กรรมกำเนิดกาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีกษัตริย์พระองค์หนึ่งนามว่าพระเจ้าอังคะเป็นผู้ปกครองแว่นแคว้นหัสตินาปุระอันเป็นเมืองหลวงเอกของโลกในสมัยนั้น พระองค์มีมเหสีชื่อนางสุนีถา ผู้เป็นธิดาคนหัวปีซึ่งสู่ขอมาจากพระยมเจ้าแห่งนรกภูมิ อย่างไรก็ตามแม้ว่าบิดาของพระมเหสีผู้นี้จะได้ชื่อว่าเป็นธรรมราชาผู้ให้ความยุติธรรมแก่สรรพสัตว์ทั้งมวลโดยเสมอหน้า หากสุนีถากลับเป็นหญิงที่มีใจร้ายกาจคล้ายคลึงกับเด็กเกเร นางมักจะใช้เวลาของวันหนึ่งๆหมดไปกับการกลั่นแกล้งรังแกผู้คนให้ได้รับความเดือดร้อน ทั้งที่ใช้อำนาจข่มขู่คนทั่วไปจนขวัญหนีดีฝ่อ หรือก่อกวนพวกพราหมณ์และนักบวชทั้งหลายไม่ให้บำเพ็ญพรตกิริยาสำเร็จ อันนางถือเป็นการเล่นสนุกที่น่าโปรดปรานยิ่งนัก วันหนึ่งขณะสุนีถาพาบริวารออกไปเที่ยวเล่นในป่านางได้พบกับโยคีหนุ่มรุปงามผู้หนึ่งกำลังบำเพ็ญสมาธิอยู่ท่ามในวนาศรมอันสงัดวิเวก นางสุนีถารู้สึกพึงใจกับความหล่อเหลาของโยคีผู้นั้นจึงได้เข้าไปใกล้และเอื้อมมือเข้าเขย่าตัวโยคีนั้นโดยแรง ตื่น ตื่นสิ ข้าสั่งให้ตื่น! นางกล่าว โยคีหนุ่มค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆ เมื่อเห็นหญิงแต่งกายงดงามเป็นวรรณะกษัตริย์อยู่เบื้องหน้าจึงกล่าวด้วยคำอันสุนทรว่า ท่านมีธุระใดหรือ? ย่อมมีสิ ข้าเห็นเจ้าหน้าตาดีต้องใจข้านัก แต่กลับมานั่งหลับอยู่จึงได้ปลุกให้ตื่น โยคีหนุ่มยิ้มอย่างใจเย็น ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้นั่งหลับแต่กำลังนั่งสมาธิอยู่ จะอะไรก็ช่าง ข้าไม่สนหรอก เออ ว่าแต่เจ้าชื่ออะไรรึ? ข้าชื่อสุศังขะเป็นคนธรรพ์ คนธรรพ์? เจ้าหมายถึงพวกกึ่งเทพกึ่งมนุษย์ที่ชอบเล่นดนตรีน่ะรึ ถูกต้อง หากมิใช่ดนตรีเท่านั้นนะ ชนชาติของข้ายังหลงไหลในงานศิลปะทุกแขนงและเพื่อจะบรรลุถึงสุดยอดแห่งวิชาการเหล่านั้นเราจำต้องได้รับความอนุเคราะห์จากพระสรัสวดีผู้เป็นเทวีแห่งศิลปิน ที่ท่านเห็นเมื่อครู่คือข้ากำลังตั้งจิตระลึกถึงพระแม่เจ้าเพื่อถวายเป็นธรรมบูชาอย่างไรล่ะ การทำตบะสำหรับข้าเป็นเรื่องน่าเบื่อ แต่ดนตรีถ้าเพราะจริงยังพอฟังเข้าหูบ้าง ดี อย่างนั้นวันนี้เจ้าเลิกเข้าฌานอะไรนั่นแล้วมาเล่นดนตรีให้ข้าฟังสักเพลง แต่ท่าน สุนีถาหัวเราะ ฮะฮะฮะ ทำเป็นอ้ำอึ้งไปได้ เจ้าคงยังไม่รู้จักข้าสินะ ข้านี่แหละคือสุนีถา มเหสีของท้าวอังคะผู้ครองดินแดนที่คุ้มหัวเจ้าอยู่และยังเป็นธิดาเอกแห่งพระยมเจ้าแห่งความตายอีกด้วย อย่าไปพักคำนึงถึงพระสรัสวดีเลย เจ้าโชคดีมากนะที่ได้ข้ามาโปรดในเวลานี้ สุศังขะเปลี่ยนสีหน้าเล็กน้อยแต่ก็แค่นเสียงตอบว่า ที่แท้ท่านนี่เอง ได้ยินชื่อมานาน แล้วยังไม่รีบเล่นดนตรีให้ข้าฟังอีก สุนีถาสั่ง โยคีหนุ่มไม่อยากมีปัญหาจึงหยิบพิณคู่มือออกมาบรรเลงเพลง ความจริงเพลงนั้นมีความไพเราะอันหาเสมอเหมือนได้ยากอยู่ หากแต่เป็นดนตรีเย็นๆที่นางสุนีถาฟังแล้วรู้สึกรำคาญจึงโมโหแย่งพิณมาจากมือสุศังขะ เจ้าคนน่าเบื่อ เล่นอะไรก็น่าเบื่อไปหมด ดีละ ข้าจะลงโทษเจ้า นางฟาดพิณนั้นจนแหลกเป็นชิ้นๆแล้วเอาส่วนที่เป็นด้ามยาวมาเฆี่ยนตัวสุศังขะ ฮะฮะ นี่แน่ะ สำนึกผิดหรือยัง! ฟางเส้นสุดท้ายขาดลง ก่อนที่สุนีถาจะลงมือเฆี่ยนอีกสุศังขะก็ตวัดจับมือของพระมเหสีผู้ร้ายกาจไว้โดยแน่น พอกันที! ท่านเข้าใจว่าตนเองยิ่งใหญ่นักหรือไรจึงได้เที่ยวใช้อำนาจของพ่อและผัวมาข่มเหงผู้อื่นเช่นอันธพาล จงฟังไว้ ลูกคนแรกและคนเดียวของท่านที่จะเกิดแต่พระราชาอังคะจักเป็นลูกเลว! มันจักเป็นคนชั่วช้าที่คนทั้งแผ่นดินสาปแช่ง และท่านจักต้องได้รับความทุกข์ทรมานเพราะความเลวของลูกไปจนชั่วชีวิต สิ้นคำสาปก็เกิดมหาพายุพัดวนรอบๆตัวพญาคนธรรพ์ ฝุ่นปลิวฟุ้งขึ้นตลบทั่วทั้งบริเวณเป็นที่แตกตื่นโกลาหล พอสุนีถาลืมตาได้อีกครั้งโยคีหนุ่มผู้นั้นก็หายไปเสียแล้ว กาลต่อมานางให้กำเนิดโอรสองค์หนึ่งนามว่าเวนมีผิวดำมืด ร่างกายใหญ่หยาบแต่กำเนิด เจ้าชายเวนเป็นผู้ทรงพลังมหาศาลหากแต่มีน้ำพระทัยอันโหดร้ายทารุณ มักเที่ยวก่อเรื่องเลวทรามบัดสียังผลให้บิดามารดาเศร้าหมองยิ่งนัก ในที่สุดพระเจ้าอังคะก็ทรงปลงต่อเรื่องราวในโลกจึงสละราชสมบัติและเข้าป่าไปบำเพ็ญพรตเป็นฤๅษี ทันทีที่เวนขึ้นครองบัลลังค์สืบจากพ่อ เขาก็เรียกพวกพราหมณ์ทั้งหลายมาเข้าเฝ้าเฉพาะพระพักตร์ทันที พวกเจ้าจงฟังให้ดี พระเจ้าเวนกล่าว ต่อแต่นี้ไปห้ามไม่ให้พวกเจ้าทำการบวงสรวงบูชาเทพเจ้าใดๆอีก และให้เปลี่ยนมาทำการบูชาข้าเพียงคนเดียว พวกพราหมณ์ตกใจกันไปตามๆกัน แต่พระองค์ จะให้เราบูชาพระองค์ได้อย่างไรในเมื่อพระองค์เป็นมนุษย์ซึ่งยังมีชีวิตอยู่ และหากเราไม่บูชาเทพเจ้าบนสวรรค์เทพเหล่านั้นจะไม่พอใจและดลบันดาลภัยพิบัติต่างๆนาๆให้เกิดแก่มนุษย์โลก แทนที่จะฟังเหตุผลเวนกลับตวาดอย่างไม่พอใจทำให้ทุกคนตื่นกลัวไปตามๆกัน เฮอะ พวกเจ้าเสียทีที่เป็นพราหมณ์กลับไม่รู้หนังสือ นี่แน่ะ คัมภีร์โบราณท่านว่าไว้ว่าพระราชาเปรียบเสมือนเทพใช่หรือไม่ ย่อมใช่พระองค์คือสมมุติเทพ แต่... เมื่อข้าเป็นเทพ เจ้าก็ควรบูชาข้าโดยไม่จำเป็นต้องไปบูชาคนอื่นอีกเพราะข้าคือเทพสูงสุดที่มีชีวิตอยู่ตรงนี้และสามารถดลบัลดาลเภทภัยหรือให้รางวัลแก่พวกเจ้าได้ทันตาเห็น! ตาแก่ที่โง่เขลาเอ๋ย ยุคแห่งนามธรรมได้หมดไปแล้ว จากนี้ไปคือยุคแห่งรูปธรรมที่เทพเจ้ามีตัวตนจริงๆ กินได้ หายใจได้จริงๆ เร็วสิ! จงเร่งบูชาข้าด้วยสมบัติอันเป็นรูปธรรม สากลพิภพนี้จักไม่มีที่อยู่ให้แก่คนบาปผู้ดูแคลนเทพเจ้าดอก เวนประกาศกร้าวให้ทหารทุกหัวเมืองดำเนินการตามกฎหมายใหม่นี้ทันที การลงโทษผู้ฝ่าฝืนกฎเป็นไปอย่างโหดร้ายและกว้างขวาง เป็นอันว่าพราหมณ์ที่รักความถูกต้องมากกว่าชีวิตจึงไม่มีชีวิตอีกต่อไป ส่วนพราหมณ์ที่ยังรักชีวิตทั้งหลายก็จำต้องยอมทำตามเวน นี่เป็นเพียงตัวอย่างการกระทำอันเลวทรามของเวนเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น เขายังได้ประกอบกรรมอันชั่วร้ายอื่นๆอีกมากมายตลอดระยะเวลาปกครองที่ยาวนานสมกับคำสาปซึ่งได้รับตั้งแต่ยังไม่เกิด บรรดาประชาชนต่างได้รับความเดือดร้อนเพราะกษัตริย์ชั่วกันทั่วหน้า สิ่งมงคลศักดิ์สิทธิในโลกค่อยๆเสื่อมทรามลงด้วยฤทธิ์ร้ายของเวนจนในที่สุดแม้แต่ผู้ดูแลผืนแผ่นดินอย่างพระแม่ธรณีเองยังทนไม่ไหวต้องหลบหนีไปเช่นกัน ไม่มีพระนางแล้วโลกทั้งโลกก็กลายสภาพเป็นกรวดทรายแห้งแล้งอันสิ่งมีชีวิตไม่อาจดำรงชีพอยู่ได้ทำให้ผู้คนล้มตายลงมากต่อมาก เมื่อสภาวการณ์ต่างๆย่ำแย่ลงจนถึงขีดสุดเหล่าพราหมณ์จึงออกมาชุมนุมกันเพื่อหาหนทางแก้ปัญหา เราจะต้องทำอะไรสักอย่างก่อนที่จะพากันตายหมด พราหมณ์คนหนึ่งกล่าว ปัญหาต้องแก้ที่ต้นเหตุ พราหมณ์อีกคนว่า ทุกคนต่างทราบดีว่าต้นเหตุของปัญหานี้มาจากความชั่วร้ายของเวน แต่เขามีกำลังมากเราจะเอาอะไรไปสู้เขา ทุกคนหันไปมองทางภรัทวาชฤๅษีผู้เป็นประธานการประชุมและสมาชิกของคณะสัปตฤๅษีผู้เดียวที่ยังอยู่ปกป้องโลก (คณะสัปตฤๅษีคือฤๅษีชั้นสูงสุดมีด้วยกันเจ็ดตนคือ วสิษฐ วิศวามิตร กัศยป โคดม อัตริ ภรัทวาช) ...ทางแก้นั้นยังพอมีอยู่ พระมหาฤๅษีกล่าวช้าๆ มันคืออะไรหรือ? เมื่อไม่นานมานี้ข้าได้ขึ้นถอดจิตไปขอความช่วยเหลือกับพระธาดาพรหม พระองค์บอกว่าทางเดียวที่จะปราบเวนได้คือเราทั้งหมดต้องร่วมกันประกอบยัญชพิธีอย่างหนึ่งขึ้นสาปแช่งเขา ซึ่งแม้เวนจะเป็นเจ้าปกครองโลกแต่เพราะเขาไม่เคยทำความดีจึงไม่มีบุญฤทธิ์ปกป้อง เขาต้องตายด้วยยัญชพิธีนี้แน่ๆ ภรัทวาชก่อกองไฟใหญ่ขึ้นกองหนึ่ง เรียกพราหมณ์ทั้งแผ่นดินมารวมกันรอบๆกองไฟแล้วให้ทุกคนบริกรรมคาถาสาปแช่งเวนพร้อมทั้งเผาเครื่องเซ่นสังเวยต่างๆลงในไฟนั้น ด้วยมนตร์ของมหาฤๅษี ธาตุไฟในตัวเวนได้แตกระอุออกยังผลให้เจ้าพิภพผู้ชั่วร้ายมีอาการเจ็บป่วยกระสับกระส่ายไปทั้งร่าง เมื่อรู้ว่าเป็นอาการจากไสยเวทย์เวนจึงได้สั่งให้คนของเขาออกค้นหาต้นตอของผู้สาปแช่งไปทุกสารทิศทันที คนของเวนคนหนึ่งพบยัญชพิธีของภรัทวาชและแจ้งข่าวกลับมา เวนรีบเดินทางไปยับยั้งการทำพิธีด้วยตนเองโดยหารู้ไม่ว่านั่นเป็นไปตามแผนการที่พระฤๅษีต้องการอยู่แล้ว เมื่อเวนไปถึง เขาเห็นเต็มตาว่าภรัทวาชและเหล่าพราหมณ์กำลังสาปแช่งเขาอยู่ ความโกรธความแค้นทำให้เวนถือดาบพุ่งเข้าไปจะฟันภรัทวาชอย่างขาดสติ พราหมณ์คนอื่นๆแตกตื่นหลบหนีไปตามๆกันมีเพียงภรัทวาชเท่านั้นที่นั่งคอยเวนด้วยอาการสงบนิ่ง และก่อนที่เวนจะฟันถึงตัวพระฤๅษีเขาก็ถูกฝ่ายตรงข้ามซึ่งรวดเร็วกว่าฟาดด้วยฟ่อนหญ้ากุศะอันปลุกเสกแล้วในพิธีเสียก่อน ด้วยฤทธิ์แห่งเวทย์อันศักดิ์สิทธิ์ ความชั่วร้ายอันเป็นชีวิตจิตใจของเวนก็แผ่พุ่งออกจากทวารทั้งเจ็ดด้วยรูปของควันสีดำ พระราชาชั่วร้ายจึงล้มลงขาดใจตายโดยลักษณะนี้ แต่ด้วยญานรู้เห็นว่ากรรมเลวของเวนยังหลงเหลืออยู่ ภรัทวาชฤๅษีจึงได้ใช้ไม้เท้าแตะไปที่หน้าแข้งของร่างไร้ชีวิตนั้น เกิดอัศจรรย์เป็นบุรุษตัวดำต่ำเตี้ยหน้าตาอัปลักษณ์ผู้หนึ่งผุดออกจากร่างของเวนแล้วลุกขึ้นมาประนมกรกราบพระฤๅษีด้วยท่าทางเก้ๆกังๆ ภรัทวาชกล่าวกับบุรุษผู้นั้นว่า เวนทำกรรมเกินกว่ามันเองจะชดใช้ได้หมดจึงต้องมีเจ้าเป็นผู้ที่เกิดขึ้นมาชดใช้กรรมแทนมัน จงเรียกตัวเองว่านิษาทและยังชีพโดยการล่าสัตว์อันเป็นบาปที่ผู้อยู่ในวรรณะสูงไม่อาจแตะต้องเถิด บุรุษผู้นั้นรับคำและออกเดินไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในป่า เขาได้กลายมาเป็นต้นกำเนิดของชนเผ่านิษาทที่ยังคงปรากฏอยู่จนปัจจุบัน หลังจากเวนตายแผ่นดินจึงกลับคืนสู่เสรีภาพและความอุดมสมบูรณ์ยังความยินดีปรีดาสู่คนทั้งหลาย นิทานของเราก็จบลงด้วยประการฉนี้ ห้องเรียนอันสะอาดเรียบร้อยแวดล้อมด้วยเหล่าลูกศิษย์ที่นั่งฟังอย่างใจจดใจจ่อ ครูพราหมณ์ยกถ้วยน้ำของเขาขึ้นมาจิบเบาๆ นิทานของเขาจบลงแล้ว เอาละที่นี้ก็มาถึงคำถาม พวกเจ้าทราบไหมว่าผู้ใดในเรื่องนี้เป็นผู้ที่มีกรรมมากที่สุด เหล่าลูกศิษย์ปรึกษากันครู่หนึ่งจึงตอบว่า สุนีถาที่ไปกลั่นแกล้งคนอื่นนั้นผิด สุศังขะที่สาปคนเกินเหตุก็ผิด เวนกษัตริย์ผู้ชั่วร้ายยิ่งผิดใหญ่ สรุปว่าบาปกรรมย่อมตกอยู่แก่สามคนนี้ครับ เจ้าตอบไม่ถูกดอก ครูพราหมณ์กล่าว กรรมทั้งนั้นย่อมตกอยู่แก่พวกนิษาทต่างหาก อันเป็นไปตามหลักเหตุผลที่ว่ากรรมของผู้ให้กำเนิดย่อมตกอยู่แก่ผู้ที่กำเนิดมาด้วย การที่เวนได้รับกรรมจากแม่ของเขาก็เป็นตัวอย่างที่ชอบอยู่ เมื่อเห็นพวกลูกศิษย์ทำหน้างงครูพราหมณ์จึงกล่าวต่อว่า เจ้าอาจมองจากความเป็นจริงในทุกวันนี้ก็ได้ ในป่านอกเมืองเราก็มีหมู่บ้านของคนเถื่อนนิษาทเหล่านั้นปรากฏอยู่ พวกมันย่อมยังได้รับผลกรรม แต่พวกเจ้าอย่าได้ริเข้าไปหามันเชียวนะเพราะการเกลือกกลั้วกับชนชั้นต่ำเช่นนั้นเป็นบาป ศิษย์คนหนึ่งอดรนทนไม่ได้ถามว่า อาจารย์ครับถ้านิษาทมีกรรมแต่กำเนิด พวกเขาจะมีหนทางทำอย่างไรเพื่อหลุดพ้นจากกรรมนั้นไหมครับ ครูพราหมณ์ยิ้มอย่างปราณี มีสิ สรรพสิ่งในโลกนี้ล้วนขึ้นอยู่กับกรรม ถ้าเขาทำบุญให้มากๆ พอตายแล้วชาติหน้าอาจได้เกิดในวรรณะอื่นที่ดีกว่า แสงแดดสาดส่องลงมาเป็นประกายเรืองๆครูพราหมณ์เดินไปปิดหน้าต่างเสียก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงกังวาลทว่าอบอุ่นนุ่มนวลว่า " พระผู้เป็นเจ้าย่อมมีความเป็นธรรมให้แก่ทุกคนอยู่แล้ว... ...........................(อ่านต่อ) |