ปี ค.ศ 2801 อันเป็นปีที่มวลมนุษยชาติได้ขยายขอบเขตการปกครองของตนออกไป จนย้ายศูนย์กลางการปกครองจากดาวเคราะห์ดวงที่ 3 ในระบบสุริยจักรวาลอันได้แก่ "โลกมนุษย์" ไปยังดาวเคราะห์ดวงที่สองนาม เทโอเรียในระบบอัลเดบาแรน มนุษย์ก็ได้ประกาศจัดตั้ง "สมาพันธ์ทางช้างเผือก (USG)" ขึ้น และนับปีนี้เป็นปีสากลอวกาศ (Space Era) ที่ 1 เทคโนโลยีหลักสามแขนงที่มีส่วนสำคัญทำให้มนุษย์สามารถเดินทางข้ามระบบดาวฤกษ์ได้สำเร็จ ได้แก่ การวาร์ป, ระบบควบคุมแรงโน้มถ่วง และระบบควบคุมบรรยากาศ มวลมนุษย์พากันออกเดินทางไปในห้วงอวกาศดำลึก ไกลออกไป ไกลออกไป "ไกลอีก ไปให้ไกลขึ้นอีก" นี่เป็นคำขวัญของเหล่ามนุษย์ในขณะนั้น และช่างเป็นยุคทองของมนุษย์เสียนี่กระไร ! อย่างไรก็ตาม เงามืดที่เป็นจุดด่างพร้อยของยุคนี้ก็ยังมีอยู่ มันเป็นผลพวงจากการทำสงครามแย่งชิงอำนาจระหว่างโลกและดาวซิลิอุส (หรือกล่าวให้ชัดเจนคือ มนุษย์ที่ตั้งถิ่นฐานบนโลกกับบนดาวซิลิอุส) ซึ่งทำให้เกิดกองกำลังทหารรับจ้างขึ้นจำนวนมากเมื่อราวปี ค.ศ. 2700 และ นี่เองเป็นที่มาของ "สลัดอวกาศ (Space Pirate)" ปีสากลอวกาศที่ 106 สมาพันธ์ทางช้างเผือก- ยูเอสจี ก็ได้ "ฤกษ์" ที่จะลงมือจัดการกับพวกสลัดอวกาศพวกนี้เสียที ภายใต้การนำทัพของผู้การ (ผู้บังคับการกองยานอวกาศ) เอ็ม. ชูฟรัน, ซี. วู้ด เป็นต้น ภารกิจการกวาดล้างสลัดอวกาศก็เสร็จสิ้นภายในเวลาเพียงสองปี ดูเหมือนเป็นภารกิจที่ง่าย ๆ แต่จริง ๆ แล้ว กัปตันวู้ดได้บันทึกไว้ว่า "... เบื้องหน้า ผมต้องสู้กับพวกโจรสลัด ขณะที่ทางด้านหลัง ผมก็ต้องรบกับบรรดาพวกเดียวกันที่ไม่เอาถ่านซะเลยอยู่ตลอดเวลา (สองปีที่ผ่านมา) แต่สิ่งที่สำคัญคือ แม้แต่ตัวผมเอง ก็ใช่ว่าจะเป็นที่พึ่งได้ตลอดเวลาเสียด้วยสิ..." อย่างไรก็ตาม หลังจากยุคของสลัดอวกาศผ่านพ้นไป ก็ดูเหมือนสังคมมนุษย์จะเติบโตขึ้นโดยไร้อุปสรรคอีก แต่ หากเปรียบสมาพันธ์ทางช้างเผือกเป็นร่างกายคนสักคนหนึ่งแล้ว บนผิวของคนคนนั้น ก็ย่อมหลีกเลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องมีเชื้อโรค หรืออาจจะมีสิ่งแปลกปลอม มีฝุ่นมาเกาะอยู่ ซึ่งหากเขาเอาใจใส่สุขอนามัยของตนสักหน่อย ก็ย่อมต้องคอยทำความสะอาดร่างกาย อย่าให้บรรดาสิ่งแปลกปลอมเหล่านี้ "ติดเชื้อ" ฝังรากลึกเข้าไปในร่างกายของตนได้หรือหากโชคร้าย เขาเป็นโรคนั่นเสียแล้วหากได้รับการเยียวยา ไม่ว่าการใช้ยา หรือการผ่าตัด เขาก็ย่อมรอดชีวิตได้ต่อไป และบรรดาสิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อร้ายที่ว่า ก็คือ นักการเมืองสกปรกนั่นเอง น่าเสียดายที่สังคมมนุษย์ไม่มีใครตระหนักถึงภัยร้ายนี้ นักการเมืองสกปรกที่ฉ้อราษฎร์บังหลวงเพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกปี ๆ และครอบคลุมระบบราชการไว้เกือบทั้งหมดประดุจโรคร้ายที่แฝงอยู่ในร่างกายคน แต่อย่างไรก็ตาม "คน" คนนั้นก็ยังเติบโตต่อไปอีกถึงสองศตวรรษ โดยไม่ได้ผ่าตัดตัวเองเพื่อขจัดโรคร้ายเหล่านี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว อย่างไรก็ตาม มีสังคมหนึ่งที่อยู่ล้าหลังการเติบโตของสมาพันธ์ทางช้างเผือก นั่นคือ โลกมนุษย์ ซึ่งเดิมเป็นจุดกำเนิด และเป็นศูนย์กลางของมวลมนุษย์ บัดนี้มีสภาพเพียงดาวที่ไร้ซึ่งทรัพยากรใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่มีแม้แต่อำนาจทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ไม่มีบทบาทความสำคัญต่อ "สมาพันธ์ทางช้างเผือก" อีกต่อไป ที่ได้รับอนุญาตจากศูนย์กลางสังคมมนุษย์ ให้สามารถมีอำนาจปกครองตนเองได้ ก็เพราะเห็นว่าดาวดวงนี้ไม่มีพิษมีภัยต่อสมาพันธ์ยูเอสจีแล้วนั่นเอง อา... ดาวแห่งความสิ้นหวัง ในที่สุด มะเร็งร้ายของสังคมมนุษย์ก็เกาะกินจนถึงจุดเสื่อม ความเติบโตของสมาพันธ์ทางช้างเผือกหยุดอยู่เพียงนั้น ดาวในแถบทุรกันดาร หรือดาวในดินแดนไกลโพ้นถูกปล่อยให้รกร้าง ไม่มีการพัฒนาอีกต่อไป ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์หยุดชะงักไม่มีผลงานสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ เกิดขึ้นอีก มนุษย์ในยูเอสจีตระหนักว่าถึงเวลาต้องเยียวยาสังคมของตนครั้งใหญ่เสียแล้ว แต่แทนที่พวกเขาจะเลือกวิธีการเยียวยารักษาอย่างยั่งยืน ซึ่งจะต้องอาศัยเวลาและความอดทน พวกเขากลับเลือกใช้วิธีการผ่าตัดที่ให้ผลชะงัดแต่มีผลข้างเคียงรุนแรงตามมา และนี่คือช่องว่างของสังคมที่ทำให้ชายหนุ่มทะเยอะทะยานผู้หนึ่งก้าวแทรกเข้ามา ลูดอร์ฟ ฟอน โกลเดนบาวม์ (Ludorf von Goldenbaum) เกิดเมื่อปีสากลอวกาศที่ 268 ในตระกูลนายทหาร และแน่นอนหลังจากรับการศึกษาวิชาทหาร เขาก็เข้ารับราชการเป็นทหาร ด้วยส่วนสูง 195 เซนต์ ผลการเรียนที่เป็น "ที่หนึ่ง" ตลอดเวลาและทุกวิชาในโรงเรียนนายทหาร ลูดอร์ฟเป็นชายหนุ่มที่อัดแน่นไปด้วยพลังและความมุ่งมั่น กล่าวกันมาในสายเลือดของเขาไม่มีเชื้อของคำว่า "ความล้มเหลว หรือ ยอมแพ้" แม้แต่หยดเดียว เขาเริ่มรับราชการในยศร้อยตรีเมื่ออายุได้เพียงยี่สิบปี ในตำแหน่งนายทหารพระธรรมนูญประจำกองลาดตระเวณเส้นทางเดินยานอวกาศรีแกร์ เขาจัดระเบียบภายในกองลาดตระเวณอย่างเคร่งครัด สั่งห้ามสิ่งชั่วร้ายสี่ประการ ได้แก่ สุรา, การพนัน, ยาเสพติด และรักร่วมเพศ ผลการปฏิบัติงานอย่างเคร่งครัดและตัดสินคดีอย่างไม่ไว้หน้าอินทร์หน้าพรหมแม้แต่คดีที่เกี่ยวข้องกับนายทหารชั้นสูงกว่าเขาก็ตาม ทำให้เบื้องบนเลื่อนยศเขาเป็นร้อยโท แล้ว "เด้ง" ไปประจำการที่แถบเบตเตอร์เคาส์ซึ่งเป็นถิ่นที่ชุกชุมไปด้วยบรรดาโจรสลัดอวกาศซึ่งกลับมาส้องสุมกำลังกันใหม่อีกครั้ง หลังจากยุคที่ถูกกวาดล้างโดยผู้การวู้ด ลูดอร์ฟดำเนินการกวาดล้างโจรสลัดอย่างเฉียบขาด กล่าวกันว่า แม้กระทั่งยานอวกาศของโจรที่ส่งสัญญาณยกธงขาวยอมแพ้ เขาก็ไม่ละเว้น ยังคงสั่งให้ยิงยานนั้นระเบิดเป็นจุลไป ! วีรกรรมของลูดอร์ฟสร้างความหวังในหมู่ประชาชนขึ้นมาอีกครั้งหลังจากต้องทนทุกข์ในสภาวะ "ฝืดเคือง" มานานนับร้อยปีแล้ว ปีสากลอวกาศที่ 296 ลูดอร์ฟซึ่งดำรงตำแหน่งพลตรีด้วยอายุเพียง 28 ปีก็ได้ลาออกจากทหาร แล้วไปเป็นนักการเมือง หลังจากได้เลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแล้ว เขาก็รวบรวมบรรดานักการเมืองรุ่นหนุ่ม จัดตั้งเป็น "กลุ่มปฏิรูปก้าวหน้า" ขึ้น เวลาผ่านไป หลังจากผ่านการเลือกตั้งไปหลายครั้ง ลูดอร์ฟได้รับคะแนนเสียงประชามติให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นอกจากนี้ เขายังได้รับมติจากสภาผู้แทนฯ ให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกด้วย โดยอาศัยช่องว่างที่ไม่มีระบุห้ามไว้ในรัฐธรรมนูญว่าห้ามบุคคลใดบุคคลหนึ่งดำรงตำแหน่งสองตำแหน่งนี้พร้อมกัน ซึ่งที่ผ่านมาก็เป็นธรรมเนียมอยู่แล้วว่าจะไม่ทำเช่นนั้น แต่ลูดอร์ฟก็ไม่สนใจ บัดนี้เขาได้อำนาจเบ็ดเสร็จในมือแล้ว ! (อำนาจหน้าที่ของนายกฯ และประธานาธิบดีจะคานกันอยู่) ในภายหลัง ดี. ซินแคลร์ นักประวัติศาสตร์คนหนึ่งได้บันทึกไว้ว่า "การที่ลูดอร์ฟได้รับการสนับสนุนจากสังคมอย่างท่วมท้น อาจจะตีความได้ว่า บรรดาพลเมืองของสมาพันธ์ทางช้างเผือกเลือกที่จะผลักความรับผิดชอบและอำนาจของตนให้คนอื่น มากกว่าที่จะใช้อำนาจและความรับผิดชอบในการตัดสินใจสำคัญเสียเอง นี่เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนมากในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ในระบอบประชาธิปไตยนั้น แม้การเมืองจะเน่าเหม็นเพียงใด ผู้ที่มีความผิดและต้องรับผิดชอบเป็นอันดับแรกคือ ประชาชนที่เลือกนักการเมืองเหล่านั้นเข้ามาทำงานแทนตนนั่นเอง แต่ในระบอบเผด็จการแล้ว ประชาชนไม่ต้องรับผิดชอบเช่นนั้น ทุกอย่างเป็นความผิดของผู้ปกครองเพียงผู้เดียว" ไม่ว่าความเห็นของซินแคลร์จะถูกหรือผิดก็ตาม ในสมัยของลูดอร์ฟ ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าพลเมืองชาวมนุษย์เกือบทั้งหมดให้การสนับสนุนลูดอร์ฟอย่างท่วมท้นจริง ๆ "เราต้องการรัฐบาลที่เข้มแข็ง ต้องการผู้นำที่เด็ดขาด เพื่อสร้างสังคมให้กลับสู่ความสงบสุขและความก้าวหน้า..." และ... ในวันหนึ่ง จาก "ท่านผู้นำลูดอร์ฟ" ก็กลายเป็น "จักรพรรดิลูดอร์ฟผู้ศักดิ์สิทธิ์อันมิอาจจะล่วงละเมิดได้"... และนั่นคือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปีสากลอวกาศที่ 310 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายที่มนุษย์นับปีด้วยวิธีนี้ และปีนั้นเองก็เป็น ปีจักรวรรดิทางช้างเผือก หรือที่เรียกย่อ ๆ ว่า ปีจักรวรรดิปีที่ 1 และเป็นปีที่สมาพันธ์ทางช้างเผือกล่มสลาย กลายสภาพเป็นจักรวรรดิทางช้างเผือก ภายใต้การปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชด้วยจักรพรรดิในราชวงศ์โกลเดนบาวม์ เสียงคัดค้านซึ่งเดิมมีน้อย ก็พลันทวีจำนวนมากขึ้น เมื่อพวกเขาตระหนักว่า พวกเขากำลังทำผิดพลาดซ้ำรอยประวัติศาสตร์สมัยโบราณอีกแล้ว... แต่อย่างไรก็ตาม เสียงสนับสนุนจักรพรรดิลูดอร์ฟที่ 1 แห่งจักรวรรดิทางช้างเผือกก็ดังกว่านั้นอย่างเทียบกันไม่ติด อำนาจสูงสุดทำให้จักรพรรดิลูดอร์ฟที่หนึ่งสามารถดำเนินนโยบายทางสังคมได้ดั่งที่ตนเองปรารถนา และจุดมุ่งหมายของเขาคือ การสร้างสังคมที่เต็มไปด้วยผู้มีความสามารถภายใต้การนำของผู้นำที่เข้มแข็ง "หลักการของจักรวาล คือ ผู้เข้มแข็งอยู่รอด ผู้อ่อนแอต้องสูญสิ้น" ลูดอร์ฟตัดสินใจเผยแพร่แนวคิดของตนในวันหนึ่ง... และตามมาด้วยพระราชโองการพิเศษ "พระราชบัญญัติการกำจัดดีเอ็นเอที่บกพร่อง" ซึ่งเนื้อความคือ ผู้พิการทางสมอง, พิการตั้งแต่กำเนิด จะต้องถูกนำไป "กำจัด" เพื่อมิให้ดีเอ็นเอของคนพวกนี้หลงเหลือสืบเชื้อสายได้ต่อไป และเพื่อให้สังคมมนุษย์เหลือแต่ ดีเอ็นเอ "ที่ประเสริฐ" เสียงคัดค้านดังระงมทันที จักรพรรดิลูดอร์ฟจึงมีบัญชาให้ปิดสภาโดยไม่มีกำหนด และดำเนินการกวาดล้างบุคคลที่ต่อต้านพระบรมราชโองการอย่างเด็ดขาด คุกการเมือง ซึ่งได้แก่ หมู่ดาวไกลโพ้นอันทุรกันดาร คือ สถานที่บรรดาขบถทางความคิดเหล่านี้ถูกส่งไปอยู่ พวกเขาต้องดำเนินชีวิตด้วยการเพาะปลูกเลี้ยงสัตว์ด้วยตัวเอง มีการสนับสนุนด้านสาธารณูปโภคจากจักรวรรดิบ้างเล็กน้อย "ไม่ถึงกับไร้มนุษยธรรมเกินไปนัก" แต่แน่นอน ... มีผู้คุมคอยเฝ้าดูจากบนดาวเทียมที่โคจรอยู่บนฟากฟ้าของดาวเหล่านั้น และมีกองทหารที่พร้อมจะตามล่าและประหารชีวิตผู้ที่คิดจะหลบหนี นักโทษการเมืองเหล่านี้มีจำนวนถึงสี่พันล้านคน แต่หากเทียบกับประชากรทั้งหมดของจักรวรรดิทางช้างเผือกซึ่งมีถึงสามแสนล้านคนแล้ว... ก็เพียงแค่ 1.3% เท่านั้นเอง หลังจากกำจัดผู้ต่อต้านออกไป จักรพรรดิลูดอร์ฟที่หนึ่งก็ทรงเลือกบุคคลที่มีความสามารถสูงจำนวนหนึ่งขึ้นมาทำหน้าที่ต่างพระเนตรพระกรรณ โดยได้ตั้งระบบฐานันดรขึ้นมา บุคคลพวกนี้ถูกขนานนามว่า บุคคลชั้นฐานันดร หรือ ชนชั้นขุนนาง ซึ่งสามารถสืบฐานันดรของตนไปยังบุตรคนโตของตระกูลได้ชั่วลูกชั่วหลานอีกด้วย แน่นอน พร้อมด้วยอภิสิทธิ์และทรัพย์สมบัติจำนวนมหาศาลที่ไม่ต้องเสียภาษี! อย่างไรก็ตามมีข้อสังเกตว่า บุคคลที่ถูกเลือกให้เป็นชนชั้นขุนนางหรือชนชั้นฐานันดรเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีเชื้อสายยุโรป และชื่อตระกูลที่ตั้งขึ้นล้วนเป็นภาษาเยอรมันที่ใช้กันใน "โลก" สมัยโบราณทั้งสิ้น ปีจักรวรรดิที่ 42 มหาจักรพรรดิลูดอร์ฟก็ทรงสิ้นพระชนม์ด้วยสิริมายุ 83 พรรษา หลังสิ้นลูดอร์ฟ เกิดขบวนการกบฏขึ้นหลายขบวนการ เพื่อล้มล้างระบอบจักรพรรดิ และนำกลับมาซึ่งประชาธิปไตย แต่พวกนักประชาธิปไตยเหล่านี้ ประเมินสถานการณ์ผิดไป ระบบขุนนางฐานันดรที่จักรพรรดิสร้างขึ้นมา, กองทัพที่เข้มแข็งและระบบราชการที่มีประสิทธิภาพ ทำให้บรรดากบฏถูกปราบปรามอย่างรวดเร็ว ประมาณว่ามีพวกกบฏจำนวนห้าร้อยล้านคน และครอบครัวอีกหนึ่งหมื่นล้านคนถูกจับประหารชีวิต และที่เหลืออยู่ซึ่งรอดพ้นจากโทษประหาร ก็ถูกลดชั้นเป็นชนชั้น "ทาส" และส่งตัวไปที่ "คุกการเมือง" ต่อบรรดาผู้ที่รักประชาธิปไตยได้แต่ทนรับชะตากรรมของตน ปีจักรวรรดิที่ 164 ณ หมู่ดาวอัลไตน์ พวกนักโทษการเมืองก็ประสบความสำเร็จในการสร้างยานอวกาศและใช้มันหลบหนีจากเงื้อมมือจักรวรรดิได้สำเร็จเป็นครั้งแรก "การเดินทางอันยาวนานนับหมื่นปีแสง" ของผู้ใฝ่หาเสรีภาพและประชาธิปไตย ได้เริ่มขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ภายใต้การนำของชายหนุ่มนาม อาร์เร ไฮเนสเซน ซึ่งเป็นผู้คิดและลงมือดำเนินการแผนหลบหนีนี้ทั้งหมด พวกเขาหลบพ้นจากการตามล่าของกองเรือรบของจักรวรรดิมาจนถึงดินแดนที่ยังไม่มีใครไปถึง ห้วงอวกาศที่เต็มไปด้วยดาวฤกษ์, ดาวหาง, หมู่ดาวตก, หลุมดำ, ดาวฤกษ์พฤติกรรมประหลาด ฯลฯ เหล่านี้เป็นสิ่งที่รอพวกเขาอยู่ และก็เป็นสิ่งที่ทำให้กองทหารของจักรวรรดิที่ติดตามมา ส่งบันทึกกลับไปเบื้องบนว่า พวกกบฎตายหมดแล้ว ซึ่งก็ควรจะเป็นเช่นนั้น ผู้หลบหนีเหล่านั้นเดินทางฝ่าเข้าไปในเขตอันตราย พวกเขาสูญเสียผู้นำคนแรก อาร์เร ไฮเนสเซนไประหว่างทาง และได้ผู้นำคนที่สองซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของไฮเนสเซน ชื่อว่า กวงคิมหัว ปีจักรวรรดิที่ 218 บรรดาผู้แสวงหาเสรีภาพเดินทางมาถึงอีกฟากหนึ่งของจักรวาลซึ่งเต็มไปด้วยระบบดาวฤกษ์ซึ่งมีดาวเคราะห์ที่เหมาะสมต่อการดำรงชีพอยู่เป็นจำนวนมาก "การเดินทางอันยาวนานนับหมื่นปีแสง" สิ้นสุดลงหลังจากการสิ้นชีวิตของกวงคิมหัวด้วยโรคชราเพียงเล็กน้อย ระบบดาวฤกษ์ในดินแดนที่ค้นพบใหม่ ถูกขนานนามด้วยชื่อของบรรดาเทพเจ้าในตำนานของฟีนิเชียโบราณ ได้แก่ ระบบดาวบารัต, แอสทาเท, เมอร์กาล์ต, ฮาดัด ฯลฯ และเมืองหลวงของดินแดนเหล่านี้ถูกวางไว้ที่ดาวเคราะห์ดวงที่สี่ในระบบดาวฤกษ์บารัต ซึ่งดาวเคราะห์ที่เป็นเมืองหลวงของพวกเขาถูกขนานนามตามชื่อผู้นำที่ยิ่งใหญ่ว่า ดาวไฮเนสเซน พวกเขาสถาปนาตัวเองเป็น "สมาพันธ์ดาวเคราะห์เสรี" และยกเลิกการนับปีแบบจักรวรรดิ หันมานับปีแบบปีสากลอวกาศใหม่ซึ่งปีนั้นคือ ปีสากลอวกาศที่ 527 โดยถือว่า พวกเขานี่แหละคือ ผู้สืบทอดที่แท้จริงของสมาพันธ์ทางช้างเผือก ส่วนจักรวรรดิทางช้างเผือกนั้น ก็เป็นเพียงแค่ ดินแดนแห่งความทุกข์ที่ถูกจอมเผด็จการลูดอร์ฟแย่งชิงไปไว้ใต้อุ้งเท้าของตน ... และสักวันหนึ่งพวกเขาจะกลับไป "ปลดปล่อย" ดินแดนเหล่านั้นให้พ้นจากเงื้อมมือทรราชย์ที่ชั่วร้ายให้จงได้ ! ตอนเริ่มต้นสร้างประเทศ "สมาพันธ์ดาวเคราะห์เสรี" พวกเขามีเพียงหนึ่งแสนหกหมื่นคนเท่านั้น... จำนวนคนเท่ากันกับจำนวนนี้ คือ ตัวเลขผู้เสียชีวิตระหว่างการเดินทางอันยาวนาน และในปีสากลอวกาศที่ 640 กองยานรบของสมาพันธ์ดาวเคราะห์เสรีกับกองเรือลาดตระเวณของจักรวรรดิก็มาประทะกันบริเวณห้วงอวกาศที่อยู่ระหว่างดินแดนของทั้งสอง ชัยชนะครั้งแรกตกเป็นของฝ่ายสมาพันธ์ซึ่งเดินทัพไปโดยที่รู้ตัวอยู่แล้วว่ามีข้าศึกอยู่ในขณะที่ฝ่ายหลัง ไม่เคยคิดแม้แต่นิดเดียวว่าจะเจอการโจมตีเช่นนี้ หากแต่ ก่อนที่เรือรบลำสุดท้ายของจักรวรรดิจะถูกปืนลำแสงนิวตรอนยิงจนระเบิด พวกเขาก็ได้ส่งสัญญานรายงานกลับไปยังฐานทัพของตนที่อยู่แนวหลังได้สำเร็จ ชนชั้นปกครองของจักรวรรดิตกตะลึงกับข่าวนี้มาก และเมื่อตรวจเช็คย้อนหลังกลับไปถึงบันทึกเก่า ๆ ก็ได้คำตอบว่า เป็นกองทัพของพวก "ทาส" ที่หนีไปจากหมู่ดาวอัลไตน์เมื่อกว่าหนึ่งศตวรรษที่แล้วนั่นเอง พวกมันยังไม่ตาย แถมยังมีชีวิตอยู่ในดินแดนที่อำนาจจักรวรรดิแผ่ไปไม่ถึงอีกด้วย ! และบัดนี้พวก "กบฏ" ก็ยังอวดดีถึงกับหาญกล้าส่งเรือรบมาประทะกับเรือลาดตระเวณของจักรพรรดิอันศักดิ์สิทธิ์ที่จะล่วงละเมิดมิได้ด้วย! กองทัพปราบกบฏถูกแต่งขึ้นอย่างกระทันหันและส่งไปยังดินแดนของพวก "กบฎ" เพื่อ "ปราบพวกมันให้สิ้นซาก ถึงแหล่งซ่อนตัวของพวกมันเลยทีเดียว" กองทัพเรือรบอันมหาศาลของจักรวรรดิบุกเข้าไปในดินแดนของสมาพันธ์ดาวเคราะห์เสรีอย่างองอาจ แล้วก็ประสบกับความพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง! ความรู้เกี่ยวกับข้าศึกซึ่งมีน้อยเต็มทีหนึ่ง, ความไม่ชำนาญภูมิประเทศหนึ่ง, ความประมาทหนึ่ง เหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้กองทัพที่มีกำลังมากกว่าหลายเท่าต้องประสบความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ และเหนืออื่นใด ผู้นำทัพของฝ่ายสมาพันธ์ดาวเคราะห์เสรีเก่งเกินไป ผู้บัญชาการกองยานรบสูงสุด หลินเป่า และคู่หู เสนาธิการสูงสุด ยูซุฟ โทปาโรล คือสองคนที่ทำให้แผนการโอบล้อมที่เขตดาวดากอนเป็นจริงขึ้นมาได้ หลังเสร็จศึกที่เขตดาวดากอน ทั้งสองประเทศก็ตกอยู่ในสภาวะสงครามที่ยืดเยื้อต่อมาอีกนับร้อยห้าสิบปี และนับจากจุดนั้นเอง สมาพันธ์ดาวเคราะห์เสรีก็โตขึ้นอย่างรวดเร็ว ผู้ฝักใฝ่เสรีภาพ ผู้ที่เดือดร้อนกับการปกครองอย่างกดขี่ของจักรวรรดิ ภายใต้ระบบขุนนางฐานันดร พากันอพยพเดินทางมาที่สมาพันธ์ดาวเคราะห์เสรีอย่างไม่ขาดสาย ซึ่งทางสมาพันธ์เอง ก็ถือคดิว่า "เราจะไม่ปฏิเสธผู้เดือดร้อนที่เดินทางมาหาเรา" ทำให้จำนวนประชากรของทางนี้เพิ่มขึ้นอย่างมาก ในบรรดาประชากรที่เพิ่มขึ้น มีพวกชนชั้นขุนนาง, เชื้อพระวงศ์ของจักรวรรดิทางช้างเผือกที่ลี้ภัยการเมืองมาก็ไม่น้อย และในบรรดาคนที่เดินทางมาพักพิงในภายหลังนี้เอง ที่มักจะไร้ซึ่งอุดมการณ์แห่งประชาธิปไตยโดยบริสุทธิ์ใจดังเช่นกลุ่มของผู้ก่อตั้งสมาพันธ์ดาวเคราะห์เสรีในรุ่นแรก วงจรอุบาทว์กำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งกับระบอบประชาธิปไตย และวงจรอุบาทว์ก็กำลังเกิดกับฝ่ายจักรวรรดิ์ด้วยเช่นกัน หลังจากเกาะกินทรัพย์สมบัติและอภิสิทธิ์ต่าง ๆ บนเลือดเนื้อของราษฎรมาหลายศตวรรษ ระบบขุนนางที่เดิมมหาจักรพรรดิลูดอร์ฟต้องการตั้งขึ้นเพื่อเป็นเครื่องตอบแทนแก่ผู้มีความสามารถที่จะช่วยงานของตนได้ กลับกลายเป็นกลุ่มคนบนหอคอยงาช้างกลุ่มหนึ่ง กลุ่มคนหลงตัวเอง คิดว่าตนเป็นคนชั้นสูงอันจะล่วงละเมิดมิได้เฉกเช่นกับจักรพรรดิ พวกเขาเรียกร้องจะแทรกแซงเข้าไปมีตำแหน่งสูง ๆ ในระบบราชการ ไม่ว่าจะเป็นสายพลเรือน รวมทั้งทหารด้วย โดยไม่คำนึงว่าตนมีความรู้ความสามารถหรือไม่ พวกเขาสนใจแต่ว่า ไม่ว่าจะเป็นดยุค หรือ เคานท์ หรือแม้แต่ฐานันดรชั้นต่ำสุดคือ บารอน ก็ควรจะต้องมีตำแหน่งใหญ่โตไว้ประดับบารมีบ้าง ในเวลานับร้อยห้าสิบปีที่ผ่านมา ไม่ใช่ว่าสงครามระหว่างจักรวรรดิกับสมาพันธ์จะดำเนินอยู่ตลอดเวลา หากแต่บางช่วงก็มีสันติภาพบ้างเหมือนกัน และสิ่งหนึ่งที่เป็นผลพวงจากสันติภาพ คือ เขต (หมู่ดาว) ปกครองตนเองเฟซาน (เฟซานลันท์) เฟซานลันท์เป็นดินแดนที่ครอบคลุมระบบดาวฤกษ์เฟซานซึ่งมีดาวเคราะห์จำนวนหนึ่งโคจรอยู่รอบดาวฤกษ์นั้น ในท่ามกลางสภาวะที่ฝ่ายจักรวรรดิก็มองว่าสมาพันธ์ดาวเคราะห์เสรีเป็นเพียง "โจรกบฏแบ่งแยกดินแดน" ไม่ยอมรับความเป็นประเทศของอีกฝ่าย ทางฝ่ายสมาพันธ์ก็เช่นกัน มองว่าจักรวรรดิคือดินแดนที่ตกอยู่ภายใต้ทรราชย์ ดังนั้นจึงไม่มีแม้แต่การติดต่อทางการทูตระหว่างสองประเทศนี้ อย่าว่าแต่จะทำการค้าขายกันได้เลย เป็นช่องว่างให้พ่อค้าผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งสืบสายเลือดมาจากชาวโลกมนุษย์โดยตรงผู้หนึ่ง นาม เรโอปอลด์ ราพวิ่งเต้นจนสามารถจัดตั้งเขตปกครองตนเอง เฟซานลันท์ได้สำเร็จ ... หลังจากเสียความพยายามและเงินสินบนไปมากโข ผู้ปกครองเฟซานลันท์ เรียกว่า ลันเดสเฮล ถือว่าเป็นข้าราชบริพารคนหนึ่งขององค์จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิทางช้างเผือก มีหน้าที่ควบคุมการค้ากับพวกกบฏ และในบางทีก็ทำหน้าที่เป็นทูตด้วย แน่นอน ในสภาวะที่การค้าทั้งมวลระหว่างสองประเทศนี้ต้องผ่านตัวกลางเพียงตัวเดียว เฟซานลันท์ถึงแม้จะเป็นเพียงเขตปกครองตนเองเล็ก ๆ ประชากรก็น้อย แต่กลับเต็มไปด้วยความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจอย่างที่อีกสองประเทศใหญ่ไม่อาจจะมองข้ามไปได้ นอกจากนี้ จักรพรรดิบางองค์ของจักรวรรดิทางช้างเผือกเอง ก็เคยมีความคิดที่จะติดต่อทางการทูตกับสมาพันธ์ดาวเคราะห์เสรี เพื่อเจรจาสันติภาพ แต่... ไม่เคยมีใครทำให้การเจรจาสันติภาพเกิดขึ้นได้สักองค์เดียวหรือคนเดียว พวกเขาล้วนแต่ล้มตายด้วยสาเหตุลึกลับที่ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์... กล่าวกันว่า ผู้ที่จะเสียประโยชน์เมื่อสองประเทศนี้เจรจากัน เป็นผู้ลงมือลอบสังหารบุคคลผู้ใฝ่สันติเหล่านี้นั่นเอง สรุปว่า ณ ปลายศตวรรษที่ 8 ตามระบบปีสากลอวกาศ หรือปลายศตวรรษที่ 5 ตามระบบปีจักรวรรดิ จักรวาลก็แบ่งออกเป็นสามฝ่าย ฝ่ายแรกได้แก่ จักรวรรดิทางช้างเผือกซึ่งกำลังอยู่ในยุคเสื่อมโทรม แม้ประเทศนี้จะใหญ่ที่สุด มีกำลังคนและทหารมากที่สุดก็จริง แต่ก็ขาดซึ่งความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ฝ่ายที่สองได้แก่ สมาพันธ์ดาวเคราะห์เสรี ประเทศประชาธิปไตยซึ่งมาถึงบัดนี้ได้ลืมซึ่งเจตนารมย์ของผู้ก่อตั้งประเทศไปจนเกือบหมดแล้ว และฝ่ายสุดท้ายคือ เขตปกครองตนเองเฟซาน ดินแดนแห่งพ่อค้าวาณิชย์ ผู้เฝ้ามองการ "เล่น" ทำสงครามของสองฝ่ายแรกอยู่เงียบ ๆ และสภาพความจริงอีกอย่างหนึ่ง จากจำนวนประชากรถึงสามแสนล้านคนของสมาพันธ์ทางช้างเผือกในยุคที่รุ่งเรืองสุดขีด บัดนี้ประชากรมนุษย์ทั้งจักรวาลเหลือเพียงสี่หมื่นล้านคนเท่านั้น... อันเป็นผลจากยุคมืดที่ยาวนาน จักรวรรดิ สองหมื่นห้าพันล้านคน- สมาพันธ์ หนึ่งหมื่นสามพันล้านคน และ เฟซานสองพันล้านคน และสภาพน่าอึดอัดใจที่ไม่มีใครสามารถทำอะไรได้นี้ ก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อชายหนุ่มผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นบนเมืองหลวงของจักรวรรดิทางช้างเผือกซึ่งอยู่บนดาวโอดีน- ดาวเคราะห์ซึ่งได้นามมาจากนามของเทพเจ้าในนิยายเยอรมันโบราณ- ดาวเคราะห์ดวงที่สามในระบบดาวฤกษ์แวร์ฮารา ชายหนุ่มผู้นั้นคือ ท่านเคานท์ ไรน์ฮาร์ด ฟอน โรเอนกรัม ผู้มีดวงหน้างดงาม ผมสีทองยาวสลวยและดวงตาสีไอซ์บลูที่เยือกเย็น
|