ระยะนี้มีข่าวลือหนาหูเรื่องหนึ่ง มีลูกศิษย์หลายคนเห็นเปตเดินป้วนเปี้ยนอยู่แถวเขตอาศรม มันตัวสูง สูงมาก ...เออ สูงเพียงต้นตาลนั่นเทียวละ ศิษย์ที่ท่าทางเป็นหัวโจกคนหนึ่งเล่าด้วยเสียงชวนสยดสยอง มันมีปากแหลมยาวแต่ไม่ได้อยู่ใต้จมูกอย่างพวกเราทั่วไปนะเพราะมันไม่มีจมูก ปากมันอยู่ระดับเดียวกับตาที่รีๆโตๆของมัน เวลาเดินทีก้าวงี้ยาวเส้นสองเส้นโน่นแต่กลับไม่มีซุ่มเสียงเลย แปลกไหมล่ะ แล้วเจ้าไปเห็นมันที่ไหน? เพื่อนร่วมวงสนทนาถาม ที่ป่าหลังเขา อ้าว นั่นเป็นที่อันตรายที่อาจารย์แกห้ามนักห้ามหนาว่าไม่ให้ไปมิใช่หรือ เฮ่ย ของอย่างนี้ถ้าเจ้าอยากเห็นเป็นครั้งหนึ่งในชีวิตก็ต้องกล้าๆกันหน่อย หรือว่าเจ้าขลาด? ไม่นะ ...ไม่ใช่อย่างนั้น ดีถ้าเช่นนั้นคืนพรุ่งนี้เราไปสำรวจกันอีกทีจะได้พิสูจน์ความกล้าหาญกันเป็นอย่างไร? หัวโจกประกาศิตแล้ว มีหลายคนที่แสดงอาการสั่นกลัวขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดแต่ไหนเลยจะมีใครกล้าแสดงความขลาดโดยการไม่ไปด้วย ทุกคนแยกย้ายกลับที่นอน เวลานั้นดึกมากแล้ว แสงไฟก็สลัวเลือนรางเต็มทีด้วยแม้ที่อาศรมตะเกียงจะมีหลายดวง แต่กลุ่มที่ศิษย์ก็ช่างไปสรรหาเทียนเล่มเดียวมาจุดเล่าเรื่องให้มันดูลึกลับขึ้นจึงไม่น่าประหลาดใจเลยที่จะเสียงตึงตังเป็นพักๆจากการคลานชนกัน สนอยู่เวรในบริเวณใกล้เคียงกันได้ยินเรื่องราวโดยตลอด ไอ้พวกนี้ส่วนมากพึ่งเข้ามาใหม่เป็นรุ่นน้องเขาทั้งนั้น โตเป็นควายแล้วยังมานั่งท้าลองกันเหมือนเด็กๆ เขาไม่คิดจะสนใจจึงก้มหน้าก้มตาสานตะกร้าฆ่าเวลาต่อไป เมื่อสนสานเสร็จ ขณะกำลังเก็บของเขาเห็นเงาตะคุ่มๆเงาหนึ่งในความมืดเงาหนึ่ง อ้าวยังไปกันไม่หมดหรอกหรอกเรอะ หรือว่าเป็นคนนอก ใครน่ะ เขาร้องถาม ข้าเอง เงานั้นตอบ เมื่อมองดูดีๆปรากฏว่าเป็นฤๅษีชยารพเดินมา สนน้อมกายลงไหว้ พระอาจารย์มีธุระอะไรหรือครับ ดึกดื่นป่านนี้ถึงยังออกมาอีก เรื่องเปตที่พวกนั้นพูดน่ะเจ้าได้ยินไหม? ชยารพกล่าว ไม่น่าเชื่อว่าเขาก็แอบฟังอยู่เช่นกัน ได้ยินครับ แล้วเจ้าเชื่อมันไหมล่ะ? ก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งครับ แต่ไม่สนใจ สนตอบ บรรยากาศเงียบไป พระฤาษีนับนิ้วอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าวต่อว่า ดี อย่างนั้นคืนพรุ่งนี้ให้เจ้าไปกับพวกนั้นด้วย เห็นอะไรก็ให้เอามาบอกข้า แล้วก็เอาฉิ่งนี่ไปด้วยหากเกิดอันตรายให้ตีทีหนึ่งเสียงจะดังพอให้ข้าได้ยินจะได้ไปช่วยทัน สนรับฉิ่ง(ซึ่งเข้าใจว่าเป็นของวิเศษอย่างหนึ่ง)มา เขาอดถามไม่ได้ว่า พระอาจารย์ครับ ท่านกำชับเสมอๆว่าที่ป่าหลังเขาเป็นเขตต้องห้าม ทำไมบัดนี้ถึงยอมให้พวกนั้นไปล่ะครับ ที่ข้าห้ามไม่ให้พวกเจ้าไปที่ป่านั่นก็เพราะมันมีสัตว์ดุร้ายอยู่ชุกชุมเป็นอันตราย ชยารพแหงนหน้าขึ้นมองพระจันทร์ แต่นี่ไม่ใช่ ความจริงคืนนี้ควรจะเกิดจันทรคราสขึ้นตอนยามหนึ่ง หากล่วงเลยมาจนยามสองแล้วท้องฟ้าก็ยังไม่มืดลงสักครา เป็นอาเพศหรือครับ? ข้าไม่แน่ใจ จันทรคราสเกิดจากราหูอมจันทร์ ตามตำราโหราศาสตร์ราหูคือเงาของโลก เมื่อเกิดวิปริตราหูโลกย่อมเกิดความวุ่นวายสับสน หรือไม่ก็ ชยารพนับนิ้วคำนวณอีก หรือไม่ก็ ตัวพระราหูเองนั้นเป็นผู้นำของพวกอสูร เมื่อพฤติการณ์ของเขาไม่ปกติ แสดงว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในหมู่ยักษ์ ไม่ว่าจะเป็นเช่นใดนี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆเลยนะ สนเข้าใจแล้ว เพราะเหตุนี้พระอาจารย์จึงระแวงว่าเปตที่โผล่ออกมาอาจจะเป็นหนึ่งในอาเพศเหล่านั้น คืนต่อมาเขาจัดการเข้ารวมกับกลุ่มของเหล่าลูกศิษย์ชอบลองของโดยไม่ยากเย็นนัก เวลาสองยามกว่าๆกลุ่มซึ่งมีประมาณยี่สิบคนก็เดินทางไปถึงป่าหลังเขาแล้วแอบซุ่มอยู่ในที่ลับแลแห่งหนึ่ง เปตจะออกมาราวๆนี้แหละ หัวโจกของกลุ่มกล่าว ทุกคนต่างรอคอยด้วยหัวใจเต้นตึกตักๆแต่รอไปจนถึงยามสามความกลัวความกระหายก็เปลี่ยนเป็นความกระวนกระวายและความง่วง เฮ้ย เมื่อไหร่เราจะกลับวะ คนหนึ่งพูด เดี๋ยวสิใจเย็นๆ ของอย่างนี้รีบร้อนไม่ได้ ศิษย์หัวโจกกล่าว แต่ข้าง่วงแล้วนี่ ใจเสาะก็อย่าหาข้ออ้างเลย คนอื่นเขาจะดูต่อไป เฮ้ยพูดอย่างนี้หมายความว่าไงวะ!? เรื่องราวทำท่าจะเกิดขึ้น อย่าทะเลาะกันๆ สนปราม เขาพูดจนทั้งสองฝ่ายค่อยๆเย็นลง จะมากจะน้อยพวกนี้ยังเกรงใจในความเป็นรุ่นพี่ของเขาบ้าง เอาละนี่ก็ดึกมากแล้วพวกเรากลับก่อนเถอะเดี๋ยวพรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าจะลุกไม่ไหว เรื่องดูเปตนี่ยังผัดไปวันข้างหน้าได้ สนสรุป คนอื่นๆค่อนข้างคล้อยตาม ยกเว้นคนหนึ่งที่ร้องขึ้นมาว่า เฮ้ย ไม่ได้ๆ อะไรอีกวะ? เพื่อนถาม นั่น ลูกศิษย์คนนั้นชี้นิ้วไปที่วัตถุรูปแท่งแหลมยาวที่อยู่ๆก็สูงแทงขึ้นมาท่ามกลางความมืดเฉยๆ มันสูงน่ากลัวเกินกว่าจะเป็นไปได้ และเมื่อดูต่อไปวัตถุนั้นก็เปลี่ยนเป็นสิ่งมีชีวิตที่กำลังเดิน! เปต! เปตจริงๆด้วย ปากมันแหลมยาว ลำตัวผอมกะหร่องเก้งก้างเหมือนกับที่เคยได้รับคำอธิบายไว้ทุกประการ ถ้าไม่นับเจ้าตัวหัวช้างเท้าเสือที่พบที่หมู่บ้านนิษาทนี่ก็เป็นเรื่องแปลกที่สุดในชีวิตสนละ หากสำคัญกว่านั้นคือมันไม่ได้มีแค่ตนเดียว พอตนแรกโผล่มาก็มีตนที่สองที่สามสืบท้าวยาวๆตามมาด้วย ในจำนวนเหล่านั้นยังมีสัตว์ประหลาดอีกพวกหนึ่งที่หน้าตาไม่เหมือนเปตแต่ค่อนไปทางลิงตัวกลมใหญ่ ตามันใสและลึกแขนยาวกว่าขา ขนขึ้นดกรุงรัง ทุกตัวถึงกระบองสั้นห้อยโหนต้นไม้ติดตามพวกเปตมาดุจเป็นสัตว์ฝูงเดียวกัน ไม่สิเหมือนมันทำงานกันเป็นกลุ่มมากกว่า พวกที่คล้ายลิงใหญ่เกาะกิ่งไม้อยู่พักหนึ่งก็รวมกันหายลับเข้าไปในเงาทึบชั้นพื้นดิน มีเสียงคำรามและต่อสู้กันอย่างรุนแรงดังตามมาเป็นระยะๆ เมื่อเสียงสงบลงเปตตนหนึ่งจึงเดินไปในจุดที่พวกลิงหายลับไปนั้นแล้วก้มลงหยิบอะไรบางอย่างขึ้นจากกลุ่มต้นไม้ บางอย่างที่ขนาดใหญ่พอสมควรเป็นก้อนๆมีน้ำหยดติ๋งๆ ทุกคนพยายามเพ่งว่ามันหยิบอะไรขึ้นมา หรือว่าเป็นก้อนเนื้อของสัตว์ที่เจ้าพวกลิงพึ่งลงมือสังหารนะ ปรากฏว่าก้อนเนื้อนั้นยังไม่ตายสนิทและพยายามดิ้นจากมือของเปต ที่แท้สัตว์ที่ถูกจับอยู่นั้นคือพญาเสือโคร่งเป็นๆอาบชุ่มด้วยเลือดตัวหนึ่ง ! ศิษย์คนหนึ่งอุทานด้วยความตระหนก เป็นเหตุให้พวกอมนุษย์หันมาทางตามเสียงทันที เสือโคร่งอาศัยจังหวะที่เปตไม่ทันระวังตัวดิ้นหลุดจากมือแล้วกระเสือกกระสนหนีความตายมาตามทิศที่พวกสนอยู่โดยมีพวกเปตก้าวสวบๆไล่ตามมาเป็นที่น่าหวาดผวา เมื่อพบกับภาพเช่นนี้ เหล่าศิษย์คนไหนคนนั้นต่างชิงกันวิ่งหนีเตลิดเปิดเปิงไปคนละทิศละทาง เสียงฮือครืนขึ้นกลางป่า ตอนแรกสนตกใจจนทำอะไรไม่ถูกแต่นึกได้ว่าตนมีฉิ่งของอาจารย์อยู่ในมือจึงหยิบขึ้นมาตีทีหนึ่งเป็นเสียงติงสดใส หากความดังนั้นเทียบไม่ได้เลยกับความเสียงแห่งอลหม่านโดยรอบ ยังไม่มีวี่แววพระอาจารย์แต่เปตใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว ตายละสิ ตายห่า สนตีฉิ่งรัวขึ้น ฉิ่งฉับ ฉิ่งฉับ ฉิ่งฉับ!!! เปตก็ยังก้าวมาทางนี้ไม่หยุด ในที่สุดเมื่อบรรยากาศกดดันขึ้นถึงขีดสุด สนทนไม่ไหวต้องร้องออกมาบ้าง ว้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! โดยเกือบจะพร้อมๆกัน ประกายลำแสงอีกสายหนึ่งพุ่งผ่านจากหลังเขาตรงมาต้องเปตตนที่ใกล้ที่สุดเกิดเสียงระเบิดดังครืนครานระคนกับเสียงเนื้อฉีก! เปตโชคร้ายร้องออกมาด้วยเสียงเหมือนสัตว์ถูกเชือดแล้วล้มตึงลง สนหันไปดูข้างหลังพบว่าพระอาจารย์ชยารพมาช่วยเขาแล้ว พวกเปตและลิงทำท่าตกใจหันหลังวิ่งหนี แต่ชยารพโอมอ่านเวทย์มนต์แล้วยิงแสงจากไม้เท้าติดต่อกันสี่ห้าครั้งถูกพวกมันตายไปมากมาย เหลือไม่กี่ตัวเท่านั้นที่หนีรอดไปได้ เป็นอย่างไรล่ะบังอาจมายุ่มย่ามในเขตอาศรมข้า ชยารพหัวเราะ พวกลูกศิษย์ค่อยๆได้สติคืนมาพากันคลานเข้าไปกราบขอโทษ ศิษย์คนที่ฉลาดหน่อยรีบพูดขึ้นมาก่อนที่อาจารย์จะนึกวิธีลงโทษว่า อาคมของพระอาจารย์เมื่อครู่ช่างร้ายกาจเหลือเกิน ข้าเพียงแต่เห็นก็รู้สึกเป็นบุญแล้ว พระอาจารย์ทำได้อย่างไรหรือครับ หึหึ นี่เป็นพลังอันเกิดจากการฝึกฝนอาโลกสิณอันเป็นวิชาสายหลักของสำนักเราเอาไว้พวกเจ้าเรียนไปได้ถึงระดับหนึ่งแล้วจะทำได้เอง แต่เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน ชยารพชี้มาทางสน เจ้าลองไปตรวจดูศพของเปตที่ข้าพึ่งสังหารเมื่อกี้ซิ สนยังไม่หายประหม่า แต่เมื่ออาจารย์สั่งก็ต้องรวบรวมกำลังใจให้เข้มแข็งเดินไปตรวจดูซากศพนั้น เขาเห็นมันผอมลีบหนังหุ้มกระดูก ผิวสีเนียนเขียวพอจับดูเป็นเมือกเหนอะหนะ หากแต่ร่างสูงนัก เมื่อนอนลงยังทอดยาวไปไกลหลายวา ที่น่าแปลกคือมันนุ่งผ้าโจงกระเบนเอาไว้อย่างมนุษย์ สนเห็นถุงผ้าเหน็บอยู่กับโจงกระเบนของเปตตนนั้นจึงหยิบมาแกะออกพบแหวนวงหนึ่งอยู่ข้างใน เขาจำได้ว่าแหวนวงนั้นคล้ายกับแหวนของพรหมทัตที่เขาให้ไอ้เยื้องเก็บไว้เพื่อส่งไปให้คนในเมืองดูนี่นา แล้วมันมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร? หรือว่าไอ้เยื้องเกิดเรื่อง? สนชักวิตก แต่รีบกลับมาหาอาจารย์บอกไปตามความจริงว่า มันรูปร่างเหมือนคนตัวผอมสูง ผิวเป็นสีเขียวเนียนตลอดตัว ครับ แล้วตรงปากมันล่ะ? สนพึ่งนึกได้ว่าปากของเปตตนนั้นนอกจากจะแหลมยาวแล้วยังมีความผิดปกติคือเป็นปากที่งอกออกมาจากบริเวณกระหม่อมแทนที่จะอยู่ใต้ตาดังสามัญสำนึก ที่เมื่อครู่เขาไม่ทันสังเกตเพราะกำลังตกใจประกอบกับไม่เคยเห็นเปตมาก่อน ใช่แล้วครับปากมันงอกออกมาจากกระหม่อม สนรีบกล่าว กระหม่อมหรือ? ชยารพตบมือ ข้านึกแล้วเชียว เจ้าพวกนั้นมันไม่ใช่เปต!! พวกลูกศิษย์งุนงง แล้วมันเป็นอะไรหรือครับ มันเป็นอสูร ! สนอุทานด้วยความแปลกใจ ความจริงเขาเคยเห็นอสูรมาแล้ว แต่อสูรตนนั้นหรือพรหมทัตก็ไม่ได้มีหน้าตาเช่นนี้นี่ ความสงสัยของสนยังคงมีอยู่จนกระทั่งชยารพกล่าวว่า อสูรมีหลายประเภทหากแบ่งตามลักษณะภายนอกก็แบ่งได้เป็นสองประเภทคือทิพพาสูรและกาลกัญชกาสูร พระฤาษีชี้ไปที่ศพนั้น นี่คือกาลกัญชกาสูรหรืออสูรชั้นต่ำที่ยังเหลือเศษบาปติดตัวก่อนที่จะมาเกิดในอสูรกายภูมิ ยังแบ่งได้อีกเป็นสองประเภทคือพวกกึ่งเปตกับพวกกึ่งเดรัจฉาน ที่เจ้าเห็นนอนตายอยู่นี่คือกาลกัญชกาสูรพวกกึ่งเปต แล้วไอ้พวกลิงใหญ่ที่เราเห็นเมื่อครู่นั้นคือพวกกึ่งดิรัจฉาน? ศิษย์คนหนึ่งถาม ใช่แล้ว เฉพาะพวกกึ่งเปตนี้สิ่งที่บอกความแตกต่างระหว่างพวกมันกับเปตแท้คือปากของมันจะงอกอยู่บนกระหม่อมเพื่อเวลาหาอาหารจะได้เอาปากทิ่มลงกับพื้นดูดกินดินและน้ำ ส่วนพวกกาลกัลชกาสูรกึ่งดิรัจฉานนั้นมีลักษณะแขนยาวขาสั้น ตาใส ขนดกรุงรังเหมือนลิงด้วยชาติก่อนเคยเป็นสัตว์ป่า ที่ข้าสงสัยมันเป็นเพราะปกติเปตจริงๆจะไม่เหิมเกริมถึงขนาดมารุกล้ำบริเวณอาศรมอันได้รับความคุ้มครองจากเทพเช่นที่นี่ได้ บางคนเสริมว่า ข้าก็ว่าแล้วว่าพวกดุร้ายเช่นมันจะต้องเป็นอะไรที่มากกว่าเปตแน่ๆ แต่ชยารพส่ายหน้า ไม่หรอก แม้กระทั่งพวกกาลกัญชกาสูรเองปกติก็จะไม่กล้ามาทำอันตรายคน ยกเว้นแต่มันจะถูกควบคุมโดยพวกทิพพาสูร นี่แปลว่าต้องมีพวกทิพพาสูรมาในบริเวณนี้คอยกำกับให้พวกมันทำอะไรบางอย่างเพื่อบรรลุจุดประสงค์ที่ชั่วร้ายอยู่ แล้วจุดประสงค์ที่ชั่วร้ายของมันคืออะไรครับ? ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่พวกเจ้าอย่ากลัวไปเลย ตราบใดข้าอยู่ที่นี่ไม่ว่าอสูรหน้าไหนก็ไม่สามารถมาทำอันตรายพวกเจ้าได้ดอก ระหว่างทุกคนเดินกลับอาศรม สนเลียบเคียงไปคุยกับอาจารย์สองต่อสองกล่าวว่า อาจารย์ครับ อะไรหรือ? อาจารย์รู้จักหมู่บ้านนิษาทที่อยู่ในป่าห่างจากเราที่นี่ไม่ไกลหรือเปล่าครับ? อ๋อ พวกนั้นน่ะหรือ รู้จักสิ ฆราวาสที่มาถวายเนื้อสัตว์ให้อาศรมเราเนืองๆก็ซื้อเนื้อจากพวกมันนั่นแหละ แล้วตอนนี้พวกเขายังอยู่สุขสบายดีไหมครับ? บ๊ะ ไอ้นี่ถามแปลก ในเมื่อมันมีปัญญาล่าเนื้อมาขายก็แปลว่ามันไม่ได้เดือดร้อนอะไรน่ะสิ เจ้าจะกังวลแทนพวกมันไปทำไม สนได้ยินดังนั้นก็คลายกังวลลง พระอาจารย์ย่อมพูดถูก แหวนของพวกอสูรอาจจะดูคล้ายกันหมดก็ได้ บัดนี้เขายังฝึกวิชาไม่สำเร็จยังไม่ควรจะกลับบ้าน แต่ในส่วนลึกของจิตใจเขาคล้ายเรียกร้องให้เขากลับไปที่นั่นบ้างหากมีโอกาส ...........................(อ่านต่อ) |