นิยายแฟนตาซีแบบไทย

ศึกหกภพ

โดย เชษฐา

บทที่ ๔ ชำระแค้นเจ็ดประการ
(๕) ตัวหมากเปลี่ยนมือ


เช้าวันรุ่งขึ้น
มีเสียงเคาะประตูที่ห้องของพระราชินีซึ่งเป็นห้องเดียวกับที่สนได้พบกับพระนางเมื่อคืน

“เมียจ๋า เปิดประตูให้ผัวหน่อยจ๊ะ” คนเคาะร้อง

“เชิญเสด็จพี่เข้ามาเลยค่ะ” คนอยู่ข้างในตอบ

ประตูถูกเปิดแง้มออก ฝ่ายที่เข้ามามีพระเจ้าจักรทัต อาโปตะไล
และกัลเกย์ร่างใหญ่น่าเกรงขามอีกสองตน
จักรทัตมีสีหน้าร่าเริงแจ่มใสที่สุด ส่วนอาโปตะไลกลับมีสีหน้าเคร่งเครียด

สุคนธ์นั่งพับเพียบอยู่กับพื้น
ข้างๆนางคือสนซึ่งนอนอยู่บนแท่นประทับนกยูงห้าสีอันงดงามวิจิตร
“ถวายบังคมเสด็จพี่” พระราชินีกล่าวพลางนอบไหว้ลงกับพื้น

จักรทัตรีบไปดึงนางให้ลุกขึ้น “โอ๋ๆ ไม่ต้องทำเหมือนอยู่ในท้องพระโรงก็ได้จ๊ะ
ที่นี่เราคนกันเองทั้งนั้น
แม้แต่เจ้ากัลเกย์สองตัวนี่พี่ก็เลี้ยงมันมานานจนจะเป็นเพื่อนกันอยู่แล้ว”

หากสุคนธ์หัวเราะคิกพลางปัดป่ายมือของจักรทัตอย่างใจเย็น
ยังแอบกระซิบว่าเวลานี้มีขุนนางอยู่ไม่ควรเสียมารยาท
“เสด็จพี่มาด้วยเรื่องอันใดคะ?” นางเปลี่ยนเรื่อง

จักรทัตหันไปมองสน “พี่ก็มาหามันนี่แหละ ฮาฮา
ที่แท้น้องเรามาแอบหลับอยู่ที่นี่เอง นึกว่าหนีไปอยู่ไหนแล้ว” เขาหัวเราะร่วน
“แต่มานอนสบายในห้องเมียอย่างนี้ออกจะน่าหมั่นไส้ไปหน่อย
เดี๋ยวข้าขอลากมันไปสำเร็จโทษหน่อยนะ เมียจ๋า”

“สำเร็จโทษด้วยเรื่องอันใดคะ?”

“อาโปตะไลเขาว่ามันมีความผิดน่ะ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”

สุคนธ์หันมาทางอาโปตะไล
“คาดว่าท่านเสนาบดีคงมีเหตุผลจำเป็นอย่างยิ่งจึงถึงกับขอให้เสด็จพี่ออกหน้าให้”


อาโปตะไลกระแอม “พระราชินีทราบหรือไม่ว่ามนุษย์คนนี้เป็นใคร?”

“เขาคือคนธรรมดาคนหนึ่งที่เผอิญหลงเข้ามาเป็นแขกของอสูรกายภูมิ”
สุคนธ์ยิ้มแย้ม

“เขาคือโจรต่างหากพระราชินี
เมื่อคืนเขาแอบอ้างเป็นพระยาพรหมทัตบุกเข้าวังหลวง
ทำร้ายกัลเกย์ที่เฝ้ายามจนสลบและจับมัดซ่อนไว้” อาโปตะไลกล่าว
“ความจริงตอนนั้นเสียงต่อสู้ระหว่างทั้งสองก็ดังไม่น้อย
หากคนในวังบริเวณนั้นนึกว่าเป็นเสียงภูตปีศาจจึงพากันคลุมโปง
…ไอ้พวกไม่ได้เรื่อง”

“เขาต่อสู้กับกัลเกย์ที่จุดไหนคะ?”

“หน้าห้องสมุดเก่า หรือปัจจุบันเป็นห้องทำงานในวังของข้า”

“จุดนั้นเป็นจุดที่ปกติไม่มีคนเฝ้าอยู่
ข้าก็ไม่ทราบว่าเหตุใดคืนนี้จึงมีทหารชั้นสูงอย่างหน่วยกัลเกย์ไปดูแลตั้งนายหนึ่ง”
สุคนธ์กล่าวเนิบๆ

อาโปตะไลฟังดังนั้นจึงสั่งให้กัลเกย์ที่ติดตามมาออกจากห้องไปก่อนแล้วกล่าวว่า
“ข้าสั่งมันไปคุมเอง
จุดนั้นเป็นปากทางลับที่ติดต่อระหว่างบ้านข้ากับวังหลวงซึ่งพระยาพรหมทัตสร้างไว้เมื่อครั้งคิดการจะพาราหูหนี
เจ้ามนุษย์นี่มันปลอมเป็นพรหมทัตมาแอบแฝงอยู่ในบ้านข้าคงจะสืบรู้เส้นทางก่อน
พอข้าให้ทหารล้อมจับมัน มันจึงลอบใช้ทางลับหนีมา”

“แล้วทำไมท่านถึงไม่ให้ทหารเฝ้าไว้ที่ต้นทางลับในบ้านท่านเล่า
ทำไมต้องให้ไปอยู่ถึงในวังหลวงด้วย”

“เพราะข้าไม่อยากให้ใครๆรู้ว่ามีทางลับนั้นอยู่ หากมีคนเข้ามา
กัลเกย์ที่ปากทางก็จะเข้าใจเพียงว่ามาจากทางอื่น”
เสนาอสูรละไว้ในฐานที่เข้าใจว่าที่เขาสามารถไปสั่งกัลเกย์ในวังให้มารับใช้ได้เป็นเพราะเขาเองก็ใช้ประโยชน์จากทางลับนั้นด้วยเหมือนกัน


ไม่ว่าอย่างไรจักรทัตย่อมไม่ติดใจเอาความกับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้

สุคนธ์ยังคงไม่เปลี่ยนสีหน้า “เมื่อเขารู้ตัวว่าท่านเสนาบดีจะจับกุม
คงเกิดตื่นกลัวจึงได้พยายามหนีมาหาข้า อย่างนี้ก็ไม่ถือเป็นการ
‘บุกเข้าวังหลวง ทำร้ายทหาร’ นะคะ”

“ตั้งแต่เขาไม่เผชิญหน้ากับข้าตรงๆก็ถือเป็นการขัดขืนการจับกุมแล้ว
หากเขาบริสุทธิ์ เขาจะตื่นกลัวทำไม?”
แต่จะเพราะกลัวเสียชื่อเสียงหรือเหตุใดก็ตาม
จนถึงตอนนี้อาโปตะไลยังไม่กล่าวถึงคีตาเลย

จักรทัตซึ่งนิ่งอยู่นานแทรกขึ้นมาว่า “เดี๋ยวๆ ท่านอาโปตะไลคงเข้าใจผิด
ชายคนนี้เคยมาพบเราก่อนและได้แจ้งจุดประสงค์ให้เราทราบเรียบร้อยแล้ว
เขาเพียงปลอมเป็นพรหมทัตเพื่อช่วยประไพวดีพ้นจากการเป็นถูกจับเป็นม่ายหลวงตามกฎหมายเท่านั้น”


“ลูกตัวดีนั่นทำให้ข้าปวดหัวนัก” อาโปตะไลขมวดคิ้ว
“นางไม่ใช่แค่อยากพ้นจากการเป็นม่ายหลวงอย่างเดียว
ยังแอบอ้างนามของพรหมทัตส่งงบประมาณไปช่วยเหลือโครงการชีวาวุธที่ไม่มีประโยชน์อีก
นอกจากนั้นข้ายังทราบว่าก่อนหน้านี้มนุษย์ที่ชื่อสนนี่เคยเข้าไปในห้องฝึกมโนและห้องทำงานของข้าแล้ว
นี่จะไม่ให้สงสัยจุดประสงค์ของมันได้หรือ...”
เสียงของเสนาบดีอสูรเคร่งเครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“ท่านเองก็ไม่ควรวางใจมันเกินไป
มนุษย์นี้ต่อให้มันบริสุทธิ์จริงแต่มันก็ไม่ใช่อสูร
หากมันทราบว่าพวกเราคิดจะก่อการใหญ่ต่อต้านเทพแล้วแพร่งพรายความนี้ให้พวกเทพรู้ก็จะเป็นอันตราย”


สุคนธ์ย่อมทราบว่าสิ่งที่อาโปตะไลระแวงนั้นไม่เป็นความจริง
เพราะนางรู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของสนจากปากคีตาแล้ว

ซึ่งหากนางจะเอาสิ่งนี้มาอ้างก็ย่อมทำได้
แต่นางไม่ทำเพราะไม่อยากให้เกิดปัญหาภายในครอบครัวของอาโปตะไลเมื่อผู้เป็นพ่อรู้ว่าลูกสาวมีความสามารถในการอ่านใจที่ตนเกลียดนักเกลียดหนา

อีกอย่างจากคำพูดของเสนาบดีอสูรเมื่อครู่แสดงให้เห็นว่าเขาไม่อาจละเว้นนิษาทผู้นี้แม้อีกฝ่ายจะบริสุทธิ์ใจก็ตาม


ดังนั้นสุคนธ์จึงเลือกใช้อีกทางออกหนึ่ง นางมักจะมีทางออกที่ดีกว่าเสมอ

ขณะนั้นจักรทัตพูดขึ้นลอยๆ “…เออ ฟังแล้วก็ประหลาด
น้องเรานี่มันโชคดีหรือโชคร้ายกันนะ” เขาลอบยิ้มจึงหันไปทางสุคนธ์กล่าวว่า
“เมียจะเอาอย่างไรดีจ๊ะ?”

สุคนธ์ยกมือขึ้นประนมแนบอก “ เสด็จพี่เคยสัญญากับน้องว่า
แท่นนกยูงห้าสีนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของน้อง...”

“ใช่จ๊ะใช่” จักรทัตกล่าวหน้าระรื่น

“เช่นนั้นสิ่งที่อยู่บนแท่นนี้ย่อมเป็นกรรมสิทธิ์ของน้องด้วยใช่ไหมคะ?”

“หมายถึงไอ้นี่น่ะเหรอ? อืม” กษัตริย์อสูรยกมือสูบคางพลางชำเลืองไปที่สน
“ว่าแต่ทำไมมันถึงยังไม่ตื่นขึ้นมาสักทีล่ะ”

“เพราะข้าควบคุมเขาเอาไว้แล้วค่ะ” สุคนธ์ตอบ “คนนอนสลบไม่ไหวติง
พระองค์ยังจะใจร้ายลงโทษเขาอีกหรือ?”

“ฮาฮา ก็ได้ เมื่อเมียขอร้องถึงขนาดนั้นมีหรือที่ผัวจะไม่ให้!!!”
จักรทัตกล่าวหน้าตาเฉย

อาโปตะไลแทรกขึ้นทันที “ท่านโปรดทบทวนด้วย”

“กษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ ท่านเสนาบดีก็อย่าขัดข้าเลย” จักรทัตกล่าว
“ความจริงที่ฟังมาตลอดข้าเห็นว่าท่านคิดมากไป
มโนของน้องเรามีฤทธิ์อ่อนเกินกว่าจะเป็นพิษเป็นภัยได้
อีกอย่างเมื่อภรรยาเรารับประกันแล้ว ท่านก็จงวางใจเถิด”
สุคนธ์เสริมว่า “ท่านอาโปตะไลอย่าได้วิตก
หากเกิดสิ่งใดขึ้นข้าจะรับผิดชอบเองค่ะ”

ฟังดังนั้นอาโปตะไลจึงเงียบลง จักรทัตตบไหล่เขากล่าวว่า “พูดตามตรง
ท่านอาจสงสัยภรรยาเรา
แต่ชีวิตคู่ไม่ใช่สิ่งที่จะสร้างขึ้นโดยง่ายและไม่อาจอยู่ได้โดยปราศจากความไว้วางใจกัน
เราเชื่อใจนางและยังสามารถรับประกันให้ท่านด้วย”

อาโปตะไลไม่โต้เถียงอีก “ครับ” เขาตอบ

จักรทัตจึงฉีกยิ้มโดยเอกลักษณ์ของเขาอีกครั้ง “ฮาฮาฮา
ทีนี้เรื่องยุ่งๆก็หมดไปแล้ว เมียจ๋า ผัวยังมีข่าวอีกอย่างมาบอก”

“อะไรคะ?”

“ตอนนี้นครอลกาตกเป็นของเราแล้ว
ทั้งหมดต้องยกให้เป็นผลงานของท่านเสนาบดีนี่แหละ!!!”
จักรทัตกล่าวด้วยเสียงดังดุจจะประกาศความยินดีนี้ให้ทราบทั่วกัน
“เฒ่ากุเวรถูกประหารเรียบร้อย ความจริงน่าสงสารมันเหมือนกัน
แต่นั่นเป็นเพราะมันคิดต่อต้านเราเอง”

“ยินดีด้วยเพคะ” สุคนธ์กล่าว
ดูเหมือนระหว่างกษัตริย์กับราชินีคู่นี้จะมีแต่บรรยากาศรื่นเริงเบิกบานเสมอ

จักรทัตกล่าวต่อว่า “นครอลกาเป็นศูนย์รวบรวมข้อมูลของสวรรค์ในเขตเหนือ
เมื่อพี่ใช้ให้คนปลอมตัวเป็นกุเวรและเทวดาไปแทนที่คนในเมืองทีนี้สวรรค์ก็จะไม่มีวันล่วงรู้ว่าพวกเราเตรียมการใดไว้บ้าง
เฮอะๆ…
นอกจากนั้นท่านอาโปตะไลยังได้จัดการกักมโนของเทวดาที่ถูกเราฆ่าทั้งหมดไม่ให้มันสามารถไปแจ้งเรื่องแก่ใครได้ด้วย”


“ค่ะ”

“นี่ยังไม่ถึงตอนที่สำคัญที่สุด
เมียย่อมรู้ดีว่าอลกามีคลังสมบัติใหญ่ที่สุดในโลก
ศึกนี้ฝ่ายเราจึงได้กำไรมากมาย ผัวแอบกันทรัพย์เอาไว้ส่วนหนึ่งแล้ว
กะจะยกให้เมียนี่แหละจ๊ะ”

คราวนี้สุคนธ์จึงมีสีหน้าชื่นบานขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “ขอบคุณเสด็จพี่มากค่ะ”
นางกล่าว

“ฮาฮาฮา ขอบคุณอันใด เมื่อก่อนพี่ให้ของอะไรๆเจ้าก็ดูไม่ยินดีเท่านี้
ทำไมพอถึงตอนให้สมบัติจึงยินดีเป็นพิเศษล่ะ?”

สุคนธ์กล่าวอย่างปลื้มปิติว่า
“น้องสร้างเทวาลัยใหญ่ไว้แห่งหนึ่งสำหรับถวายพระศิวะ พระพรหม
พระนารายณ์ทั้งองค์ แต่ทำไม่เสร็จเสียทีเพราะขาดทุนทรัพย์
ที่เสด็จพี่ให้สมบัติน้องในครั้งนี้จึงยินดีด้วยจะทำสำเร็จเสียที”

จักรทัตฟังภรรยาพูดจบสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที “...เอ่อ เมียแน่ใจอย่างนั้นนะ?
ไม่อยากได้พวกเครื่องสำอางค์เครื่องประดับสวยๆ
หรือหากจะสร้างก็สร้างเป็นสวนหรือวังทำนองนั้นเถอะจ๊ะ”

“ไม่หรอกค่ะ ขอบคุณเสด็จพี่มาก”

กษัตริย์อสูรแค่นเสียงห้วนๆอย่างมีอารมณ์ “เออ ก็ตามใจเมียเถอะ”
หาสุคนธ์ยังคงไม่รู้ร้อนรู้หนาว จะใช่นางปลื้มใจจนลืมดูกิริยาสามี
หรือเพราะนางแกล้งทำเป็นไม่สนใจก็ไม่ทราบ

จักรทัตหันมากล่าวแก่อาโปตะไลดังๆว่า “เรื่องจบแล้ว เรากลับกัน!”
สุคนธ์ไหว้เขา กษัตริย์อสูรรับไหว้อย่างขอไปทีแล้วเดินปึงปังออกจากห้อง

อาโปตะไลเรียกกัลเกย์ที่รออยู่ให้ติดตามมาด้วย พอพ้นตำหนักไประยะหนึ่งแล้ว
จักรทัตจึงเอ่ยขึ้นว่า “ดูเอาเถอะท่านเสนาบดี
หากภรรยาเราเอาสมบัติทั้งนั้นไปซื้อเพชรนิลจินดา หรือสวนสวยๆ
บ้านงามๆสักหลายแห่งเราจะไม่ว่าอะไรเลย แต่นี่กลับเอาไปสร้างวัด เฮอะ...”

“ไหนท่านว่าท่านเข้าใจนางมิใช่หรือ?” อาโปตะไลกล่าว

“ท่านอย่ามาเหน็บแนมข้าเลย
เพราะเรารู้นิสัยนางน่ะสิจึงรู้ว่านางไม่พอใจการทำสงครามของเรา
และประชดด้วยการเอาสมบัติที่เราตีได้มาสร้างวัดบูชาพระเจ้าทั้งสามซึ่งแต่ไหนแต่ไรก็อยู่ข้างพวกเทพเสมอ”


เสนาอสูรครางในลำคอ
“แต่ก็ใช่ว่าพระเจ้าทั้งสามจะไม่เคยรับอสูรกายเป็นสาวกนี่ครับ
พระพรหมนั้นที่โปรดแต่นักบวชนั้นแยกไปหนึ่ง
หากพระศิวะยังมีพญามารอย่างวิรุฬหก และกุเวรเป็นบริวารสนิท
ส่วนพระนารายณ์แม้จะเคยเข่นฆ่าอสูรมามาก แต่พระยาประหลาทกับท้าวมหาพลี
ไม่ใช่สาวกผู้ภักดีของพระองค์หรือ?”

“ที่เจ้าว่ามาก็ถูก แต่ข้ากำลังพูดถึงโดยรวมน่ะโดยรวม”
จักรทัตเน้นพลางทำไม้ทำมือโอบอากาศกว้างๆให้อาโปตะไลดู
“โดยรวมแล้วพวกพระเจ้าจะช่วยพวกเทพมากกว่าและฆ่าอสูรเยอะกว่า”

อาโปตะไลแย้งว่า
“แต่ประชากรไม่ว่าภพภูมิไหนล้วนบูชาพระเจ้าทั้งสามเป็นที่พึ่ง
...ข้าเห็นว่าพระราชินีไม่ได้มีเจตนาจะทำให้ท่านอารมณ์เสียดอก
อย่าคิดมากไปเลย”

“อืม... เมื่อท่านพูดขนาดนั้นข้าจะทำเป็นลืมเรื่องนี้แล้วกัน”
จักรทัตทำท่าครุ่นคิดบ้าง สักครู่เขาก็หัวเราะขึ้น “ฮาฮา
พอหายโกรธแล้วพึ่งนึกได้ว่าข้าวเช้าวันนี้เรายังไม่ได้กิน
มาๆเดี๋ยวไปสั่งอะไรอร่อยๆมาทานกันเถอะ”
ว่าแล้วกษัตริย์อสูรยกมือขึ้นโอบไหล่อาโปตะไลไว้
และดูเหมือนจะลืมเรื่องเมื่อครู่ไปจริงๆเสียด้วย

อาโปตะไลว่า “ข้าคงไปด้วยไม่ได้หรอกครับ ยังมีงานที่ต้องสะสางอีกนิดหน่อย”

“แน่ใจนา... เมื่อวานมีคนเอาเนื้อไก่ฟ้ามาถวายท่าทางจะอร่อยพิลึก”
จักรทัตพยายามสนับสนุนเต็มที่

“ครับ” เสนาอสูรยิ้มน้อยๆ

“แน่ใจ...”

อาโปตะไลส่ายหน้า “เชิญกษัตริย์รับประทานตามสบายเถิด”

“อืม ก็ได้ เอาไว้ข้าจะให้เด็กมันแล่เนื้อแบ่งไปให้ท่านแล้วกัน”
จักรทัตเหลือบไปเห็นกัลเกย์สองตนยืนอยู่เบื้องหลังจึงว่า “เออน่ะ
ไม่ต้องทำหน้าอยากกินหรอก เดี๋ยวข้าเหลือให้เอ็งสองตัวแน่”

ซึ่งความจริงจักรทัตไม่เห็นหน้าของพวกมันเพราะกัลเกย์ทั้งสองสวมหน้ากากอยู่
และต่อให้ถอดหน้ากากก็คงไม่แสดงกิริยาทำนองนั้นต่อหน้ากษัตริย์นั่นเอง
อย่างไรก็ดีเมื่อเขาทึกทักแล้วย่อมไม่มีใครกล้าขัด

อาโปตะไลยืนมองพญามารเดินนำกัลเกย์ทั้งสองไปยังตำหนักหลวงอย่างอารมณ์ดี
เขาค่อยๆหรี่ตาลง แล้วเดินไปที่ห้องทำงานส่วนตัวบ้าง

...

สนค่อยๆลืมตาตื่นขึ้น ภาพที่เขาเห็นคือห้องๆเดิม
“นี่ข้าหลับไปนานเท่าใดเนี่ย” เขากล่าวกับตัวเอง

เสียงๆหนึ่งตอบ สน “รวมทั้งหมดก็ห้าชั่วโมงสิบเอ็ดนาทีพอดี
เจ้าฟื้นเร็วกว่าคนปกตินะ” จำได้ว่านั่นเป็นเสียงของสุคนธ์นั่นเอง
นิษาทหนุ่มหันไปพบพระราชินีนั่งยิ้มอยู่ข้างๆแท่นก็รู้สึกแปลก “ข้า…
ข้าอยู่ตรงนี้ได้อย่างไรครับ คีตาล่ะ? หรือ…หรือว่าขนมชิ้นนั้น?”

“ข้าเป็นคนทำให้เจ้าสลบเอง” สุคนธ์กล่าว
“เมื่อครู่กษัตริย์กับท่านอาโปตะไลเข้ามา
หากให้เจ้าตื่นอยู่ก็จะเสียเรื่องเปล่าๆ
ส่วนคีตาอยู่ในที่ปลอดภัยแล้วไม่จำเป็นต้องห่วงนาง”

“กษัตริย์ อาโปตะไล คีตา ...หรือว่าข้าหลับอยู่บนแท่นนี้ตลอดเวลานั้นครับ?”

“ถูกต้อง” สุคนธ์กล่าว “เจ้าหลับไม่รู้เรื่องเชียวละ”

เมื่อทบทวนดูแล้วสนเริ่มแสดงอาการกระสับกระส่าย “...เดี๋ยว
กษัตริย์เห็นข้านอนอยู่ในห้องท่าน ...เขา ...เขาอาจจะคิดว่าข้ากับท่าน...”

สุคนธ์เห็นอีกฝ่ายตื่นกลัวก็หัวเราะ “ข้อนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอก
สามีของข้าไม่ถือสา”

“หรือว่าท่านสามารถทำให้พวกเขายกโทษให้ข้าแล้ว?”

คราวนี้สุคนธ์กลับส่ายหน้า “ไม่... ข้าทำไม่สำเร็จ
ตอนแรกข้ายังพอมั่นใจว่าจะช่วยเจ้าได้บ้าง แต่หลังจากดูท่าทีของอาโปตะไลแล้ว
เขาคงไม่ปล่อยเจ้าไปง่ายๆ”

“ละ... แล้วข้าจะทำอย่างไรดีครับ!?”

สุคนธ์นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง “อืม เจ้าออกไปจากที่นี่ก่อน
จะไปไหนก็ได้ทำตัวตามสบาย หากพ้นวันนี้ไปอาโปตะไลยังไม่จับเจ้า
ก็แสดงว่าเจ้ารอดแล้ว” นางกล่าวต่อว่า
“แต่หากท่านเสนาบดีจับเจ้าไปแล้วเขาถามจุดประสงค์ของเจ้า
ให้เจ้าตอบด้วยคำตอบที่เลวร้ายที่สุด”

“คำตอบที่เลวร้ายที่สุด? ข้าไม่เข้าใจ”

“เถอะน่า ทำตามที่ข้าบอกแล้วจะดีเอง”

“แค่นี้หรือครับ?”

“ใช่ แค่นี้ เจ้าออกจากตำหนักได้แล้ว”
สุคนธ์กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นๆดุจเดียวกับที่ผ่านมา

สนไม่กล้าถามสิ่งใดนางอีก
เขาจึงจำต้องออกจากตำหนักมาด้วยใจร้อนรุ่มเขาคิดถามตนเองว่าสิ่งที่สุคนธ์บอกหมายความว่าอย่างไร?
เขาจะไปไหนได้เมื่ออาโปตะไลกลับมายังวังของพรหมทัตแล้ว
และในอสูรกายภูมิแห่งนี้ก็ไม่มีที่ใดที่เขารู้จักสักแห่ง

“หากเวลานี้มีคีตาอยู่คงจะดีไม่น้อย
ถึงไม่ไหนไม่ได้อยู่กันสองคนยังอุ่นใจกว่ามาก” สนรำพึง

ทันใดนั้นปรากฏมือข้างหนึ่งดึงเขาเข้าสู่มุมอับด้วยกำลังแรง
และก่อนที่สนจะทันรู้ว่าอะไรเป็นอะไรของแข็งท่อนก็หนึ่งถูกฟาดมาที่ศีรษะเขา
ส่งผลให้ต้องสลบไปทันที
เหตุการณ์นี้เกิดหลังจากที่สนเดินออกมาจากตำหนักพระราชินีไม่เกินสิบนาที

นิษาทหนุ่มจึงรู้ตัวสึกอีกทีก็ต่อเมื่อถูกโยนลงไปหมอบอยู่ภายในห้องทำงานของเสนาบดีต่างประเทศ


ความจริงครั้งแรกที่เขาเข้ามาที่นี่มันยังดูไม่เหมือนห้องทำงานเท่าใดนัก
แต่คราวนี้พอมีอาโปตะไลนั่งตรวจเอกสารอยู่เบื้องหน้า
ห้องสมุดเล็กๆกลับเพิ่มบรรยากาศขึงขังจริงจังขึ้นหลายเท่า
นี่ยังไม่นับกัลเกย์อีกสี่ตนซึ่งยืนล้อมรอบอยู่ด้วยนะ

อาโปตะไลตรวจเอกสารเสร็จไปสี่ห้าแผ่นจึงเงยหน้าขึ้นมามองสน
“เจ้าคือมนุษย์ที่ลูกสาวข้าพามาหรือ...
ข้าเคยเห็นเจ้าที่ไหนมาก่อนหรือเปล่านะ?”

“มะไม่เคยครับ” หากสนต้องลอบอุทานในใจว่าอสูรตนนี้ความจำดีนัก
จริงๆเขาเคยพบกับอาโปตะไลแค่หนเดียวที่อาศรมของชยารพเมื่อหลายเดือนก่อน

อาโปตะไลกล่าวต่อว่า “ดูจากระดับฤทธิ์แล้วไม่น่าจะก่อเรื่องได้มากเช่นนี้
แต่อาจเป็นได้ว่าเจ้ามีฤทธิ์สูงจริงๆจนกระทั่งสร้างภาพบังตาทิพย์ผู้อื่นทั้งยังดึงพระราชินีมาเกี่ยวข้องด้วย”
เขาหยุดไปครู่หนึ่ง “...ข้าเองไม่อยากเล่นการเมืองภายในแต่ก็วางใจไม่ได้
...เอาละ ข้าจะทดสอบเจ้าสักหน่อย” เสนาอสูรหันไปสั่งกัลเกย์
“จับมันตัดแขนข้างหนึ่ง”

กัลเกย์สองตนจับสนกดกับพื้น อีกตนหนึ่งชักขวานคมกริบขึ้นมา
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าขวานเล่มนั้นสามารถตัดแขนเขาให้ขาดฉับเดียวโดยไม่ต้องจามซ้ำเลย


“เฮ้ยๆๆๆ อย่าครับๆๆๆ!!!”
สนดิ้นรนโวยวายยกใหญ่แต่หาทำให้ทหารยักษ์ทั้งนั้นหวั่นไหวไม่
ยักษ์ตนที่ถือขวานกล่าวด้วยเสียงที่คุ้นหูอย่างยิ่งว่า “เมื่อคืนทำข้าแสบนัก
คราวนี้จะเอาคืนบ้างละ”

สนนึกรู้ทันทีว่ามันคือกัลเกย์ตนเดียวกับที่เขาทำร้ายแล้วมัดเอาไว้นั่นเอง
“ตายแน่ ทำไมซวยอย่างนี้นะ” เขาคิดในใจ

แต่ไม่ทันที่กัลเกย์จะจามขวานลงไปอาโปตะไลก็สั่งให้หยุด “เอาละ
ดิ้นได้เหมือนจริงมาก
หากท่าทางตีโพยตีพายเมื่อครู่เป็นการแสดงละครก็แปลว่าเจ้าต้องเล่นเก่งอย่างยิ่ง
เช่นนั้นแค่การตัดแขนคงไม่มีประโยชน์” เขาชี้ไปที่กัลเกย์ถือขวาน
“เจ้ามีความแค้นกับมันอาจจะทำให้มันกดดันจนรับการสอบสวนไม่ได้ จงออกไปก่อน”

สนถอนหายใจโล่งอก
ส่วนกัลเกย์ที่ถือขวานท่าทางเสียดายบ้างอย่างไรก็ตามอาโปตะไลได้เรียกมันมาใกล้ๆและกล่าวว่า
“เมื่อคืนนี้ไม่ว่าเจ้าจะปฏิบัติภารกิจสำเร็จหรือไม่
แต่ถือว่าบาดเจ็บในหน้าที่ จงเอาเงินจำนวนนี้ไปรักษาตัวเสีย”
เสนาอสูรยื่นเงินให้กัลเกย์ถุงหนึ่ง
มันรีบกล่าวขอบคุณด้วยความยินดีและนอบน้อมจึงออกจากห้องไป

รอจนบรรยากาศเงียบลง อาโปตะไลค่อยๆกล่าวกับสนอีก
“เอาละทีนี้เรามาคุยถึงข้อมูลที่เจ้าได้ไปจากที่นี่บ้าง
ตอนข้าเข้ามาหนังสือที่วางไม่เรียบร้อยมีอยู่เล่มเดียวคือเรื่อง
‘ความแค้นเจ็ดประการ’ เจ้าอ่านหนังสือเล่มนั้นไปเท่าใดแล้ว?”

สนคิดว่าตอบไปตามความจริงก็ไม่เป็นไรจึงว่า “ข้าอ่านแต่หัวข้อหลัก
ยังไม่ทันรู้ความหมายของแต่ละหัวข้อเลยครับ”

“แล้วเจ้ารู้หรือเปล่าล่ะว่าข้าเขียนมันขึ้นมาทำไม?”

“นัยว่าท่านจะสร้างชาติขึ้นด้วยความแค้น?”

“ตอบได้ดี ความแค้นเจ็ดข้อนี้ ประกอบด้วย
๑.ความแค้นของบรรพบุรุษ
๒.ความแค้นของผู้ชาย
๓.ความแค้นของผู้หญิง
๔.ความแค้นของคนถ่อย
๕.ความแค้นของคนดี
๖.ความแค้นของสุรา
๗.ความแค้นของสุนัข
เจ้าอยากทราบความหมายของมันไหมล่ะ?”

ฟังดังนั้นสนชักสนใจขึ้นมาเหมือนกัน “อ้า... ครับ”

อาโปตะไลยื่นมือไปหยิบหนังสือเล่มนนั้นมาพลิกทีละหน้าแล้วค่อยๆอธิบายอย่างภาคภูมิใจ
“ข้อ๑ ความแค้นของบรรพบุรุษ
หมายถึงความแค้นที่พระอินทร์ขับไล่พระยาไพจิตราสูรบรรพบุรุษของพวกเราลงมาจากสวรรค์

ข้อ๒ ความแค้นของผู้ชาย
หมายถึงความแค้นที่บุรุษอสูรถูกสาปให้มีใบหน้าโหดเหี้ยมอัปลักษณ์
ข้อ๓ ความแค้นของผู้หญิง
หมายถึงความแค้นที่พวกเทพและมนุษย์ชอบข่มเหงฉุดคร่าสตรีอสูร
ข้อ๔ ความแค้นของคนถ่อย
หมายถึงการที่พวกเทพกันแต่มโนของคนที่เคยชั่วร้ายในชาติก่อนมาเกิดในอสูรกายภูมิ
ทำให้พวกเรามีวัฒนธรรมหยาบช้า
ข้อ๕ ความแค้นของคนดี
หมายถึงแม้จะมีอสูรบางตนเป็นคนดีแต่เมื่อถูกเทพตราหน้าเป็นพวกชั่วร้าย
ถูกชิงชังรังเกียจทั้งสามโลก ไหนเลยจะมีกำลังใจเป็นคนดี
เท่ากับเทพแกล้งบังคับให้เราเป็นคนเลวนั่นเอง
ข้อ๖ ความแค้นของสุรา คือกรณีที่พวกเทพมอมเหล้าอสูรโกงน้ำอมฤตไปดื้อๆ
เรื่องนี้เจ้าอาจเคยฟังในรูปนิทานแล้ว...”

สนไม่เคยฟังเรื่องนี้มาก่อน แต่เขาไม่อยากขัดอาโปตะไลในตอนนี้จึงแกล้งทำเออออ
และถามไปว่า “แล้วความแค้นของสุนัขล่ะครับ?”

“ความแค้นของสุนัข...” อาโปตะไลครางในคอ “ใช่...
ความแค้นของสุนัขคือต้นเหตุของความแค้นทั้งหมด...”
ขณะจะกล่าวอะไรต่อเสนาอสูรเห็นสนยื่นหน้าเข้ามาด้วยท่าทีที่อยากรู้อยากเห็นมาก


“พอแค่นี้แหละ” เสนาอสูรกระชากเสียงห้วนๆ “ต่อไปจะถึงคำถามสุดท้าย”

และโดยไม่สนกิริยาที่นิษาทหนุ่มบ่นงึมงำด้วยความเสียดาย อาโปตะไลก็ตะคอกว่า
“เจ้าเข้ามาในอสูรกายภูมิมีจุดประสงค์อะไร!!!?”

“หะ... หา”

“คิดให้ดีก่อนตอบ!” อาโปตะไลตวาด
“หากคำตอบเจ้าไร้เหตุผลก็ต้องตาย
หากเจ้าตอบช้าก็ต้องตาย
หากเจ้าไม่ตอบก็ต้องตาย
จะเห็นได้ว่าเจ้าไม่มีทางเลือกมากนักดอก”
เขากลับเป็นฝ่ายกดดันสนเสียเองด้วยคำที่คล้ายคลึงกับที่ประไพดีเคยใช้ขู่สนมาก่อน


เมื่อเห็นสนยังลังเลอาโปตะไลจึงร้องสั่งกัลเกย์ว่า “ตัดแขนมันข้างหนึ่ง!!!”

สนได้ยินดังนั้นก็ตกใจเหงื่อไหลโทรม แต่ไม่อาจขัดขืนประการใดได้
เขาถูกจับกดในท่าเดิม คราวนี้ไม่มีการห้ามขวานกลางคันแน่!

“เราต้องหาทางแก้ไขเฉพาะหน้าไปก่อน” เขาเริ่มคิดอย่างเร่งร้อน
เมื่อครู่พระราชินีทำนายว่าสถานการณ์จะเกิดขึ้นกับเขาแล้ว
และยังใบ้ให้ตอบด้วยคำตอบที่เลวร้ายที่สุด
คำตอบที่เลวร้ายที่สุดมันคืออะไรนะ?????

อาโปตะไลสั่งว่า “กูเปลี่ยนใจแล้ว ตัดหัวมันเสีย!”

กัลเกย์รับคำจึงจามขวานใส่ลำคอสนโดยทันที

อารามตกใจสนกล่าวออกไปอย่างไม่รู้ตัวว่า “เดี๋ยว!!!! ข้าสารภาพแล้ว
ข้าเป็นสายลับของเทพ!!!!!” คำตอบนี้ทำให้อาโปตะไลนิ่งอึ้งไป
และกัลเกย์ยั้งขวานโดยอัตโนมัติ

สนเองก็อึ้งพอๆกัน เขานึกไม่ถึงว่าตนจะตอบคำตอบที่เลวร้ายถึงขนาดนี้ออกไปได้
มันเท่ากับเร่งให้ตัวเองตายเร็วขึ้นชัดๆ

แต่ขณะกำลังหลับตาปี๋รอความตาย
อาโปตะไลที่พึ่งคืนสติกลับเป็นฝ่ายกล่าวขึ้นเองว่า “คำพูดโป้ปดมดเท็จ
ชั้นกระจอกอย่างเจ้าจะเป็นสายลับเทพได้อย่างไร เอาเถอะ
เห็นแก่ที่มาถึงอสูรกายภูมิได้ จะไว้ชีวิตเจ้าเพื่อดูพฤติกรรมต่ออีกสักหน่อย”


“หา?” สนอ้าปากค้าง

อาโปตะไลครุ่นคิด
“ฟังว่าเจ้าสามารถใช้ประยุกต์ฤทธิ์ทางแสงเข้าไปทำร้ายอวัยวะภายในของกัลเกย์ได้
ดีละข้ามีเรื่องให้เจ้าทำ
หากทำสำเร็จนอกจากไม่ต้องรับโทษแล้วยังจะมีรางวัลอีก”

“หา?” สนต้องตะลึงเป็นครั้งที่สอง

“ไม่ต้องตกใจ ข้ามีความสมเหตุสมผลเสมอมา
หากเจ้าอยู่ไปนานๆก็จะเข้าใจเหตุผลของข้าเอง”

เสนาอสูรสั่งให้สนแปลงร่างกลับเป็นพรหมทัตแล้วนำเขาออกจากห้องตรงไปยังห้องฝึกมโน


เมื่อไปถึงสนถูกโยนเข้าไปในห้องสำหรับฝึกฤทธิ์ธาตุดิน อาโปตะไลกล่าวว่า
“เจ้าจงฝึกฤทธิ์ในห้องนี้จนกว่าจะชำนาญ
เฉพาะเวลาเช้าให้ปลอมเป็นพระยาพรหมทัตไปร่วมประชุมขุนนางนอกนั้นให้อยู่ฝึกมโนแต่ในห้องนี้
สำหรับเรื่องอาหารการกินไม่ต้องห่วงข้าจะจัดมาให้ จำไว้ว่าถ้าทำดีจะมีรางวัล
แต่หากคิดทรยศข้าก็ไม่อาจปล่อยเจ้าเหมือนกันเพราะเจ้ารู้ความลับที่พวกเราคิดจะสร้างชาติโดยอาศัยความแค้นแล้ว”
จากนั้นก็ปิดประตูขังผู้เป็นนิษาทเสีย

เย็นวันนั้นอาโปตะไลให้คนส่งจดหมายไปรายงานจักรทัตว่า
“จากการสอบสวนมนุษย์เจ้าปัญหาเมื่อเช้าทำให้ข้าเริ่มเล็งเห็นลู่ทางที่เราจะสามารถแผ่อิทธิพลเหนือเดรัจฉานภูมิได้รวดเร็วขึ้นซึ่งรายละเอียดจะได้คุยกับท่านในโอกาสต่อไป
เวลานี้ปัจจัยที่เรายังขาดอยู่จึงเหลือเพียงยอดฝีมือนำทัพ
จึงขอให้ท่านจัดเตรียมเทวรูปพระนารายณ์พร้อมด้วยเครื่องบูชาอันเหมาะสมสวยงามเตรียมไว้แต่เนิ่นๆ
สำหรับการเกลี้ยกล่อม ‘อสูรที่เก่งกาจที่สุด’ ตนนั้นด้วย”
...........................

หมายเหตุ

preview ตอนต่อไป

อสูรที่เก่งกาจที่สุด

มีศรขวานเพชรเป็นอาวุธ      ฤทธิรุทธหยาบช้ากล้าหาญ
ทั้งหกสวรรค์ชั้นบาดาลเกรงเดชขุนมารไม่ทานกร
(กลอนจากพระราชนิพนธ์รามเกียรติ์ในรัชกาลที่๑)

เชษฐา

กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ 1