ทันทีที่พันเอกหนุ่มซี้กฟรีด เคียร์ชไอซ์ (Ziekfried Kircheis) แห่งกองทัพจักรวรรดิทางช้างเผือกก้าวเท้าเข้าไปในห้องบัญชาการของเรือรบ เขาอดไม่ได้ที่จะต้องหยุดชะงักลงวูบหนึ่ง แสงระยิบระยับจากดวงดาวที่เต็มห้วงอวกาศดำสนิทเหมือนก้นเหวลึก สาดส่องเข้ามาล้อมรอบตัวเขาจนรู้สึกว่าตัวเองเล็กลงไปถนัดตา
...
อย่างไรก็ตามความรู้สึกที่ว่าตัวเองหลุดลอยอยู่ในอวกาศนั้นก็เกิดขึ้นแค่เพียงวูบเดียว แล้วก็หายไป
เคียร์ชไอซ์ระลึกขึ้นได้ว่าที่นี่คือห้องบัญชาการของเรือรบบรุนฮิลท์ ซึ่งห้องนี้ (ตามศัพท์เดิมเรียกว่าสะพานเรือ) มีลักษณะเป็นรูปครึ่งทรงกลมขนาดใหญ่ ครึ่งหนึ่งของซีกบนทำหน้าที่เป็นจอภาพขนาดใหญ่ซึ่งกำลังฉายภาพของห้วงอวกาศนั่นเอง
หลังจากดึงความสนใจจากห้วงอวกาศกลับมาสู่พื้นที่ตัวเองกำลังยืนอยู่ เขาจึงมองรอบตัวอีกครั้งหนึ่ง แสงสว่างในห้องขนาดใหญ่นี้ถูกจำกัดไว้ที่ความสว่างต่ำสุด ทำให้ห้องตกอยู่ภายใต้ความมืดสลัว ท่ามกลางเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ เช่น จอภาพ แผงควบคุม มาตรวัดต่าง ๆ คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์สื่อสารที่ถูกวางเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ มีชายหลายคนต่างง่วนอยู่กับการควบคุมเครื่องมือเหล่านั้น บ้างก็เดินไปทางโน้นทีทางนี้ที การเคลื่อนที่ของพวกเขาพาให้นึกถึงฝูงปลาที่กำลังแหวกว่ายอยู่ตามโขดหินในท้องทะเล
กลิ่นที่คุ้นจมูกโชยมากระทบเคียร์ชไอซ์อย่างจาง ๆ แทบจะสัมผัสไม่ได้ มันเป็นกลิ่นของอะดรีนาลีนที่ถูกขับมากับเหงื่อของผู้คนที่กำลังจะเข้าสู่สนามรบด้วยความตื่นเต้น กลิ่นของเครื่องยนต์อิเลกทรอนิกส์ต่าง ๆ ผสมกันภายใต้บรรยากาศออกซิเจนจากเครื่องฟอกอากาศกลายเป็นกลิ่นที่บรรดาทหารที่รบในอวกาศต่างคุ้นเคยกันดี
ชายหนุ่มผมแดงผู้นี้สาวเท้ายาว ๆ ตรงไปที่กลางห้อง ยศของเขาเป็นถึงพันเอกก็จริงแต่เคียร์ชไอซ์ยังอายุไม่ถึง 21 ปีเต็มด้วยซ้ำ รูปลักษณ์ของเขาเมื่อไม่ได้ใส่ชุดทหารแล้วหล่อเหลาขนาดที่ว่าบรรดาทหารหญิงที่ทำงานอยู่ฝ่ายธุรการต่างพากันแอบชื่นชมเป็นเสียงเดียวกันว่า
น้องชายผมแดงที่น่ารัก
เจ้าตัวเองบางครั้งก็รู้สึกเหมือนกันว่าอายุกับยศทหารของตนไม่ค่อยจะเข้ากันเท่าใดนัก กล่าวคือ ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเขาก็ยังรับสภาพที่ตนเองเป็นอยู่ไม่ได้สักที ไม่เหมือนกับเจ้านายของเขา
เคานท์ไรน์ฮาร์ด ฟอนโรเอนกรัม (Reinhard (Count) von Rohengramm) ซึ่งนั่งจมอยู่ที่เก้าอี้บุนวมประจำตำแหน่งแม่ทัพ และเอนหลังพิงอยู่กับพนักเก้าอี้ที่ปรับให้เอนไปเล็กน้อย กำลังเงยหน้าขึ้นมองจอภาพขนาดใหญ่ ที่กำลังฉายภาพของห้วงทะเลแห่งดวงดาว ขณะที่เคียร์ชไอซ์เดินเข้าไปใกล้นายหนุ่มของเขา เขาก็รู้สึกได้ถึงความกดดันของอากาศที่เปลี่ยนไป รอบ ๆ ตัวทั้งสองขณะนี้กางบาเรียป้องกันเสียงเอาไว้นั่นเอง บทสนทนาที่เกิดขึ้นภายในรัศมี 5 เมตรรอบตัวไรน์ฮาร์ดจะไม่ได้ยินไปถึงข้างนอกได้เลย
กำลังชมดาวอยู่หรือขอรับ ใต้เท้า ?
เว้นระยะจากเสียงทักของเคียร์ชไอซ์ไปอีกชั่วอึดใจหนึ่ง ไรน์ฮาร์ดก็หันสายตามาทางต้นเสียงแล้วปรับพนักเก้าอี้ให้ตรงขึ้น แม้ขณะกำลังนั่งอยู่ก็ตาม เครื่องแบบทหารที่มีสีพื้นเป็นสีดำและประดับด้วยดิ้นสีเงินก็แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนถึงรูปร่างที่ปราดเปรียวสมส่วนของบุคคลผู้นี้ ไรน์ฮาร์ดเป็นหนุ่มน้อยที่หน้าตาดีมาก...เรียกว่าสวยเลยก็ว่าได้ ผมทอง หยิกเป็นลอนเหมือนเซตไว้อย่างดี ปกคลุมใบหน้ารูปไข่เอาไว้ได้อย่างเหมาะเจาะ จมูกโด่งสันได้รูป ริมฝีปากบางเฉียบชวนให้นึกถึงความงามของรูปปั้นประติมากรรมโบราณ
อย่างไรก็ตามหลักฐานที่บ่งบอกอย่างชัดเจนถึงความมีชีวิตของรูปปั้นสวยนี้ คือ ดวงตาทั้งสองซึ่งเป็นสีฟ้าที่เรียกว่า ไอซ์บลู ทอประกายแวววับแหลมคมประดุจดาบที่ลับมาอย่างดี หรืออาจจะเปรียบกับประกายแสงดวงดาวก็ว่าได้ บรรดานางกำนัลในวังล้วนแต่กล่าวถึงดวงตาคู่นี้ว่า
นัยน์ตาเฉียบคมที่งดงาม
ส่วนพวกผู้ชายก็แอบนินทาว่า ดวงตาของคนทะเยอทะยานชัด ๆ
แต่คำเปรียบเที่ยบทั้งสองก็ล้วนหมายถึงว่าเจ้าของดวงตาผู้นี้มีชีวิตชีวาอยู่อย่างเต็มเปี่ยม
อืม ดาวสวยดี ไรน์ฮาร์ดตอบแล้วก็เงยหน้าขึ้นมองสมุนมือขวาคู่ใจ
เอ...นี่นายสูงขึ้นอีกแล้วหรือนี่ ?
สูงเท่ากับเมื่อสองเดือนที่แล้ว 190 เซนต์แหละขอรับ คงไม่สูงไปกว่านี้แล้ว
ฮึ่ม ! สูงกว่าฉันตั้ง 7 เซนต์นี่ก็เกินพอแล้วนะ สำเนียงของเด็กที่พูดง่าย ๆ ว่าขี้แพ้ชวนตีแฝงอยู่ในคำพูดของไรน์ฮาร์ด
เคียร์ชไอซ์ได้แต่หัวเราะเบา ๆ
ทั้งสองคนสูงไล่เลี่ยกันมาตลอด จนกระทั่งเมื่อ 6 ปีก่อน ก่อนที่เคียร์ชไอซ์จะสูงหนีเพื่อนไปเรื่อย ๆ จนไรน์ฮาร์ดถึงกับ งอแง ว่าจะสูงทิ้งเพื่อนไปแล้วหรือ ?...นี่เป็นอีกมุมหนึ่งของไรน์ฮาร์ดที่ไม่ค่อยจะมีใครรู้จัก... มุมของความเป็นเด็ก
ว่าแต่มีธุระอะไรหรือ ?
ขอรับ ข้อมูลการวางกำลังของกองทัพกบฏขอรับ จากรายงานของเรือสอดแนม 3 ลำ สรุปได้ว่า พวกกบฏกำลังเคลื่อนที่เข้ามาจาก 3 ทิศทางด้วยความเร็วเท่า ๆ กัน มีเป้าหมายจะโอบล้อมพวกเรา... ขออนุญาตใช้จอภาพของโต๊ะบัญชาการได้ไหมขอรับ ?
เมื่อเห็นว่า พลเอกพิเศษ หนุ่มผมทองพยักหน้า เคียร์ชไอซ์ก็ขยับมือเป็นจังหวะอย่างคล่องแคล่ว จอภาพขนาดใหญ่ที่กินเนื้อที่ครึ่งซ้ายของโต๊ะบัญชาการแสดงภาพลูกศรขึ้นมา 4 รูป ลูกศรทั้ง 4 ล้วนกำลังเคลื่อนที่พุ่งเข้าหาใจกลางของจอภาพจากทิศทางต่าง ๆ กันทั้งบน ล่าง ซ้ายและขวา เฉพาะลูกศรที่กำลังเคลื่อนที่ขึ้นจากด้านล่างมีสีแดง ส่วนอีก 3 รูปเป็นสีเขียว
ลูกศรสีแดงคือกองทัพของพวกเรา ส่วนลูกศรสีเขียวคือ กองทัพของข้าศึกขอรับ ข้างหน้าของกองทัพของเราเป็นกองยานรบที่ 4 มีกำลังยานรบทั้งหมด 12,000 ลำ ระยะห่าง 2,200 วินาทีแสง ถ้ายังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วขณะนี้ อีกราว ๆ 6 ชั่วโมง ก็จะปะทะกันขอรับ
นิ้วมือที่ชี้ไปยังจอภาพของเคียร์ชไอซ์เคลื่อนที่ไปตามคำอธิบาย ทางด้านซ้ายเป็นกองยานรบที่ 2 ของศัตรู มีกำลังยานรบ 15,000 ลำ ระยะห่าง 2,400 วินาทีแสง ส่วนทางขวาเป็นกองยานรบที่ 6 ของศัตรู มีกำลังยานรบ 13,000 ลำ ระยะห่าง 2,050 วินาทีแสง
นับตั้งแต่มีการพัฒนาอุปกรณ์ในการหลบสัญญาณเรดาร์รวมทั้งอุปกรณ์ในการปล่อยคลื่นรบกวน เช่น ระบบสนามแม่เหล็กต้านแรงโน้มถ่วง รวมทั้งอุปกรณ์ใหม่ที่ทันสมัยกว่านั้น ทำให้เรดาร์ไม่สามารถใช้เป็นเครื่องเสาะหาศัตรูได้อีกต่อไป ก็นับเวลาได้หลายศตวรรษแล้ว การลาดตระเวนจึงต้องอาศัยยานสอดแนมที่บังคับด้วยคนหรือดาวเทียมสอดแนม อันเป็นวิธีในสมัยโบราณเท่านั้น จากข้อมูลที่ได้จากกองลาดตระเวนผนวกกับการคำนวณผลต่างเวลาและปัจจัยเกี่ยวกับระยะทางเข้าไป จึงจะทำให้ทราบตำแหน่งของข้าศึก นอกจากนี้ หากสามารถตรวจจับปริมาณความร้อนและมวลได้ ก็ทำให้ทราบข้อมูลเกี่ยวกับข้าศึกมากยิ่งขึ้น
ทัพข้าศึกรวมแล้ว 40,000 ลำ นั้นหรือ... 2 เท่าของกำลังฝ่ายเราสินะ
และพวกมันก็กำลังจะโอบล้อมพวกเราจาก 3 ทิศทางด้วยขอรับ
หึ พวกเฒ่าหงำเหงือกนั่นป่านนี้กำลังหน้าซีดอยู่กระมัง เอ...หรือว่ากำลังหน้าเหลืองหนอ
ไรน์ฮาร์ดพูดพลางก็หัวเราะอย่างเย้ยหยัน บุคคลผู้นี้แม้กระทั่งตนเองกำลังจะถูกข้าศึกที่มีจำนวนมากกว่าถึง 2 เท่าเข้าโอบล้อมจาก 3 ทิศทาง กลับไม่แสดงอาการตระหนกตกใจใด ๆ ทั้งสิ้น
ขอรับ กำลังหน้าซีดกันอยู่ ผู้บังคับการทั้ง 5 ท่านขอเข้าพบใต้เท้าด่วนอยู่ขอรับ
เฮอะ ไหนบอกว่าไม่อยากเจอหน้าฉันไง พวกนี้
จะให้พบไหมขอรับ ?
อื้ม ให้พบสิ ดูซิพวกมันจะพูดอะไรกัน
...
บุคคลที่ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าของไรน์ฮาร์ดได้แก่ พลเอกเมลคัทซ์, พลโทชุททาเดน, พลโทโฟล์คแกร์, พลตรีฟาเรนไฮต์และพลตรีแอร์รัค ทั้ง 5 คนที่ไรน์ฮาร์ดแอบเรียกว่า พวกเฒ่าหงำเหงือก นั่นเอง ที่จริงคำเรียกของชายหนุ่มก็ค่อนข้างจะรุนแรงเกินไป เพราะขนาดเมลคัทซ์ซึ่งมีอายุสูงที่สุดก็ยังไม่ถึง 60 ปี ส่วนผู้บังคับการที่อายุน้อยที่สุดในกองทัพนี้ คือ ฟาเรนไฮต์ ก็เพิ่งจะอายุได้ 31 ปีเท่านั้น ไรน์ฮาร์ดต่างหากที่อายุน้อยเกินไปด้วยวัยเพียงยี่สิบปีที่ไต่เต้าขึ้นมาเป็นพลเอกพิเศษ
ท่านแม่ทัพ ขอบพระคุณที่ให้โอกาสข้าน้อยได้มาแสดงความคิดเห็นขอรับ
พลเอกเมลคัทซ์ซึ่งดูเหมือนจะเป็นตัวแทนของคนทั้งห้า กล่าวขึ้น เขาเป็นชายสูงอายุที่อยู่ในกองทัพมาตั้งแต่ไรน์ฮาร์ดเกิดหลายสิบปี มีประสบการณ์และความชำนาญทั้งการรบและการยุทธการ รูปร่างสูง สันทัด โครงกระดูกใหญ่ ดวงตาที่ดูเผิน ๆ เหมือนจะปรือหลับอยู่ตลอดเวลา นอกนั้นแล้วก็ไม่มีลักษณะพิเศษอันใด แต่กิตติศัพท์ของเขาก็เลื่องลือดังกว่าชื่อเสียงของไรน์ฮาร์ดอย่างมากโดยไม่ต้องสงสัย
ข้าพเจ้าทราบดีว่าพวกท่านกำลังจะพูดอะไร ไรน์ฮาร์ดแสดงความเคารพตอบเมลคัทซ์แต่เพียงเปลือกนอกเท่านั้น แล้วก็ชิงลงมือก่อน พวกท่านจะมาบอกว่า กองทัพของเรากำลังตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบ ต้องการให้ข้าพเจ้าเปลี่ยนแปลงคำสั่งใช่หรือไม่ ?
ใช่แล้วขอรับใต้เท้า พลโทชุททาเดนก้าวออกมาข้างหน้าครึ่งก้าว แล้วระล่ำระลักตอบ เขาเป็นชายร่างผอมบาง อายุราว 40 ปีเศษ มีชื่อเสียงในด้านเป็นผู้แม่นยำทฤษฎีกลยุทธและ...ความเจ้าคารม จะว่าไปเป็นนายทหารที่เหมาะในด้านเสนาธิการมากกว่า
เทียบกับทัพของเราแล้ว ข้าศึกมีกำลังถึงสองเท่า อีกทั้งยังกำลังเคลื่อนที่เข้าล้อมพวกเราจาก 3 ทิศทางนี่ย่อมหมายความว่าสภาพการรบขณะนี้ พวกเราตกอยู่ในสภาพที่ล้าหลังการกระทำของข้าศึกอยู่ขอรับ
ดวงตาสีไอซ์บลูทอประกายเยือกเย็นออกมาจ้องตอบต่อพลโทผู้นี้
สรุปว่า ท่านจะบอกว่าทัพเรากำลังจะแพ้เช่นนั้นสิ ?
หามิได้ขอรับ ใต้เท้า เพียงแต่ เราปฏิเสธไม่ได้ว่าเรากำลังเสียเปรียบ ดูบนจอภาพก็เห็นได้ชัดขอรับ
ดวงตาทั้ง 7 คู่มองไปที่จอภาพบนโต๊ะบัญชาการเป็นจุดเดียว
ภาพการเคลื่อนกำลังของกองทัพทั้งสองฝ่ายที่เคียร์ชไอซ์แสดงให้ไรน์ฮาร์ดดูเมื่อครู่นี้ ถูกแสดงขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ทหารชั้นสูงบางคนที่กำลังทำงานอยู่นอกบาเรียกันเสียงแอบมองเข้ามาดูการเจรจาของบรรดาผู้นำทัพอย่างสนใจ แต่เมื่อชุททาเดนหันไปถลึงสายตาใส่ ต่างก็พากันรีบหลบสายตากลับไปทำงานของตนต่อทันที
ท่านพลโทกระแอมสองสามทีแล้วพูดต่อว่า
นี่เหมือนกับเมื่อหนึ่งร้อยห้าสิบปีก่อน กองทัพเรือรบอันยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิเราถูกพวกกบฏที่อ้างชื่อว่า สมาพันธ์ดาวเคราะห์เสรีใช้ยุทธการโอบล้อมตีจนแตกพ่ายขอรับ
ท่านหมายถึง ความพ่ายแพ้ที่ดากอน สิท่า ?
ขอรับ เป็นความพ่ายแพ้ของฝ่ายเราที่น่าอัปยศอย่างยิ่ง พลโทถอนหายใจหนัก ๆ ออกมา
ความชอบธรรมของการทำสงครามย่อมอยู่ที่องค์จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิทางช้างเผือกของเราในฐานะที่ทรงเป็นผู้ปกครองมวลมนุษยชาติและภารกิจในการรวบรวมจักรวาลให้เป็นหนึ่งเดียวก็ย่อมเป็นของกองทัพจักรวรรดิซึ่งรับคำสั่งอันศักดิ์สิทธิ์จากองคัจักรพรรดิอีกต่อหนึ่ง แต่อย่างไรก็ดี บางครั้งอย่างเช่น ศึกที่หมู่ดาวดากอน ฝ่ายทัพกบฏก็อาศัยแผนการณ์อันอุบาทว์ทำให้ทัพของพวกเราต้องประสบความพ่ายแพ้ที่ไม่น่าเป็นไปได้ ซึ่งเราควรจะนำมาเป็นบทเรียนนะขอรับ แทนที่จะดันทุรังเคลื่อนที่ทัพต่อไปเช่นนี้ ซึ่งรังแต่จะพาทหารหาญและเรือรบอันมีค่าขององค์จักรพรรดิไปประสบต่อหายนะ ข้าน้อยขอเสนอความคิดอันต่ำต้อยให้ใต้เท้าได้พิจารณาว่าเราควรเลือกถอนทัพอย่างมีเกียรติจะดีกว่าขอรับ
ช่างเป็นความคิดอันต่ำต้อยจริง ๆ น่ะแหละเจ้านกแก้วนกขุนทองเอ๋ย ไรน์ฮาร์ดคิดในใจเช่นนั้น แต่มิได้พูดออกมา
ข้าพเจ้ายอมรับในคารมของท่าน แต่จะให้ยอมรับไปถึงเนื้อหาที่ท่านพูดมานั้น คงจะทำไม่ได้ ไม่มีเหตุผลที่จะถอนทัพแม้แต่นิดเดียว มีแต่เหตุผลที่จะเดินทัพต่อเท่านั้น!
ทำไมหรือขอรับ ? กรุณาอธิบายเหตุผลของใต้เท้าด้วย แววตาของพลโทชุททาเดนบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าเจ้าตัวกำลังนึกสบถอยู่ในใจ ในทำนองว่า ไอ้เด็กเมื่อวานซืนเอ๊ย แต่ไรน์ฮาร์ดก็ไม่ใส่ใจในสายตานั้น ตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า
เพราะพวกเรากำลังอยู่ในสภาพที่ได้เปรียบศัตรูเป็นอย่างมากอย่างไรเล่า จะให้ถอนทัพไปทำไม ?
อะไรนะ ?
ชุททาเดนตะลึงจนคิ้วกระดิก ส่วนเมลคัทซ์ได้แต่ยืนนิ่ง ขณะที่โฟล์คแกร์ และแอร์รัคได้แต่อ้าปากค้าง
มีเพียงฟาเรนไฮต์ที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่ม 5 คนนี้ ใช้สายตาที่แสดงความสนใจอย่างยิ่งยวดส่งออกจากดวงตาสีฟ้าอ่อนของเขา ชายผู้นี้ต้นกำเนิดเป็นชนชั้นขุนนางที่ไม่มีฐานันดรและมาเป็นทหารเพราะต้องการหาเลี้ยงชีพเท่านั้น... ตามที่เขาบอกคนรอบข้างไว้ กิตติศัพท์ด้านเดินทัพเข้าโจมตีอย่างรวดเร็วของเขาเป็นที่ยอมรับในระดับหนึ่ง แต่จุดอ่อนของเขาก็เป็นที่รู้กันว่านำทัพในการตั้งรับได้ไม่ดีนัก
เอ่อ...รู้สึกว่าพวกข้าน้อยจะด้อยปัญญาไม่สามารถตามความคิดของใต้เท้าได้ทัน ไม่ทราบว่าใต้เท้าจะช่วยอธิบายได้ไหมขอรับ ? เสียงรำคาญหูของพลโทชุททาเดนดังขึ้นมาอีก ไรน์ฮาร์ดได้แต่แอบคิดในใจว่าวันหลังจะต้องตัดลิ้นมันออกมาสักที แต่ในตอนนี้ได้แต่ทำตามความต้องการของอีกฝ่ายไปก่อน
ที่ข้าพเจ้าพูดว่าเรากำลังได้เปรียบ เพราะปัจจัยสองประการคือ หนึ่ง ขณะที่ข้าศึกแบ่งกองกำลังยานรบออกเป็น 3 กองแยกจากกัน กองทัพของเรายังคงรวมเรือรบไว้เป็นกองเดียวอยู่ด้วยกัน ถ้าดูจากกองกำลังรวมของข้าศึก ข้าศึกอาจจะมากกว่าเราจริง แต่ถ้าเทียบกับกองย่อยแต่ละกองของข้าศึกแล้ว พวกเรามีกำลังมากกว่า
...
สอง การเคลื่อนย้ายจากสมรภูมิหนึ่งไปอีกสมรภูมิหนึ่งนั้น กองทัพของเราซึ่งอยู่ตรงตำแหน่งใจกลางพอดี สามารถเลือกได้ว่าจะสร้างสมรภูมิที่ตรงไหน ในขณะที่ข้าศึกแต่ละกองย่อย หากต้องการเคลื่อนย้ายสมรภูมิโดยไม่ปะทะกับพวกเราก่อนแล้วล่ะก็ จะต้องอ้อมเป็นระยะไกลทีเดียว นั่นคือ ทั้งปัจจัยด้านเวลาและตำแหน่ง ก็กำลังเข้าข้างเรา
...
สรุปก็คือ เมื่อเทียบกับข้าศึกแล้ว ทัพของเราทั้งมีกำลังรวมอยู่เข้มแข็งและเคลื่อนที่ได้สะดวกกว่า จากข้อได้เปรียบสองข้อนี้ ถ้าไม่เรียกว่าเราถือไพ่เหนือกว่าแล้วจะเรียกว่าอะไรอีกเล่า ?!
ทันทีที่น้ำเสียงอันเฉียบขาดของไรน์ฮาร์ดจบลง ผู้บังคับการทั้ง 5 ที่ยืนอยู่ ณ ที่นั้น ต่างก็พากันยืนแข็งเหมือนหินไปชั่วขณะ...ตามสายตาของเคียร์ชไอซ์ ไรน์ฮาร์ดซึ่งเด็กกว่าบุคคลทั้งห้าไม่รู้กี่สิบปีกลับกำลังแสดงแนวคิดใหม่ที่น่าตกตะลึงให้พวกเขาได้ฟัง
ไรน์ฮาร์ดส่งสายตาดูถูกเหยียดหยามไปยังพลโทชุททาเดนที่ยังยืนซึมอยู่พลางก็สำทับอีกว่า
พวกเราไม่ได้ตกอยู่ในวิกฤตการณ์ที่กำลังจะถูกล้อม แต่เรากำลังอยู่ในโอกาสอันสวยงามที่จะตีข้าศึกให้แตกไปทีละทัพต่างหาก เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงมีความเห็นว่า ที่ท่านเสนอมาให้เราถอนทัพกลับนั้นเป็นความคิดที่เหลวไหลสิ้นดี ภารกิจที่เราได้รับมอบหมายจากจักรพรรดิคือ การยกทัพมากวาดล้างพวกกองกำลังกบฏ และนี่กองกำลังกบฏก็อยู่ตรงหน้าแล้ว ท่านยังจะเสนอให้ยกทัพกลับทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ต่อสู้อีกหรือ ? นี่หรือที่ท่านเรียกว่าการถอนทัพอย่างมีเกียรติ ? มันไม่ใช่แค่คำอ้างของคนขี้ขลาดหรอกรึ ? หรือพวกท่านว่าอย่างไร ?
ทันทีที่คำว่า จักรพรรดิ หลุดจากปากของไรน์ฮาร์ด ยกเว้นแต่ฟาเรนไฮต์แล้วอีก 4 คนที่เหลือต่างก็เกร็งตัวขึ้นมาอย่างรู้สึกได้ ซึ่งกิริยานี้ในสายตาของไรน์ฮาร์ดรู้สึกว่าไร้สาระสิ้นดี
แต่ถึงท่านแม่ทัพจะพูดเช่นนั้นก็เถอะ... ชุททาเดนยังพยายามคัดค้านต่อไปด้วยน้ำเสียงที่เหมือนคราง บอกว่านี่เป็นโอกาสของเราก็ตาม มันก็แค่เป็นความคิดของท่านแม่ทัพเท่านั้น พิจารณาจากทฤษฎีการเดินทหารแล้ว โอกาสชนะมันน้อยมาก ข้าน้อยยังไม่เคยเห็นตัวอย่างชัยชนะดังที่ใต้เท้าเอ่ยมาเลย
ไอ้หมอนี่ นอกจากจะโง่แล้วยังดื้ออีก ไรน์ฮาร์ดสรุปในใจว่าเช่นนั้น ก็ในอดีตยังไม่เคยมีใครทำได้ แล้วจะยกตัวอย่างได้อย่างไรเล่า ตัวอย่างคือสิ่งที่เรากำลังจะทำต่อไปนี้ไม่ใช่หรือ
เดี๋ยวไว้พรุ่งนี้ท่านก็จะได้พบกับตัวอย่างที่ว่าเอง พอใจไหม ?
มีโอกาสชนะหรือขอรับ ?
มี แต่มีข้อแม้ว่าพวกท่านต้องทำตามแผนที่ข้าพเจ้าวางไว้อย่างเคร่งครัดเท่านั้น
แผนอะไรหรือขอรับ ? ชุททาเดนถามด้วยอาการที่เห็นได้ชัดว่า ไม่เชื่อมือ
ไรน์ฮาร์ดเหลือบมองทางเคียร์ชไอซ์แว่บหนึ่ง จึงเริ่มอธิบายแผนของตน
...
2 นาทีถัดมา ภายในบาเรียกันเสียง ก็เต็มไปด้วยเสียงโวยวายของชุททาเดน
แผนบนกระดาษชัด ๆ ไม่มีทางเป็นไปได้หรอกใต้เท้า แผนอย่างนี้....
ไรน์ฮาร์ดทุบกำปั้นลงบนโต๊ะบัญชาการอย่างแรง ตวาดว่า
หยุดเดี๋ยวนี้ ! ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว องค์จักรพรรดิได้ทรงมีพระราชโองการให้ข้าพเจ้าเป็นแม่ทัพในการกวาดล้างกบฏในครั้งนี้ และพวกท่านก็ต้องทำตามคำสั่งของข้าพเจ้า เพื่อแสดงถึงความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิ ไม่ใช่หรือ ? อย่าลืมสิ ตอนนี้ข้าพเจ้าเป็นแม่ทัพของพวกท่าน!
...
ในสมรภูมิรบ แม่ทัพย่อมมีสิทธิขาดสูงสุด มีสิทธิปูนบำเหน็จผู้ทำความชอบ มีสิทธิ์ลงทัณฑ์ต่อผู้ทำผิดได้โดยไม่ต้องกราบทูลขอพระบรมราชานุญาตต่อองค์จักรพรรดิก่อน หากพวกท่านไม่เชื่อฟังคำสั่งของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะถือว่าพวกท่านขัดขืนพระราชโองการ ย่อมต้องถูกถอดยศและถูกคุมขัง จนกว่าจะเสร็จสิ้นศึกครั้งนี้ แล้วค่อยกลับไปรับโทษที่เมืองหลวง...จะเอาเช่นนั้นรึ ?
ไรน์ฮาร์ดกวาดสายตามองบุคคลเบื้องหน้าทั้ง 5 คนไปทีละคน ๆ แต่ไม่มีคำตอบใด ๆ ตอบกลับมา
(อ่านตอนต่อไป)
หมายเหตุ
ฐานันดรของขุนนาง (แน่นอน อันนี้มีเฉพาะฝ่ายจักรวรรดิ) ไล่จาก แกรนด์ดยุค (ขณะที่เดินเรื่องไม่มีใครเป็นแกรนด์ดยุค), ดยุค, มาร์ควิส, เคานท์, ไวส์เคานท์ และ บารอน ซึ่งขนาดบารอนที่เป็นชั้นต่ำสุดในบรรดาขุนนางชั้นสูง ก็ยังมีศักดิ์ศรีสูงกว่าคนธรรมดาชนิดเทียบกันไม่ติด
ดยุค เทียบเท่ากับ ปรินซ์ และ ดัชเชส เทียบเท่ากับ ปรินเซส
เคานท์ กับ เอิร์ล นี่เทียบเท่ากันครับ เข้าใจว่า ของอังกฤษใช้เอิร์ล ส่วนของเยอรมันใช้เคานท์ ทีนี้ ในเรื่องมันอ้างของเยอรมันมา (ดูชื่อคนดิ) ก็เลยใช้เคานท์
รวมทั้งคำว่า ฟอน (von) ด้วย ซึ่งเข้าใจว่า คือคำว่า ออฟ (of) นั่นเอง เดี๋ยวตอนหลังจะเห็นครับ ว่าเวลาฝ่ายสมาพันธ์เรียกไรน์ฮาร์ด ผมจะแปลว่า เคานท์ออฟโรเอนกรัม ไม่ได้เป็น เคานท์ฟอนโรเอนกรัม
เกี่ยวกับฐานันดรของสตรี ในเรื่องก็มีครับ อย่างพี่สาวของไรน์ฮาร์ดก็ได้รับฐานันดรเหมือนกัน เดี๋ยวไว้ถึงตอนที่กล่าวถึงเรื่องในวังแล้วจะเห็นเอง
ภรรยาของดยุค(duke) - ดัชเชส(duchess)
ภรรยาของมาร์ควิส(marquis , marquess) - มาร์ชันเนส(marchioness) หรือ มาร์คีซ(marquise)
ภรรยาของเอิร์ล(earl) - เคานท์เตส(countess)
ภรรยาของไวส์เคานท์(viscount) - ไวส์เคานท์เตส(viscountess)
ภรรยาของบารอน(baron) - บาราเนส(baroness)
ยศนายทหารสัญญาบัตรของฝ่ายจักรวรรดิ์ ไล่จาก จอมพล พลเอกพิเศษ พลเอก พลโท พลตรี พลจัตวา พันเอก พันโท พันตรี ร้อยเอก ร้อยโท ร้อยตรี
ส่วนฝ่ายสมาพันธ์ ก็เหมือนกัน เพียงแต่ไม่มียศ พลเอกพิเศษ (จากพลเอก ถ้าได้เลื่อนยศก็ขึ้นเป็นจอมพลเลย)
ทั้งนี้ ว่ากันว่า ยศขั้นพลเอกพิเศษ มีไว้เพื่อรองรับบรรดา "ลูกท่านหลานเธอ" พวกขุนนางฐานันดรที่ชอบมาเบ่งขอยศทหารกันนั่นเอง ไม่ได้มีอะไรพิเศษกว่าพลเอกสักเท่าไร แต่ถ้าเป็นจอมพลละก็ จะต่างกันลิบลับเลย (ไว้ในเรื่อง จะเห็นเอง)
เรือธง คือ เรือที่แม่ทัพนั่งอยู่ด้วย (จะนั่งชมวิว หรือนั่งบัญชาการรบก็แล้วแต่) ทีแรกว่าจะใช้คำว่า เรือบัญชาการแล้ว แต่มันยาวไป และคำว่าเรือธงก็เป็นคำที่ใช้กันอยู่แล้ว
ยานอวกาศ ฝ่ายจักรวรรดิ ใช้คำว่า "เรือ" ส่วนฝ่ายสมาพันธ์ใช้คำว่า "ยาน" อันนี้คนแปลคิดเองฮะ ต้นฉบับไม่ได้แยก ใช้คำว่า "เรือ" เหมือนกันหมด แต่ที่คนแปลแยกใช้ เพื่อให้เกิดบรรยากาศแบบสมัยที่ลัทธิจักรวรรรดินิยมทำสงครามทางทะเลเพื่อแย่งความเป็นเจ้าทะเลกัน
|