กูรอจังหวะนี้มานานแล้ว!!! เสียงดังออกมาจากปากยักษ์บาดเจ็บ
ด้วยความตื่นตะลึงสนถึงแก่สะดุดหกล้มในขณะอสูรร้ายยันกายในท่ากึ่งนั่ง กูจะฉีกเนื้อมึงกินเสียที่นี่แหละ! ร่างของสนถูกเหวี่ยงสูงขึ้นแล้วกระแทกลงเพื่อให้เขาบอบช้ำ หากสนอาศัยสันชาตญาณชั่ววูบเอากระบองที่ติดมือยันพื้นลดแรงกระแทกไว้ได้อย่างหวุดหวิด เท่านี้ก็ทุลักทุเลมากแล้ว แต่กัลเกย์ซึ่งไม่พอใจในผลงานของตนไม่ยอมปล่อยให้เขาตั้งตัวติด มึงบังอาจใช้กระบองกู!! มันตวาดพลางยื่นมืออีกข้างมากระชากกระบองออกจากมือของสนโดยแรง เอากระบองกูคืนมา!! เสียงดังแควกๆ หนังฉีกหลุดติดกับเหล็กจนเห็นเนื้อแดงๆ สนเป็นอิสระจากกระบองนั้นแล้วแต่ก็แลกมาด้วยการที่มือทั้งสองข้างเปียกชุ่มไปด้วยเลือด อ๊ากกกก!!! ผู้เป็นนิษาทร้องโหยหวน กัลเกย์ดูเหมือนจะสะใจ มันแลบลิ้นเลียริมฝีปากอย่างน่าขยะแขยง ซึ่งทำให้สนเกิดความรู้สึกประหวั่นอย่างยิ่ง ภาพนิทานที่พวกยักษ์ป่าไล่จับมนุษย์กินปรากฏขึ้นในจินตภาพของเขา ไม่ๆ ตามหลักเหตุผลพวกอสูรน่าจะมีวัฒนธรรมพอที่จะไม่ทำเรื่องเช่นนี้หรอกนะ ซึ่งความจริงเขายังไม่ได้เปรียบเทียบกับมนุษย์ผู้กินสัตว์ทุกชนิดที่เกิดมาในกายเนื้อระดับต่ำกว่าตน ...หากคิดตามตรรกะนี้ อสูรผู้มีระดับกายเนื้อที่สูงกว่ามนุษย์นักก็ไม่น่าแปลกที่มันจะคิดเหมือนกัน ดังนั้นกัลเกย์จึงเปลี่ยนมาดึงมือสนขึ้น เพราะมันเห็นเลือดแล้ว และต้องการจะรับประทานจากส่วนที่มีเลือดไปก่อน บ่าน้า! สนพร่ำร้องในใจ อย่างน้อยมันควรจะรู้จักทำอาหารให้สุกก่อนสิวะ คีตาร้องแทรกขึ้นว่า หยุดนะ หากเจ้ากินเขา ข้าจะฟ้องพ่อให้ลงโทษเจ้า! เสียงนางหนักแน่นจริงจังแต่กลับใช้ไม่ได้ผลกับกัลเกย์ เพราะบัดนี้มันเลือดขึ้นหน้าแล้ว ซึ่งความจริงมันเคยเป็นยักษ์ป่ามาก่อน เนื้อทุกชนิดในป่าที่กินได้มันล้วนกินสิ้น แม้หลังจากได้รับการกล่อมเกลามาเป็นทหารจนถึงได้รับแต่งตั้งเป็นกัลเกย์แล้ว ตำแหน่งทางสังคมจะทำให้มันสำคัญตัวเองใหม่และลดพฤติกรรมป่าเถื่อนลง แต่เมื่อวิธีการที่เป็นระเบียบแบบแผนใช้ไม่ได้ผล มันก็พร้อมเสมอที่จะกลับไปสู่วิถีดั้งเดิม กัลเกย์อ้าปากเผยให้เห็นเขี้ยวสีขาวๆซึ่งแหลมและยาวกว่าสัตว์ร้ายบางชนิดเสียอีก มันดึงมือของเหยื่อยัดเข้าปากไปอย่างรวดเร็ว สนหวาดเสียวยิ่งนัก ในใจพยายามครุ่นคิดหาทางรอดอย่างรวดเร็ว ขณะที่มือแตะลิ้นมันก่อนเขาก็ร้องดังๆขึ้นว่า ร้อน!!!!! แม้เมื่อครู่สนจะลองใช้ฤทธิ์กับกัลเกย์ครั้งหนึ่งแล้วและทราบดีว่าวิธีนี้ใช้ไม่ได้ผล แต่สถานการณ์ที่บีบคั้นทำให้เขาไม่มีทางเลือก อย่างไรก็ตามดูเหมือนตอนนี้จะผิดกัน กัลเกย์กลับเป็นฝ่ายแสดงอาการบาดเจ็บขึ้นบ้างพร้อมทั้งกลับกิริยาที่จะกลืนกินเขานั้นต้องหยุดชะงักลงทันที แรกๆสนก็งุนงง แต่เมื่อคิดตามเหตุผลเขาก็พึ่งนึกได้ว่า ข้อแตกต่างของความร้อนที่สร้างจากฤทธิ์ธาตุไฟกับฤทธิ์ธาตุแสงคือ ฤทธิ์ธาตุไฟสามารถส่งพลังความร้อนไปยังจุดๆเดียวได้อย่างรุนแรงยิ่ง ส่วนฤทธิ์ธาตุแสงแม้จะมีพลังโจมตีด้อยกว่าแต่รัศมีการโจมตีสามารถกระจายไปโดยรอบอย่างรวดเร็วและซอกซอนไปได้ทุกหนทุกแห่ง เปรียบเหมือนส่องไฟในความมืดย่อมกินรัศมีกว้างกว่าพระเพลิงลุกลามฉันนั้น คราวก่อนที่เขาพุ่งความร้อนใส่คอกับรักแร้ของกัลเกย์และโดนโต้กลับมาเป็นเพราะกัลเกย์คาดเดาการกระทำของเขาได้ก่อน หากเวลานี้ยักษ์ร้ายบ้าเลือดไปชั่วครู่ไม่ทันระวังการโจมตีของเขา มันจึงโดนความร้อนจากฤทธิ์ธาตุแสงแผ่ผ่านช่องปากเข้าสู่อวัยวะภายในซึ่งไร้การป้องกันโดยฉับพลัน เมื่อรู้ว่าศัตรูต้องบาดเจ็บสาหัสแน่ สนรีบเร่งพลังขึ้นส่งผลให้กัลเกย์เจ็บจนต้องปล่อยมือจากตัวเขา และยังคงเร่งพลังอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งยักษ์ร้ายดิ้นลงพราดๆ ในที่สุดก็ทนความเจ็บปวดไม่ไหวหมดสติลงไปเอง หลังจากจัดการศัตรูได้แล้วนิษาทหนุ่มจึงยืดกายขึ้นแต่กลับเสียสมดุลลื้นล้มลงอีก ดีที่คีตามาประคองสนได้ทัน เป็นอย่างไรบ้าง? นางถามด้วยความเป็นห่วง ไอ้นี่มันร้ายจริงๆ สนกล่าวพลางมองไปยังร่างของกัลเกย์ เขาคิดในใจว่าที่จัดการมันได้เป็นเพราะโชคช่วยหลายส่วน บัดนี้เขาเริ่มเข้าใจความหมายของคำว่า ทหารชั้นหนึ่งในอสูรกายภูมิ แล้ว เพื่อไม่ให้มันลุกขึ้นมาได้อีกทั้งสองจึงช่วยกันฉีกเสื้อของทหารยักษ์มามัดตัวมันเองพร้อมทั้งอุดปากไว้อย่างแน่นหนา หลังจากพันแผลเบื้องต้นที่มือสนแล้วทั้งสองจึงช่วยกันประคับประคองไปยังตำหนักของพระราชินี ด้วยการเดินทางที่เชื่องช้าทำให้กว่าพวกสนจะไปถึงที่หมายเวลาก็ล่วงเลยมาประมาณยามสาม ตำหนักพระราชินีที่เขาเห็นเป็นหมู่ห้องเล็กๆที่เชื่อมต่อมาจากปราสาทใหญ่ ภายนอกมีการประดับตกแต่งที่เรียบง่ายสวยงาม พอถึงจุดนี้คีตาบอกให้สนแปลงกายกลับเป็นพรหมทัต จากนั้นนางจึงตรงไปที่ห้องที่ใหญ่ที่สุด ที่นั่นมีอสูรหญิงแต่งกายเป็นทหารรักษาอยู่สองคน สนสังเกตได้ว่าแม้ยามเหล่านี้จะเป็นหญิงแต่กลับมีรูปร่างใหญ่โตบึกบึนผิดวิสัยอสุรีอื่นๆที่เขาเคยพบ นี่คงเป็นดังที่เขาได้ฟังจากจักรทัตว่าครั้งกระโน้นนอกจากพระอินทร์จะสาปพวกของไพจิตรที่เป็นผู้ชายทั้งหมดให้ต้องมีรูปร่างเหี้ยมเกรียมอัปลักษณ์แล้วยังมีพวกผู้หญิงโชคร้ายบางส่วนต้องคำสาปไปด้วย สนแอบใช้ตาทิพย์ดูมโนของก็ทราบว่ายามหญิงเหล่านี้มีแต่ร่างกายแข็งแรงภายนอก ส่วนมโนกลับหยาบเกือบเท่าคนปกติ ลำดับชั้นคงห่างไกลกับกัลเกย์เมื่อครู่มากนัก เขาจึงค่อยวางใจว่าพวกนี้จับการปลอมแปลงของตนไม่ได้แน่ ทหารยามเห็นคีตากับสนในร่างของพรหมทัตเดินมาก็ตกใจร้องถามว่า ท่านคีตา ท่านพรหมทัต มาทำอะไรที่นี่คะ? เรามีราชการด่วนจะขอพบพระราชินี คีตาตอบ และเราขอพบโดยเร็ว เจ้าก็เห็นว่าท่านพรหมทัตกำลังบาดเจ็บ ว่าพลางนางให้สนชูมือพันแผลขึ้นเพื่อยืนยัน พวกยามลังเลชั่วครู่จึงผลัดให้คนหนึ่งวิ่งไปส่งข่าวก่อน ซึ่งไม่นานยามคนนั้นก็กลับมาพร้อมกับคำอนุญาต พวกสนจึงถูกพาให้เข้าสู่ตำหนักชั้นใน และให้หยุดรอที่หน้าห้องๆหนึ่งซึ่งมีประตูเป็นบานพับดูเรียบร้อยมิชิด คาดว่าคือห้องของพระราชินีนั่นเอง สักครู่ก็มีนางกำนัลรูปร่างแช่มช้อยถือหีบเล็กๆใบหนึ่งออกมาจากห้องนั้น พระราชินีถามว่าแผลที่พระยาพรหมทัตได้รับเป็นแผลชนิดใด นางกล่าว สนไม่เข้าเจตนาของฝ่ายตรงข้ามนักแต่ตอบไปว่า แผลสด ขอข้าดูแผลของท่านหน่อย นางกำนัลแก้ผ้าพันแผลของสนออกและพิจารณาดู จึงหยิบยากระปุกหนึ่งขึ้นมาจากหีบแล้วเทผงสีเหลืองลงละเลงบนมือเขา สนรู้สึกแสบต้องร้องอุ้ยออกมาเบาๆ พอได้ยินเสียงนั้น นางกำนัลมีสีหน้าเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย แรกๆอาจเจ็บบ้าง นางกล่าว หากเมื่อยาซึมเข้าในแผลแล้วก็จะดีเอง จริงดังว่า เลือดของสนก็หยุดไหลอย่างน่าประหลาด เขารู้สึกเย็นซ่านและความเจ็บปวดลดลงอย่างเห็นได้ชัด นางกำนัลถามอาการซ้ำอีก พอสนบอกว่าดีขึ้นแล้วนางจึงหยิบผ้าขึ้นมาพันแผลให้เขา หลังจากทำแผลให้สนใหม่เรียบร้อยแล้ว นางกำนัลก็กลับเข้าห้องไปอีกโดยไม่ถามถึงสาเหตุของบาดแผลแม้แต่น้อย หลังจากนั้นไม่นานนางจึงเปิดประตูออกมาใหม่และพูดว่า พระราชินีให้พระยาพรหมทัตเข้าพบได้ คีตาดันตัวสนให้ลุกขึ้น เจ้าเข้าไปสิ คำสั่งนี้มีความหมายให้เจ้าเข้าไปคนเดียว ข้าจะรออยู่ข้างนอก สนไม่สบายใจบ้าง เจ้ามีคำแนะนำไหม? ถึงตรงนี้เจ้าต้องขอร้องพระราชินีอย่างสุดความสามารถ ไม่ต้องเล่นละครอีก... จำไว้ว่านางใจดีมาก คีตากล่าวเพียงนี้ สนจึงจำใจต้องเข้าไปในห้องนั้นแต่ลำพัง ข้างในมีลักษณะเป็นโถงกว้าง เบื้องหน้ามีสตรีนั่งอยู่สามคน สองคนแรกเป็นนางกำนัลธรรมดานั่งอยู่บนพื้น ส่วนอีกคนนั่งอยู่บนแท่นที่ประดับอย่างวิจิตรเป็นรูปนกยูงห้าสี ซึ่งคนหลังนี้แม้จะดูเหมือนตำแหน่งสูงกว่าแต่กลับเป็นอสูรหญิงอีกผู้หนึ่งที่มีหน้ายักษ์ อย่างไรก็ตามสนไม่รู้สึกว่าใบหน้านั้นดุร้ายเลย มันเป็นใบหน้าที่นิ่งสงบ ประกอบกับลักษณะบางประการทำให้สนอนุมานได้ว่าหากจะมีราชินีนั่งอยู่ในห้องก็คงเป็นหญิงนางนี้แน่ บรรยากาศเงียบอยู่พักหนึ่งสนจึงนึกได้ว่าตนควรทำความเคารพพระราชินีก่อน เขาคุกเข่าลงไหว้ทั้งอดคิดในใจไม่ได้ว่า ดูสง่างามดี ...แต่ไม่สวยเลย จักรทัตเลือกคนเช่นนี้มาเป็นภรรยาหลวงหรือ? พระราชินีกล่าวแก่สนด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานว่า พระยาพรหมทัตมีเรื่องใด? ท่านทำให้ข้าต้องตื่นมากลางดึกแล้วนะ ...เรื่อง ...เรื่อง อ้า... สนไม่รู้จะเริ่มอย่างไรดี เมื่อปรายตาเห็นนางกำนัลทั้งสองที่นั่งอยู่จึงสบโอกาสพูด ก่อนที่ข้าจะกล่าวสิ่งใดขอให้พวกนางกำนัลออกไปก่อนเถิด อย่างน้อยเรื่องของเขาควรให้คนรู้มีน้อยไว้ก่อน หญิงสูงศักดิ์ยิ้ม จึงผงกศีรษะให้นางกำนัลทำตาม ซึ่งพวกนางก็ออกไปจากห้องโดยดี หลังจากนั้นพระราชินีจึงกล่าวกับสนอีกว่า ทีนี้ท่านชี้แจงความประสงค์ได้แล้วกระมัง ...ข้าอยากให้พระราชินีช่วยเหลือข้า สนพูดไปตามตรง ตอนนี้อาโปตะไลกลับมาจากราชการ เขาจะทำร้ายข้า เหตุใดท่านจึงมั่นใจว่าอาโปตะไลจะทำร้ายท่าน? เพราะข้าขัดแย้งกับเขา เรื่องขัดแย้งภายในหมู่ขุนนางเป็นเรื่องใหญ่ ทำไมท่านไม่ลองคุยกับเขาดูก่อน ข้าทราบว่าท่านเสนาบดีแม้จะมีอุปนิสัยเด็ดขาดสักหน่อยแต่มีข้อดีคือเป็นคนฟังคน หากท่านเปิดอกเจรจากับเขาอย่างจริงใจเชื่อปัญหาทุกอย่างต้องคลี่คลายได้ อะไรบางอย่างทำให้สนไม่กล้าเปิดเผยตัว ดังนั้นเขาจึงอิดเอื้อนต่อไปอีก เหตุผลในเรื่องนี้ข้ายังบอกท่านไม่ได้ แล้วปัญหาของพวกท่านมีความเป็นมาอย่างใด? ...เรื่องนั้นข้าก็ยังบอกท่านไม่ได้ เมื่อแค่นี้ท่านยังบอกข้าไม่ได้ ข้าจะช่วยเหลือท่านได้อย่างไร? หญิงสูงศักดิ์กล่าวด้วยคำพูดเย็นๆ อย่างไรก็ตามคำของนางกดดันสนจนเหงื่อกาฬแตกโทรม นี่เป็นสิ่งที่สนไม่กล้าเปิดเผย เพราะหากเอาเข้าจริงๆ ก็ต้องเล่าไปตั้งแต่ความที่เขาคิดจะมาขโมยกระบองโลหะวิเชียรจากภพอสูร แล้วจึงปลอมมาเป็นพรหมทัตเพื่อทำตามความต้องการของประไพวดีจนกระทั่งนางถูกริบอำนาจไป เขาครุ่นคิดว่าควรจะเปิดเผยความจริงเพียงใดดี เรื่องขโมยกระบองไม่ว่าอย่างไรก็เปิดเผยไม่ได้อยู่แล้ว สนจึงตัดสินใจกล่าวไปว่า จริงๆแล้วข้าไม่ใช่พรหมทัตครับ หืม... ข้าเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งของประไพวดี เมื่อไม่มีนางคุ้มศีรษะจึงต้องหนีหัวซุกหัวซุน สนกล่าว ทราบว่าพระราชินีมีความเมตตาล้นเหลือ ข้าจึงมาขอพึ่งบารมีน่ะครับ สนใช้โอกาสนี้แปลงกายกลับเป็นมนุษย์เช่นเดิมเพื่อสนับสนุนคำพูดของเขา อืม พระราชินียิ้มน้อยๆ สนนึกสงสัยที่พระราชินีไม่แสดงทีท่าแปลกใจเลยจึงถามว่า หรือท่านทราบอยู่แล้วว่าข้ามิใช่พรหมทัต? พรหมทัตไม่เรียกข้าว่าพระราชินีดอก หญิงสูงศักดิ์กล่าว เขายังจงรักภักดีกับราหู และแทบไม่ยอมรับสามีข้าเป็นกษัตริย์ด้วยซ้ำ ดังนั้นเขาจึงเรียกข้าด้วยชื่อเดิมคือสุคนธ์ ซึ่งก็เป็นชื่อที่ทุกคนเอ่ยถึงข้าเวลาอยู่ลับหลังด้วย เจ้าอาจใช้มันก็ได้ ข้า ข้าไม่กล้า สนรีบพูด แต่สุคนธ์ยกมือปรามไว้ ไม่ต้องกลัวเมื่อครู่ข้าก็เรียกพรหมทัตแต่นามเฉยๆไม่ได้เรียกเขาเป็นเจ้าเมือง เช่นนี้ถือว่าเสมอกันมิใช่หรือ? นางหัวเราะซึ่งทำให้สนผ่อนคลายลงมาก อ้า ...ก็จริงครับ เขายกมือขึ้นลูบท้ายทอยแก้เก้อ เอาละ ทีนี้เจ้าบอกความเป็นมาของปัญหาได้หรือยัง เจ้าเกี่ยวข้องกับประไพวดีอย่างไร และทำไมนางจึงไม่อาจปกป้องเจ้าได้? ครับ สนยิ้ม เขาเริ่มเล่าเรื่องตั้งแต่เข้ามาในป่าหิมพานต์อย่างไร พบกับคีตาและประไพวดีอย่างไร บอกถึงจุดประสงค์ของประไพวดีในการใช้เขาปลอมเป็นพรหมทัตตลอดไปจนเรื่องที่จักรทัตให้การสนับสนุนเรื่องนี้ สนเล่าอยู่นานอย่างสนุกสนาน เขาเล่ากระทั่งเรื่องที่ได้แอบเข้าไปยังห้องหนังสือกับคีตาซึ่งเป็นเหตุที่ทำให้อาโปตะไลจับได้ นอกจากนั้นยังบอกวิธีหนีการจับกุมมายังวังหลวงโดยตลอด เมื่ออยู่ต่อหน้าสุคนธ์ สนสัมผัสได้ถึงความความอบอุ่นอย่างประหลาดซึ่งทำให้เขารู้สึกวางใจจนพูดทุกสิ่งทุกอย่างออก ที่จริงเขาเกือบจะพูดแม้เรื่องความตั้งใจในการขโมยกระบองอยู่หลายครั้งทีเดียว พระราชินีรับฟังด้วยอาการสงบและสอบถามบางครั้งเพื่อให้การสนทนาสมบูรณ์ขึ้น จนเมื่อสนเล่าจบลงนางจึงหลับตาคิดครู่หนึ่ง อืม... เรื่องของเจ้าช่างประหลาดเสียจริง สุคนธ์เอ่ย อาโปตะไลเป็นคนช่วยให้สามีข้าได้เป็นกษัตริย์ และเขาก็เชื่อฟังอาโปตะไลเสมอมาดังนั้นคราวนี้เขาคงช่วยอะไรเจ้าไม่ได้แน่ แหะแหะ ก็คงอย่างนั้นแหละครับ สนทำหน้าเจื่อน สุคนธ์ส่ายศีรษะกล่าวว่า อีกไม่นานพวกผู้ชายก็จะรู้ว่าเจ้าหนีมาพึ่งข้า และพวกเขาคงมาถึงตำหนักนี้ก่อนเวลาอาหารเช้าด้วยซ้ำ ...เด็กน้อยเจ้าประเมินข้าสูงไปแล้ว เมื่อพระเจ้าจักรทัตไม่อาจช่วยเจ้าแล้วเมียของเขาจะช่วยเจ้าได้หรือ? ฟังดังนี้สนต้องอ้ำอึ้งไป อ้า... ท่าน... หึหึ ข้าหยอกเจ้าเล่นดอก สุคนธ์หัวเราะ กว่าจะเช้าเรายังพอมีเวลา เจ้าคงเหนื่อยมาทั้งคืนแล้วจะลองรับประทานขนมนี้หน่อยไหม นางลงจากแท่นแล้วเดินไปเปิดตู้ข้างๆหยิบเอาอาหารถาดหนึ่งมา เป็นขนมสีเหลืองรูปดอกพิกุลส่งกลิ่นหอมหวนซึ่งคาดว่าน่าจะทำมาจากแป้งผสมกับไข่และน้ำผึ้ง สุคนธ์ยื่นถาดให้สนกล่าวว่า นี่เป็นของเหลือจากมื้อค่ำ จริงๆไม่ใช่ของดีนักหรอก แต่รสชาติเอร็ดอร่อยนักเจ้าลองรับประทานดู สนเห็นว่าตอนนี้เป็นสถานการณ์คับขันเป็นตาย จะให้ทานอาหารเช่นนี้ออกจะแปลกประหลาดอยู่ แต่เมื่อคนออกคำสั่งเป็นพระราชินีเองเขาจึงได้แต่หยิบมาเข้าปากชิ้นหนึ่งแล้วกล่าวขอบคุณอย่างสูง พริบตาเดียวที่สัมผัสอันนุ่มลื่นของขนมชิ้นนั้นเข้าไปแตะลิ้น สนก็รู้สึกถึงรสชาติอ่อนละมุลแผ่ซ่านไปทั่วทั้งปาก ทั้งบังเกิดความปลอดโปร่งอย่างน่าประหลาด อย่าพึ่งกลืน สุคนธ์กล่าว ขนมชนิดนี้จะอร่อยที่สุดหลังจากอยู่บนลิ้นระยะหนึ่ง ดังนั้นเมื่อเข้าสู่ปากแล้วควรอมไว้นานๆ ข้าจะนับหนึ่งถึงห้า พอนับครบแล้วเจ้าค่อยกลืนลงไปได้ สนพยักหน้ารับคำ จึงนั่งเฉยรอให้สุคนธ์ค่อยๆนับไปเรื่อยๆ ในความคิดของเขาเสียงของนางต่อจากนั้นไพเราะเป็นจังหวะเหมือนเสียงดนตรีไม่มีผิด หากพอนางนับถึงสามเขาเริ่มง่วงนอนอย่างไม่รู้สาเหตุ สุคนธ์นับถึงห้าแล้วจึงถามว่า เจ้ากลืนขนมหรือยัง? ยัง... ครับ มันละลายหมดในปากเอง... อร่อยไหม? อร่อยครับ... อร่อยมากที่สุด... สนกล่าวด้วยเสียงยานๆเหมือนคนง่วงนอน ท่าน... พระราชินีครับ... หืม ท่าน... ข้าเพิ่งรู้อย่างหนึ่ง... พึ่งรู้เมื่อกี้... อะไรหรือ? สุคนธ์ถามด้วยเสียงอ่อนโยน ท่านเหมือนแม่ข้ามาก... ท่านต้องเป็นแม่ข้ากลับชาติมาเกิดแน่ๆ... สนว่าได้ดังนี้ก็น้ำตาไหลแล้วฟุบหลับไปเหมือนกับเด็ก สุคนธ์นิ่งไปพักหนึ่งจึงค่อยๆอุ้มร่างของเขาขึ้นไปวางนอนลงบนแท่นประทับนกยูงของนาง ข้าคงเป็นแม่ที่ใช้ไม่ได้ มีปัญญากล่อมลูกให้หลับเพียงด้วยวิธีนี้ นางรำพึงกับตนเองพลางทรุดกายลงนั่งพับเพียบกับพื้นแล้วร้องว่า คีตา เจ้าเข้ามาได้แล้ว ประตูถูกแง้มออกช้าๆ คีตาค่อยย่างเข้ามาอย่างระมัดระวัง เขาเป็นอย่างไรบ้างคะ? นางถาม ก็น่ารักดี สุคนธ์ตอบ นางรอจนหญิงสาวเดินมานั่งข้างๆตนแล้วจึงถามว่า เจ้าคิดอย่างไรจึงจะให้ข้าช่วยมนุษย์ผู้นี้ล่ะ? ข้า... คีตาเบือนหน้าไปมองพื้น ข้ารู้สึกว่ามันจะไม่ยุติธรรมอย่างยิ่งหากเราทำให้เขาต้องมารับเคราะห์กับเรื่องของพ่อและพี่ แต่เขาไม่ใช่คนจริงใจนะ สุคนธ์กล่าว ท่านหมายถึง... เขายังเปิดเผยตัวช้าเกินไป ต้องรอให้ข้าถามคำถามไล่ต้อนก่อนจึงยอมพูดความจริง ซ้ำยังไม่กล้าเปิดเผยต่อหน้านางกำนัลทั้งสองอีก ความจริงข้าก็เตือนเขา... คีตากล่าว นางบอกสนไม่ให้เล่นละคร หากสนคิดตามสักนิดก็จะนึกได้เองว่ามันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่คนภายนอกจะสามารถเข้าพบพระราชินีของประเทศโดยไม่ผ่านการตรวจสอบป้องกันเลย แท้จริงนางกำนัลที่ออกมาทำแผลให้สนก็คือกัลเกย์ซึ่งลอบดูมโนเขาเรียบร้อยแล้ว เฮ้อ... แต่ก็ดีอย่างหนึ่งที่กัลเกย์เหล่านั้นไม่ได้อยู่ฟังด้วย เพราะพวกนางเป็นคนที่พ่อเจ้าให้มาถวายการรับใช้ข้า ไม่แน่ว่ายังเป็นลูกน้องของเขาอยู่ สุคนธ์รำพึงซึ่งทำให้คีตาต้องนั่งนิ่งด้วยความสะทกสะท้อน หญิงสูงศักดิ์ถามอีกว่า แล้วถ้าอาโปตะไลจับสนได้จะทำอะไรกับเขา? โทษที่พ่อกำหนดไว้ในใจแล้วคือโทษตาย... ปกติท่านก็ไม่เคยปราณีคนเผ่าอื่นนอกจากอสูรกายอยู่แล้ว คีตากล่าว อืม... สุคนธ์เหลียวมาทางสน แล้วจุดประสงค์ที่แท้จริงของชายคนนี้คืออะไรกันแน่? เขา... คีตาพูดด้วยเสียงสั่น เขาต้องการกระบองโลหะวิเชียร... เพื่อนำไปให้อาจารย์ของเขา เพียงนั้นเชียว!? สุคนธ์ขมวดคิ้ว นางยื่นมือมาลูบหัวคีตาเบาๆ เด็กโง่เอย... เมื่อเขามีความประสงค์ร้ายแรงเช่นนี้ยังจะบอกว่าเป็นเรื่องของพ่อและพี่ของเจ้าอีก แล้วนี่ข้าจะช่วยเหลือได้อย่างไรไหว แต่จริงๆแล้วเขาไม่ได้ต้องการมันนะคะ! ข้าเห็นจากความทรงจำที่เขานึก อาจารย์ของเขาสั่งให้มาเอาทั้งๆที่น่าจะรู้อยู่แล้วว่าเป็นการใช้เขามาตาย! คีตาร้อง เขาเป็นคนซื่อเกินไป หากไม่ใช่โชคดีได้พี่ข้าช่วยเหลือเขาต้องไม่มีทางมาถึงจุดนี้ได้เองเด็ดขาด ฟังดังนั้นสุคนธ์กลับเป็นฝ่ายยกมือขึ้นมาแตะอกด้วยความตกใจ ตายจริงคีตา เจ้าอ่านใจได้ละเอียดเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? คีตาอิดเอื้อนเล็กน้อยแต่ก็ตอบว่า ตั้ง... ตั้งแต่เข้าไปในห้องฝึกมโนกับสน ข้าก็รู้สึกว่าความสามารถนี้พัฒนาไปก้าวหนี่งค่ะ แล้วพ่อเจ้าทราบเรื่องนี้หรือยัง? ท่านไม่ทราบด้วยซ้ำว่าข้าอ่านใจคนได้ค่ะ... สุคนธ์ครุ่นคิดอีก จริงสินะ อาโปตะไลเกลียดความสามารถนี้มาก เขาถึงกับหาเรื่องฆ่าคนที่มีความสามารถนี้ทุกคนที่พบ แต่คงนึกไม่ถึงว่าลูกสาวของเขาเองก็มีความสามารถนั้น ท่านพ่อบอกว่าคนทุกคนมีทั้งด้านดีและด้านชั่วร้าย แต่ไม่ว่าใครก็พยายามแสดงความดีของตนออกมาภายนอกมากที่สุดและเก็บความชั่วร้ายไว้แต่ในความคิด ดังนั้นคนที่เปิดเผยความคิดคนอื่นจึงเป็นการทำลายความเป็นส่วนตัวสุดท้ายนั้น ทำให้คนที่คิดจะเป็นคนดีไม่อาจรักษาภาพพจน์ของตนเอาไว้ได้ ในที่สุดก็ต้องตัดสินใจก้าวสู่ด้านมืด คีตากล่าว อย่างไรก็ตามข้าก็ไม่ได้มีความสามารถนี้มากนัก ข้าจะอ่านใจได้เฉพาะบางเวลาเท่านั้น และอ่านได้แค่บางคนเท่านั้น แต่หลังจากเจ้าเข้าไปในห้องฝึกมโนกับชายคนนี้ บรรยากาศของห้องทำให้เจ้าเผลอเข้าสมาธิโดยไม่รู้ตัว ผลที่ออกมาคือมีฤทธิ์เพิ่มพูนไปอีกจนอ่านใจเจ้าหนุ่มนี่ได้? ค่ะ... คีตาตอบอย่างรู้สึกผิด ยกเว้นท่านแล้วยังไม่มีใครรู้เรื่องนี้ สุคนธ์เห็นคีตาเศร้าไปจึงกล่าวปลอบว่า ไม่เอาน่าอย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ พ่อเจ้ามองโลกคับแคบไปหน่อยจึงถ่ายทอดอคติให้ดับเจ้าไปด้วย ความจริงความสามารถในการอ่านใจคน ไม่ใช่สิ่งที่ใครก็อาจฝึกได้ แต่เป็นพรสวรรค์หายากที่ติดตัวมาแต่กำเนิด เจ้ายังนับเป็นคนพิเศษมากนะ แต่สิ่งที่ท่านพ่อพูดก็มีเหตุผล... พ่อเจ้าพูดถูกจริง แต่ใช่ว่าการอ่านใจจะทำร้ายคนได้อย่างเดียวสักหน่อย ฤทธิ์ชนิดอื่นๆอีกมากมายมิได้เอาไว้สำหรับทำลายล้างศัตรูโดยเฉพาะหรือ? ความดีเลวนั้นไม่ได้อยู่ที่ความสามารถดอกนะ มันอยู่ที่ตัวคนใช้ความสามารถนั้นต่างหาก ตราบใดที่เจ้ายังมั่นใจว่าตนเองเป็นคนดี ก็จงภูมิใจที่พระเจ้าได้ประทานพรสวรรค์นี้มาให้เจ้าเถิด สุคนธ์กล่าวด้วยความเมตตา คีตาฟังดังนั้นจึงรู้สึกดีขึ้นนางยิ้มพลางกอดพระราชินีและกล่าวว่า ขอบคุณมากค่ะ... สุคนธ์ลูบหัว ดี ต่อไปก็ให้คิดอย่างนี้ไว้ ส่วนมนุษย์คนนี้ข้าจะช่วยเขาเอง เจ้าวางใจเถอะ ตอนนี้ไปพักผ่อนที่วังหลังก่อน หากพ่อเจ้าเข้ามาข้าจะรับหน้าให้ คีตารับคำสั่งแล้วจึงผงกศีรษะ ขณะที่สุคนธ์ลุกขึ้นจะไปสั่งนางกำนัลให้มารับรองแขก คีตาก็กล่าวขึ้นอีกว่า พระราชินีคะ... อะไรอีกล่ะ? สุคนธ์เหลียวมามองนาง พ่อข้าไม่ใช่คนเลวนะคะ... จริงๆแล้วท่านมีเจตนาดี คีตากล่าวด้วยสีหน้ากังวล ...จริงๆแล้วทุกคนล้วนเป็นคนดีทั้งสิ้น แต่พวกเขามักจะมีเหตุผลที่ต้องทำเรื่องที่ตนเองไม่อยากทำ ...ทั้งสน แล้วก็ท่านพ่อ... พระราชินีหัวเราะเบาๆ เฮ้อ อยู่ต่อหน้าเจ้าข้าปกปิดอะไรไม่ได้เลย แต่เจ้าวางใจเถิด ข้าจะไม่สร้างความขัดแย้งกับพ่อเจ้าเพราะเรื่องนี้ดอก และเขาเองก็ฉลาดเกินกว่าทำเช่นนั้นด้วย สุคนธ์เปิดประตูออก เรียกนางกำนัลเข้ามา นี่เป็นลูกสาวของท่านเสนาบดีต่างประเทศ จงพานางไปพักที่ห้องที่สอง และดูแลอย่างดีที่สุด นางกำนัลรับคำแล้วเชิญคีตาออกไป แม้คีตาจะมีความวิตกกังวลอยู่แต่เมื่อสุคนธ์รับปากว่าจะช่วยแล้วทุกอย่างคงคลี่คลายด้วยดี
....อย่างน้อยนางก็เชื่อเช่นนั้น |