ธันวันตริทูนหม้อน้ำอมฤตขึ้นมา มีภูเขามันทระที่ยิ่งใหญ่มหึมาเป็นไม้กวนยา มีพญาเต่ากูรมาผู้ทรงมหิทธิศักดิ์เป็นฐานรองรับการเสียดสีอันเกิดจากแรงเคลื่อนมหาศาลแห่งยอดคีรีนั้น
พระยาอนันตนาคราชขดลำตัวพันมันทระคีรีไว้แน่นหนา และทอดร่างอันยาวยักษ์นั้นพาดพื้นทะเลไกลนับเป็นพันๆโยชน์
ส่วนหัวนาคมีเหล่ามาร อสูรกาย ยักษ์ แทตย์ รากษส หมื่นๆล้านๆตนยึดยันเอาไว้ด้วยแรงกายทั้งหมด
ส่วนหางมีเทพเทวา ตั้งแต่ชั้นเทวราชสูงสุดไปจนถึงเทพผู้น้อยยุดอย่างแน่นเหนียวประดุจคีมเพชรเหล็กกล้า
ยักษ์และเทพต่างดึงตัวนาคเคลื่อนไหวเวียนขวาเป็นประทักษิณให้ขุนเขากลางสมุทรหมุนปั่นน้ำพัดน้ำทะเลให้ปั่นป่วนคลุ้มคลั่ง
... สมุนไพรทุกชนิด ยาทุกอย่างในจักรวาลได้รับการสรรหามาเทลงผสมกัน ณ เกษียรสมุทรในอัตราส่วนที่เหมาะสม
เสียงสวดมนต์และการร่ายคาถาอาคมอาถรรพ์ดังสะท้านไปทั่วทั้งนภาอากาศ
คลื่นซัดตลบระลอกแล้วระลอกเล่ากลืนให้ยานั้นคละเคล้าผสมกันจนกว่าจะถึงจุดอิ่มตัว
ทุกผู้นายที่ร่วมประกอบการนี้ต่างมีเป้าหมาย
...เป้าหมายที่ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตชนิดไหนล้วนฝันใฝ่คำนึงหา... ...
...
หลังจากทำสงครามระหว่างอสูรและเทพดำเนินยืดเยื้อติดพันกันมานานนับหมื่นๆแสนๆปี จนการล้มตายและสูญเสียของทั้งสองฝ่ายไม่อาจวัดเป็นจำนวนได้ ในที่สุดพวกเทพก็เริ่มประชุมกันคิดหาทางยุติปัญหาด้วยหนทางอื่น
เมื่อแผนการใหม่ได้ผ่านการกลั่นกรองและลงมติเป็นเอกฉันท์โดยเทวสภา แพทย์สวรรค์ธันวันตริจึงถูกส่งลงไปยังอสูรกายภูมิเพื่อเจรจากับพวกยักษ์ฝ่ายต่างๆ อธิบายเกี่ยวกับทฤษฎีความเป็นไปได้แห่งสภาพอมตะของสิ่งมีชีวิต อมตะ ในความหมายของเขาคือสภาพอันพ้นจากการชราเจ็บตายโดยธรรมชาติ มีความเป็นปกติสุขอยู่เสมอ
ธันวันตริกล่าวว่า ในอดีตที่ผ่านมา มีผู้ใดบ้างพ้นความตาย มีสิ่งใดบ้างอยู่ยืนยงไปตลอด แม้วันนี้ท่านชนะเรา แต่วันข้างหน้าหรือจะสามารถหลีกเลี่ยงความพ่ายแพ้ได้เช่นกัน เมื่อแจ้งว่ากาลย่อมหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนเช่นนี้ไซร้ ใยเราท่านต้องรบราฆ่าฟันกันอย่างหาสาเหตุมิได้ด้วยเล่า อย่ากระนั้นเลยเราสองฝ่ายมาร่วมแรงร่วมใจกันเอาชนะชะตากรรม สร้างกฤษดาภินิหารให้ปรากฏแก่โลกดีกว่า เขาชี้แจงต่อว่าสิ่งมีชีวิตอาจถึงสภาพอมตะได้โดยอาศัยตัวยาชนิดหนึ่งซึ่งเขาเองให้ชื่อยาในอุดมคตินั้นไว้อย่างแนบเนียนแล้ว ชื่อของมันคือ น้ำอมฤต ในอันซึ่งน้ำอมฤตจะเกิดขึ้นในโลก จำต้องกระทำการพิลึกพิสดาร ต้องเทส่วนผสมหายากมากมายลงในมหาสมุทรที่กว้างที่สุด เอาภูเขาที่ใหญ่ที่สุดเป็นไม้กวนยาให้เข้ากัน ทั้งกว่ายาจะอิ่มตัวแล้วเสร็จก็ประมาณว่าเนิ่นนานนัก พวกเทพไม่อาจทำฝ่ายเดียวจึงขอแรงอสูรมาช่วยด้วย
ร่างทฤษฎีนั้นเรียบร้อยแล้วเหลือเพียงปฏิบัติอย่างเดียว
เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นสำคัญที่พวกอสูรต้องเอาไปปรึกษากันระยะหนึ่ง จริงๆก็นานทีเดียว แต่ในที่สุดคำตอบที่ออกมาคือ ตกลง ทำให้สัญญาไมตรีที่เกิดขึ้นครั้งแรกระหว่างสองฝ่ายบรรลุไปได้ด้วยดี ธันวันตริยังคิด คำตอบนี้เป็นที่แน่ใจได้อยู่แล้ว เขารู้ดีว่าได้จี้ไปยังธาตุแท้ที่สุดของทุกๆเวไนยสัตว์ ทั้งนี้เพราะไม่ว่าใครก็มีความคล้ายคลึงกันอย่างหนึ่ง ...ไม่ว่าใครก็กลัวตาย...
การร่วมมืออันยิ่งใหญ่ที่สุดระหว่างสองขั้วอภิมหาอำนาจแห่งจักรวาลทำให้ไม่ว่าอะไรๆก็เกิดขึ้นได้ พวกเขาเลือกใช้เกษียรสมุทรอันกว้างใหญ่เป็นสถานที่ประกอบการ ถอนภูเขามันทระทั้งลูกมาเป็นไม้กวนยา ใช้อิทธิพลให้สัตว์ยักษ์อย่างอนันตนาคและกูรมาต้องเข้าช่วยเหลือด้วย ผู้ออกแรงกวนย่อมเป็นเหล่ายักษ์และเทพที่มีฤทธิ์แก่กล้าจำนวนมากมายเหลือคณานับ กาลเวลาผ่านไปเนิ่นนาน บัดนี้งานกำลังคืบหน้าอย่างราบรื่น ธันวันตริซึ่งนั่งคุมเหล่าเทวดาที่ทำหน้าที่เทยาอยู่นั้นเกิดเอะใจอะไรบางอย่างจึงหยิบกระดานขึ้นมาทดดูอีกที รอยยิ้มปรากฏที่มุมปากของจอมแพทย์ ใกล้จะได้เวลาแล้ว... เขาพึมพำ จากการคาดคำนวณ ก่อนที่น้ำอมฤตจะบังเกิดขึ้นต้องมีของเจ็ดอย่างผุดขึ้นมาเป็นนิมิตแห่งความสำเร็จเสียก่อน เขาลอกร่างคำนวณนั้นคร่าวๆนำไปถวายพระอินทร์เจ้าแห่งทวยเทพให้ทรงทราบไว้แต่เนิ่นๆ พระอินทร์ที่รับรายงานมาพิจารณาถึงกับต้องครางในลำคอ อืม... ของทั้งเจ็ดอย่างนี้ล้วนแล้วแต่เป็นของสูงส่งศักดิ์สิทธิ อาจเป็นเหตุแห่งการวิวาทแย่งชิงในภายหน้าได้ เราเห็นจะต้องจัดการวางแผนแจกจ่ายไว้ล่วงหน้าอย่างรอบคอบเสียแล้ว จอมเทพเพ่งไปที่มหาสมุทร คำของธันวันตริไม่ได้ผิดพลาด หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดแสงสว่างวาบสาดประกายระยิบระยับที่พื้นน้ำกลางทะเลบังเกิดสิ่งมีชีวิตตัวหนึ่งค่อยๆเดินขึ้นมาจากเกษียรสมุทรจริงๆ!!! สิ่งแรกที่ขึ้นมาเป็นแม่โคสง่างามเขาเงามันเจิดจรัส มีเสียงฮือฮาดังมาจากเหล่าผู้ที่ทำการกวนอยู่รอบๆ เหตุใดจึงมีโคเดินมาจากน้ำ? หรือว่ามันตกลงไปก่อน? เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด เราควบคุมสถานที่นี้ไว้อย่างดีแล้วนี่
เพื่อตอบปัญหาของผู้ร่วมกระทำพิธีพระอินทร์จึงเหาะลงไปข้างๆโคตัวนั้นประกาศว่า ทุกท่านอย่าเพิ่งแตกตื่นไป ตัวยาผสมในกระบวนการทำน้ำอมฤตนั้นมีทั้งที่เป็นชีวะอินทรีย์และอนินทรีย์รวมอยู่ด้วย เมื่อสิ่งเหล่านั้นผ่านการหมุนวนผสมกลมกลืนกันจนอิ่มตัวในระดับหนึ่งก็จะบังเกิดสิ่งพิสดารต่างๆขึ้นมาเป็นปกติ และจากการคาดคำนวณของฝ่ายเราก่อนที่ตัวยาจะผนวกผสานกันจนถึงจุดสุดยอดและกลั่นออกมาเป็นอมฤตจะเกิดการอิ่มตัวเช่นนี้ถึงเจ็ดขั้นด้วยกัน พวกอสูรและเทพที่เรียงรายกันอยู่ต่างโห่ร้องเป็นเสียงอื้ออึงด้วยความยินดีกับความคืบหน้า พระอินทร์จึงประกาศอีกว่า สำหรับโคตัวแรกนี้ชื่อว่าสุรภี เป็นโคสารพัดนึก ผู้ที่เลี้ยงโคนี้ต้องการสิ่งใดจะได้สิ่งนั้นดังต้องการ ข้าคิดจะถวายแด่พระวสิษฐพรหมฤๅษี มีผู้ใดจะคัดค้านหรือไม่? พระวสิษฐ์เป็นฤๅษีที่ทรงธรรมะและอิทธิฤทธิ์ซึ่งทั้งพวกเทพและอสูรเคารพกันมาก ดังนั้นเมื่อพระอินทร์เสนอออกมาจึงไม่มีใครปฏิเสธต่างพร้อมใจกันกล่าวถวายโคสุรภีให้ท่าน ...
บังเกิดเป็นโคใหญ่ในราศี ที่หนึ่งซึ่งผุดมาจากวารี ชื่อสุรภี พระวสิษฐ์ทรงฤทธิ์เอา อีกครู่หนึ่งต่อมาก็เกิดแสงสว่างสาดจากท้องน้ำอีก คราวนี้มีสตรีสวยงามประกอบด้วยจริตและเรือนร่างอันยั่วยวน นางนวยนาถออกมาในท่าที่แสดงสัดส่วนอันเปล่งปลั่งเต่งตึงล้วนแต่กระตุ้นดำฤษณาของบุรุษเพศยิ่งนัก พระอินทร์ประกาศว่า นางผู้นี้ชื่อว่าวารุณี เนื่องจากมีความสามารถมอมเมาให้ผู้คนไหลหลงจึงขอตั้งให้เป็นเทวีแห่งสุรา และขอถวายให้เป็นคู่ครองกับพระวรุณเทวราช พระวรุณนอกจากจะเป็นเทพชั้นผู้ใหญ่มือขวาของพระอินทร์แล้วยังเป็นผู้ที่มีคุณธรรมเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปเช่นกัน ทุกคนจึงยอมรับข้อเสนอของพระอินทร์อีก ...
เจิดจำรัสรัศมีนารีเสาว์ รูปยั่วยวนกวนรัดกำหนัดเยาว์ ให้เข้าเฝ้าเป็นภรรยาพระยาวรุณ สิ่งที่ผุดขึ้นจากเกษียรสมุทรเป็นอย่างที่สามเป็นต้นทองหลางใหญ่ร่มใบรกครึ้มต้นหนึ่ง พระอินทร์ว่า ต้นไม้ดอกของมันมีกลิ่นหอมหวนมาก หากใครได้ดมจะสามารถรำลึกอดีตชาติของตนได้ จึงขอตั้งชื่อว่าต้นปาริชาติ ควรยกไปตั้งบนนันทวันสวนสวรรค์เพื่อเป็นบำเหน็จแก่เหล่าเทวดาที่มาร่วมงานครั้งนี้ ...
ร่มสะอาดกลิ่นสายกระจายหนุน เพียงใครดมชมเด่นว่าเป็นบุญ ปลูกสกุลบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พอถึงคราวของอันดับสี่ บังเกิดแสงสว่างส่องขึ้นดาษดื่นทั่วทั้งท้องทะเลเป็นพันๆล้านๆดวง แต่ละดวงเมื่อขึ้นมาแล้วก็จะกลายเป็นหญิงสาวสะคราญ ทุกนวลนางล้วนมีความงามเป็นเอกลักษณ์มิได้ซ้ำแก่กันเป็นจำนวนถึงหกสิบโกฏิ เราขอตั้งชื่อนางงามเหล่านี้ว่านางอัปสรซึ่งแปลว่าเกิดจากน้ำ พระอินทร์กล่าว เนื่องจากพวกนางงดงามทั้งสิ้น ภายหน้าอาจเกิดปัญหาแย่งชิงได้จึงขอให้ถืออัปสรเหล่านี้เป็นสมบัติสาธารณะ มีหน้าที่บำเรอแก่เทพและอสูรทั่วไป และยังจัดเป็นนางฟ้าพวกหนึ่ง ...
ล้วนงามงอนงามยอดตลอดถึง เหลือคณาพันล้านละลานอึง พระอินทร์จึงให้เป็นเช่นของกลาง ครั้งที่ห้าแสงสว่างค่อยๆขึ้นมาเป็นดวงใหญ่เพียงดวงเดียวและไม่เปลี่ยนแปลงรูปเป็นของวิเศษอีก
แม้กระนั้นทุกคนกลับรู้สึกว่าแสงนั้นเย็นตาอย่างยิ่ง น่ามองและสวยงามอย่างยิ่ง แม้ได้ชมไปตลอดกาลก็จะดีไม่น้อย พระอินทร์เข้าใจความรู้สึกของผู้ร่วมพิธีดีจึงกล่าวว่า วัตถุที่มาในคราวนี้ว่าไปแล้วคลับคล้ายกับดวงดาวอันสวยงามซึ่งทุกท่านคงจะอยากชื่นชมมันอยู่เรื่อยๆ จึงขอยกมันให้แก่จันทราเทวบุตรรักษาไว้ ถึงยามกลางคืนเมื่อใดจงชักรถนำวัตถุนี้ส่องแสงสว่างแก่พื้นโลกประดุจดวงอาทิตย์ในยามกลางวัน และเราจะขนานนามมันว่า พระจันทร์ ตามนามของจันทราเทวบุตรผู้ทำหน้าที่นี้ด้วย ...
เป็นรัชนีขาวเย็นไม่เห็นหมาง ให้ประดับราตรีที่คคนางค์ ไว้เป็นทางแก่พระจันทร์ดั้นโคจร พอคลื่นน้ำหมุนวนจนอิ่มตัวเป็นคราวที่หก พิษร้ายทั้งปวงที่แฝงอยู่ในองค์ประกอบของน้ำอมฤตค่อยๆเกาะตัวกันตกตะกอนเป็นกลุ่มก้อน ไอสีเขียวและม่วงระเหยออกมาเป็นวงกว้างกลางเกษียรสมุทร ไม่มีใครกล้าสูดดมมัน ต่างทราบดีว่าพิษที่เกิดจากกระบวนการอันยิ่งใหญ่นี้จะต้องร้ายกาจสุดประมาณสามารถสังหารสิ่งมีชีวิตให้ถึงกาลดับสูญโดยง่าย อย่างไรก็ตามดูเหมือนพระอินทร์ได้ทรงวางแผนเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้แล้ว ของเสียจากพิธีกรรมของเรานี้ไม่มีประโยชน์แก่ผู้ใด เว้นไว้เสียก็แต่สัตว์เลื้อยคลานแลงูที่ใช้พิษเป็นอาวุธ จึงขอให้พวกนาคสูดเอามันไปเสริมกำลังแก่ท่านเถิด จอมเทพกล่าว นาคานาคินีทั้งหลายได้ฟังเช่นนั้นก็พอใจ ต่างพากันเลื้อยมาใช้เขี้ยวดูดพิษนั้นเอาไว้กับตัว มีเพียงพระยาอนันตนาคราชผู้เดียวที่ไม่ได้ร่วมกิจกรรมนี้ด้วย จะเป็นเพราะเขามีพิษร้ายอยู่แล้วหรือไม่อยากแย่งกับนาคอื่นๆก็ไม่มีใครทราบได้
อาจมลายกลายแดนดังแสนศร กัดและกร่อน บ่อนและล้าง ผลาญและทอน พวกงูหงอนงอนงับจึงรับไป ถึงตอนนี้เริ่มมีอสูรบางพวกเอะใจบ้างแล้วว่าเหตุใดรางวัลของพวกเขาจึงมาไม่ถึงสักที ต่างตนต่างหมายมั่นปั้นมือว่าของวิเศษอันเกิดจากการอิ่มตัวในลำดับที่เจ็ดนี้ไม่ว่าอย่างไรต้องอ้างสิทธิเป็นของฝ่ายตนให้ได้ พระอินทร์เห็นอาการฮึดฮัดในหมู่ยักษ์อย่างชัดเจน แต่จอมเทพกลับมิได้วิตกน้อย กลับเผยรอยยิ้มดังทราบความข้อนี้อยู่แก่ใจก่อน การอิ่มตัวในครั้งที่เจ็ดเกิดขึ้นหลังจากของเสียแห่งอมฤตธาตุหลุดออกไปแล้ว ดังนั้นส่วนผสม ณ เวลานี้จึงเหลือเพียงของดีซึ่งมีความหอมหวาน อย่างไรก็ตามน้ำอมฤตในทฤษฎีของธันวันตรินั้นต้องมีคุณสมบัติเป็นกลางที่สุด การอิ่มตัวในครั้งนี้จึงเป็นการกลั่นเอาส่วนดีแห่งตัวยาทั้งปวงมารวมกันแยกออกไปอีก ของวิเศษที่เจ็ดเป็นดอกบัวใหญ่ชูก้านขึ้นมาจากน้ำ กลีบบัวค่อยๆบานออกช้าๆ ภายในปรากฏสตรีนางหนึ่ง นั่งกอดเข่าอยู่ในลักษณาการของทารกแรกเกิด ทุกคนเห็น หญิงสาวผู้นี้มีงามนัก งามอย่างไม่เคยมีหญิงใดงามเท่านี้มาก่อน ยิ่งเมื่อนางลืมดวงตาอันลึกซึ้งนิ่มนวลขึ้นต่างก็ประจักษ์ว่าความงามของนางยังเหนือล้ำกว่านางวารุณีและอัปสรทั้งหกสิบโกฐิรวมกันเสียอีก เป็นความงามที่ไม่น่าเชื่อว่าจะปรากฏอยู่ในโลก ความงามซึ่งบริสุทธิ์ผ่องแผ้วเกินกว่าขอบเขตของกามารมณ์ ไม่ว่าผู้ใดได้พบต่างตะลึงงันค้างอยู่ไม่กล้าแม้กระพริบตาเพราะเกรงสูญเสียเวลาน้อยหนึ่งที่จะละจากภาพนั้น แม้พระอินทร์เองยังหวั่นไหวบ้าง อย่างไรก็ตามเขาก้มลงกราบหญิงนางนั้นทันทีที่ได้สติ ขอนมัสการพระแม่เจ้า เขากล่าวเสียงดังชัดเจน ก่อนที่ฝูงชนจะทันสงสัย จอมเทพก็พูดต่อว่า จากการผสมรวมกันของส่วนประเสริฐทั้งปวงแห่งอมฤตธาตุ บัดนี้ได้บังเกิดเป็นหญิงที่งามที่สุดในโลกทั้งยามอดีต ปัจจุบันและอนาคต นามของพระนางคือพระลักษมี ซึ่งมีโชคชะตาที่จะได้เป็นเทวีแห่งโชคและความงามต่อไป เมื่อเห็นว่านางยังเปลือยกายอยู่พระอินทร์จึงหันไปสั่งให้พระวิศวกรรมเทพแห่งการประดิษฐ์เนรมิตเครื่องทรงอันวิจิตรขึ้นมาถวายและบังคมทูลลงจากดอกบัวนั้น ชั่วครู่หนึ่งพวกอสูรเกิดความลังเลว่าสตรีนี้ดีเกินไปไม่คู่ควรกับบุญตน ต่างไม่อาจเผยอปากขึ้นอ้างสิทธิ์ดังตั้งใจไว้แต่แรก พระอินทร์ฉวยโอกาสนั้นประกาศอย่างเป็นทางการว่า เนื่องจากพระลักษมีเทวีมีความดีเกินกว่าจะเป็นของพวกเราผู้ใดผู้หนึ่งได้ จึงขอถวายนางให้เป็นชายาของพระนารายณ์ ให้เป็นสถิตย์มิ่งขวัญแก่ชาวสุระอสุราตลอดกาล ดังนั้นอสูรตนใดที่ตอนแรกคิดจะชิงของวิเศษ ตอนนี้ไม่มีโอกาสโดยสิ้นเชิงแล้วพวกเขาได้แต่เพียงเก็บความอึดอัดไว้ข้างใน เฮอะ ของตกถึงมือพระนารายณ์ใครจะกล้าแย่งอีก ...
จึงบังเกิดลักษมีศรีสมัย อันความงามงามจริงยิ่งวิไลย อรทัยเข้าถวายนารายณ์ครอง น้ำอมฤตอยู่เบื้องหน้าไม่ไกลแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้เหล่าอสูรน้อยใจเลิกกระทำการก่อนงานจะสำเร็จพระอินทร์จึงกล่าวกับพวกเขาว่า สำหรับบรรดาอสูรทั้งหลายที่ร่วมงานครั้งนี้ เราเห็นว่าพวกท่านมีทิพยสมบัติมากมายอยู่แล้วจึงไม่ได้แบ่งปันของวิเศษให้ พวกท่านมีความใจกว้างโปรดอย่าสนใจกับสมบัติที่เป็นผลพลอยได้เช่นนี้เลย สิ่งที่พวกท่านต้องการคือน้ำอมฤตต่างหาก ความไม่แก่ไม่ตายย่อมคือสมบัติอันประเสริฐที่สุดมิใช่หรือ? แม้เหล่าอสูรจะไม่พอใจบ้าง แต่เห็นว่างานใกล้สำเร็จถึงขั้นนี้แล้วไม่ควรหยุดด้วยเหตุผลเล็กน้อยดังนั้นจึงก้มหน้าก้มตากวนน้ำอมฤตต่อ เวลาผ่านไปอีกเนิ่นนาน นานกว่าการปรากฏขึ้นติดๆกันของของวิเศษทั้งเจ็ดมาก แต่แม้ว่าจะนานเพียงใดทุกผู้คนก็ยังทำงานของตนอย่างขยันขันแข็ง เพราะต่างทราบว่านี่เป็นขั้นตอนสุดท้ายแล้ว ...เป็นประตูบานสุดท้ายก่อนที่จะพวกเขาจะได้พบกับความอมตะ... และแล้วเมื่อการคล่ำกวนผ่านไปจนถึงระดับหนึ่งในที่สุดเกษียรสมุทรก็เกิดอุบัติการผิดประหลาด น้ำทะเลทะลักฉานซ่านกระเซ็นเป็นสีขาวขุ่น และมีแสงสว่างสาดออกมาเรืองๆ!!! ยังมีของวิเศษอีกหรือ? ทุกคนต่างสงสัย แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีอะไรผุดออกมาเสียที ปรากฏการณ์คราวนี้ไม่เหมือนของวิเศษชิ้นก่อนๆที่เป็นแสงที่ส่องขึ้นมาจากน้ำ มันเหมือนว่าต้นกำเนิดแสงจะอยู่ใต้น้ำเสียเองมากกว่า ธันวันตริคำนวณอยู่ครู่หนึ่งเกิดเอะใจจึงแผลงฤทธิ์ชำแรกกายลงในกระแสสมุทรทันที ยิ่งเขาดำลึกก็ยิ่งเห็นแสงสว่างชัดตาขึ้นเรื่อยๆ แพทย์สวรรค์ว่ายน้ำทวนเข้าหาต้นกำเนิดแสงนั้นจนกระทั่งไปเห็นฟองน้ำใหญ่ลูกหนึ่งส่องประกายสีเหลืองสว่างเป็นต้นกำเนิดแห่งแสง พบแล้ว!!! เขาคิดพลางเสกหม้อใหญ่ใบหนึ่งแล้วรองเอาฟองน้ำนั้นมาจนหมด ธันวันตริว่ายกลับขึ้นไปข้างบนโดยทูนหม้อนั้นไปด้วย เสียงดังซ่าๆเมื่อเขาผุดจากผิวสมุทร ฟองน้ำเมื่อกระทบกับอากาศก็กลายเป็นน้ำใสส่งกลิ่นหอมตลบอบอวนทั่วทั้งบริเวณ ผู้คนที่ล้อมรอบมองดูเหตุการณ์นั้นต่างคาดเดาได้แล้วว่าสิ่งที่แพทย์สวรรค์นำติดมาด้วยคืออะไร มันคือน้ำอมฤต!!!!!!!!!!! สำเร็จแล้ว!!!! เสียงๆหนึ่งตะโกนก้อง เราสร้างน้ำอมฤตได้แล้ว!!!! อีกเสียงตอบรับ เรา เราพ้นตายแล้ว!!!!!!!!! ทุกคนไชโยโห่ร้อง ทุกคนยินดีปรีดา บางคนหัวเราะก้อง บางคนถึงกับร้องไห้ กฎแห่งธรรมชาติได้ถูกทำลายลงแล้ว!!! ต่อไปนี้พวกเขาจะไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด ไม่ต้องอยู่ในวัฏสงสารอีก!!! พวกเขาเอาชนะมันแล้ว!!! ...
ชื่นชีวีหอมหวนไม่ควรสอง ส่องสว่างกระจ่างพื้นสุธาทอง เปลี่ยนครรลองของชีวิตให้ผิดกัน
ต่อแต่นี้ผู้ใดได้มาเสพ เพียงสังเขปก็จะพาพ้นอาสัญ หลุดว่ายเวียนเวทนาสารพัน มีชีวันล้นเหลือเหนือเวลา
เสียงโห่ร้องยินดังลั่นไปทั่ว อึงกันนัวอื้อกันแน่นแผ่นภูผา เป็นสุดยอดความสำเร็จเก็จราคา ที่อสุราและสุระชนะตาย เหล่าเทวดาโปรยเครื่องหอมดอกไม้ทิพย์ลงจากสวรรค์ ต่างฟ้อนรำและเล่นดนตรีเป็นที่สนุกสนานรอบๆหม้อน้ำอมฤตยู ทุกคนต่างดีใจจริงๆและร้องเพลงเต้นรำกันอย่างเปรมปรีดิ์จริงๆ เหตุการณ์นั้นคล้ายกับจะเป็นงานเลี้ยงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นในโลก อย่างไรก็ตามดูเหมือนจะมีคนผู้หนึ่งไม่ยินดีกับความสำเร็จนี้เท่าใดนัก เมื่อพระยาอนันตนาคราชเห็นว่าหน้าที่เขาของเรียบร้อยแล้วจึงค่อยคลายตัวจากภูเขามันทระและเลื้อยขึ้นฝั่งอย่างช้าๆ พอถึงมุมสงัดมุมหนึ่งเขาโอมอ่านวิทยาเวทย์มนต์เพื่อให้ตนเองกลับคืนสู่ร่างมนุษย์ในรูปชายกลางคนผมและหนวดเคราขาวโพลน สวมใส่เครื่องแต่งกายสีขาวทั้งหมด นี่เป็นร่างที่เขาใช้ยามปกติ พระยาอนันตนาคราชจะเปลี่ยนเป็นร่างงูก็เฉพาะยามสำแดงฤทธิ์เท่านั้น ด้านโน้นยังฉลองกันอยู่ เมื่อทอดสายตามองหม้อน้ำอมฤตและผู้คนที่ฟ้อนรำอยู่รอบๆ กษัตริย์แห่งงูก็ขมวดคิ้วแล้วถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ...เวรกำเนิดแล้ว... เขากล่าว พอดีในบริเวณนั้นมีอสูรบางตนได้ฟังคำของพญานาคด้วยจึงหัวเราะออกมาอย่างไร้มารยาท ฮาฮาฮา ดูเจ้างูมีหงอนพูดสิ เจ้านั่นคงจะอิจฉาเรา มันยกมือขึ้นชี้หน้า ฟังนะอนันตนาคเอ๋ย ชั้นสัตว์อย่างเจ้าไม่มีสิทธิได้แบ่งปันน้ำอมฤตอันล้ำค่านี้ดอก แต่เห็นแก่ที่เจ้าออกแรงประกอบพิธีครั้งนี้ด้วยเราจะละเว้นไม่โจมตีเมืองนาคของเจ้าชั่วคราว อสูรอีกตนร้องว่า ใช่ ได้ยินเต็มสองหูแล้วก็รีบไสหัวไปสิ!! พระยาอนันตนาคราชหันไปดูอสูรเหล่านั้น แววตาแฝงด้วยอารมณ์โกรธแต่ก็ยังเจือความสมเพชไม่น้อย เขาแค่นเสียงออกมาครั้งหนึ่งจึงเดินทางจากไป หลังจากนั้นเหล่าเทวทูตจึงนำสารมาบอกพวกยักษ์ว่า การประกอบน้ำอมฤตสำเร็จขึ้นอย่างยากลำบาก เวลาเสพจึงไม่ควรเสพโดยรีบร้อนนัก แต่ควรจะทำเป็นงานใหญ่โต แจกจ่ายกันโดยทั่วถึงและเป็นระเบียบ ซึ่งเรื่องนี้เหล่าเทวาจะรับไปเตรียมเอง ขอให้พวกท่านจงรอในที่ๆเราจัดไว้แล้วเถิด เทวทูตคนนั้นนำยักษ์มารทั้งหลายไปยังสถานที่อันสะอาดแห่งหนึ่ง ประกอบด้วยพฤกษาผกาทิพย์ละลานตาแลดูสวยงามน่าพิศวงถึงแก่เรียกว่าไม่มีอสูรตนใดเคยเห็นมาก่อนก็ได้ เบาะนุ่มนิ่มถูกปูไว้สำหรับทุกคนเป็นการเฉพาะ อาหารรสเลิศแลนางฟ้าสวยงามมากมายนั่งพับเพียบเรียงรายรออยู่เช่นกัน เมื่อเหล่ายักษ์เข้าประจำที่ตามความศักดิ์เหมาะสม เทพธิดาเหล่านั้นบ้างก็ลุกขึ้นมาฟ้อนรำให้ดู บ้างก็มาปรนนิบัติพัดวีเอาอกเอาใจให้ การนี้พวกอสูรชื่นชอบนัก ต่างโห่ร้องอย่างสนุก เที่ยวไล่แย่งยื้อตัวนางฟ้าเสพอาหารคาวหวานตะกรุมตะกรามตามสันดานหยาบจนเกิดเหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวาย ซึ่งเหล่าเทวทูตก็เพียงยืนดูอยู่ห่างๆ มิได้ออกมาห้ามปรามพวกมันแต่ประการใด
ณ ตำหนักของเจ้านายอสูรอันจัดแยกไว้เป็นพิเศษ อสูรเสื้อดำกำลังคุยกับอสูรเสื้อเขียว อสูรเสื้อดำกล่าวด้วยความเคียดแค้นว่า น่าโมโหนัก พระอินทร์แสร้งเป็นคนดีอ้างมาระงับข้อพิพาทจัดแบ่งของวิเศษ พูดจาวกไปวนมาแท้จริงกลับต้องการยักยอกของเหล่านั้นสู่มือพรรคพวกตนอย่างหน้าด้านๆต่างหาก! เขาตบโต๊ะโดยแรง ของวิเศษชิ้นแรกๆเราไม่ทันนึก มาเอะใจเอาตอนยกดวงจันทร์ให้จันทราเทวบุตร แต่หลังจากนั้นของวิเศษชิ้นที่หกก็เป็นพิษใช้การอะไรไม่ได้ ชิ้นที่เจ็ดเป็นพระลักษมีก็ไม่ควรบุญอีก พวกเทวดามันต้องวางแผนเอาไว้อย่างละเอียดแล้วแน่ๆ! ไม่เอาน่า อสูรเสื้อเขียวโบกมือเป็นทีให้ใจเย็น ตอนที่เรามาร่วมงานกวนน้ำอมฤตครั้งนี้ก็ไม่ได้หมายจะได้ของวิเศษอื่นอยู่แล้วมิใช่หรือ อย่าว่าแต่หลังจากเลิกงานพวกเขายังมีน้ำใจจัดเลี้ยงเราเสียหรูหรา ว่าพลางตักน้ำในไหข้างๆมาใส่แก้ว น้ำนี้กลิ่นหอมฉุนนัก แม้จะมีรสขมบ้างแต่เสพแล้วเกิดความร้อนในอกคล้ายมีกำลังวังชาขึ้น คงเป็นเครื่องดื่มทิพย์ที่ชาวสวรรค์นิยม ท่านลองสักจอกสิ อสูรเสื้อดำรับมาดื่มแล้วกระแทกจอกลง ที่เจ้าว่ามาก็ถูก แต่แรงงานที่เป็นต้นกำเนิดสิมันเป็นของชาวอสูรเราครึ่งหนึ่ง ดังนั้นแม้ผลพลอยได้ก็ควรแบ่งกันอย่างยุติธรรม สิ่งที่ข้าสนใจย่อมไม่ใช่คุณค่าของของวิเศษดอก แต่เป็นเกียรติยศของชนเผ่าอสูรต่างหาก อสูรเสื้อเขียวเพียงยิ้มน้อยๆ เกียรติกับยศ เพียงสองคำนี้ไม่ทราบคร่าชีวิตผู้คนมามากมายเท่าใดแล้ว เทพกับอสูรทำสงครามกันหมื่นปีแสนปีเพราะต่างฝ่ายต่างไม่รู้จักถอยให้แก่กันก้าวหนึ่ง เจ้ากล้าต่อว่าเผ่าตนเองรึ!? อสูรเสื้อดำคำรามอย่างมีโมโห ท่านย่อมรู้นิสัยข้าดี อสูรเสื้อเขียวกล่าว และเราทั้งสองย่อมรู้จักสันดานของพวกเทพดีเช่นกัน พวกนั้นสำคัญว่าตนเองสูงส่งกว่าเผ่าอื่น ดูถูกเผ่าอื่นเสมอมา แต่หลังจากทำสงครามยาวนานคาดว่าทิฐิของพวกมันคงลดลงไปบ้าง ที่มันคิดสร้างน้ำอมฤตให้ทั้งสองฝ่ายร่วมกันเสพเป็นอมตะพร้อมกันนั้นเท่ากับมันยอมถอยให้อสูรก้าวหนึ่งแล้ว หืม... อสูรเสื้อเขียวยิ้ม อย่างไรก็ตาม งานครั้งนี้เทพเป็นคนจัด พวกมันเตรียมกันเองทั้งหมด ทั้งเรื่องหายา หาสถานที่ เราเพียงช่วยลงแรงเท่านั้น ดังนั้นหากไม่เอาเปรียบเราบ้างเล็กน้อยพวกเทพคงจะรู้สึกเสียเกียรติตามสันดานเก่า เขากล่าวต่อ แต่ไม่ว่าอย่างไรต่อจากนี้เมื่อศูนย์อำนาจใหญ่สองฝ่ายรบกันให้ตายก็ไม่เสียหายทั้งคู่ ภายหน้าเราคงได้แต่เป็นมิตรกับเทพอยู่ดี ถึงเวลานั้นของวิเศษจะเจ็ดอย่างหรือร้อยอย่างพันอย่างจะมีประโยชน์อันใดเล่า มันถอยให้เราแล้ว เราถอยให้มันบ้างมิได้หรือ? อสูรเสื้อดำตรึกตรองอยู่พักหนึ่งจึงหัวเราะออกมา ฮาฮาฮา จริงสิ ความคิดข้าไม่ทันเจ้า พูดไปแม้มันจะเอาของทั้งหมดก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผลอยู่ ข้าบุรุษใจกว้างจะถือสาได้อย่างไร ท่านคิดได้เช่นนี้นับว่าดีแล้ว อสูรเสื้อเขียวชี้ไปที่จานอาหารและเครื่องดื่ม ดังนั้นก่อนจะถึงวันที่สองเผ่าสมานฉันท์มิตรภาพ เราควรแก้แค้นเรื่องในอดีตให้สาสมเสียก่อนโดยการบริโภคอาหารเทพเหล่านี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ทั้งสองหัวเราะ และรินเครื่องดื่มทิพย์มาดื่มอีก อสูรเสื้อดำเปรยขึ้นว่า จริงสิ วันนี้ไม่รู้ข้าเป็นอะไร รู้สึกครึ้มอกครึ้มใจอย่างประหลาด ฮาฮาฮา คนไม่ตายแล้วย่อมครึ้มอกครึ้มใจเป็นธรรมดา อสูรเสื้อเขียวกล่าว เอ๋ เดี๋ยวสิ ครึ้มอกครึ้มใจหรือ? เขามองออกไปภายนอกเห็นเหล่าบริวารกำลังฉุดคร่านางฟ้าเป็นเสียงอื้ออึ้ง นั่นเกิดเรื่องอะไรน่ะ? เด็กๆมันกำลังสนุกกัน เราก็ปล่อยมันไปสักครั้งหนึ่งเถอะ ไม่ใช่ ปกติพวกนางฟ้าจะถือตัวที่สุด แต่ตอนนี้แม้จะถูกพวกนั้นลวนลามลามกแต่คล้ายหลายนางกำลังยิ้มแย้มอยู่ด้วยซ้ำ นี่แหละที่เขาว่าอิสตรีย่อมแปรเปลี่ยนได้เสมอๆ อสูรเสื้อดำว่า บางทีพวกนางก็โกรธ บางทีพวกนางก็น่ารัก ฮาฮา เจ้าอย่าทำให้ข้านึกถึงภรรยาที่บ้านสิ อสูรเสื้อเขียวเขม้นตาอย่างไม่วางใจ ...ดูเหมือนคนของเราจะก้าวร้าวกว่าแต่ก่อนมาก หลายคนมีอาการเหมือนกับไร้สติทีเดียว เขาสังเกตต่อ นางฟ้าเหล่านั้นจะพยายามคะยั้นคะยอให้คนของเราดื่มอะไรบางอย่าง
เสพแล้วรู้สึกร้อน? อาการครึ้มอกครึ้มใจ? คุมสติไม่อยู่? นางฟ้าพยายามให้ดื่ม?
!!! ไม่ได้การละ! อสูรเสื้อเขียวร้อง อะไรหรือ? อสูรเสื้อดำถาม ถ้าข้าคาดไม่ผิดเครื่องดื่มแปลกๆที่เทพมานี้คือสุรา! แม้เครื่องดื่มชนิดนี้จะไม่มีในภพอสูร แต่มันเป็นชนิดเดียวกับที่พวกเทพเคยใช้มอมเมาบรรพบุรุษของเราในอดีตจนต้องลุ่มหลงพ่ายแพ้ ตำนานว่าไว้สุราหากเสพน้อยจะทำให้ผู้ดื่มจะรู้สึกเพลิดเพลิน หากเสพมากจะเมามายไร้สติ อสูรเสื้อเขียวร้อนใจหนัก และคนไม่เคยเสพสุรามาก่อนจะยิ่งเมามายเร็ว มันเล่นงานเราแล้ว!!! เขาขว้างจอกเหล้าแตกกระจายแล้วรีบวิ่งลงจากตำหนักทิ้งให้อสูรเสื้อดำยืนนิ่งตะลึงอยู่ตรงนั้น อสูรเสื้อเขียวรี่ไปยังกลุ่มอสูรที่ใกล้ที่สุดร้องว่า เราเสียกลพวกเทพแล้ว อย่าดื่ม! อย่าดื่ม! แต่ดูเหมือนจะสายไป พวกยักษ์มารกำลังเมาได้ที่และครื้นเครงกันอยู่ แฮ่ แฮ่ ท่าน มาทำอะไรที่นี่หรือคร้าบ ยักษ์ตนหนึ่งกล่าวกับอสูรเสื้อเขียว น้ำที่พวกเจ้าเสพอยู่คือสุรา มันจะทำลายสติพวกเรา! ฮา ไม่เห็นมีอะไรเลย ออกจะดี ใครอยากมีสติเล่า พวกอสูรหัวเราะแล้วก็เสพสุราต่อไป เจ้าถูกมอมแล้ว! อสูรเสื้อเขียวปัดจอกสุราจากมือบริวาร หยุดดื่มเดี๋ยวนี้! แต่ไม่มีใครฟังเขาสักคน ยังคงดื่มต่อไปเรื่อยๆ ยิ่งดื่มก็ยิ่งเพ้อละเมอ อสูรเสื้อเขียวเห็นดังนั้นจึงรี่เข้าเตะไหสุราที่ใกล้ที่สุดล้มลงไหหนึ่ง แล้วไล่ทำลายต่อไปเรื่อยๆ เหล้าไหลกระเซ็นนองพื้น กลิ่นฉุนแรงคละคลุ้งทั่วบริเวณ เหล่าอสูรทั้งโกรธทั้งเสียดายน้ำทิพย์ที่สูญไป ประกอบกับมีความเมาเป็นฤทธิ์บ้า อสูรตนหนึ่งจึงตวาดว่า เฮ้ย! อย่านึกว่าเอ็งเป็นนายแล้วจะมาทำอย่างนี้ได้นะ!!! แต่อสูรเสื้อเขียวยังคงตะโกนซ้ำแล้วซ้ำอีก เรากำลังเสียกลพวกเทพ ยิ่งพวกเจ้าดื่มน้ำเหล่านี้ก็จะยิ่งขาดสติ! แต่อสูรบริวารกลับฟังคำนั้นคล้ายเป็นการหาเรื่องเหยียดหยาม ตนหนึ่งเหลืออดตรงเข้าต่อยอสูรเสื้อเขียวโดยแรงจนฝ่ายตรงข้ามล้มลงทันที อสูรตนอื่นๆเห็นดังนั้นก็หัวเราะชอบใจ กลุ้มรุมเข้าชกตีกระทืบอสูรเสื้อเขียวอย่างเมามัน อสูรเสื้อเขียวตนเดียวสู้ไม่ได้ต้องก้มตัวคุดคู้กับพื้นอย่างน่าสมเพช อย่า อย่า เขาครวญครางสิ้นหวัง พวกยักษ์ยิ่งเตะต่อยยิ่งคุ้มคลั่ง เสียง ฆ่ามัน!! ดังมาจากไหนก็ไม่รู้ แต่ก็มีหลายคนคล้อยตาม ดังนั้นกระบองใหญ่กล้าจึงถูกชักออกมาฟาดด้วย การรุมทำร้ายเป็นไปอย่างป่าเถื่อนทารุณ เลือดของเหยื่อไหลนองไม่น้อยกว่าน้ำเหล้าที่หกอยู่ หากปล่อยนานกว่านี้สักนาทีเขาจะต้องตายแน่ๆ อย่างไรก็ตามบรรดามารก็ต้องหยุดมือลงเมื่อได้ยินเสียงๆหนึ่ง ตึง ตึง ตึง!!! นั่นเป็นเสียงกลองศึกนี่ ยังมีเสียงฝีเท้าเป็นแสนกระทืบแผ่นดินไล่มาด้านหลังอีก!!! กองทัพ? กองทัพมาจากไหน? พวกอสูรปรึกษากันอย่างงุนงง เหลียวดูฝั่งตนกำลังแตกซ่านเมามาย ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางสู้ได้แน่ๆ ที่สำคัญเหล่านางฟ้าที่ปรนนิบัติอยู่หายไปตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบแล้ว!!! หวะ เหวอ มันร้องลั่น หนีกันเถอะ ! ไม่จำเป็นต้องกล่าวอันใดอีก ทุกคนต่างชิงกันเอาตัวรอดวิ่งหนีอย่างสับสนอลหม่าน มีเพียงอสูรเสื้อเขียวผู้เดียวที่หนีไม่ได้ เพราะถูกฟาดขาหัก ลูกตาซ้ายก็ถูกต่อยจนปะทุออก เขาได้รับความบอบช้ำทั้งกายและใจ มือกุมตาข้างที่บอดไว้ ค่อยๆเงยหน้าขึ้น ภาพที่ปรากฏคือหมื่นแสนกองทัพเทวดากำลังเคลื่อนที่มาอย่างสง่างามองอาจ ที่สำคัญคือแม่ทัพเทพแต่ละองค์มีรัศมีกายเปล่งปลั่งขึ้นไม่น้อย ดูเหมือนจะได้รับประทานน้ำอมฤตกันเรียบร้อยแล้ว ฮือ ฮือ อสูรเสื้อเขียวกัดฟันสั่นระริก น้ำตาและเลือดรินไหลเป็นหยาดหยด ทำไม บัดนี้บรรดายักษ์ทั้งไพร่นายแตกหนีไปหมด สมรภูมิเวิ้งว้างเหลือเพียงเขาคนเดียว มีกระบองตกอยู่ข้างๆ อสูรเสื้อเขียวยื่นมือสั่นๆไปหยิบมากุมไว้แน่น ทัพเทพใกล้มาทุกที ความคับแค้นความกลัวโถมประดังเข้าในจิต อสูรเสื้อเขียวตวาดพลางยกกระบองฟาดไปข้างหน้าโดยไร้จุดหมาย
อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก |