นิยายแฟนตาซีแบบไทย

ศึกหกภพ

โดย เชษฐา

บทที่ 2 อาศรมฤๅษีชยารพ
(3)


รุ่งเช้าวันต่อมายังไม่ทันที่สนจะตื่นภาสกรก็ปลุกให้เขารีบลุกขึ้น
“พวกทิพพาสูรมาๆ ไปดูเร็ว!”
“หา อะไรนะ!” สนไม่นึกว่าพวกนั้นจะโผล่มาง่ายขนาดนี้ เขารีบวิ่งตามเพื่อนไป

เมื่อถึงที่สนและภาสกรเข้าไปรวมกับกลุ่มลูกศิษย์ที่ออกันอยู่สองข้างทาง
อสูรกลุ่มหนึ่งเดินมาบนเส้นทางใหญ่อย่างผ่าเผย
พวกมันมีสี่ตนหน้าตาแต่ละตนไม่ค่อยเหมือนมาตรฐานอสูรที่สนวางไว้ก่อนเท่าไร
ทุกตนล้วนแต่งกายสะอาดสุภาพแม้ตนที่เป็นทหารสวมเกราะก็สวมอย่างกระชับเรียบร้อยไม่ข่มขู่ให้ใครกลัว
สนคะเนดูตนที่ใหญ่ที่สุดยังตัวเล็กกว่าพรหมทัตเล็กน้อยแสดงว่าพญาอสูรผู้นั้นก็ต้องถือเป็นคนตัวใหญ่ในหมู่มารเช่นกัน


ผู้ที่นำหน้าสุดนั้นจมูกและคางโด่งออกมาแทบจะเสมอกัน
หนวดเคราตัดเล็มเรียบร้อย ดวงตามีประกาย
ดูแล้วออกจะเป็นไปทางฝ่ายพวกใช้หัวเสียมากกว่าใช้กำลังคงจะมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าคณะ


อสูรสองตนที่อยู่กลางดูเข้มแข็งองอาจ ต่างมีตาเหลือกพอง จมูกโต
เขี้ยวโง้งงอกยาวเหมือนงาสัตว์ เดินถือกระบองใหญ่คู่กันมาคงจะเป็นทหาร

แต่ตนสุดท้ายที่รั้งอยู่ข้างหลังนั้นสนมองอย่างไรก็ไม่ใช่อสูร
หากเป็นสตรีแน่งน้อยนางหนึ่ง
ความงามของนางทำให้พวกลูกศิษย์ที่ห้อมล้อมต่างแย่งกันมองหญิงสาวไม่วางตาจนนางเขินอายยิ่งดูน่ารักมากขึ้น


พวกอสูรเดินไปช้าๆโดยที่มีเหล่าลูกศิษย์ติดตามไปตลอดทาง
เมื่อทุกคนไปถึงอาศรมจึงเห็นชยารพนั่งอ่านคัมภีร์ใบลานอยู่บนแท่นปากประตูอาศรมด้วยอาการสงบเยือกเย็น
นัยว่าให้พวกอสูรเข้าได้ถึงบริเวณลานกว้างภายนอกเท่านั้น
ที่ท่านมีโอกาสเตรียมตัวก่อนเช่นนี้คงเพราะมีคนแล่นไปแจ้งข่าวการมาของอาคันตุกะประหลาดล่วงหน้าแล้ว


อสูรหัวหน้านำคณะตนกราบพระฤๅษีอย่างมีมารยาท เขากล่าวขึ้นว่า
“ขออภัยที่มากราบพบท่านชยารพดาบสโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า
ข้าชื่ออาโปตะไลปัจจุบันรั้งตำแหน่งเสนาบดีต่างประเทศแห่งเมืองอุตรกุรุอสูรกายภูมิ”


ชยารพทำเป็นไม่สนใจ อาโปตะไลจึงกล่าวต่อว่า
“ได้ยินว่าบรรดาพราหมณ์ในเมืองมนุษย์แบ่งได้เป็นหลายระดับมีมุนี โยคี
และสิทธาเป็นอาทิ
แต่ในจำนวนนั้นพราหมณ์ที่เรียกว่าฤๅษีหรือดาบสนั้นจัดเป็นพราหมณ์ระดับสูงที่สุด
ผู้เป็นได้ต้องประกอบด้วยฤทธานุภาพและธรรมะอันประจักษ์แจ้งแก่คนทั้งปวง
วันนี้ข้าได้มีโอกาสมากราบพบพระดาบสด้วยตนเองนับเป็นบุญอันประเสริฐยิ่ง”

พระฤๅษีฟังคำสรรเสริญค่อยเปรยตาขึ้นมองตอบว่า
“ดูจากภายนอกพราหมณ์มีลักษณะแตกต่างกันหลายประเภทก็จริงแต่นั่นเป็นเพราะการบรรลุมรรคผลมีได้หลายวิธี
เมื่อคนทั้งหลายเลือกบำเพ็ญบุญบารมีตามวิธีที่ถูกกับจริตของตนจึงคล้ายเป็นการแบ่งประเภท
หากความจริงแล้วทุกคนต่างปฏิบัติธรรมเพื่อจุดประสงค์เดียวกันจึงไม่ควรแบ่งว่าพวกใดใหญ่กว่าพวกใด

อีกประการหนึ่งดาบสก็เป็นเพียงนักบวชประเภทหนึ่งเท่านั้น
มิใช่ตำแหน่งที่เอาไว้ประกาศให้คนรู้ อสูรกายภูมิเองอยู่ห่างไปไกลแสนไกล
ใยท่านจึงต้องจำเพาะมาที่นี่ให้ลำบากกายเล่า”

อาโปตะไลนิ่งไปครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า “…พระดาบสมีทิพยจักษุ
ข้ามาเพราะมีธุระจริงๆ”
“ธุระอะไรก็ว่ามา ไม่ต้องอ้อมค้อม”
“ขอรับ
พูดตามตรงว่าเหตุที่ข้ามามนุสสภูมิเป็นเพราะมีสัตว์ที่พวกอสูรเราเลี้ยงไว้จำนวนหนึ่งแหกกรงเตลิดมาถึงถิ่นนี้
เหนือหัวของเราเกรงว่ามันจะไปทำอันตรายแก่พวกมนุษย์จึงใช้ให้ข้านำทัพอสูรไล่ติดตามมาจับสัตว์เหล่านั้นกลับไป”


“ป่านี้เดิมก็มีสัตว์ดุร้ายอยู่ไม่น้อยต่อให้มีมากขึ้นอีกนิดก็ไม่มีใครเดือดร้อนหรอก
เจ้าใยไม่ปล่อยให้มันอยู่ป่าอยู่เขาไปตามประสา” ชยารพกล่าว
“สัตว์ของเราเป็นสัตว์พิเศษขอรับ
มันมีความดุร้ายเกินกว่ามนุษย์ธรรมดาจะควบคุมได้
อีกอย่างสัตว์บางชนิดยังมีความสามารถในการผสมพันธุ์กับสัตว์ท้องถิ่นให้กำเนิดลูกหลานที่น่ากลัวซึ่งจะเป็นอันตรายกับมนุษย์ไม่สิ้นสุด
ขอให้พระดาบสโปรดเข้าใจด้วย”

ชยารพเปลี่ยนท่าไปนอนเอกเขนกหยิบพัดขึ้นมาโบก
“พูดไปพูดมาเจ้าก็ยังไม่ได้บอกข้าสักทีว่ามีธุระอะไร เอาแต่อ้อมค้อมอยู่ได้?”


“พูดไปก็น่าอาย เมื่อวานมีกาลกัญชกาสูรในบังคับข้ากองหนึ่งตรวจตราอยู่แถบนี้
แต่ปฏิบัติหน้าที่ไม่ระวังได้ล่วงล้ำมากระทำระคายเคืองถึงเขตอาศรมของท่าน”
อาโปตะไลตอบ
“เรื่องนี้ทำให้ข้าวิตกนักเกรงว่ามันจะมาทำอันตรายลูกศิษย์ของพระดาบสเพราะกาลกัญชกาสูรเหล่านั้นเป็นพวกป่าเถื่อน
หากทราบภายหลังว่าโชคดีด้วยพระดาบสมีอิทธิฤทธิ์แกร่งกล้าจึงได้ปราบพวกมันล่าถอยไปสำเร็จนับเป็นบุญกุศลใหญ่หลวง”


“อืม...” ชยารพรับคำอย่างพอใจ
อาโปตะไลกล่าวต่อว่า “อย่างไรก็ตามเนื่องจากข้าเป็นคนดูแลพวกมัน
โทษผิดครั้งนี้ไม่พ้นตัวได้ ข้าจึงนำของเหล่านี้มาแทนการขออภัยขอรับ”
เขาเรียกทหารอสูรทั้งสองตนข้างหลังนำหีบเล็กๆที่ติดตัวมาไขออกแสดงให้ชยารพดู
ปรากฏว่าหีบสองใบนั้นบรรจุทองคำสุกเหลืองอร่ามอยู่เต็ม

“นี่คือทองหิรัณยศักดิ์
จัดเป็นยอดแห่งสุวรรณชาติทั้งปวงสังเกตที่สีทองอันเปล่งปลั่งบริสุทธิ์ของมันแต่ละชิ้นล้วนมีค่าควรแคว้น
ข้าถวายท่านสองหีบถือให้เป็นทุนทรัพย์ในการดำรงชีพของพระดาบสต่อไป”

พวกลูกศิษย์ตื่นตะลึงไปตามๆกันแต่ชยารพเพียงหลับตาพริ้ม
“สมบัติเหล่านี้ก็เลอค่าอยู่ แต่ข้าทุกวันนี้ข้ามีกินครบสามมื้อ
นอนหลับสนิททุกคืนเป็นปรกติดี ไม่จำเป็นต้องหาโลหะสีเหลืองมาเติมสังขารอีก
อย่าว่าแต่คนยากจนกว่าข้ามีอีกมากทองคำเหล่านี้เจ้านำกลับไปทำนุบำรุงบ้านเมืองเถิด”


อาโปตะไลเปลี่ยนสีหน้าไปเล็กน้อย “โอ ตัวข้าช่างโง่เขลานัก
ถึงลืมคิดไปว่าพระดาบสเป็นผู้ละซึ่งโลกียวิสัยแล้วต้องไม่พอใจของเหล่านี้
อย่างไรก็ตามข้ายังต้องแสดงความจริงใจในการขอโทษ…”
อาโปตะไลให้หญิงสาวที่ตามมาคลานเข้าข้างๆตน
“หญิงคนนี้เป็นบุตรสาวคนสุดท้องของข้า
หากไม่รังเกียจข้าขอมอบนางให้คอยปรนนิบัติรับใช้ท่านที่นี่ตามแต่พระดาบสจะพอใจ”


หญิงนางนั้นงดงามยิ่ง แต่ชยารพกลับมองพวกอสูรด้วยสายตาเหยียดหยามเต็มที
“เจ้าเรียกข้าว่าดาบสก็ย่อมรู้ดีว่าอำนาจที่ข้ามีนั้นเกิดจากการบำเพ็ญตบะรักษาศีลอันบริสุทธิ์แล้วยังจะเอาทรัพย์สมบัติและผู้หญิงมาล่อ
คิดจะให้ข้าศีลขาดหรืออย่างไร?”

“...แต่พระดาบส”
“จะแก้ตัวก็ไม่มีประโยชน์ข้ารู้สันดานชั่วร้ายของพวกอสูรเยี่ยงเจ้าดี
จงเร่งไสหัวไปเถิด รู้ไว้ว่าวันนี้เพราะข้าอารมณ์ดีดอกพวกเจ้าจึงรอดอยู่”
ชยารพหัวเราะ

แม้การไม่รับหญิงงามนางนั้นมาจะทำให้เหล่าศิษย์ผิดหวังไปตามๆกันแต่ทุกคนยังอดเพิ่มความนับถือในจริยาวัตรของอาจารย์ตนไม่ได้
สนยังคิด
หากพวกอสูรเหล่านั้นฉลาดพอมันควรจะรู้ว่าอาจารย์เอาจริงกับมันแล้วและรีบล่อถอยไปโดยเร็ว


แต่คราวนี้ท่าทีนอบน้อมของอาโปตะไลที่ผ่านมากลับปลาสนาการไปโดยสิ้นเชิง
พระฤๅษีหัวเราะเขาก็ลุกขึ้นหัวเราะเสียงก้องจนกลบเสียงของพระฤๅษี “ฮาฮาฮา
วันนี้พระดาบสได้ให้ความกระจ่างแก่ข้าแท้ๆเทียว ถูกของท่าน
ข้าไม่ควรเสียเวลามาทำลายตบะท่านเลย”

“หืม...” ชยารพขมวดคิ้ว หน้าเปลี่ยนเป็นไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
อาโปตะไลไม่สนใจฝ่ายตรงข้าม กล่าวต่อว่า
“ท่านก็เป็นแค่นักบวชบ้านนอกที่ไร้พิษสงคนหนึ่ง ต่อให้มีอีกสิบคนร้อยคน
ไหนเลยจะสร้างความสะดุ้งสะเทือนให้กับกองทัพอสูรอันเกรียงไกรของเรา
ที่ข้าต้องกลัวจริงๆหาใช่ท่านไม่
”

“แล้วเจ้ากลัวใคร!?” เส้นเลือดผุดขึ้นที่หน้าผากของชยารพ
พระฤๅษีโกรธจัดแน่แล้ว
แสงเรืองๆแผ่ออกรอบไม้เท้าคู่มือแสดงว่าเตรียมจะลงโทษพวกอสูรอยู่รอมร่อ
สถานการณ์เช่นนี้แม้แต่พวกลูกศิษย์เองยังหวาดผวาจนตัวสั่น
ต่างหลบไปออกันอยู่ข้างหลังอาจารย์เพื่อไม่ให้ถูกลูกหลง
คิดว่าจะอย่างไรวันนี้ต้องได้เห็นพระอาจารย์แผลงฤทธิ์แล้ว

อาโปตะไลไม่กลัวตายยังค่อยๆเดินเข้ามาหาพระฤๅษีอย่างมั่นคง

เมื่อถึงระยะใกล้พอเหมาะอาโปตะไลก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า
“สมัยเรียนท่านเคยอยู่ที่สมาพันธ์พราหมณ์แห่งเมืองพรหมกฎสินะ”
“เจ้าจะยุให้ข้าแตกกับพวกนั้นรึ?” ชยารพกล่าวเย็นชา

อาโปตะไลไม่ตอบก้มตัวลงกระซิบข้างหูพระฤๅษี
“ข้าได้ติดต่อกับพราหมณ์ที่นั่นคนหนึ่งชื่อชัยสิทธิ
เห็นว่าเป็นน้องชายของท่านที่บวชพร้อมกันเสียด้วย
เขาฝากข้อความมาถึงพี่ชายที่อยู่ป่าว่าบัดนี้เขาได้เป็นประธานแห่งสมาพันธ์พราหมณ์แล้ว
…”

ท้ายประโยคแฝงคำดูถูกดูแคลน อสูรร้ายควรกล่าวต่อให้จบว่า
“…แต่ท่านก็ยังเป็นแค่ดาบสเล็กๆคนหนึ่งอยู่”

แต่เขาไม่ได้กล่าว

บางทีไม่ได้กล่าวยังมีผลมากกว่ากล่าวอีก

ควรทราบว่าหนทางแห่งการบำเพ็ญตบะเพื่อบรรลุมรรคผลนั้น
ผู้ฝึกจะต้องมีจิตอันนิ่งเป็นพิสุทธิ์อยู่ตลอดเวลามิอาจปล่อยให้อารมณ์ด้านต่ำเข้ามารบกวนได้
เพราะหากเกิดความไขว้เขวระหว่างการบำเพ็ญแม้เพียงนิดหนึ่งตบะที่สร้างมาก็จักสูญสลายไปหมด
ดุจกองไม้ถูกดึงฐานออกไม้ข้างบนสูงแค่ไหนย่อมพังครืนลงทั้งหมดฉันนั้น

วูบเดียวที่ชยารพฟังคำพูดของอาโปตะไล
ความริษยาและความโกรธเกลียดได้บังเกิดขึ้นในส่วนลึกและเริ่มกัดกร่อนจิตใจเขาอย่างรวดเร็ว


ชยารพตะลึงงันเมื่อรู้ตัว แต่ก็สายไปเสียแล้ว เขารู้สึกร้อนวูบตรงหน้าอก
ศีรษะมึนตึง
เพียงชั่วขณะอารมณ์เศร้าหมองเข้าครอบครองจิตใจพระฤๅษีโดยสมบูรณ์ให้ต้องนิ่งค้างไปกับที่



พวกลูกศิษย์ยังไม่เข้าใจอาการของชยารพ
ต่างสงสัยว่าทำไมอาจารย์ของตนจึงไม่จัดการลงโทษพวกอสูรเสียที
แต่อาโปตะไลทราบดีว่าเขาทำสำเร็จแล้วจึงหัวเราะดังๆอย่างหยามหยันพลางหันไปสั่งบริวารว่า
“เสร็จงานแล้ว พวกเรากลับ”

พวกอสูรเดินทางกลับโดยไม่รีบร้อนทิ้งให้ชยารพนั่งมองตาค้างตรงนั้น
ไม่อาจทำอะไรได้สักนิดหนึ่ง ...........................(อ่านต่อ)

กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป 1