขึ้นมาแตะอกด้วยความตกใจ “ตายจริงคีตา เจ้าอ่านใจได้ละเอียดเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”

คีตาอิดเอื้อนเล็กน้อยแต่ก็ตอบว่า “ตั้ง... ตั้งแต่เข้าไปในห้องฝึกมโนกับสน ข้าก็รู้สึกว่าความสามารถนี้พัฒนาไปก้าวหนี่งค่ะ”

“แล้วพ่อเจ้าทราบเรื่องนี้หรือยัง?”

“ท่านไม่ทราบด้วยซ้ำว่าข้าอ่านใจคนได้ค่ะ...”

สุคนธ์ครุ่นคิดอีก “จริงสินะ อาโปตะไลเกลียดความสามารถนี้มาก เขาถึงกับหาเรื่องฆ่าคนที่มีความสามารถนี้ทุกคนที่พบ แต่คงนึกไม่ถึงว่าลูกสาวของเขาเองก็มีความสามารถนั้น”

“ท่านพ่อบอกว่าคนทุกคนมีทั้งด้านดีและด้านชั่วร้าย แต่ไม่ว่าใครก็พยายามแสดงความดีของตนออกมาภายนอกมากที่สุดและเก็บความชั่วร้ายไว้แต่ในความคิด ดังนั้นคนที่เปิดเผยความคิดคนอื่นจึงเป็นการทำลายความเป็นส่วนตัวสุดท้ายนั้น ทำให้คนที่คิดจะเป็นคนดีไม่อาจรักษาภาพพจน์ของตนเอาไว้ได้ ในที่สุดก็ต้องตัดสินใจก้าวสู่ด้านมืด” คีตากล่าว “อย่างไรก็ตามข้าก็ไม่ได้มีความสามารถนี้มากนัก ข้าจะอ่านใจได้เฉพาะบางเวลาเท่านั้น และอ่านได้แค่บางคนเท่านั้น”

“แต่หลังจากเจ้าเข้าไปในห้องฝึกมโนกับชายคนนี้ บรรยากาศของห้องทำให้เจ้าเผลอเข้าสมาธิโดยไม่รู้ตัว ผลที่ออกมาคือมีฤทธิ์เพิ่มพูนไปอีกจนอ่านใจเจ้าหนุ่มนี่ได้?”

“ค่ะ...” คีตาตอบอย่างรู้สึกผิด “ยกเว้นท่านแล้วยังไม่มีใครรู้เรื่องนี้”

สุคนธ์เห็นคีตาเศร้าไปจึงกล่าวปลอบว่า “ไม่เอาน่าอย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ พ่อเจ้ามองโลกคับแคบไปหน่อยจึงถ่ายทอดอคติให้ดับเจ้าไปด้วย ความจริงความสามารถในการอ่านใจคน ไม่ใช่สิ่งที่ใครก็อาจฝึกได้ แต่เป็นพรสวรรค์หายากที่ติดตัวมาแต่กำเนิด เจ้ายังนับเป็นคนพิเศษมากนะ”

“แต่สิ่งที่ท่านพ่อพูดก็มีเหตุผล...”

“พ่อเจ้าพูดถูกจริง แต่ใช่ว่าการอ่านใจจะทำร้ายคนได้อย่างเดียวสักหน่อย ฤทธิ์ชนิดอื่นๆอีกมากมายมิได้เอาไว้สำหรับทำลายล้างศัตรูโดยเฉพาะหรือ? ความดีเลวนั้นไม่ได้อยู่ที่ความสามารถดอกนะ มันอยู่ที่ตัวคนใช้ความสามารถนั้นต่างหาก ตราบใดที่เจ้ายังมั่นใจว่าตนเองเป็นคนดี ก็จงภูมิใจที่พระเจ้าได้ประทานพรสวรรค์นี้มาให้เจ้าเถิด” สุคนธ์กล่าวด้วยความเมตตา

คีตาฟังดังนั้นจึงรู้สึกดีขึ้นนางยิ้มพลางกอดพระราชินีและกล่าวว่า “ขอบคุณมากค่ะ...”

สุคนธ์ลูบหัว “ดี ต่อไปก็ให้คิดอย่างนี้ไว้ ส่วนมนุษย์คนนี้ข้าจะช่วยเขาเอง เจ้าวางใจเถอะ ตอนนี้ไปพักผ่อนที่วังหลังก่อน หากพ่อเจ้าเข้ามาข้าจะรับหน้าให้”

คีตารับคำสั่งแล้วจึงผงกศีรษะ ขณะที่สุคนธ์ลุกขึ้นจะไปสั่งนางกำนัลให้มารับรองแขก คีตาก็กล่าวขึ้นอีกว่า “พระราชินีคะ...”

“อะไรอีกล่ะ?” สุคนธ์เหลียวมามองนาง

“พ่อข้าไม่ใช่คนเลวนะคะ... จริงๆแล้วท่านมีเจตนาดี” คีตากล่าวด้วยสีหน้ากังวล

“...จริงๆแล้วทุกคนล้วนเป็นคนดีทั้งสิ้น แต่พวกเขามักจะมีเหตุผลที่ต้องทำเรื่องที่ตนเองไม่อยากทำ ...ทั้งสน แล้วก็ท่านพ่อ...”

พระราชินีหัวเราะเบาๆ “เฮ้อ อยู่ต่อหน้าเจ้าข้าปกปิดอะไรไม่ได้เลย แต่เจ้าวางใจเถิด ข้าจะไม่สร้างความขัดแย้งกับพ่อเจ้าเพราะเรื่องนี้ดอก และเขาเองก็ฉลาดเกินกว่าทำเช่นนั้นด้วย” สุคนธ์เปิดประตูออก เรียกนางกำนัลเข้ามา “นี่เป็นลูกสาวของท่านเสนาบดีต่างประเทศ จงพานางไปพักที่ห้องที่สอง และดูแลอย่างดีที่สุด”

นางกำนัลรับคำแล้วเชิญคีตาออกไป แม้คีตาจะมีความวิตกกังวลอยู่แต่เมื่อสุคนธ์รับปากว่าจะช่วยแล้วทุกอย่างคงคลี่คลายด้วยดี

....อย่างน้อยนางก็เชื่อเช่นนั้น
...........................


กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ 1