นวนิยายแฟนตาซีอวกาศเรื่องยาว

วีรบุรุษทางช้างเผือก銀河英雄伝説

เรื่อง โดย ทะนะกะ โยะชิกิ (田中芳樹) แปลโดย Pae

บทที่ 1 ราตรีที่ยาวนานดุจชั่วนิรันดร์
-2-


ผู้บังคับการทั้งห้าคนได้จากไปแล้ว จากไปทั้งที่ยังไม่ยอมรับในความคิดของไรน์ฮาร์ด แน่นอนไม่ต้องพูดถึงว่าทั้งห้าจะยอมก้มหัวให้ เพียงแต่พวกเขาไม่สามารถแข็งขืนต่อ "พระบรมราชโองการ" ของจักรพรรดิได้ ก็เท่านั้นเอง มีเพียงฟาเรนไฮต์เท่านั้นที่แสดงสีหน้าชื่นชมต่อแนวยุทธศาสตร์ที่ไรน์ฮาร์ดวางไว้ หากแต่อีกสี่คนที่เหลือนั้น ต่างแสดงออกอย่างชัดเจนว่า ที่ยอมให้เพราะ "ไอ้เด็กเมื่อวานซืนมันอ้างชื่อจักรพรรดิมาขู่" เท่านั้น เพียงแต่ว่าใครจะแสดงออกทางสีหน้าอย่างชัดเจนเพียงใดเท่านั้นเอง

สำหรับเคียร์ชไอซ์แล้วนี่เป็นสถานการณ์ที่เขาไม่สามารถนิ่งนอนใจได้ เขาตระหนักดีว่า ชื่อเสียงของไรน์ฮาร์ดนั้นไม่สู้ดีนักในหมู่พวกขุนนางชั้นสูง ในฐานะที่เป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุน้อยเหลือเกินที่กระโดดข้ามชั้นขึ้นมามีตำแหน่งใหญ่โต สำหรับพวกนายพลอาวุโสเหล่านี้แล้ว ไรน์ฮาร์ดก็คงเป็นเพียงแค่เด็กเมื่อวานซืนที่อาศัยฐานะของพี่สาวคือ อันเนโรเซ่ ซึ่งเป็นพระสนมคนโปรดของจักรพรรดิมาสร้างฐานะให้ตนเองเท่านั้นเอง "ไรน์ฮาร์ดก็เพียงแค่ดาวเคราะห์น้อยดวงหนึ่งที่อาศัยแสงจากดาวฤกษ์ดวงใหญ่ หาใช่สามารถส่องแสงสว่างได้ด้วยตนเองไม่"

ที่จริง ศึกครั้งนี้ ไม่ใช่การออกรบครั้งแรกของไรน์ฮาร์ด นับแต่เขาเข้ารับราชการทหารมานับเวลาได้ห้าปี เขาได้ออกศึกนับครั้งไม่ถ้วน และประกอบวีรกรรมความดีความชอบหลายครั้งเช่นกัน แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ในสายตาของบรรดานายพลคนอื่น ๆ แล้วมันก็แค่บังเอิญข้าศึกอ่อนหัดเกินไป หรือไม่ก็เพราะไรน์ฮาร์ดบังเอิญโชคดีก็เท่านั้นเอง นอกจากนี้ ไรน์ฮาร์ดเองก็ไม่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนเท่าไรนัก ทำให้คนที่ไม่ชอบหน้าเขายิ่งทวีความเกลียดชังขึ้นไปอีก ณ ปัจจุบันฉายา "เด็กผมทองจอมอวดเก่ง" ก็กลายเป็นชื่อที่เป็นที่รู้จักกันทั่วไปในวงการซุบซิบนินทาแล้ว ว่าหมายถึงใคร?

"จะดีหรือขอรับ ใต้เท้า"

หนุ่มผมแดงถามด้วยดวงตาสีฟ้าของเขาที่ฉายแววกังวลโดยไม่ปิดเร้น

"ช่างมัน"

นายเหนือของเขากลับไม่มีทีท่ายี่หระแม้แต่น้อย

"พวกมันทำอะไรเป็นบ้าง ขนาดจะประท้วงหรือแสดงคำคัดค้านสักคำยังต้องรวมกลุ่มกันมาเลย ไม่เห็นกล้ามาพบฉันตัวต่อตัวสักคน พวกใจปลาซิวทั้งนั้น ไม่กล้าจะแสดงท่าทีที่ขัดต่อผู้ถือพระบรมราชโองการของจักรพรรดิหรอก"

"แต่ ยิ่งทำให้พวกเขาเก็บกดไว้นะขอรับ"

ไรน์ฮาร์ดมองคนสนิทพลางหัวเราะอย่างขบขัน

"นายนี่ขี้กังวลเกินเหตุเหมือนเดิมเลยนะ เคียร์ชไอซ์ ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก ตอนนี้ถึงพวกมันจะไม่พอใจก็ตาม เดี๋ยวผ่านไปสักวันหนึ่งรับรองว่าพวกมันต้องเปลี่ยนท่าทีแน่ ฉันจะแสดง 'ตัวอย่างการรบ' อะไรที่เจ้าชุททาเดนมันชอบเรียกหานักให้ดูเอง เอาตัวอย่างแบบชัด ๆ เลยล่ะ"

เลิกพูดเรื่องนี้เถอะ ไรน์ฮาร์ดตัดบทแล้วก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ จากนั้นก็เอ่ยชวนคนสนิทไปพักผ่อนกันในห้องพักแม่ทัพ

"เคียร์ชไอซ์ ไปดื่มกันสักแก้วไหม? ฉันเอาไวน์ดี ๆ ติดมาด้วย เห็นว่าเป็นของหายากของปี 410 แน่ะ"

"น่าสนนะขอรับ"

"งั้นไปกันเถอะ ว่าแต่... เคียร์ชไอซ์"

"ขอรับ ใต้เท้า?"

"ไอ้คำว่า 'ใต้เท้า' นั่นแหละ เวลาที่ไม่มีคนอื่นอยู่ด้วยไม่ต้องเรียกใต้เท้า บอกตั้งกี่หนแล้วไม่ใช่รึ?"

"ทราบแล้วขอรับ แต่..."

"ทราบแล้วก็ทำสักทีสิ จบศึกครั้งนี้กลับไปโอดีนแล้วละก็ นายเองก็จะได้เป็น 'ใต้เท้า' กับเขาบ้างเหมือนกันนะ" โอดีนคือ ดาวที่เป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิทางช้างเผือกนั่นเอง

"..."

"นายจะได้เลื่อนยศเป็นพลจัตวาไง เตรียมดีใจได้เลย!"

ไรน์ฮาร์ดกำชับคำสั่งไว้กับผู้บังคับเรือรบบรุนฮิลท์ พันเอกรอยชูนาร์ แล้วก็เดินไปยังห้องพักแม่ทัพของตน เคียร์ชไอซ์เดินตามหลังนายหนุ่มไปพลางก็อดคิดถึงคำพูดเมื่อสักครู่ของเขาไม่ได้

จบศึกครั้งนี้แล้ว จะได้เป็นพลจัตวา... แม่ทัพหนุ่มผมทองผู้นี้ไม่มีความคิดที่จะแพ้แม้แต่นิดเดียวเลยหรือนี่? ถ้าไม่ใช่เคียร์ชไอซ์ละก็ เป็นคนอื่นป่านนี้คงคิดว่าช่างเป็นคนที่หลงตัวเองเสียนี่กระไรไปแล้ว แต่เคียร์ชไอซ์เองนั่นแหละทราบดีว่า คำพูดนั้นเพราะไรน์ฮาร์ดหวังดีต่อตนอย่างบริสุทธิ์ใจต่างหากถึงกล้าพูดเช่นนั้นออกมาได้

นับแต่ได้พบกับคนผู้นี้ครั้งแรก ก็ล่วงเข้ามาสิบปีแล้วหรือนี่... เคียร์ชไอซ์หวนนึกในใจขึ้นมา... ใช่ นับแต่พบกับไรน์ฮาร์ดและพี่สาว ชะตาชีวิตของตนก็เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง

บิดาของซี้กฟรีด เคียร์ชไอซ์เป็นเพียงเสมียนธรรมดา ๆ คนหนึ่งที่ทำงานอยู่ในกระทรวงยุติธรรม เขาต้องรบกับเจ้านายและบรรดาเอกสารกับคอมพิวเตอร์อยู่ทุกวันทำงาน เพียงเพื่อแลกกับเงินเดือนที่ได้รับตกปีละประมาณสี่หมื่นไรช์มาร์ก มีสิ่งหล่อเลี้ยงชีวิตให้สดชื่นเพียงแต่การได้ปลูกไร่องุ่นพันธุ์อะไรก็ไม่รู้ที่นำมาจากหมู่ดาวบาร์เดิล และการได้จิบเบียร์ดำเย็น ๆ สักแก้วหลังอาหารก็พอแล้ว นับเป็นชายที่ดำเนินชีวิตสมถะจริง ๆ ส่วนบุตรชายซึ่งขณะนั้นเป็นเด็กผมแดงธรรมดา ๆ คนหนึ่งนั่นเล่า ที่โรงเรียนก็จัดเป็นเด็กที่อยู่ในกลุ่มเด็กเรียนดี ถึงแม้จะระดับล่าง ๆ ของกลุ่มเรียนดีก็เถอะ แต่เป็นเด็กชายที่มีพรสวรรค์ด้านกีฬามาก ทั้งฉลาดทั้งแข็งแรง เป็นที่ภูมิใจของพ่อแม่มาก

อยู่มาวันหนึ่ง พ่อลูกท่าทางยากจนข้นแค้นครอบครัวหนึ่งก็ย้ายมาอาศัยอยู่ ณ บ้านข้าง ๆ ซึ่งก่อนหน้านั้นมีสภาพไม่ผิดอะไรกับบ้านร้าง

พอได้ยินว่า ชายกลางคนเพื่อนบ้านคนใหม่เป็นเชื้อสายขุนนาง เด็กชายเคียร์ชไอซ์ก็อดประหลาดใจไม่ได้ ท่าทางเซื่อง ๆ ไร้อำนาจเช่นนั้นหรือเป็นเชื้อสายขุนนาง? แต่เมื่อเห็นพี่น้องหญิงชายผมทองคู่นั้นแล้วเขาก็กลับรู้สึกเชื่อได้ขึ้นมา ช่างเป็นพี่น้องที่สวยงามประดุจเทพจุติมาปานนั้นเลยทีเดียว!

วันรุ่งขึ้นนั้นเอง เขาก็ได้รู้จักกับคนน้องชายทันที เด็กชายไรน์ฮาร์ดอยู่รุ่นเดียวกับเคียร์ชไอซ์ หากนับตามปีมาตรฐานแล้ว เขาเกิดหลังเคียร์ชไอซ์สองเดือน ทันทีที่เด็กชายผมแดงกล่าวแนะนำตัวจบ เด็กชายผมทองก็เลิกคิ้วสวยของตนขึ้น พลางพูดว่า

"ชื่อซี้กฟรีดนี่นะ ไม่เท่ห์เลย"

เด็กชายผมแดงถึงกับอึ้งด้วยไม่คิดว่าจะได้รับคำวิจารณ์แบบนี้ ขณะที่กำลังงงว่าจะตอบว่าอย่างไรดี ไรน์ฮาร์ดก็พูดเสริมว่า

"แต่นามสกุลเคียร์ชไอซ์นี่ฟังดูดีนะ ไพเราะเหมือนคำในบทกวี เพราะฉะนั้น ฉันจะเรียกนายด้วยนามสกุลนะ เคียร์ชไอซ์ !"

ส่วนอีกคนหนึ่ง พี่สาว-อันเนโรเซนั้น ก็เรียกชื่อเขาโดยย่อเป็น "ซี้ก" ดูท่าทางจะฉลาดพอ ๆ กับน้องชายนั่นแหละ แต่เป็นคนที่ละเอียดอ่อนกว่า รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเธอเต็มไปด้วยความอ่อนโยน ตอนที่ไรน์ฮาร์ดพาเคียร์ชไอซ์ไปแนะนำกับพี่สาวของตน เด็กสาวก็ยิ้มแย้มอย่างอบอุ่นประดุจแสงอาทิตย์ที่สาดส่องลอดแมกไม้ลงมาสู่พื้นดิน กล่าวกับเด็กชายผมแดงว่า

"ซี้ก ช่วยดีกับน้องชายด้วยนะคะ"

นับจากนั้น จนกระทั่งวันนี้ เคียร์ชไอซ์ยังคงปฏิบัติตามคำขอของพี่สาวคนนี้อย่างเคร่งครัด

และแล้ว เรื่องราวต่าง ๆ ก็ประทุขึ้นมากมาย เริ่มจากมีแลนด์คาร์ (รถชนิดมีล้อ และขับเคลื่อนบนพื้นดินด้วยเครื่องยนต์ ซึ่งนอกจากรถชนิดนี้ ยังมีอีกชนิดคือ รถชนิดลอยตัวเหนือพื้นดิน และขับเคลื่อนด้วยไอพ่น-ผู้แปล) ที่ประดับประดาอย่างหรูหราอย่างที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนมาจอดที่หน้าบ้านข้าง ๆ นั้น แล้วชายวัยกลางคนที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าหรูหราดูท่าทางราคาแพงก็เดินเข้าไปในบ้านนั้น เสียงของเด็กชายไรน์ฮาร์ดซึ่งมีนิสัยไม่ยอมแพ้ใครดังแว่ว ๆ มาจากข้างบ้านตลอดคืน

"พ่อใจร้ายขายพี่สาวไปได้ลงคอ !"

วันรุ่งขึ้น เคียร์ชไอซ์ซึ่งใช้ข้ออ้างว่าจะไปชวนไรน์ฮาร์ดไปโรงเรียนด้วยกัน แวะเข้าไปที่บ้านนั้น อันเนโรเซก็พูดกับเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแต่แฝงแววเศร้าอย่างปิดไม่มิดว่า

"น้องเขาไปเรียนที่เดียวกับเธอไม่ได้แล้วจ๊ะ ขอบคุณมากนะ สำหรับเวลาสั้น ๆ ที่เราได้รู้จักกัน"

เด็กสาวแสนโสภาบรรจงจูบที่หน้าผากของเขาเบา ๆ ครั้งหนึ่ง แล้วมอบเค้กชอกโกแลตที่ทำเองให้เขา

วันนั้น เด็กชายผมแดงไม่ไปโรงเรียน แต่กลับประคองกล่องเค้กนั้นอย่างทะนุถนอมตรงไปยังสวนสาธารณะที่เต็มไปด้วยแมกไม้ หลังจากค่อย ๆ ระวังตัวไม่ให้ถูกหุ่นยนต์ตรวจการณ์จับได้ เขาก็ไปทรุดตัวนั่งอยู่โคนต้นสนดาวอังคารซึ่งเป็นต้นไม้ใบแหลม ค่อย ๆ นั่งละเมียดละไมกินเค้กนั้นอย่างช้า ๆ เป็นเวลานาน น้ำตาไหลออกมาด้วยความเสียใจที่จะต้องพลัดพรากจากพี่น้องคู่นั้น เขายกมือซึ่งเปื้อนเค้กขึ้นปาดน้ำตา ทำให้ใบหน้าเลอะเค้กไปด้วย

มืดลง เด็กชายก็ตัดสินใจกลับบ้าน โดยเตรียมใจรับคำดุด่าจากพ่อแม่ไว้แล้ว แต่ปรากฏว่าทั้งสองท่านไม่ได้ว่าอะไรสักคำ บ้านข้าง ๆ มืดสนิท ไม่มีไฟสักดวง

...

หนึ่งเดือนผ่านไป ไรน์ฮาร์ดซึ่งอยู่ในชุดยุวชนทหารของโรงเรียนเตรียมทหารแห่งจักรวรรดิ ก็มาเยือนโดยไม่ได้บอกล่วงหน้า เด็กผมทองพูดด้วยน้ำเสียงที่เหมือนกับผู้ใหญ่กับเคียร์ชไอซ์ซึ่งกำลังดีใจว่า

"ฉันจะเป็นทหาร มันเป็นวิธีที่ทำให้ฉันมีอำนาจได้เร็วที่สุด ฉันจะต้องรีบเป็นใหญ่ แล้วช่วยพี่สาวออกมาให้ได้ .... เคียร์ชไอซ์ มาเรียนที่เดียวกับฉันเถอะนะ ไอ้พวกที่อยู่ที่โรงเรียนยุวชนนี่มีแต่พวกน่าเกลียดทั้งนั้นเลย"

... พ่อแม่ไม่ได้คัดค้านอะไร ไม่ทราบว่าเพราะอยากให้ลูกได้ดี หรือเพราะรู้ตัวว่าลูกชายของตนถูกพี่น้องผมทองข้างบ้านแย่งไปแล้ว อย่างไรก็ตาม เคียร์ชไอซ์ก็ได้ตัดสินชะตาชีวิตของตน ว่าจะเดินไปในทางเดียวกันกับไรน์ฮาร์ดนับตั้งแต่วัยเด็กนั้นเอง

นักเรียนของโรงเรียนยุวชนทหาร ล้วนแล้วแต่เป็นบุตรหลานของตระกูลขุนนางฐานันดร หรือไม่ก็เป็นบุตรหลานของพวกไฮโซทั้งสิ้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่า การที่เคียร์ชไอซ์ได้รับอนุญาตให้เข้าเรียนในที่นี้ได้ เป็นเพราะการวิ่งเต้นของไรน์ฮาร์ดบวกกับการหนุนหลังของอันเนโรเซนั่นเอง

ผลการเรียนของไรน์ฮาร์ดนั้นเป็นที่หนึ่งของชั้นปีอยู่ตลอดเวลา ส่วนเคียร์ชไอซ์ก็เกาะกลุ่มอยู่ในอันดับต้น ๆ ตลอดมา เขาไม่สามารถมีผลการเรียนที่แย่กว่านั้นได้ ทั้งเพื่อตัวเองและเพื่อรักษาหน้าพี่น้องผมทองคู่นั้นด้วย

หลายครั้ง ที่ได้เห็นบรรดาผู้ปกครองของเด็กคนอื่นมาเยี่ยมบุตรหลานของตนถึงโรงเรียน พวกนั้นล้วนแต่เป็นตระกูลขุนนางฐานันดรทั้งนั้น หากแต่ ดูแล้วไม่รู้สึกน่าเคารพหรือเลื่อมใสเลยแม้แต่น้อย มีเพียงกลิ่นเน่าเหม็นประดุจอีแร้งที่กลุ้มรุมกินซากศพของระบอบขุนนางด้วยสิทธิของคำว่า "ชนชั้นอภิสิทธิชน" เท่านั้นที่ลอยมากระทบจมูก

"ดูพวกมันสิ เคียร์ชไอซ์"

ทุกคราวที่เห็นพวกขุนนางเหล่านั้น ไรน์ฮาร์ดเป็นต้องกระซิบบอกเคียร์ชไอซ์ด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังและดูถูกเหยียดหยาม

"ที่พวกมันเป็นอยู่ทุกวันนี้ ไม่ได้เป็นเพราะฝีมือหรือความสามารถของตัวเองแม้แต่นิดเดียว เพียงแค่สืบสายเลือดกันมาเท่านั้น พวกมันเกิดมาก็มีทั้งอำนาจและลาภยศรออยู่แล้ว แค่เกิดอยู่ในตระกูลขุนนาง ตัวเองก็สืบเชื้อสายขุนนางไปด้วย ช่างน่าอายจริง ๆ แต่พวกมันก็ไม่รู้ตัวอีกถึงพฤติกรรมที่น่าอายของตน จักรวาลไม่ได้มีไว้เพื่อให้คนประเภทนี้ปกครองหรอกนะ"

"คุณไรน์ฮาร์ด..."

"ใช่ เคียร์ชไอซ์ ทั้งนายทั้งฉัน ไม่มีเหตุผลแม้แต่นิดเดียวที่จะต้องยอมก้มหัวให้พวกมัน!"

บทสนทนาทำนองนี้ ถูกดำเนินไประหว่างบุคคลทั้งสองนับครั้งไม่ถ้วน แต่แล้ว วันหนึ่งไรน์ฮาร์ดก็ทำให้สหายผมแดงของตนตกใจอย่างสุดขีด

วันนั้นหลังจากแสดงความเคารพต่อรูปปั้นของมหาจักรพรรดิลูดอร์ฟแล้ว - ซึ่งรูปปั้นของมหาจักรพรรดินี้ มีประดิษฐสถานอยู่ทั่วไปในเมืองหลวง และข้าราชบริพาร ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ของพระองค์ทุกคนมีหน้าที่จะต้องแสดงความเคารพเมื่อเดินผ่าน ทั้งนี้ในดวงตาของรูปปั้นมีกล้องทีวีวงจรปิดฝังอยู่ เพื่อคอยสังเกตการณ์ โดยต่อเชื่อมไปที่กระทรวงมหาดไทย และผู้ที่ไม่เคารพยำเกรงต่อมหาจักรพรรดิจะต้องถูกดำเนินการลงโทษอย่างสาสม-ไรน์ฮาร์ดได้เอ่ยกับสหายด้วยน้ำเสียงเอาจริงเอาจังว่า

"เคียร์ชไอซ์ เคยคิดอย่างนี้บ้างไหม? ราชวงศ์โกลเดนบาวม์ไม่ได้มีมาตั้งแต่กำเนิดมนุษยชาติขึ้นมา ต้นกำเนิดมาจากลูดอร์ฟผู้ห้าวหาญคนนั้นต่างหาก ก่อนหน้านั้นเขาก็เป็นแค่ประชาชนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นเอง กะอีแค่คนหนุ่มทะเยอทะยานคนหนึ่ง แต่สุดท้ายเขาก็ได้กลายเป็นถึง 'มหาจักรพรรดิ' อันศักดิ์สิทธิ์สุดที่ผู้ใดจะบังอาจล่วงละเมิดมิได้"

เพื่อนของเขากำลังจะพูดอะไรหรือ? เคียร์ชไอซ์ยังจำได้ถึงการเต้นแรงของหัวใจตนเอง ขณะที่ไรน์ฮาร์ดพูดต่อ

"สิ่งที่ลูดอร์ฟเคยทำสำเร็จ... นายคิดว่าฉันจะทำให้สำเร็จบ้างได้ไหม เคียร์ชไอซ์? !!!"

จากนั้น เคียร์ชไอซ์ก็มองตอบสายตาจากดวงตาสีไอซ์บลูของอีกฝ่ายที่จับจ้องมาทางตนก่อนแล้ว ด้วยอาการที่เรียกว่าแทบจะกลั้นหายใจ

นั่นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในฤดูหนาวก่อนหน้าที่ทั้งสองจะเข้ารับราชการทหารเพียงเล็กน้อย
(อ่านตอนต่อไป)

หมายเหตุ

อืมห์ ที่จริงตอนนี้ไม่มีที่ต้องอธิบายเพิ่มสักเท่าไหร่นะ เอาเป็นว่า หน่วยเงินของจักรวรรดิทางช้างเผือก คือ ไรซ์มาร์ก (ไรช์ = จักรวรรดิ) ก็ละกัน

ชนชั้นขุนนาง มีสองพวกคือ พวกชนชั้นฐานันดร กับ พวกที่สักแต่ได้ชื่อว่าเป็นชนชั้นขุนนาง แต่ไม่มีฐานันดร ซึ่งโดยมากจะเป็นพวกที่สืบเชื้อสายมาจากอัศวินประจำจักรวรรดิ พวกนี้จะมีนามสกุล ขึ้นด้วย ฟอน แต่ไม่ได้มีฐานันดร เช่น ไรน์ฮาร์ด เดิมก็เป็นเพียงไรน์ฮาร์ด ฟอน มิวเซล เท่านั้น ก่อนที่จะได้รับพระราชทานฐานันดรให้เป็น เคานท์ไรน์ฮาร์ด ฟอน โรเอนกรัม

กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป 1