รุ่งเช้าวันต่อมายังไม่ทันที่สนจะตื่นภาสกรก็ปลุกให้เขารีบลุกขึ้น พวกทิพพาสูรมาๆ ไปดูเร็ว! หา อะไรนะ! สนไม่นึกว่าพวกนั้นจะโผล่มาง่ายขนาดนี้ เขารีบวิ่งตามเพื่อนไป เมื่อถึงที่สนและภาสกรเข้าไปรวมกับกลุ่มลูกศิษย์ที่ออกันอยู่สองข้างทาง อสูรกลุ่มหนึ่งเดินมาบนเส้นทางใหญ่อย่างผ่าเผย พวกมันมีสี่ตนหน้าตาแต่ละตนไม่ค่อยเหมือนมาตรฐานอสูรที่สนวางไว้ก่อนเท่าไร ทุกตนล้วนแต่งกายสะอาดสุภาพแม้ตนที่เป็นทหารสวมเกราะก็สวมอย่างกระชับเรียบร้อยไม่ข่มขู่ให้ใครกลัว สนคะเนดูตนที่ใหญ่ที่สุดยังตัวเล็กกว่าพรหมทัตเล็กน้อยแสดงว่าพญาอสูรผู้นั้นก็ต้องถือเป็นคนตัวใหญ่ในหมู่มารเช่นกัน ผู้ที่นำหน้าสุดนั้นจมูกและคางโด่งออกมาแทบจะเสมอกัน หนวดเคราตัดเล็มเรียบร้อย ดวงตามีประกาย ดูแล้วออกจะเป็นไปทางฝ่ายพวกใช้หัวเสียมากกว่าใช้กำลังคงจะมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าคณะ อสูรสองตนที่อยู่กลางดูเข้มแข็งองอาจ ต่างมีตาเหลือกพอง จมูกโต เขี้ยวโง้งงอกยาวเหมือนงาสัตว์ เดินถือกระบองใหญ่คู่กันมาคงจะเป็นทหาร แต่ตนสุดท้ายที่รั้งอยู่ข้างหลังนั้นสนมองอย่างไรก็ไม่ใช่อสูร หากเป็นสตรีแน่งน้อยนางหนึ่ง ความงามของนางทำให้พวกลูกศิษย์ที่ห้อมล้อมต่างแย่งกันมองหญิงสาวไม่วางตาจนนางเขินอายยิ่งดูน่ารักมากขึ้น พวกอสูรเดินไปช้าๆโดยที่มีเหล่าลูกศิษย์ติดตามไปตลอดทาง เมื่อทุกคนไปถึงอาศรมจึงเห็นชยารพนั่งอ่านคัมภีร์ใบลานอยู่บนแท่นปากประตูอาศรมด้วยอาการสงบเยือกเย็น นัยว่าให้พวกอสูรเข้าได้ถึงบริเวณลานกว้างภายนอกเท่านั้น ที่ท่านมีโอกาสเตรียมตัวก่อนเช่นนี้คงเพราะมีคนแล่นไปแจ้งข่าวการมาของอาคันตุกะประหลาดล่วงหน้าแล้ว อสูรหัวหน้านำคณะตนกราบพระฤๅษีอย่างมีมารยาท เขากล่าวขึ้นว่า ขออภัยที่มากราบพบท่านชยารพดาบสโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า ข้าชื่ออาโปตะไลปัจจุบันรั้งตำแหน่งเสนาบดีต่างประเทศแห่งเมืองอุตรกุรุอสูรกายภูมิ ชยารพทำเป็นไม่สนใจ อาโปตะไลจึงกล่าวต่อว่า ได้ยินว่าบรรดาพราหมณ์ในเมืองมนุษย์แบ่งได้เป็นหลายระดับมีมุนี โยคี และสิทธาเป็นอาทิ แต่ในจำนวนนั้นพราหมณ์ที่เรียกว่าฤๅษีหรือดาบสนั้นจัดเป็นพราหมณ์ระดับสูงที่สุด ผู้เป็นได้ต้องประกอบด้วยฤทธานุภาพและธรรมะอันประจักษ์แจ้งแก่คนทั้งปวง วันนี้ข้าได้มีโอกาสมากราบพบพระดาบสด้วยตนเองนับเป็นบุญอันประเสริฐยิ่ง พระฤๅษีฟังคำสรรเสริญค่อยเปรยตาขึ้นมองตอบว่า ดูจากภายนอกพราหมณ์มีลักษณะแตกต่างกันหลายประเภทก็จริงแต่นั่นเป็นเพราะการบรรลุมรรคผลมีได้หลายวิธี เมื่อคนทั้งหลายเลือกบำเพ็ญบุญบารมีตามวิธีที่ถูกกับจริตของตนจึงคล้ายเป็นการแบ่งประเภท หากความจริงแล้วทุกคนต่างปฏิบัติธรรมเพื่อจุดประสงค์เดียวกันจึงไม่ควรแบ่งว่าพวกใดใหญ่กว่าพวกใด อีกประการหนึ่งดาบสก็เป็นเพียงนักบวชประเภทหนึ่งเท่านั้น มิใช่ตำแหน่งที่เอาไว้ประกาศให้คนรู้ อสูรกายภูมิเองอยู่ห่างไปไกลแสนไกล ใยท่านจึงต้องจำเพาะมาที่นี่ให้ลำบากกายเล่า อาโปตะไลนิ่งไปครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า พระดาบสมีทิพยจักษุ ข้ามาเพราะมีธุระจริงๆ ธุระอะไรก็ว่ามา ไม่ต้องอ้อมค้อม ขอรับ พูดตามตรงว่าเหตุที่ข้ามามนุสสภูมิเป็นเพราะมีสัตว์ที่พวกอสูรเราเลี้ยงไว้จำนวนหนึ่งแหกกรงเตลิดมาถึงถิ่นนี้ เหนือหัวของเราเกรงว่ามันจะไปทำอันตรายแก่พวกมนุษย์จึงใช้ให้ข้านำทัพอสูรไล่ติดตามมาจับสัตว์เหล่านั้นกลับไป ป่านี้เดิมก็มีสัตว์ดุร้ายอยู่ไม่น้อยต่อให้มีมากขึ้นอีกนิดก็ไม่มีใครเดือดร้อนหรอก เจ้าใยไม่ปล่อยให้มันอยู่ป่าอยู่เขาไปตามประสา ชยารพกล่าว สัตว์ของเราเป็นสัตว์พิเศษขอรับ มันมีความดุร้ายเกินกว่ามนุษย์ธรรมดาจะควบคุมได้ อีกอย่างสัตว์บางชนิดยังมีความสามารถในการผสมพันธุ์กับสัตว์ท้องถิ่นให้กำเนิดลูกหลานที่น่ากลัวซึ่งจะเป็นอันตรายกับมนุษย์ไม่สิ้นสุด ขอให้พระดาบสโปรดเข้าใจด้วย ชยารพเปลี่ยนท่าไปนอนเอกเขนกหยิบพัดขึ้นมาโบก พูดไปพูดมาเจ้าก็ยังไม่ได้บอกข้าสักทีว่ามีธุระอะไร เอาแต่อ้อมค้อมอยู่ได้? พูดไปก็น่าอาย เมื่อวานมีกาลกัญชกาสูรในบังคับข้ากองหนึ่งตรวจตราอยู่แถบนี้ แต่ปฏิบัติหน้าที่ไม่ระวังได้ล่วงล้ำมากระทำระคายเคืองถึงเขตอาศรมของท่าน อาโปตะไลตอบ เรื่องนี้ทำให้ข้าวิตกนักเกรงว่ามันจะมาทำอันตรายลูกศิษย์ของพระดาบสเพราะกาลกัญชกาสูรเหล่านั้นเป็นพวกป่าเถื่อน หากทราบภายหลังว่าโชคดีด้วยพระดาบสมีอิทธิฤทธิ์แกร่งกล้าจึงได้ปราบพวกมันล่าถอยไปสำเร็จนับเป็นบุญกุศลใหญ่หลวง อืม... ชยารพรับคำอย่างพอใจ อาโปตะไลกล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตามเนื่องจากข้าเป็นคนดูแลพวกมัน โทษผิดครั้งนี้ไม่พ้นตัวได้ ข้าจึงนำของเหล่านี้มาแทนการขออภัยขอรับ เขาเรียกทหารอสูรทั้งสองตนข้างหลังนำหีบเล็กๆที่ติดตัวมาไขออกแสดงให้ชยารพดู ปรากฏว่าหีบสองใบนั้นบรรจุทองคำสุกเหลืองอร่ามอยู่เต็ม นี่คือทองหิรัณยศักดิ์ จัดเป็นยอดแห่งสุวรรณชาติทั้งปวงสังเกตที่สีทองอันเปล่งปลั่งบริสุทธิ์ของมันแต่ละชิ้นล้วนมีค่าควรแคว้น ข้าถวายท่านสองหีบถือให้เป็นทุนทรัพย์ในการดำรงชีพของพระดาบสต่อไป พวกลูกศิษย์ตื่นตะลึงไปตามๆกันแต่ชยารพเพียงหลับตาพริ้ม สมบัติเหล่านี้ก็เลอค่าอยู่ แต่ข้าทุกวันนี้ข้ามีกินครบสามมื้อ นอนหลับสนิททุกคืนเป็นปรกติดี ไม่จำเป็นต้องหาโลหะสีเหลืองมาเติมสังขารอีก อย่าว่าแต่คนยากจนกว่าข้ามีอีกมากทองคำเหล่านี้เจ้านำกลับไปทำนุบำรุงบ้านเมืองเถิด อาโปตะไลเปลี่ยนสีหน้าไปเล็กน้อย โอ ตัวข้าช่างโง่เขลานัก ถึงลืมคิดไปว่าพระดาบสเป็นผู้ละซึ่งโลกียวิสัยแล้วต้องไม่พอใจของเหล่านี้ อย่างไรก็ตามข้ายังต้องแสดงความจริงใจในการขอโทษ อาโปตะไลให้หญิงสาวที่ตามมาคลานเข้าข้างๆตน หญิงคนนี้เป็นบุตรสาวคนสุดท้องของข้า หากไม่รังเกียจข้าขอมอบนางให้คอยปรนนิบัติรับใช้ท่านที่นี่ตามแต่พระดาบสจะพอใจ หญิงนางนั้นงดงามยิ่ง แต่ชยารพกลับมองพวกอสูรด้วยสายตาเหยียดหยามเต็มที เจ้าเรียกข้าว่าดาบสก็ย่อมรู้ดีว่าอำนาจที่ข้ามีนั้นเกิดจากการบำเพ็ญตบะรักษาศีลอันบริสุทธิ์แล้วยังจะเอาทรัพย์สมบัติและผู้หญิงมาล่อ คิดจะให้ข้าศีลขาดหรืออย่างไร? ...แต่พระดาบส จะแก้ตัวก็ไม่มีประโยชน์ข้ารู้สันดานชั่วร้ายของพวกอสูรเยี่ยงเจ้าดี จงเร่งไสหัวไปเถิด รู้ไว้ว่าวันนี้เพราะข้าอารมณ์ดีดอกพวกเจ้าจึงรอดอยู่ ชยารพหัวเราะ แม้การไม่รับหญิงงามนางนั้นมาจะทำให้เหล่าศิษย์ผิดหวังไปตามๆกันแต่ทุกคนยังอดเพิ่มความนับถือในจริยาวัตรของอาจารย์ตนไม่ได้ สนยังคิด หากพวกอสูรเหล่านั้นฉลาดพอมันควรจะรู้ว่าอาจารย์เอาจริงกับมันแล้วและรีบล่อถอยไปโดยเร็ว แต่คราวนี้ท่าทีนอบน้อมของอาโปตะไลที่ผ่านมากลับปลาสนาการไปโดยสิ้นเชิง พระฤๅษีหัวเราะเขาก็ลุกขึ้นหัวเราะเสียงก้องจนกลบเสียงของพระฤๅษี ฮาฮาฮา วันนี้พระดาบสได้ให้ความกระจ่างแก่ข้าแท้ๆเทียว ถูกของท่าน ข้าไม่ควรเสียเวลามาทำลายตบะท่านเลย หืม... ชยารพขมวดคิ้ว หน้าเปลี่ยนเป็นไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด อาโปตะไลไม่สนใจฝ่ายตรงข้าม กล่าวต่อว่า ท่านก็เป็นแค่นักบวชบ้านนอกที่ไร้พิษสงคนหนึ่ง ต่อให้มีอีกสิบคนร้อยคน ไหนเลยจะสร้างความสะดุ้งสะเทือนให้กับกองทัพอสูรอันเกรียงไกรของเรา ที่ข้าต้องกลัวจริงๆหาใช่ท่านไม่ แล้วเจ้ากลัวใคร!? เส้นเลือดผุดขึ้นที่หน้าผากของชยารพ พระฤๅษีโกรธจัดแน่แล้ว แสงเรืองๆแผ่ออกรอบไม้เท้าคู่มือแสดงว่าเตรียมจะลงโทษพวกอสูรอยู่รอมร่อ สถานการณ์เช่นนี้แม้แต่พวกลูกศิษย์เองยังหวาดผวาจนตัวสั่น ต่างหลบไปออกันอยู่ข้างหลังอาจารย์เพื่อไม่ให้ถูกลูกหลง คิดว่าจะอย่างไรวันนี้ต้องได้เห็นพระอาจารย์แผลงฤทธิ์แล้ว อาโปตะไลไม่กลัวตายยังค่อยๆเดินเข้ามาหาพระฤๅษีอย่างมั่นคง เมื่อถึงระยะใกล้พอเหมาะอาโปตะไลก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า สมัยเรียนท่านเคยอยู่ที่สมาพันธ์พราหมณ์แห่งเมืองพรหมกฎสินะ เจ้าจะยุให้ข้าแตกกับพวกนั้นรึ? ชยารพกล่าวเย็นชา อาโปตะไลไม่ตอบก้มตัวลงกระซิบข้างหูพระฤๅษี ข้าได้ติดต่อกับพราหมณ์ที่นั่นคนหนึ่งชื่อชัยสิทธิ เห็นว่าเป็นน้องชายของท่านที่บวชพร้อมกันเสียด้วย เขาฝากข้อความมาถึงพี่ชายที่อยู่ป่าว่าบัดนี้เขาได้เป็นประธานแห่งสมาพันธ์พราหมณ์แล้ว ท้ายประโยคแฝงคำดูถูกดูแคลน อสูรร้ายควรกล่าวต่อให้จบว่า แต่ท่านก็ยังเป็นแค่ดาบสเล็กๆคนหนึ่งอยู่ แต่เขาไม่ได้กล่าว บางทีไม่ได้กล่าวยังมีผลมากกว่ากล่าวอีก ควรทราบว่าหนทางแห่งการบำเพ็ญตบะเพื่อบรรลุมรรคผลนั้น ผู้ฝึกจะต้องมีจิตอันนิ่งเป็นพิสุทธิ์อยู่ตลอดเวลามิอาจปล่อยให้อารมณ์ด้านต่ำเข้ามารบกวนได้ เพราะหากเกิดความไขว้เขวระหว่างการบำเพ็ญแม้เพียงนิดหนึ่งตบะที่สร้างมาก็จักสูญสลายไปหมด ดุจกองไม้ถูกดึงฐานออกไม้ข้างบนสูงแค่ไหนย่อมพังครืนลงทั้งหมดฉันนั้น วูบเดียวที่ชยารพฟังคำพูดของอาโปตะไล ความริษยาและความโกรธเกลียดได้บังเกิดขึ้นในส่วนลึกและเริ่มกัดกร่อนจิตใจเขาอย่างรวดเร็ว ชยารพตะลึงงันเมื่อรู้ตัว แต่ก็สายไปเสียแล้ว เขารู้สึกร้อนวูบตรงหน้าอก ศีรษะมึนตึง เพียงชั่วขณะอารมณ์เศร้าหมองเข้าครอบครองจิตใจพระฤๅษีโดยสมบูรณ์ให้ต้องนิ่งค้างไปกับที่ พวกลูกศิษย์ยังไม่เข้าใจอาการของชยารพ ต่างสงสัยว่าทำไมอาจารย์ของตนจึงไม่จัดการลงโทษพวกอสูรเสียที แต่อาโปตะไลทราบดีว่าเขาทำสำเร็จแล้วจึงหัวเราะดังๆอย่างหยามหยันพลางหันไปสั่งบริวารว่า เสร็จงานแล้ว พวกเรากลับ พวกอสูรเดินทางกลับโดยไม่รีบร้อนทิ้งให้ชยารพนั่งมองตาค้างตรงนั้น ไม่อาจทำอะไรได้สักนิดหนึ่ง ...........................(อ่านต่อ) |