ที่ๆสนมุ่งหน้าไปคือภูเขา เขารู้อย่างหนึ่งหากอยากกระทำเรื่องใหญ่ก่อนอื่นต้องมีพลัง พลังย่อมเกิดจากวิชาความรู้ ที่บนภูเขามีฤๅษีตนหนึ่งชื่อชยารพเป็นผู้มีฌานตบะแก่กล้าทั้งยังมีใจประกอบด้วยธรรมะ บรรดาเศรษฐีจ้าวเมืองที่อยากให้ลูกตนมีวิชาพากันนำบุตรมาฝากตัวเป็นศิษย์ชยารพฤๅษีกันถ้วนหน้า สนคิดไปขอเป็นศิษย์ฤๅษีท่านนี้ด้วย เรื่องค่าตอบแทนนั้นหากพระฤๅษีจะใช้แรงงานตักน้ำฝ่าฟืนอย่างใดก็ไม่เกี่ยงงอน ที่เชิงเขาสนพบชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งขึ้นสายธนูอยู่บนผาหินใหญ่ ชายคนนั้นหน้าตารูปร่างดีคาดว่าคงเป็นพวกลูกเจ้านาย สนไม่ค่อยอยากยุ่งกับคนพวกนี้นัก ไม่ใช่เพราะรังเกียจแต่เพราะรู้สึกว่าตนกับคนเหล่านั้นมีวิถีชีวิตและทัศนคติแตกต่างกันเกินไป จริงๆแล้วพวกเจ้านายส่วนมากก็คิดเช่นเดียวกับเขาเป็นเหตุให้ในสังคมจริงคนทั้งสองชนชั้นติดต่อกันน้อยกว่าน้อย แต่บัดนี้ชายหนุ่มคนนั้นกลับเป็นฝ่ายร้องเรียกสนก่อน เฮ้ พี่ชายจะมาทำอะไรที่นี่น่ะ? บางอย่างทำให้สนไม่ไว้ใจและแกล้งเป็นไม่ได้ยินเสีย จะมาฝากตัวเป็นศิษย์อาจารย์ชยารพล่ะสิ ไม่ใช่เรื่องของเอ็งสักหน่อย พี่ชายชื่ออะไรน่ะ? มังยังไม่เลิกแฮะ ข้าชื่อสน สนตอบเรียบๆในที่สุด อ๊ะ ชื่อสนหรือ? ชายหนุ่มคนนั้นมีท่าทางตกใจ อย่างนั้นก็ไม่ได้แล้ว นั่งคิดอยู่สักพักจึงกล่าวต่อว่า แล้วพี่ชายจะเรียนไปเพื่ออะไรล่ะ? ข้าจะนำความรู้ไปช่วยเหลือพวกพ้องของข้า สนกล่าวโดยไม่ปิดบัง พวกพ้องของท่านเดือดร้อนหรือ? เดือดร้อน แต่พวกเขาขาดปัญญาจนไม่รู้ตัวแม้กระทั่งว่าตนกำลังเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส ดังนั้นข้าต้องหาความรู้ไปช่วยพวกเขา อืม ถ้าเช่นนั้นเอาอย่างนี้ พี่ชายจงไปบอกอาจารย์ว่าตัวเองชื่อสุวัจน์ เป็นคนวรรณะแพศย์ ทำไมข้าต้องโกหกด้วยล่ะ? เอาเถอะน่ามันเป็นประเพณีอย่างหนึ่ง ทำอย่างนี้ก็แล้วกันยกเว้นจะไม่อยากเรียน สนเกิดความโมโหเดินเลี่ยงขึ้นเขาไป ชายคนนั้นยังไม่วายตะโกนตามหลังมาว่า อ้อ อีกอย่างข้าชื่อภาสกรจำไว้นะ ใครจะไปจำวะ สนคิด หากยิ่งเข้าใกล้อาศรมของพระฤๅษีมากขึ้นเรื่อยๆสภาพแวดล้อมก็ยิ่งเต็มไปด้วยกลุ่มคนที่รูปร่างหน้าตาคล้ายกับเจ้าลูกผู้ดีคนแรก คนเหล่านั้นคุยกันด้วยภาษาแปลกๆที่เขาฟังไม่ค่อยเข้าใจ ทั้งเนื้อหาที่พูดส่วนมากยังเป็นเรื่องที่พวกนิษาทไม่มีวันได้ยินหรือคิดถึงมาก่อน สนต้องยอมรับว่าปัจจัยหลายประการทำให้บุคลิกกิริยาของคนเหล่านั้นดูดีกว่าเขามาก ไม่สิ อาจไม่ได้ดูดีขนาดนั้นแต่ก็ต่างกับเขาราวฟ้ากับดิน ดังนั้นในขณะที่เขาลอบมองทุกคน ทุกคนก็กำลังลอบมองเขาและซุบซิบนินทากันด้วย คำสุภาพ สนมองเห็นอาศรมใหญ่อันสะอาดสงบตั้งอยู่เบื้องหน้า ภายในยิ่งดูกว้างขวางกว่าที่เห็นภายนอกอีก ที่ตรงกลางห้องโถงมีชายนุ่งห่มหนังเสือหน้าตาน่าเลื่อมใสคนหนึ่งกำลังนั่งเพ่งลายขยุกขยิกที่สนอ่านไม่ออกบนใบลานอยู่ พระฤๅษีชยารพ สนรู้ได้โดยไม่ยาก พระฤๅษีอยู่นี่แล้ว บรรยากาศรอบๆเยือกเย็นจนสนชักสั่น สักครู่พระฤๅษีเงยหน้าขึ้นมองเขา เจ้ามาทำอะไร? ข้า...ข้า สนพูดตะกุกตะกัก หืม ข้ามาขอฝากตัวเป็นศิษย์ท่านฤๅษี ...ขอรับ ชยารพหรี่ตาลงคล้ายรู้แต่แรก เจ้าเป็นคนวรรณะใด ลูกเต้าเหล่าใคร? หรือว่าพระฤๅษีรับศิษย์แต่ระดับเจ้าพวกข้างนอกนั่น แต่เราเป็นนิษาทนี่ เอาละสิ จะตอบอย่างไรดี หากตอบผิดต้องไม่ได้เรียนที่นี่แน่นอน อนาคตของเราจะจบตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มเชียวหรือ สนยิ่งใคร่ครวญเหงื่อยิ่งไหลพรากๆออกมา ความคิดในทางลบเริ่มบังเกิด ดังนั้น... ข้าชื่อสุวัจน์เป็นคนวรรณะแพศย์มาขอฝากตัวศิษย์เป็นพระอาจารย์ ไม่ว่าพระอาจารย์ใช้สอยอย่างไรจะรับใช้โดยไม่เกี่ยงงอนขอรับ สนแทบไม่เคยโกหกมาก่อนเลยในชีวิตแล้วก็ไม่คิดว่าพระฤๅษีจะเชื่อด้วย ...เอาวะปัญหาต่อไปค่อยหาทางแก้ทีหลัง ดูท่าลูกศิษย์ข้างนอกก็มีตั้งห้าหกสิบคนพระฤๅษีคงเอาใจใส่ได้ไม่ทั้งหมดหรอก แพศย์ บิดาเจ้าอยู่ในเมืองดอกหรือ? ชยารพถาม ...ครับ สนโกหกถึงสองครั้งในวันเดียวกันแล้ว ใครแนะนำเจ้ามา? เอ่อ...ภาสกรครับ นี่ค่อยเป็นคำพูดซื่อสัตย์คำแรก อืม... ชยารพครางในคอ ถ้าเช่นนั้นก็ไม่มีปัญหา เจ้าอยู่ที่นี่ได้ บทสนทนาจบลงเพียงเท่านี้ สนเดินออกจากอาศรมด้วยอาการใจลอย อะไรๆมันง่ายขนาดนี้เชียวหรือ? เบื้องหน้ามีชายคนหนึ่งอยู่ ถ้าดูให้ดีเขาคนที่สนพบที่เชิงเขานั่นเอง ภาสกรยืนยิ้มให้เขาด้วยแววตาที่เป็นมิตร ไหมล่ะ ชายคนนั้นกล่าว สนค่อยๆมองกลับแล้วยิ้มตอบ มิตรภาพของทั้งสองเริ่มขึ้นนับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ... ... ... ตามกฎของชยารพศิษย์เข้าใหม่ทุกคนจะต้องผ่านขั้นตอนขัดเกลาจิตใจโดยการทำงานหนักเช่นหาบน้ำฝ่าฟืนอยู่สามเดือนก่อนจะได้รับการฝึกสอนวิชาต่างๆ แต่ด้วยเหตุที่ศิษย์ส่วนใหญ่เป็นพวกชนวรรณะสูงซึ่งไม่เคยทำงานหนักต่างคนต่างจึงเกลียดขั้นตอนนี้มากและพยายามหาทางหลีกเลี่ยงอยู่เสมอ ถึงแม้ขณะทำงานก็มักทำไม่เต็มแรง แต่สนต่างออกไป งานเหล่านี้กลับเป็นของเบาสำหรับเขา ประกอบกับความมานะแน่วแน่ที่จะต้องไปให้ถึงเป้าหมายที่วางไว้ทำให้สนตั้งใจทำงานทุกอย่างเต็มที่โดยไม่เคยเกี่ยงงอน นอกจากนั้นยังคอยสังเกตการทำงานของคนอื่นและหาทางพัฒนาการทำงานของตนให้มีประสิทธิภาพขึ้นอยู่เสมอ เขาสรุปวิธีตัดฟืนที่เร็วที่สุดจากการดูท่าทางการทำงานของศิษย์รุ่นที่ตัดฟืนได้มากที่สุดสามคนมาประมวลกันทำให้สามารถลดท่วงท่าการตัดฟืนจากสิบหกท่าเหลือเพียงสามท่าและได้ผลงานมากขึ้นสี่เท่า อย่างไรก็ตามคุณสมบัตินี้ก็คล้ายจะเป็นโทษกับสนเมื่อพระอาจารย์เห็นว่าเขาใช้ได้ดีกับงานหนักๆที่ไม่ค่อยมีคนอยากทำเช่นนี้จึงไม่ได้เลื่อนให้ขึ้นมารับการสั่งสอนวิชาใดๆเลยแม้ว่าเวลาจะผ่านไปถึงสามปีแล้ว สนต้องขโมยเรียนเอาเองจากการแอบดูชั้นเรียกของคนอื่นๆเมื่อมีเวลาว่าง ภาสกรเป็นเพื่อนที่ซื่อสัตย์ เขาช่วยเหลือสนในทุกๆเรื่องและยังคอยนำเอาวิชาความรู้ต่างๆมาสอนนิษาทหนุ่ม สามปีที่ผ่านไปสนสามารถอ่านเขียนหนังสือได้ เขารู้แม้กระทั่งวิธีวิปัสสนาและการใช้อาคมเล็กๆน้อยๆ เรื่องราวต่างๆที่ภาสกรเล่าให้ฟังทำให้สนเข้าใจโลกภายนอกมากขึ้นมาก อย่างเดียวที่เพื่อนชาววรรณะกษัตริย์ไม่ได้บอกแก่เขาคือกฎขั้นคอขาดบาดตายของพวกพราหมณ์ที่จะไม่หลับนอนใต้หลังคาเดียวกับคนวรรณะต่ำคือศูทรหรือนิษาทเด็ดขาด ด้วยภาสกรเห็นว่าพระอาจารย์ก็เป็นพราหมณ์และเกรงสนจะคิดมากเรื่องนี้จนไม่สนใจเรียนต่อ ระยะนี้มีข่าวลือหนาหูเรื่องหนึ่ง มีลูกศิษย์หลายคนเห็นเปตเดินป้วนเปี้ยนอยู่แถวเขตอาศรม มันตัวสูง สูงมาก ...เออ สูงเพียงต้นตาลนั่นเทียวละ ศิษย์ที่ท่าทางเป็นหัวโจกคนหนึ่งเล่าด้วยเสียงชวนสยดสยอง มันมีปากแหลมยาวแต่ไม่ได้อยู่ใต้จมูกอย่างพวกเราทั่วไปนะเพราะมันไม่มีจมูก ปากมันอยู่ระดับเดียวกับตาที่รีๆโตๆของมัน เวลาเดินทีก้าวงี้ยาวเส้นสองเส้นโน่นแต่กลับไม่มีซุ่มเสียงเลย แปลกไหมล่ะ ...........................(อ่านต่อ) หมายเหตุคำว่าเปตนี้ผมไม่ได้สะกดผิด มันเป็นภาษาโบราณของคำว่าเปรตนั่นเอง(ความหมายเดียวกัน) แต่เนื่องจากคำว่าเปรตนี้ภาษาปัจจุบันจะค่อนไปทาง คำหยาบ เวลาใช้คำว่า "พวกเปรต" ที่หมายถึงพวกเปรตจริงๆ มันก็ฟังดูเหมือนไปว่าเขากระไรอยู่ ผมจึงเลี่ยงไปใช้คำโบราณแทนครับ เชษฐา |