นิยายแฟนตาซีแบบไทย

ศึกหกภพ

โดย เชษฐา

บทที่ 2 อาศรมฤๅษีชยารพ
(1)


ที่ๆสนมุ่งหน้าไปคือภูเขา
เขารู้อย่างหนึ่งหากอยากกระทำเรื่องใหญ่ก่อนอื่นต้องมีพลัง
พลังย่อมเกิดจากวิชาความรู้
ที่บนภูเขามีฤๅษีตนหนึ่งชื่อชยารพเป็นผู้มีฌานตบะแก่กล้าทั้งยังมีใจประกอบด้วยธรรมะ
บรรดาเศรษฐีจ้าวเมืองที่อยากให้ลูกตนมีวิชาพากันนำบุตรมาฝากตัวเป็นศิษย์ชยารพฤๅษีกันถ้วนหน้า


สนคิดไปขอเป็นศิษย์ฤๅษีท่านนี้ด้วย
เรื่องค่าตอบแทนนั้นหากพระฤๅษีจะใช้แรงงานตักน้ำฝ่าฟืนอย่างใดก็ไม่เกี่ยงงอน

ที่เชิงเขาสนพบชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งขึ้นสายธนูอยู่บนผาหินใหญ่
ชายคนนั้นหน้าตารูปร่างดีคาดว่าคงเป็นพวกลูกเจ้านาย
สนไม่ค่อยอยากยุ่งกับคนพวกนี้นัก
ไม่ใช่เพราะรังเกียจแต่เพราะรู้สึกว่าตนกับคนเหล่านั้นมีวิถีชีวิตและทัศนคติแตกต่างกันเกินไป

จริงๆแล้วพวกเจ้านายส่วนมากก็คิดเช่นเดียวกับเขาเป็นเหตุให้ในสังคมจริงคนทั้งสองชนชั้นติดต่อกันน้อยกว่าน้อย
แต่บัดนี้ชายหนุ่มคนนั้นกลับเป็นฝ่ายร้องเรียกสนก่อน

“เฮ้ พี่ชายจะมาทำอะไรที่นี่น่ะ?”

บางอย่างทำให้สนไม่ไว้ใจและแกล้งเป็นไม่ได้ยินเสีย

“จะมาฝากตัวเป็นศิษย์อาจารย์ชยารพล่ะสิ”

ไม่ใช่เรื่องของเอ็งสักหน่อย

“พี่ชายชื่ออะไรน่ะ?”

มังยังไม่เลิกแฮะ “ข้าชื่อสน” สนตอบเรียบๆในที่สุด
“อ๊ะ ชื่อสนหรือ?” ชายหนุ่มคนนั้นมีท่าทางตกใจ “อย่างนั้นก็ไม่ได้แล้ว”
นั่งคิดอยู่สักพักจึงกล่าวต่อว่า “แล้วพี่ชายจะเรียนไปเพื่ออะไรล่ะ?”
“ข้าจะนำความรู้ไปช่วยเหลือพวกพ้องของข้า” สนกล่าวโดยไม่ปิดบัง
“พวกพ้องของท่านเดือดร้อนหรือ?”
“เดือดร้อน
แต่พวกเขาขาดปัญญาจนไม่รู้ตัวแม้กระทั่งว่าตนกำลังเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส
ดังนั้นข้าต้องหาความรู้ไปช่วยพวกเขา”

“อืม…ถ้าเช่นนั้นเอาอย่างนี้ พี่ชายจงไปบอกอาจารย์ว่าตัวเองชื่อสุวัจน์
เป็นคนวรรณะแพศย์”
“ทำไมข้าต้องโกหกด้วยล่ะ?”
“เอาเถอะน่ามันเป็นประเพณีอย่างหนึ่ง
ทำอย่างนี้ก็แล้วกันยกเว้นจะไม่อยากเรียน”

สนเกิดความโมโหเดินเลี่ยงขึ้นเขาไป ชายคนนั้นยังไม่วายตะโกนตามหลังมาว่า “อ้อ
อีกอย่างข้าชื่อภาสกรจำไว้นะ”

ใครจะไปจำวะ สนคิด
หากยิ่งเข้าใกล้อาศรมของพระฤๅษีมากขึ้นเรื่อยๆสภาพแวดล้อมก็ยิ่งเต็มไปด้วยกลุ่มคนที่รูปร่างหน้าตาคล้ายกับเจ้าลูกผู้ดีคนแรก
คนเหล่านั้นคุยกันด้วยภาษาแปลกๆที่เขาฟังไม่ค่อยเข้าใจ
ทั้งเนื้อหาที่พูดส่วนมากยังเป็นเรื่องที่พวกนิษาทไม่มีวันได้ยินหรือคิดถึงมาก่อน


สนต้องยอมรับว่าปัจจัยหลายประการทำให้บุคลิกกิริยาของคนเหล่านั้นดูดีกว่าเขามาก
ไม่สิ อาจไม่ได้ดูดีขนาดนั้นแต่ก็ต่างกับเขาราวฟ้ากับดิน
ดังนั้นในขณะที่เขาลอบมองทุกคน ทุกคนก็กำลังลอบมองเขาและซุบซิบนินทากันด้วย
‘คำสุภาพ’

สนมองเห็นอาศรมใหญ่อันสะอาดสงบตั้งอยู่เบื้องหน้า
ภายในยิ่งดูกว้างขวางกว่าที่เห็นภายนอกอีก
ที่ตรงกลางห้องโถงมีชายนุ่งห่มหนังเสือหน้าตาน่าเลื่อมใสคนหนึ่งกำลังนั่งเพ่งลายขยุกขยิกที่สนอ่านไม่ออกบนใบลานอยู่


พระฤๅษีชยารพ…
สนรู้ได้โดยไม่ยาก พระฤๅษีอยู่นี่แล้ว บรรยากาศรอบๆเยือกเย็นจนสนชักสั่น
สักครู่พระฤๅษีเงยหน้าขึ้นมองเขา “เจ้ามาทำอะไร?”
“ข้า...ข้า” สนพูดตะกุกตะกัก
“หืม”
“ข้ามาขอฝากตัวเป็นศิษย์ท่านฤๅษี ...ขอรับ””
ชยารพหรี่ตาลงคล้ายรู้แต่แรก “เจ้าเป็นคนวรรณะใด ลูกเต้าเหล่าใคร?”

หรือว่าพระฤๅษีรับศิษย์แต่ระดับเจ้าพวกข้างนอกนั่น แต่เราเป็นนิษาทนี่
เอาละสิ จะตอบอย่างไรดี หากตอบผิดต้องไม่ได้เรียนที่นี่แน่นอน
อนาคตของเราจะจบตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มเชียวหรือ
สนยิ่งใคร่ครวญเหงื่อยิ่งไหลพรากๆออกมา ความคิดในทางลบเริ่มบังเกิด

ดังนั้น...
“ข้าชื่อสุวัจน์เป็นคนวรรณะแพศย์มาขอฝากตัวศิษย์เป็นพระอาจารย์
ไม่ว่าพระอาจารย์ใช้สอยอย่างไรจะรับใช้โดยไม่เกี่ยงงอนขอรับ”
สนแทบไม่เคยโกหกมาก่อนเลยในชีวิตแล้วก็ไม่คิดว่าพระฤๅษีจะเชื่อด้วย
...เอาวะปัญหาต่อไปค่อยหาทางแก้ทีหลัง
ดูท่าลูกศิษย์ข้างนอกก็มีตั้งห้าหกสิบคนพระฤๅษีคงเอาใจใส่ได้ไม่ทั้งหมดหรอก

“แพศย์ บิดาเจ้าอยู่ในเมืองดอกหรือ?” ชยารพถาม
“...ครับ” สนโกหกถึงสองครั้งในวันเดียวกันแล้ว
“ใครแนะนำเจ้ามา?”
“เอ่อ...ภาสกรครับ” นี่ค่อยเป็นคำพูดซื่อสัตย์คำแรก

“อืม...” ชยารพครางในคอ “ถ้าเช่นนั้นก็ไม่มีปัญหา เจ้าอยู่ที่นี่ได้”

บทสนทนาจบลงเพียงเท่านี้ สนเดินออกจากอาศรมด้วยอาการใจลอย
อะไรๆมันง่ายขนาดนี้เชียวหรือ?

เบื้องหน้ามีชายคนหนึ่งอยู่ ถ้าดูให้ดีเขาคนที่สนพบที่เชิงเขานั่นเอง
ภาสกรยืนยิ้มให้เขาด้วยแววตาที่เป็นมิตร “ไหมล่ะ” ชายคนนั้นกล่าว
สนค่อยๆมองกลับแล้วยิ้มตอบ มิตรภาพของทั้งสองเริ่มขึ้นนับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา


... ... ...

ตามกฎของชยารพศิษย์เข้าใหม่ทุกคนจะต้องผ่านขั้นตอนขัดเกลาจิตใจโดยการทำงานหนักเช่นหาบน้ำฝ่าฟืนอยู่สามเดือนก่อนจะได้รับการฝึกสอนวิชาต่างๆ
แต่ด้วยเหตุที่ศิษย์ส่วนใหญ่เป็นพวกชนวรรณะสูงซึ่งไม่เคยทำงานหนักต่างคนต่างจึงเกลียดขั้นตอนนี้มากและพยายามหาทางหลีกเลี่ยงอยู่เสมอ
ถึงแม้ขณะทำงานก็มักทำไม่เต็มแรง

แต่สนต่างออกไป งานเหล่านี้กลับเป็นของเบาสำหรับเขา
ประกอบกับความมานะแน่วแน่ที่จะต้องไปให้ถึงเป้าหมายที่วางไว้ทำให้สนตั้งใจทำงานทุกอย่างเต็มที่โดยไม่เคยเกี่ยงงอน
นอกจากนั้นยังคอยสังเกตการทำงานของคนอื่นและหาทางพัฒนาการทำงานของตนให้มีประสิทธิภาพขึ้นอยู่เสมอ
เขาสรุปวิธีตัดฟืนที่เร็วที่สุดจากการดูท่าทางการทำงานของศิษย์รุ่นที่ตัดฟืนได้มากที่สุดสามคนมาประมวลกันทำให้สามารถลดท่วงท่าการตัดฟืนจากสิบหกท่าเหลือเพียงสามท่าและได้ผลงานมากขึ้นสี่เท่า


อย่างไรก็ตามคุณสมบัตินี้ก็คล้ายจะเป็นโทษกับสนเมื่อพระอาจารย์เห็นว่าเขาใช้ได้ดีกับงานหนักๆที่ไม่ค่อยมีคนอยากทำเช่นนี้จึงไม่ได้เลื่อนให้ขึ้นมารับการสั่งสอนวิชาใดๆเลยแม้ว่าเวลาจะผ่านไปถึงสามปีแล้ว
สนต้องขโมยเรียนเอาเองจากการแอบดูชั้นเรียกของคนอื่นๆเมื่อมีเวลาว่าง

ภาสกรเป็นเพื่อนที่ซื่อสัตย์
เขาช่วยเหลือสนในทุกๆเรื่องและยังคอยนำเอาวิชาความรู้ต่างๆมาสอนนิษาทหนุ่ม
สามปีที่ผ่านไปสนสามารถอ่านเขียนหนังสือได้
เขารู้แม้กระทั่งวิธีวิปัสสนาและการใช้อาคมเล็กๆน้อยๆ
เรื่องราวต่างๆที่ภาสกรเล่าให้ฟังทำให้สนเข้าใจโลกภายนอกมากขึ้นมาก

อย่างเดียวที่เพื่อนชาววรรณะกษัตริย์ไม่ได้บอกแก่เขาคือกฎขั้นคอขาดบาดตายของพวกพราหมณ์ที่จะไม่หลับนอนใต้หลังคาเดียวกับคนวรรณะต่ำคือศูทรหรือนิษาทเด็ดขาด
ด้วยภาสกรเห็นว่าพระอาจารย์ก็เป็นพราหมณ์และเกรงสนจะคิดมากเรื่องนี้จนไม่สนใจเรียนต่อ


ระยะนี้มีข่าวลือหนาหูเรื่องหนึ่ง
มีลูกศิษย์หลายคนเห็นเปตเดินป้วนเปี้ยนอยู่แถวเขตอาศรม “มันตัวสูง สูงมาก
...เออ สูงเพียงต้นตาลนั่นเทียวละ”
ศิษย์ที่ท่าทางเป็นหัวโจกคนหนึ่งเล่าด้วยเสียงชวนสยดสยอง
“มันมีปากแหลมยาวแต่ไม่ได้อยู่ใต้จมูกอย่างพวกเราทั่วไปนะเพราะมันไม่มีจมูก
ปากมันอยู่ระดับเดียวกับตาที่รีๆโตๆของมัน
เวลาเดินทีก้าวงี้ยาวเส้นสองเส้นโน่นแต่กลับไม่มีซุ่มเสียงเลย แปลกไหมล่ะ” ...........................(อ่านต่อ)

หมายเหตุ

คำว่าเปตนี้ผมไม่ได้สะกดผิด มันเป็นภาษาโบราณ
ของคำว่าเปรตนั่นเอง(ความหมายเดียวกัน)
แต่เนื่องจากคำว่าเปรตนี้ภาษาปัจจุบันจะค่อนไปทาง
คำหยาบ
เวลาใช้คำว่า "พวกเปรต" ที่หมายถึงพวกเปรตจริงๆ
มันก็ฟังดูเหมือนไปว่าเขากระไรอยู่
ผมจึงเลี่ยงไปใช้คำโบราณแทนครับ
เชษฐา

กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป 1