นิยายแฟนตาซีแบบไทย

ศึกหกภพ

โดย เชษฐา

นิทานแทรก ๒


เรื่องราวที่จักรทัตผู้เป็นกษัตริย์แห่งภพอสูรเล่าให้มนุษย์ชื่อสนฟัง

... ... ...

“นานมาแล้ว สมัยพระพรหมท่านพึ่งสร้างโลกใหม่ๆ
ในตอนนั้นท่านตั้งใจจะให้มนุษย์เกิดมาบนโลกเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่มีปัญญาสูง”

“หมายความว่ายังไม่มีอสูรหรือเทพหรือครับ?” สนถาม

“ค่อยๆฟังสิ” จักรทัตกล่าว “เริ่มแรกที่เพิ่งมีอารยธรรม มนุษย์ยังไม่รู้เหนือรู้ใต้ ไม่รู้ซ้ายขวา แต่ธรรมชาติของมนุษย์นั้นย่อมมีการการพัฒนาไปเรื่อยๆไม่หยุดนิ่ง

“เวลานั้นยังมีชนเผ่าหนึ่งชื่อว่าเผ่าอารยะ เผ่านี้เป็นพวกรักวิชา พวกเขาสร้างโรงเรียน สร้างมหาวิทยาลัย ทั้งยังมีชุมชนวิชาการในอันซึ่งจะนำมาสู่การแลกเปลี่ยนความรู้ต่างๆแก่กัน ความรู้ด้านต่างๆของเผ่าอารยะก้าวหน้าไปกว่าเผ่าอื่นๆมาก แม้กระนั้นพวกเขาก็ยังคงพัฒนาต่อไปเรื่อยๆอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด จนกระทั่งวันหนึ่งก็มีอารยะคนหนึ่งค้นพบวิชายอดเยี่ยมบางอย่างขึ้นมาได้”

กษัตริย์อสูรเว้นจังหวะให้ความอยากรู้อยากเห็นของสนพัฒนาไปถึงจุดที่เขาพอใจจึงเล่าต่อว่า
“วิชาที่ยอดเยี่ยมนั้นก็คือวิชาฤทธิ์! เราไม่รู้ว่าใครเป็นคนค้นพบมันคนแรก แต่คิดว่าคงมาจากการที่อารยะคนนั้นทดลองนั่งสมาธิหรือนั่งเพ่งอะไรสักอย่างดูแล้วเกิดตาทิพย์มองเห็นมโนได้โดยบังเอิญ ตั้งแต่นั้นมามนุษย์จึงรู้จักตัวตนที่แท้จริงของตน คือตัวตนที่เป็นมโน!!!

“พวกอารยะตื่นเต้นกับความรู้ใหม่นี้มาก มีหลายคนหันมาศึกษาศาสตร์ด้านนี้อย่างจริงจัง วิชาฤทธิ์จึงได้รับการพัฒนาขึ้นเรื่อยๆด้วยความรวดเร็ว

“ในตอนนั้นพวกอารยะพบหลักวิธีในการเจริญสมาธิกับการใช้มโนธาตุทั้งหกแปรเป็นฤทธิ์ในทางต่างๆแล้ว พวกเขายังพบอีกว่าเมื่อกายเนื้อตายมโนจะหลุดออกจากร่างและเข้าไปวนเวียนเกิดดับในวัฏสงสารไม่มีที่สิ้นสุด น่าแปลกไหมล่ะ ถึงแม้จะเจริญถึงขนาดนี้แล้วพวกอารยะก็ยังมีความกลัวอย่างธรรมดาเหมือนกับสิ่งมีชีวิตทุกชนิด
…พวกเขากลัวตาย…

“คนยิ่งมีความรู้มากมีฤทธิ์มาก ยิ่งแก่ใกล้ตายก็จะยิ่งวิตกว่าเมื่อตนไปเกิดใหม่แล้วจะไม่ได้กลับมาเป็นมนุษย์ดังเก่า ความหวาดกลัวในเรื่องนี้ของพวกอารยะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนในที่สุดก็มีอารยะคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า เราไม่จำเป็นต้องตายไม่ใช่หรือ?

“อารยะคนอื่นได้ยินดังนั้นก็แปลกใจ พากันถามว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้นล่ะ?
อารยะคนแรกตอบว่า ตามทฤษฎีของเขา มนุษย์เราสามารถใช้ฤทธิ์บันดาลให้กายเนื้อคงสภาพเป็นหนุ่มสาวอยู่ตลอดกาลได้ หากกายเนื้อไม่ตาย มโนก็ไม่หลุดออกจากร่างและมนุษย์คนนั้นก็จะเป็นอมตะ

“พวกอารยะทั้งหลายเห็นจริงด้วยจึงเกิดความยินดีปรีดาเป็นหนักหนา ต่างดำเนินการฝึกจิตเต็มที่เพื่อจะเอาฤทธิ์อันเกิดขึ้นนั้นมารักษาสภาวะกายเนื้อของตนเอง

“หลังจากนั้นพวกเขาได้ตั้งคำขวัญประจำเผ่าขึ้นว่า
‘วัฏสงสารเป็นสิ่งที่ควบคุมได้และพวกอารยะคือผู้ควบคุมมัน’
บรรดาคนเหล่านี้ย้ายถิ่นฐานไปอยู่บนยอดเขาพระสุเมรุอันเป็นผืนดินที่สูงสุดของโลก เรียกสถานที่แห่งนั้นว่าสวรรค์และเนรมิตให้เป็นแดนบรมสุขซึ่งพวกเขาสามารถอยู่ชื่นชมได้ตลอดไป

“นอกจากนั้นพวกอารยะยังดำเนินการใช้ฤทธิ์ที่เหนือกว่าปกครองมนุษย์เผ่าอื่นซึ่งอยู่ด้านล่าง โดยพยายามทำให้มนุษย์เผ่าอื่นๆเชื่อว่าเผ่าอารยะเป็นเผ่าเทพที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดอันควรแก่การเคารพบูชา

“พวกเขาทำเช่นนั้นทำไม? เจ้าทราบมาแล้วว่ามโนทุกมโนย่อมมีพลังแฝงอยู่ พวกอารยะอยากให้มนุษย์เผ่าอื่นบูชาเขาเพราะขณะที่มนุษย์เผ่าอื่นบูชาพวกอารยะนั้น มโนของคนที่บูชาจะสร้างพลังความเชื่อขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว และพลังเหล่านั้นก็จะไปเสริมให้พวกอารยะศักดิ์สิทธิ์หรือเข้มแข็งขึ้นจริงๆ เป็นการสร้างเสถียรภาพแก่เผ่าอีกทางหนึ่งนั่นเอง

“อย่างไรก็ตามยังมีสมาชิกเก่าๆของอารยะบางพวกที่ประพฤติตนนอกลู่นอกทางจนฤทธิ์ที่เคยมีเสื่อมลงและไม่อาจรักษากายอมตะไว้ได้ เพื่อทดแทนสมาชิกเหล่านั้นและเพื่อให้เผ่ามีความมั่นคงที่สุด พวกอารยะจึงหาวิธีเพิ่มประชากรที่มีคุณภาพให้แก่เผ่าโดยการดึงเอามโนที่มีความบริสุทธิ์และมีพลังขึ้นมาเกิดเป็นพวกตนแทน

“เมื่อพวกอารยะพบว่ามโนของมนุษย์บนพื้นโลกยังไม่ค่อยพัฒนาเท่าที่ควรซึ่งจะนำมาสู่การขาดแคลนสมาชิกของเผ่าเขาด้วย พวกเขาจึงทำการ ‘สอน’ และ ‘ขู่’ มนุษย์ให้รักษาตนไม่ให้ติดสันดานหยาบจากกายเนื้อมากเกินไป

“การ ’สอน’ นั้นทำโดยการให้พวกอารยะบางคนลงไปสอนศีลธรรมให้แก่มนุษย์โลก ชี้ให้เห็นรางวัลอันจะได้หากอยู่ในศีลธรรมนั้นคือการได้เข้าเป็นสมาชิกคนหนึ่งของอารยะและเสวยสุขอยู่บนสวรรค์

“ส่วนในด้านการ ’ขู่’ พวกอารยะได้สร้างดินแดนแห่งการลงโทษหรือนรกภูมิสำหรับมโนที่ติดสันดานหยาบจากกายเนื้อมากเป็นพิเศษขึ้นอีกทางหนึ่ง ทั้งนี้เพื่อให้การลงโทษดำเนินไปอย่างเป็นรูปธรรม”

“การลงโทษอย่างเป็นรูปธรรมหรือครับ?”

“ใช่ จะเป็นด้วยกระทะทองแดง ต้นงิ้ว หรืออะไรต่อมิอะไรอันซึ่งเขาจะสรรหามาก็ตาม
การลงโทษเหล่านี้มีประโยชน์หลายอย่าง อย่างแรกคือสร้างแรงบันดาลใจให้มนุษย์หันมาทำความดีเพื่อพัฒนามโนตนเองมาเป็นประชากรที่มีคุณภาพแก่พวกอารยะ อย่างที่สองคือเพื่อให้พวกมนุษย์บนโลกมีความกลัวบาปและต้องนับถือบูชาพวกอารยะเป็นที่พึ่งทางใจมากขึ้น

นอกจากสองข้อนี้แล้ว นรกยังเป็นที่กักขังนักโทษหรือศัตรูของพวกอารยะอีกด้วย”

“…ท่านหมายความว่าพวกอารยะคือเหล่าเทพบนสวรรค์ที่เรารู้จักขณะนี้… ถ้าพวกเขาคือคนที่ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง อย่างนั้นพระเจ้าที่สร้างโลกล่ะครับ ท่านไม่ได้ดูแลโลกเชียวหรือ?”

จักรทัตยิ้มเจื่อนๆ
“ไม่เช่นนั้นดอก… พระผู้เป็นเจ้าท่านก็คอยตรวจตราโลกอยู่บ่อยๆแต่เป็นในระดับที่เหนือกว่าเท่านั้น เจ้าควรทราบว่าแม้มหามโนของพระเจ้าจะมีเพียงหนึ่งเดียว แต่พระองค์ได้แบ่งตนเองออกเป็นสามภาคเพื่อทำหน้าที่ต่างๆ คือพระพรหมเป็นผู้จินตนาการสร้างสรรพสิ่งให้มีขึ้น พระอิศวรเป็นผู้ดูแลให้สิ่งที่พระพรหมคิดนั้นดำเนินไปอย่างเป็นระเบียบ และพระนารายณ์เป็นผู้ทำลายสิ่งที่ผิดพลาดและเป็นภัยต่อระเบียบของพระอิศวร

“ในยุคนั้นพวกอารยะพัฒนารุดหน้าจนถึงแก่สามารถติดต่อกับพระผู้เป็นเจ้าทั้งสามได้โดยตรง ซึ่งแม้แต่พระองค์ก็ไม่ว่าอะไรในเรื่องที่ชนเผ่าพิเศษนี้ดำเนินการสร้างสวรรค์และนรกเอง ตราบใดที่แก่นสารของมันยังเป็นการสอนให้มนุษย์ทำความดีและเกรงกลัวต่อบาปอยู่ นี่อาจเรียกว่าเป็นจุดที่ชนเผ่าอารยะเจริญรุ่งเรืองจนถึงขีดสุดแล้วกระมัง”

“ท่านกำลังจะบอกว่าพวกอารยะก็มีวันตกต่ำหรือ?” สนถาม

“น้องเราช่างสงสัยเสียจริง อย่างไรก็ตามนิทานเรื่องนี้ยังไม่จบ แต่ตอนนี้ต้องขอเราพักดื่มน้ำก่อน”

จักรทัตเดินไปหยิบคนโทมารินน้ำใส่แก้วสองใบ เขายื่นใบหนึ่งให้สน อีกใบยกขึ้นดื่มเอง

สนเห็นน้ำที่ดื่มเป็นน้ำเปล่าธรรมดาก็นึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่เขาเข้ามาในภพอสูรยังไม่เคยเจอเหล้ามาก่อน แม้แต่ในงานเลี้ยงสังสรรค์ที่ผ่านมาอย่างมากก็มีเพียงน้ำผลไม้เท่านั้น อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้ใส่ใจอะไรนักจึงดื่มไปตามปกติ

จักรทัตถามว่า “เอาอีกไหม?”

สนตอบปฏิเสธ กษัตริย์อสูรจึงว่า

“เมื่อครู่เจ้าคงสงสัยว่าในเมื่อพวกอารยะรุ่งเรืองถึงเพียงนั้นแล้วจะมีวันเสื่อมเชียวหรือ คำตอบคือใช่ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีเกิดและดับ ย่อมเปลี่ยนแปลงอยู่ร่ำไปเป็นกฎธรรมชาติอยู่แล้ว

“อำนาจก็เช่นกัน น้องเราควรทราบว่าอำนาจนั้นเป็นของอันตรายอย่างหนึ่ง แม้มันจะทำให้เจ้าทำอะไรๆสะดวกขึ้น แต่ถ้าเจ้าถลำเข้าไปในวิถีของอำนาจนานเกินไป ในที่สุดอำนาจก็จะกินเจ้า”

กษัตริย์อสูรเหลียวหน้าไปอีกทางหนึ่ง

“เมื่อก่อนนี้ราหูเคยเป็นกษัตริย์ที่มีสติปัญญาและความสามารถโดดเด่นเหนือผู้อื่น นอกจากนั้นยังเป็นวีรบุรุษในใจเราเมื่อครั้งยังเล็ก” เขาถอนหายใจ “…แต่ราหูคนที่เราปฏิวัติคือราหูที่พังทลายแล้ว! เขาอยู่ในอำนาจมานาน มีอานุภาพเกรียงไกรสามารถปราบได้ทั้งสามโลก ทุกคนต่างยกย่องนับถือเขา จนในที่สุดราหูสำคัญตนว่ามีบุญบารมีเหนือผู้อื่น เกิดหลงมัวเมาในอำนาจ เขาจึงพังทลายเพราะถูกอำนาจกินนั่นเอง”

จักรทัตรินน้ำอีกครั้งแล้วดื่ม จึงค่อยเล่าเรื่องต่อว่า

“…ต่อมาในหมู่อารยะมีคนพบวิธีทำน้ำหมักชนิดหนึ่งที่เสพแล้วเกิดความรู้สึกครึ้มอกครึ้มใจ พวกอารยะชอบน้ำหมักชนิดนี้มาก ตั้งชื่อมันว่าสุรา แปลว่านักรบผู้กล้าหาญ และบางทีก็ถึงกับเรียกชนชาติของตนว่า ‘สุระ’ ตามชื่อน้ำชนิดนั้นไปด้วย

“ผู้นำอารยะสมัยนั้นชื่อว่าไพจิตร ยังมีความชื่นชอบสุรามากเป็นพิเศษ เมื่อเขาเห็นชนชาติของตนบรรลุจุดสุดยอดจนไม่จำเป็นต้องพัฒนาอีกแล้วเขาก็เริ่มปล่อยตัวให้สบายขึ้น เวลานั้นมีขุนนางทุจริตสองคนชื่อวิศวากับมาตังค์เห็นเรื่องนี้เป็นโอกาส จึงช่วยกันมอมเมาให้ไพจิตรหลงไหลไปกับการเอาแต่นั่งเสพสุราอยู่บนสวนสวรรค์ เรื่องราชการใดๆก็จัดการทำแทนเพื่อกุมอำนาจเอาไว้

“เมื่อผู้ปกครองหลงงมงาย วิศวามาตังค์ใช้อำนาจออกข่มเหงประชาชน พวกอารยะจึงเดือดร้อนกันมาก มีผู้จงรักภักดีหลายคนพยายามเขียนฎีกาส่งไปตักเตือนไพจิตร แต่วิศวาและมาตังค์ชิงทำลายฎีกานั้นก่อนและเข้ากำจัดผู้ที่ต่อต้านตนเสียสิ้น แต่นั้นมาชาติอารยะจึงค่อยๆเสื่อมลงเรื่อยๆ

“ในที่สุดอารยะคนหนึ่งชื่อว่ามฆะ ไม่อาจทนเห็นความพินาศของชาติตนได้ จึงพาพวกพ้องจำนวนสามสิบสองคนหนีไปเกิดในโลกมนุษย์ ทำการบำเพ็ญบารมีฤทธิ์อย่างลับๆจนแก่กล้าชำนาญ รอเมื่อพวกเขาเห็นว่ามีฤทธิ์เพียงพอแล้วก็กลับขึ้นมาบนสวรรค์ใหม่

“ตอนนั้นมโนของมฆะมีประกายเจิดจ้าเป็นสีประภัสสร ทั้งพวกพ้องอีกสามสิบสองคนต่างก็มีอิทธิฤทธิ์ร้ายกาจกว่าแต่ก่อนหลายเท่านัก ชาวสวรรค์เห็นดังนั้นจึงเกิดความเลื่อมใสพากันไปเคารพนบนอบขอเข้าร่วมกับมฆะด้วย ยิ่งนานวันกองกำลังของมฆะก็ยิ่งแข็งกล้าเติบโตขึ้นจนกระทั่งสามารถสร้างความหวาดเกรงให้กับไพจิตรผู้นำเก่าได้

“แต่ก่อนที่ไพจิตรจะคิดอ่านทำประการใดกับปัญหานี้ อยู่ๆมฆะก็ส่งจดหมายมาหาเขาแจ้งว่าตนไม่ต้องการเป็นศัตรูกับผู้นำอารยะ และจะขอจัดงานเลี้ยงเชิญไพจิตรมาร่วมรับประทานอาหารเพื่อผูกมิตรกัน

“ไพจิตรนั้นเสพสุขมานานย่อมไม่ต้องการเรื่องยุ่งยากอยู่แล้ว เมื่อมฆะมาขอผูกมิตรเช่นนี้จึงพาซื่อตกลงทันทีโดยไม่ทันคิดว่านั่นเป็นกลอุบาย

เมื่อวันงานมาถึง ไพจิตรกับวิศวามาตังค์และลูกน้องคนอื่นๆจึงเข้ามาร่วมกินเลี้ยงกับมฆะและพรรคพวกทั้งสามสิบสอง

“งานวันนั้นเป็นไปอย่างสนุกครื้นเครง มฆะเลี้ยงพวกไพจิตรด้วยสุราที่เก่าที่สุดและดีที่สุด ฝ่ายผู้นำต่างเพลิดเพลินไปด้วยกันโดยไม่ทันสังเกตว่ามฆะและพวกทั้งสามสิบสองไม่ได้แตะต้องเหล้าเหล่านั้นเลย

“นั่นเพราะมฆะกำลังรอให้พวกไพจิตรเมามายได้ที่ก่อน จึงค่อยเริ่มแผนที่แท้จริง!

“เขาและพรรคพวกออกจับกุมฝ่ายไพจิตรทั้งหมดเอาไว้อย่างรวดเร็ว เมื่อสยบลงได้แล้วมฆะก็ใช้ฤทธิ์ที่เหนือกว่าสาปให้กายเนื้อไพจิตรและพวกพ้องเปลี่ยนเป็นรูปร่างอัปลักษณ์อันสามารถแก่ตายเพื่อไม่ให้เป็นภัยอีก จากนั้นบรรดาเทพทั้งสามสิบสองจึงพากันจับเหล่าศัตรูโยนลงจากสวรรค์สู่ดินแดนใต้พิภพแห่งหนึ่งทันที

“มฆะดำเนินการต่อไปโดยออกกวาดล้างคนของไพจิตรที่เหลือ จับโยนลงมาที่ดินแดนใต้พิภพแห่งนั้นด้วยกันสิ้น เมื่อไร้เสี้ยนหนามแล้ว เขาจึงสถาปนาตนเองเป็นผู้นำแห่งชาติอารยะคนใหม่อย่างชอบธรรม เรียกกลุ่มของเขาสามสิบสองคนบวกกับเขาอีกหนึ่งเป็น ‘คณะสามสิบสาม’ เปลี่ยนชื่อตัวเองเป็น ‘มัฆวาน’ หรือ ‘พระอินทร์’ และตั้งชื่อดินแดนของพวกอารยะเสียใหม่ว่า ‘ดาวดึงส์’ อันแปลว่าสามสิบสามเพื่อเป็นการให้เกียรติแก่คณะของเขา

“ส่วนไพจิตรเมื่อเสียท่าแก่มฆะแล้วมานั่งตรึกดูก็กล่าวด้วยความเจ็บช้ำน้ำใจว่าที่เราเป็นดั่งนี้เพราะประมาทไม่รู้โทษของสุรา จึงสั่งลูกหลานทุกคนไม่ให้แตะต้องสุราเด็ดขาด ทั้งยังเรียกชื่อชนชาติใหม่ของตนว่า ‘อสุรา’ หรือ ‘อสูร’ อันแปลได้สองความหมายคือ เป็นชนชาติที่ไม่ข้องเกี่ยวกับสุรา หรือจะแปลว่า เป็นชาติที่ไม่ใช่พวกสุระคือไม่ใช่พวกอารยะเก่าก็ได้ ส่วนตัวไพจิตรนั้นยังเปลี่ยนชื่อตัวเองเป็น ‘ไพจิตราสูร’ อันหมายถึงไพจิตรผู้เป็นอสูรอีกด้วย

“ดินแดนใต้พิภพที่พวกอสูรถูกจับโยนลงไปตั้งแต่สมัยนั้นก็คือแดนอสูรกายภูมิแห่งนี้ ไพจิตราสูรและวิศวากับมาตังค์ก็คือบรรพบุรุษรุ่นแรกที่ไม่ค่อยน่านับถือเท่าไหร่นักของเรา และในขณะที่พวกอสูรแก่ตายมาไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่นแล้ว พวกของพระอินทร์บนสวรรค์หรือที่เรียกกันว่า ‘เทพ’ ก็ยังคงเป็นพวกเดิมรุ่นเดิมตั้งแต่เริ่มสถาปนานั้นเอง สำหรับคณะสามสิบสามที่ก่อการกันมาแต่แรกสุดต่างก็ได้รับแต่งตั้งเป็นตำแหน่งสำคัญๆ อย่างเช่นพระอาทิตย์ พระจันทร์ พระวิศวกรรมหรือพระวรุณที่เจ้าได้ยินชื่อบ่อยๆก็เป็นเทพในคณะสามสิบสามนี้

“ว่ากันว่ามฆะเป็นคนเจ้าชู้ เขาสาปอสูรผู้ชายให้น่าเกลียดแต่ไม่ได้สาปอสูรหญิง ดังนั้นผู้หญิงอสูรแทบทุกคนจึงสวยเหมือนนางสวรรค์ ซึ่งถึงแม้จะมีหญิงบางคนที่เผอิญโชคร้ายโดนคำสาปไปด้วยแต่ก็มีน้อยมาก

“และเนื่องจากชาวอารยะดั้งเดิมมีค่านิยมว่าชายที่หล่อเหลานั้นจะต้องหล่อจนสวยเหมือนผู้หญิง ดังนั้นใบหน้าที่อัปลักษณ์ในสายตาพระอินทร์ก็คือหน้าเหี้ยมๆอย่างนี้แหละ” จักรทัตเหลือกตาพลางชี้ให้ดูใบหน้าของตนเอง จากนั้นเขาก็หัวเราะ

แต่สนไม่ขำด้วย แม้เขาจะไม่ปลงใจเชื่อเรื่องราวที่จักรทัตเล่าทั้งหมด แต่มันก็ทำให้เขารู้สึกเสื่อมศรัทธาในพวกเทพลง นั่นอาจเป็นเพราะเมื่อก่อนเขามองว่าเทวดาเป็นผู้สูงส่งควรแก่การนับถือ แต่หลังจากฟังพฤติกรรมของพระอินทร์ที่เหมือนกับการหักหลังพวกเดียวกันนี้ทำให้สนเริ่มรู้สึกลังเลบ้าง
........................... (อ่านต่อ)


หมายเหตุ

นิทานเรื่องนี้ตอนต้นผมแต่งเอง ส่วนหลังตั้งแต่มีชื่อไพจิตรขึ้นปุ๊บเอามาจากตำนานกำเนิดพระอินทร์ครับ
เชษฐา

กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป 1