สนยังจ้องมองคนต่างถิ่นด้วยแววตาจริงจัง ชายร่างใหญ่ถอนหายใจกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น อืม ก็ได้... เขากล่าว ... ... ... สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ก่อนอื่นเจ้าต้องทราบว่าข้าไม่มนุษย์ดังเช่นพวกเจ้า ข้าเป็นอสูร มีชื่อว่าพรหมทัต หากนับยศเมื่อครั้งอยู่ถิ่นเดิมก็เคยรั้งตำแหน่งพญาอสูรครองเมืองอุตรกุรุ สำหรับมนุษย์ทั่วไป อสูรเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่มีอยู่แต่ในเรื่องเล่า ยิ่งพวกนิษาทที่วันๆหมดเวลาไปกับการออกป่าล่าสัตว์ยิ่งไม่เคยจินตนาการถึงสิ่งเหล่านี้จริงจังมาก่อน หากเป็นคนอื่นพูดในสถานการณ์อื่นสนและเยื้องต้องไม่เชื่อเรื่องที่ได้ยินเด็ดขาด แต่เมื่อผู้พูดเป็นพรหมทัตเองทั้งสองจะไม่เชื่อได้อย่างไร? ละ...แล้วชายขอทานที่มากับท่านล่ะ เป็นอสูรเหมือนกันหรือ? สนถามกลัวๆ พรหมทัตส่ายหน้า ไม่ใช่ แม้ข้าเองก็ไม่รู้ว่าท่านผู้นั้นคือใคร... แต่ที่แน่ๆท่านจะต้องเป็นบุรุษซึ่งยิ่งใหญ่อย่างยิ่ง ...ยิ่งใหญ่จนไม่อาจเปรียบเทียบได้ พรหมทัตแสดงออกด้วยท่าทางเคารพเลื่อมใส ข้าได้พบกับท่านผู้นั้นครั้งแรกเมื่อยังเป็นเจ้านคร ตอนนั้นข้าโปรดปรานเนื้อสัตว์ที่สุด ทั้งเนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อเก้งกวาง ไม่ว่าสัตว์ใดขอเพียงเป็นเนื้อรับประทานได้ข้าล้วนให้คนไปเสาะแสวงหามาปรุงถวาย เพื่อสนองกิเลสนั้น คนของข้าไล่ล่าสัตว์จนเกือบหมดป่าก่อให้เกิดการก่อกรรมทำเข็ญมากมายสุดคณานับ จนกระทั่งวันหนึ่งขณะที่ข้ากำลังรับประทานเนื้อกวางอ่อนอยู่ ท่านผู้นั้นก็เข้ามาหาข้า และใช้นิ้วชี้แตะที่หน้าผากข้าโดยข้าเองไม่ทันจะขัดขืนได้เลย ทันทีที่ถูกแตะข้าเกิดวิงเวียนศีรษะจนสลบไปเนิ่นนาน รู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าตนได้มาปฏิสนธิในร่างลูกกวางแรกเกิดเสียแล้ว เวลานั้นสติปัญญาข้ายังครบถ้วนเหมือนเดิมทุกประการ แรกๆข้าก็นึกแค้นใจท่านผู้นั้นและเสียดายยศศักดิ์ที่เคยมีมาก่อน แต่ชีวิตกวางก็ทำให้ข้าเรียนรู้ถึงรสชาติแห่งอิสระอันไม่เคยสัมผัสมานาน ข้าสามารถกระโดดโลดเต้นไปตามแนวป่าได้อย่างเพลิดเพลินเหมือนเด็กๆ มีมิตรแท้มากมายเป็นกวางร่วมฝูง ชีวิตหลายปีในร่างกวางนั้นผ่านไปด้วยความสุขสงบ ข้ายังเคยเห็นว่าการเป็นกวางนั้นไม่ใช่โชคร้ายอย่างที่คิด หากได้อยู่อย่างนี้ไปสิ้นอายุก็ดีเหมือนกัน แต่วันหนึ่งเจ้าเมืองผู้ครองเขตที่ข้าอาศัยอยู่ก็สั่งให้ระดมคนล่าสัตว์ในป่ามาถวาย เพื่อนของข้าถูกฆ่าอย่างเลือดเย็นทีละตัวๆ กระทั่งถึงคราวที่ข้าไม่ทันระวังไปต้องเอาบ่วงนายพรานเอง ข้าทั้งดิ้นรนดีดดึงจนสุดฤทธิ์บ่วงนั้นก็ไม่คลายออกกลับยังยิ่งรัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ บัดนั้นข้าจึงรู้รสชาติของหายนะและพบว่าการรอคอยพระกาฬนั้นน่ากลัวยิ่งกว่าความตายในตัวของมันเองเสียอีก ข้ากลัว... กลัวจริงๆ กลัวจนน้ำลายฟูมปาก ขี้เยี่ยวไหลราดออกมาเนืองนองโดยไม่รู้ตัว แต่มันก็ไม่มีประโยชน์ ในที่สุดนายพรานก็มาถึงและสังหารข้าเสีย เนื้อของข้าถูกแล่มาปรุงอาหารให้เจ้านครรับประทาน น่าประหลาดใจอย่างหนึ่งคือแม้จะสิ้นชีพไปแล้วข้าก็ยังมีสติรับรู้ในเนื้อของข้าอยู่ ข้ารู้ตนถูกจัดวางในจานซึ่งทำโดยงาช้างแวดล้อมด้วยเครื่องเคียงอันตกแต่งอย่างประณีต ข้ายังนึกขันว่าเหตุใดเนื้อของสัตว์ที่ตื่นกลัวกระทั่งตายเช่นข้าซึ่งน่าจะเป็นเนื้อคุณภาพเลวกลับได้รับเกียรติประดิษฐ์ประดอยเป็นอาหารอันเลิศรสเช่นนี้ แต่มันก็ไม่ตลกอีกเมื่อข้าเห็นหน้าผู้ที่ตนถูกยกไปให้รับประทาน เจ้านครที่รับประทานเนื้อข้าอย่างเอร็ดอร่อยคือตัวข้าเอง! พรหมทัต! ตอนนั้นข้าค่อยตื่นจากภวังค์พบท่านผู้นั้นยืนยิ้มอยู่อย่างเก่า ภาพทับซ้อนที่พบทำให้ข้าได้สำนึกถึงบาปกรรมที่ทำมาทั้งหมด มองดูเนื้อตรงหน้าแล้วร้องไห้ ข้าปฏิญาณจะไม่รับประทานเนื้อสัตว์อีกตลอดชีวิตและตัดสินใจสละลาภยศออกติดตามท่านผู้นั้นมา พรหมทัตยกน่องของมนุษย์ที่เขาพึ่งแทะกินให้ดู แต่เมื่อรับประทานเพียงพืชไปได้ไม่นานร่างกายก็ไม่ปกติถึงกับอาเจียนเป็นเลือดทนทุกข์ทรมานแทบขาดใจ ข้าจึงพบว่าชาติอสูรนั้นไม่อาจอยู่ได้โดยปราศจากเลือดเนื้อของผู้อื่น ขณะกำลังเสียใจจนเกือบคิดฆ่าตัวตายท่านผู้นั้นก็บอกแก่ข้าให้หลีกเลี่ยงการเบียดเบียนผู้อื่นโดยรับประทานแต่เนื้อสัตว์ที่ตายเอง ดังนั้นเนื้อที่เจ้าพบข้ารับประทานอยู่เมื่อสักครู่นั้นคือเนื้อมนุษย์ที่ข้าขุดขึ้นมาจากหลุมศพในป่าช้านี้ นี่คงเป็นคำอธิบายแก่เจ้าได้แล้วกระมัง พรหมทัตชี้ไปที่ซากศพของสัตว์ประหลาด ข้าไม่ทราบเกี่ยวกับมันนัก แต่ไม่ว่าอย่างไรสัตว์ชนิดนี้คงไม่มีอยู่ในมนุสสภูมิแน่ๆ ก่อนข้าจะจากมาที่ดินแดนของอสูรกายมีอสูรพวกหนึ่งกำลังทดลองผสมสัตว์ประหลาดและอมนุษย์นานาชนิดอยู่ หากข้าคาดไม่ผิดสัตว์นี้ก็คงเป็นตัวทดลองตัวหนึ่งที่หลุดหนีออกมา แต่เมื่อมันมาปรากฏตัวในภพมนุษย์แสดงว่าพวกอสูรเหล่านั้นได้ย้ายฐานการทดลองมาในละแวกนี้แล้ว พญาอสูรกายถอดแหวนซึ่งเป็นเครื่องประดับชิ้นเดียวที่เขามีออกมามอบให้สน ความจริงเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่ชาวไพรอย่างเจ้าควรทราบ ที่ข้าเล่าให้ฟังก็เพราะเกรงเจ้าจะสร้างเวรกรรมโดยความหลงผิด แต่เมื่อพวกเจ้ารู้เรื่องราวของข้าแล้วก็จงนำศพของสัตว์ประหลาดตัวนี้ไปที่เมืองใหญ่ของมนุษย์และแสดงให้พวกผู้นำที่นั่นดูจะได้หาทางป้องกันกันทัน หากพวกมันยังไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบกระตือรือร้นพอก็ให้มอบแหวนวงนี้ให้ไปด้วย พวกมันจะรู้เองว่าควรทำอย่างไร พรหมทัตเหลียวมองดูซากสัตว์ที่เขาฆ่าด้วยแววตาเสียใจเล็กน้อยจึงเดินจากไปโดยที่สนและไอ้เยื้องไม่กล้ารั้งไว้ จริงๆทั้งสองไม่กล้าขัดคำสั่งใดๆตั้งแต่ฟังว่าพรหมทัตเป็นพญาอสูรแล้ว ประการหนึ่งเพราะกลัวในความเป็นอสูร อีกประการเพราะกลัวในวรรณะที่สูงกว่า นิษาทถูกอบรมไม่ให้ต่อต้านวรรณะที่สูงกว่าเสมอมาด้วยเป็นบาปที่หนักที่สุด แต่หลังจากฟังเรื่องของพรหมทัตจบความรู้สึกของสนเริ่มเปลี่ยนแปลงไปบ้าง เขาเชื่อเรื่องที่ได้ฟังจนสนิทใจ และนอกจากจะไม่มีความรู้สึกเวทนาหรือหวาดกลัวชายร่างใหญ่ผู้นี้เหลืออยู่แล้ว ตรงกันข้ามสนกลับเกิดความรู้สึกนับถือ...นับถืออย่างยิ่ง เราจะทำยังดีสน ทำยังไงดี? ไอ้เยื้องถามด้วยความตื่นกลัว สนไม่ได้ยิน ขณะนั้นความคิดอย่างหนึ่งแวบเข้ามาในสมองเขา เป็นความคิดบ้าๆที่เขาไม่เคยคิดมาก่อนทั้งๆที่ไม่ได้เป็นเพราะถูกห้ามแต่เพราะมองข้ามมาตลอด ข้าเปลี่ยนแปลงได้! พรหมทัตมีเงื่อนไขที่ยากจะฝ่าฝืนมากกว่าข้าตั้งเยอะยังเปลี่ยนแปลงตนเองได้ ข้าก็ต้องทำได้เหมือนกัน! นิษาทรึ! วรรณะรึ! โลกนี้มีเรื่องผิดมากเกินไปแล้ว! ปัญหาไม่อาจแก้โดยการเอาแต่หลอกตัวเองว่าเรื่องผิดนั้นเป็นเรื่องถูกแต่... สน สน เป็นอะไรไปน่ะ ตอบข้าสิสน! ไอ้เยื้องร้องพลางเขย่าตัวสน สนได้สติ เขานิ่งคิดอะไรบางอย่างครู่หนึ่งจึงค่อยๆแกะมือเพื่อนออก ไอ้เยื้อง... เอ็งฟังข้าให้ดี ข้าพึ่งคิดได้ว่าชีวิตเราทุกวันนี้อะไรๆมันผิดเพี้ยนไปหมด ...ดังนั้น ดังนั้นข้าจะไป การไปครั้งนี้อาจจะต้องใช้เวลาเป็นสิบยี่สิบปี บางทีอาจจนกระทั่งเอ็งแก่หง่อมฟันร่วงหมดปาก แต่ข้าต้องกลับมาแน่ เอ็งพูดอะไรเนี่ย แล้วเอ็งจะไปไหน ไปทำอะไร? ไอ้เยื้องถาม สนไม่ตอบ เพียงแต่ยัดแหวนของพญาอสูรใส่มือเพื่อน ยิ้มให้แล้วก้าวออกวิ่ง ข้าจะแก้เรื่องที่ผิดให้มันถูกต้อง! สนร้องออกมาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ร่างของเขาจะลับตาไอ้เยื้องไปในป่ารกทึบ ...........................(อ่านต่อ) หมายเหตุชี้แจงเรื่องหกภพ หกภพประกอบด้วย มนุสสภูมิ ดิรัจฉานภูมิ เปตวิสัยภูมิ อสูรกายภูมิ นรกภูมิ ฉกามาพจรภูมิ(สวรรค์)ครับ เชษฐา
|