นิยายแฟนตาซีแบบไทย

ศึกหกภพ

โดย เชษฐา

บทที่ 2 อาศรมฤๅษีชยารพ
(2)


ระยะนี้มีข่าวลือหนาหูเรื่องหนึ่ง
มีลูกศิษย์หลายคนเห็นเปตเดินป้วนเปี้ยนอยู่แถวเขตอาศรม “มันตัวสูง สูงมาก
...เออ สูงเพียงต้นตาลนั่นเทียวละ”
ศิษย์ที่ท่าทางเป็นหัวโจกคนหนึ่งเล่าด้วยเสียงชวนสยดสยอง
“มันมีปากแหลมยาวแต่ไม่ได้อยู่ใต้จมูกอย่างพวกเราทั่วไปนะเพราะมันไม่มีจมูก
ปากมันอยู่ระดับเดียวกับตาที่รีๆโตๆของมัน
เวลาเดินทีก้าวงี้ยาวเส้นสองเส้นโน่นแต่กลับไม่มีซุ่มเสียงเลย แปลกไหมล่ะ”

“แล้วเจ้าไปเห็นมันที่ไหน?” เพื่อนร่วมวงสนทนาถาม
“ที่ป่าหลังเขา”
“อ้าว นั่นเป็นที่อันตรายที่อาจารย์แกห้ามนักห้ามหนาว่าไม่ให้ไปมิใช่หรือ”
“เฮ่ย ของอย่างนี้ถ้าเจ้าอยากเห็นเป็นครั้งหนึ่งในชีวิตก็ต้องกล้าๆกันหน่อย
หรือว่าเจ้าขลาด?”
“ไม่นะ ...ไม่ใช่อย่างนั้น”
“ดีถ้าเช่นนั้นคืนพรุ่งนี้เราไปสำรวจกันอีกทีจะได้พิสูจน์ความกล้าหาญกันเป็นอย่างไร?”
หัวโจกประกาศิตแล้ว
มีหลายคนที่แสดงอาการสั่นกลัวขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดแต่ไหนเลยจะมีใครกล้าแสดงความขลาดโดยการไม่ไปด้วย


ทุกคนแยกย้ายกลับที่นอน เวลานั้นดึกมากแล้ว
แสงไฟก็สลัวเลือนรางเต็มทีด้วยแม้ที่อาศรมตะเกียงจะมีหลายดวง
แต่กลุ่มที่ศิษย์ก็ช่างไปสรรหาเทียนเล่มเดียวมาจุดเล่าเรื่องให้มันดูลึกลับขึ้นจึงไม่น่าประหลาดใจเลยที่จะเสียงตึงตังเป็นพักๆจากการคลานชนกัน

สนอยู่เวรในบริเวณใกล้เคียงกันได้ยินเรื่องราวโดยตลอด
ไอ้พวกนี้ส่วนมากพึ่งเข้ามาใหม่เป็นรุ่นน้องเขาทั้งนั้น
โตเป็นควายแล้วยังมานั่งท้าลองกันเหมือนเด็กๆ
เขาไม่คิดจะสนใจจึงก้มหน้าก้มตาสานตะกร้าฆ่าเวลาต่อไป

เมื่อสนสานเสร็จ ขณะกำลังเก็บของเขาเห็นเงาตะคุ่มๆเงาหนึ่งในความมืดเงาหนึ่ง
อ้าวยังไปกันไม่หมดหรอกหรอกเรอะ หรือว่าเป็นคนนอก
“ใครน่ะ” เขาร้องถาม
“ข้าเอง” เงานั้นตอบ เมื่อมองดูดีๆปรากฏว่าเป็นฤๅษีชยารพเดินมา
สนน้อมกายลงไหว้ “พระอาจารย์มีธุระอะไรหรือครับ
ดึกดื่นป่านนี้ถึงยังออกมาอีก”
“เรื่องเปตที่พวกนั้นพูดน่ะเจ้าได้ยินไหม?” ชยารพกล่าว
ไม่น่าเชื่อว่าเขาก็แอบฟังอยู่เช่นกัน
“ได้ยินครับ”
“แล้วเจ้าเชื่อมันไหมล่ะ?”
“ก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งครับ แต่ไม่สนใจ” สนตอบ

บรรยากาศเงียบไป พระฤาษีนับนิ้วอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าวต่อว่า “ดี
อย่างนั้นคืนพรุ่งนี้ให้เจ้าไปกับพวกนั้นด้วย เห็นอะไรก็ให้เอามาบอกข้า
แล้วก็เอาฉิ่งนี่ไปด้วยหากเกิดอันตรายให้ตีทีหนึ่งเสียงจะดังพอให้ข้าได้ยินจะได้ไปช่วยทัน”

สนรับฉิ่ง(ซึ่งเข้าใจว่าเป็นของวิเศษอย่างหนึ่ง)มา เขาอดถามไม่ได้ว่า
“พระอาจารย์ครับ ท่านกำชับเสมอๆว่าที่ป่าหลังเขาเป็นเขตต้องห้าม
ทำไมบัดนี้ถึงยอมให้พวกนั้นไปล่ะครับ”

“ที่ข้าห้ามไม่ให้พวกเจ้าไปที่ป่านั่นก็เพราะมันมีสัตว์ดุร้ายอยู่ชุกชุมเป็นอันตราย”
ชยารพแหงนหน้าขึ้นมองพระจันทร์ “แต่นี่ไม่ใช่
ความจริงคืนนี้ควรจะเกิดจันทรคราสขึ้นตอนยามหนึ่ง
หากล่วงเลยมาจนยามสองแล้วท้องฟ้าก็ยังไม่มืดลงสักครา”
“เป็นอาเพศหรือครับ?”
“ข้าไม่แน่ใจ จันทรคราสเกิดจากราหูอมจันทร์
ตามตำราโหราศาสตร์ราหูคือเงาของโลก
เมื่อเกิดวิปริตราหูโลกย่อมเกิดความวุ่นวายสับสน หรือไม่ก็…”
ชยารพนับนิ้วคำนวณอีก “หรือไม่ก็… ตัวพระราหูเองนั้นเป็นผู้นำของพวกอสูร
เมื่อพฤติการณ์ของเขาไม่ปกติ แสดงว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในหมู่ยักษ์
ไม่ว่าจะเป็นเช่นใดนี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆเลยนะ”

สนเข้าใจแล้ว
เพราะเหตุนี้พระอาจารย์จึงระแวงว่าเปตที่โผล่ออกมาอาจจะเป็นหนึ่งในอาเพศเหล่านั้น
คืนต่อมาเขาจัดการเข้ารวมกับกลุ่มของเหล่าลูกศิษย์ชอบลองของโดยไม่ยากเย็นนัก
เวลาสองยามกว่าๆกลุ่มซึ่งมีประมาณยี่สิบคนก็เดินทางไปถึงป่าหลังเขาแล้วแอบซุ่มอยู่ในที่ลับแลแห่งหนึ่ง
“เปตจะออกมาราวๆนี้แหละ” หัวโจกของกลุ่มกล่าว

ทุกคนต่างรอคอยด้วยหัวใจเต้นตึกตักๆแต่รอไปจนถึงยามสามความกลัวความกระหายก็เปลี่ยนเป็นความกระวนกระวายและความง่วง
“เฮ้ย เมื่อไหร่เราจะกลับวะ” คนหนึ่งพูด
“เดี๋ยวสิใจเย็นๆ ของอย่างนี้รีบร้อนไม่ได้” ศิษย์หัวโจกกล่าว
“แต่ข้าง่วงแล้วนี่”
“ใจเสาะก็อย่าหาข้ออ้างเลย คนอื่นเขาจะดูต่อไป”
“เฮ้ยพูดอย่างนี้หมายความว่าไงวะ!?”
เรื่องราวทำท่าจะเกิดขึ้น “อย่าทะเลาะกันๆ” สนปราม
เขาพูดจนทั้งสองฝ่ายค่อยๆเย็นลง
จะมากจะน้อยพวกนี้ยังเกรงใจในความเป็นรุ่นพี่ของเขาบ้าง
“เอาละนี่ก็ดึกมากแล้วพวกเรากลับก่อนเถอะเดี๋ยวพรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าจะลุกไม่ไหว
เรื่องดูเปตนี่ยังผัดไปวันข้างหน้าได้ ” สนสรุป คนอื่นๆค่อนข้างคล้อยตาม
ยกเว้นคนหนึ่งที่ร้องขึ้นมาว่า “เฮ้ย ไม่ได้ๆ”

“อะไรอีกวะ?” เพื่อนถาม
“นั่น”
ลูกศิษย์คนนั้นชี้นิ้วไปที่วัตถุรูปแท่งแหลมยาวที่อยู่ๆก็สูงแทงขึ้นมาท่ามกลางความมืดเฉยๆ


มันสูงน่ากลัวเกินกว่าจะเป็นไปได้
และเมื่อดูต่อไปวัตถุนั้นก็เปลี่ยนเป็นสิ่งมีชีวิตที่กำลังเดิน!

เปต! เปตจริงๆด้วย ปากมันแหลมยาว
ลำตัวผอมกะหร่องเก้งก้างเหมือนกับที่เคยได้รับคำอธิบายไว้ทุกประการ
ถ้าไม่นับเจ้าตัวหัวช้างเท้าเสือที่พบที่หมู่บ้านนิษาทนี่ก็เป็นเรื่องแปลกที่สุดในชีวิตสนละ


หากสำคัญกว่านั้นคือมันไม่ได้มีแค่ตนเดียว
พอตนแรกโผล่มาก็มีตนที่สองที่สามสืบท้าวยาวๆตามมาด้วย
ในจำนวนเหล่านั้นยังมีสัตว์ประหลาดอีกพวกหนึ่งที่หน้าตาไม่เหมือนเปตแต่ค่อนไปทางลิงตัวกลมใหญ่
ตามันใสและลึกแขนยาวกว่าขา ขนขึ้นดกรุงรัง
ทุกตัวถึงกระบองสั้นห้อยโหนต้นไม้ติดตามพวกเปตมาดุจเป็นสัตว์ฝูงเดียวกัน
ไม่สิเหมือนมันทำงานกันเป็นกลุ่มมากกว่า

พวกที่คล้ายลิงใหญ่เกาะกิ่งไม้อยู่พักหนึ่งก็รวมกันหายลับเข้าไปในเงาทึบชั้นพื้นดิน
มีเสียงคำรามและต่อสู้กันอย่างรุนแรงดังตามมาเป็นระยะๆ
เมื่อเสียงสงบลงเปตตนหนึ่งจึงเดินไปในจุดที่พวกลิงหายลับไปนั้นแล้วก้มลงหยิบอะไรบางอย่างขึ้นจากกลุ่มต้นไม้
บางอย่างที่ขนาดใหญ่พอสมควรเป็นก้อนๆมีน้ำหยดติ๋งๆ
ทุกคนพยายามเพ่งว่ามันหยิบอะไรขึ้นมา
หรือว่าเป็นก้อนเนื้อของสัตว์ที่เจ้าพวกลิงพึ่งลงมือสังหารนะ

ปรากฏว่าก้อนเนื้อนั้นยังไม่ตายสนิทและพยายามดิ้นจากมือของเปต
ที่แท้สัตว์ที่ถูกจับอยู่นั้นคือพญาเสือโคร่งเป็นๆอาบชุ่มด้วยเลือดตัวหนึ่ง !


ศิษย์คนหนึ่งอุทานด้วยความตระหนก เป็นเหตุให้พวกอมนุษย์หันมาทางตามเสียงทันที
เสือโคร่งอาศัยจังหวะที่เปตไม่ทันระวังตัวดิ้นหลุดจากมือแล้วกระเสือกกระสนหนีความตายมาตามทิศที่พวกสนอยู่โดยมีพวกเปตก้าวสวบๆไล่ตามมาเป็นที่น่าหวาดผวา
เมื่อพบกับภาพเช่นนี้
เหล่าศิษย์คนไหนคนนั้นต่างชิงกันวิ่งหนีเตลิดเปิดเปิงไปคนละทิศละทาง

เสียงฮือครืนขึ้นกลางป่า
ตอนแรกสนตกใจจนทำอะไรไม่ถูกแต่นึกได้ว่าตนมีฉิ่งของอาจารย์อยู่ในมือจึงหยิบขึ้นมาตีทีหนึ่งเป็นเสียงติงสดใส
หากความดังนั้นเทียบไม่ได้เลยกับความเสียงแห่งอลหม่านโดยรอบ

ยังไม่มีวี่แววพระอาจารย์แต่เปตใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว ตายละสิ ตายห่า
สนตีฉิ่งรัวขึ้น ฉิ่งฉับ ฉิ่งฉับ ฉิ่งฉับ!!! เปตก็ยังก้าวมาทางนี้ไม่หยุด

ในที่สุดเมื่อบรรยากาศกดดันขึ้นถึงขีดสุด สนทนไม่ไหวต้องร้องออกมาบ้าง
“ว้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”

โดยเกือบจะพร้อมๆกัน
ประกายลำแสงอีกสายหนึ่งพุ่งผ่านจากหลังเขาตรงมาต้องเปตตนที่ใกล้ที่สุดเกิดเสียงระเบิดดังครืนครานระคนกับเสียงเนื้อฉีก!


เปตโชคร้ายร้องออกมาด้วยเสียงเหมือนสัตว์ถูกเชือดแล้วล้มตึงลง
สนหันไปดูข้างหลังพบว่าพระอาจารย์ชยารพมาช่วยเขาแล้ว
พวกเปตและลิงทำท่าตกใจหันหลังวิ่งหนี
แต่ชยารพโอมอ่านเวทย์มนต์แล้วยิงแสงจากไม้เท้าติดต่อกันสี่ห้าครั้งถูกพวกมันตายไปมากมาย
เหลือไม่กี่ตัวเท่านั้นที่หนีรอดไปได้

“เป็นอย่างไรล่ะบังอาจมายุ่มย่ามในเขตอาศรมข้า” ชยารพหัวเราะ
พวกลูกศิษย์ค่อยๆได้สติคืนมาพากันคลานเข้าไปกราบขอโทษ
ศิษย์คนที่ฉลาดหน่อยรีบพูดขึ้นมาก่อนที่อาจารย์จะนึกวิธีลงโทษว่า
“อาคมของพระอาจารย์เมื่อครู่ช่างร้ายกาจเหลือเกิน
ข้าเพียงแต่เห็นก็รู้สึกเป็นบุญแล้ว พระอาจารย์ทำได้อย่างไรหรือครับ”
“หึหึ
นี่เป็นพลังอันเกิดจากการฝึกฝนอาโลกสิณอันเป็นวิชาสายหลักของสำนักเราเอาไว้พวกเจ้าเรียนไปได้ถึงระดับหนึ่งแล้วจะทำได้เอง
แต่เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน” ชยารพชี้มาทางสน
“เจ้าลองไปตรวจดูศพของเปตที่ข้าพึ่งสังหารเมื่อกี้ซิ”

สนยังไม่หายประหม่า
แต่เมื่ออาจารย์สั่งก็ต้องรวบรวมกำลังใจให้เข้มแข็งเดินไปตรวจดูซากศพนั้น
เขาเห็นมันผอมลีบหนังหุ้มกระดูก ผิวสีเนียนเขียวพอจับดูเป็นเมือกเหนอะหนะ
หากแต่ร่างสูงนัก เมื่อนอนลงยังทอดยาวไปไกลหลายวา
ที่น่าแปลกคือมันนุ่งผ้าโจงกระเบนเอาไว้อย่างมนุษย์
สนเห็นถุงผ้าเหน็บอยู่กับโจงกระเบนของเปตตนนั้นจึงหยิบมาแกะออกพบแหวนวงหนึ่งอยู่ข้างใน


เขาจำได้ว่าแหวนวงนั้นคล้ายกับแหวนของพรหมทัตที่เขาให้ไอ้เยื้องเก็บไว้เพื่อส่งไปให้คนในเมืองดูนี่นา
แล้วมันมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร? หรือว่าไอ้เยื้องเกิดเรื่อง? สนชักวิตก
แต่รีบกลับมาหาอาจารย์บอกไปตามความจริงว่า “มันรูปร่างเหมือนคนตัวผอมสูง
ผิวเป็นสีเขียวเนียนตลอดตัว ครับ”
“แล้วตรงปากมันล่ะ?”
สนพึ่งนึกได้ว่าปากของเปตตนนั้นนอกจากจะแหลมยาวแล้วยังมีความผิดปกติคือเป็นปากที่งอกออกมาจากบริเวณกระหม่อมแทนที่จะอยู่ใต้ตาดังสามัญสำนึก
ที่เมื่อครู่เขาไม่ทันสังเกตเพราะกำลังตกใจประกอบกับไม่เคยเห็นเปตมาก่อน
“ใช่แล้วครับปากมันงอกออกมาจากกระหม่อม” สนรีบกล่าว

“กระหม่อมหรือ?” ชยารพตบมือ “ข้านึกแล้วเชียว เจ้าพวกนั้นมันไม่ใช่เปต!!”

พวกลูกศิษย์งุนงง “แล้วมันเป็นอะไรหรือครับ”
“มันเป็นอสูร”
“!” สนอุทานด้วยความแปลกใจ ความจริงเขาเคยเห็นอสูรมาแล้ว
แต่อสูรตนนั้นหรือพรหมทัตก็ไม่ได้มีหน้าตาเช่นนี้นี่

ความสงสัยของสนยังคงมีอยู่จนกระทั่งชยารพกล่าวว่า
“อสูรมีหลายประเภทหากแบ่งตามลักษณะภายนอกก็แบ่งได้เป็นสองประเภทคือทิพพาสูรและกาลกัญชกาสูร”

พระฤาษีชี้ไปที่ศพนั้น
“นี่คือกาลกัญชกาสูรหรืออสูรชั้นต่ำที่ยังเหลือเศษบาปติดตัวก่อนที่จะมาเกิดในอสูรกายภูมิ
ยังแบ่งได้อีกเป็นสองประเภทคือพวกกึ่งเปตกับพวกกึ่งเดรัจฉาน
ที่เจ้าเห็นนอนตายอยู่นี่คือกาลกัญชกาสูรพวกกึ่งเปต”

“แล้วไอ้พวกลิงใหญ่ที่เราเห็นเมื่อครู่นั้นคือพวกกึ่งดิรัจฉาน?”
ศิษย์คนหนึ่งถาม
“ใช่แล้ว
เฉพาะพวกกึ่งเปตนี้สิ่งที่บอกความแตกต่างระหว่างพวกมันกับเปตแท้คือปากของมันจะงอกอยู่บนกระหม่อมเพื่อเวลาหาอาหารจะได้เอาปากทิ่มลงกับพื้นดูดกินดินและน้ำ
ส่วนพวกกาลกัลชกาสูรกึ่งดิรัจฉานนั้นมีลักษณะแขนยาวขาสั้น ตาใส
ขนดกรุงรังเหมือนลิงด้วยชาติก่อนเคยเป็นสัตว์ป่า
ที่ข้าสงสัยมันเป็นเพราะปกติเปตจริงๆจะไม่เหิมเกริมถึงขนาดมารุกล้ำบริเวณอาศรมอันได้รับความคุ้มครองจากเทพเช่นที่นี่ได้”


บางคนเสริมว่า
“ข้าก็ว่าแล้วว่าพวกดุร้ายเช่นมันจะต้องเป็นอะไรที่มากกว่าเปตแน่ๆ”
แต่ชยารพส่ายหน้า “ไม่หรอก
แม้กระทั่งพวกกาลกัญชกาสูรเองปกติก็จะไม่กล้ามาทำอันตรายคน
ยกเว้นแต่มันจะถูกควบคุมโดยพวกทิพพาสูร
นี่แปลว่าต้องมีพวกทิพพาสูรมาในบริเวณนี้คอยกำกับให้พวกมันทำอะไรบางอย่างเพื่อบรรลุจุดประสงค์ที่ชั่วร้ายอยู่”


“แล้วจุดประสงค์ที่ชั่วร้ายของมันคืออะไรครับ?”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่พวกเจ้าอย่ากลัวไปเลย
ตราบใดข้าอยู่ที่นี่ไม่ว่าอสูรหน้าไหนก็ไม่สามารถมาทำอันตรายพวกเจ้าได้ดอก”

ระหว่างทุกคนเดินกลับอาศรม สนเลียบเคียงไปคุยกับอาจารย์สองต่อสองกล่าวว่า
“อาจารย์ครับ”
“อะไรหรือ?”
“อาจารย์รู้จักหมู่บ้านนิษาทที่อยู่ในป่าห่างจากเราที่นี่ไม่ไกลหรือเปล่าครับ?”

“อ๋อ พวกนั้นน่ะหรือ รู้จักสิ
ฆราวาสที่มาถวายเนื้อสัตว์ให้อาศรมเราเนืองๆก็ซื้อเนื้อจากพวกมันนั่นแหละ”
“แล้วตอนนี้พวกเขายังอยู่สุขสบายดีไหมครับ?”
“บ๊ะ ไอ้นี่ถามแปลก
ในเมื่อมันมีปัญญาล่าเนื้อมาขายก็แปลว่ามันไม่ได้เดือดร้อนอะไรน่ะสิ
เจ้าจะกังวลแทนพวกมันไปทำไม”

สนได้ยินดังนั้นก็คลายกังวลลง พระอาจารย์ย่อมพูดถูก
แหวนของพวกอสูรอาจจะดูคล้ายกันหมดก็ได้
บัดนี้เขายังฝึกวิชาไม่สำเร็จยังไม่ควรจะกลับบ้าน
แต่ในส่วนลึกของจิตใจเขาคล้ายเรียกร้องให้เขากลับไปที่นั่นบ้างหากมีโอกาส ...........................(อ่านต่อ)

กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป 1