นวนิยายแฟนตาซีอวกาศเรื่องยาว

วีรบุรุษทางช้างเผือก銀河英雄伝説

เรื่อง โดย ทะนะกะ โยะชิกิ (田中芳樹) แปลโดย Pae

บทที่ 1 ราตรีที่ยาวนานดุจชั่วนิรันดร์
-3-


“... ตัวอย่างที่แสดงถึงผลของการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างไร้จุดหมายจนทำให้ความเป็นเอกภาพของมนุษย์สูญเสียไปนั้น มีให้เห็นมากมายในช่วงคริสตศตวรรษที่ 20 ถึง 21

ยกตัวอย่าง เช่น ผลงานการพัฒนาด้านวิศวกรรมชีวภาพผลงานหนึ่ง คือ การทำโคลนนิ่งนั้น ทั้งที่มันเป็นเพียงทฤษฎีที่เป็นไปได้เท่านั้น กลับทำให้มนุษย์รู้สึกเหมือนกับว่าค้นพบวิธีทำให้ชีวิตตนเป็นอมตะแล้ว และความคิดที่ผิด ๆ นี้เมื่อผนวกกับแนวคิดสังคมบูรณาการแบบดาร์วินนิสซึม ทำให้เกิดแนวคิดที่ไม่เห็นความสำคัญของชีวิตอีกต่อไปขึ้นบนดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่ชื่อว่า โลกมนุษย์ แนวคิดที่ว่า คนพิการต่าง ๆ คนที่มีจุดด้อย เป็นคนที่มีดีเอ็นเอที่ไม่สมบูรณ์ คนเหล่านี้ไม่สมควรมีบุตรหลานเพื่อสืบสานดีเอ็นเอด้อยของตนอีกต่อไป ทั้งนี้เพื่อให้บุตรหลานรุ่นต่อ ๆ มา มีแต่ผู้ที่รับช่วงดีเอ็นเอที่ดีมา เป็นการเร่งพัฒนาการของมนุษยชาติให้ดีขึ้นในรุ่นถัดมา แนวคิดนี้ได้ขยายวงกว้างออกไปในช่วงเวลาหนึ่ง

และ ที่สุดแล้ว แนวคิดนี้เองคือที่มาของคำสั่งของลูดอร์ฟ ฟอน โกลเดนบาวม์นั่นเอง... ”

ข้อความที่ปรากฏบนจอภาพของแผงควบคุมมีสีจางลงอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะยื่นมือไปสัมผัสแป้นพิมพ์ใด ๆ ข้อความอันใหม่ก็ปรากฏขึ้นบนจอภาพแทน

“พลจัตวาหยาง ท่านผบ. เรียกพบ กรุณามาที่ห้องบัญชาการโดยด่วน”

พลจัตวาหยาง เหวินหลี่ ซึ่งถูกขัดจังหวะการอ่านหนังสือของตนได้แต่หยิบหมวกเบเล่ต์ขึ้นมา พลางยกมืออีกข้างเสยผมดกดำบนศีรษะของตน

เขาเป็นเสนาธิการลำดับที่สองในคณะเสนาธิการของกองยานรบที่สอง แห่งกองทัพสมาพันธ์ดาวเคราะห์เสรี และมีที่นั่งอยู่ในห้องบัญชาการของเรือธงแพโทรครอสนี้ ที่จริง เขาแอบเอาโปรแกรมสำหรับอ่านหนังสือมาใส่ไว้ในคอมพิวเตอร์ของแผงควบคุมซึ่งมีไว้จำลองสถานการณ์รบ (ซิมูเลชัน) ดังนั้นต่อให้ถูกขัดจังหวะการอ่านหนังสือเช่นนี้ ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะบ่นใด ๆได้

การบันทึกชื่อของหยางเป็นรูปแบบที่เรียกว่า แบบ E ซี่งเป็นรูปแบบการบันทึกชื่อที่มีมาแต่เก่าก่อน ก่อนหน้าที่จะเกิดสมาพันธ์ทางช้างเผือกเสียอีก โดยรูปแบบ E คือ รูปแบบที่ใช้นามสกุล หรือที่บางชนชาติเรียกว่า แซ่ นำหน้าชื่อตัวนั่นเอง และคำว่า E ก็ย่อมาจาก อีสเทิร์นสไตล์ ในทำนองกลับกัน ชื่อคนในรูปแบบ W หรือ เวสเทิร์นสไตล์ คือ รูปแบบที่ชื่อตัวนำหน้านามสกุล

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางการแต่งงานข้ามเผ่าพันธุ์ในยุคนี้ ความสำคัญของนามสกุลก็ได้ลดหายไปมากแล้ว คงเป็นเพียงแค่เครื่องชี้ว่า ต้นตระกูลของตนมาจากไหน อย่างคร่าว ๆ เท่านั้นเอง

หยางเป็นคนหนุ่มผมดำ นัยน์ตาดำ รูปร่างสันทัด อายุยี่สิบเก้าปี ดูจากรูปร่างภายนอก แทนที่จะเป็นทหาร หากบอกว่าเขาเป็นนักวิชาการหรือนักวิจัยก็มีคนเชื่อ แต่นั่นก็เรียกว่า มองอย่างยกย่องเต็มที่แล้ว เพราะโดยทั่วไป คนมักมองแค่ว่า หยางเป็นชายหนุ่มท่าทางเด๋อด๋าคนหนึ่งก็เท่านั้นเอง หากทราบว่า หยางมียศถึงพลจัตวาละก็ เป็นต้องประหลาดใจทุกรายไป

“พลจัตวาหยาง รายงานตัวครับ”

ผบ. (ผู้บัญชาการ) กองยานรบพลโทปาเอตต้าหันมามองนายทหารหนุ่มใต้บังคับบัญชาที่กล่าวรายงานตัวกับเขา สายตาของพลโทที่มองมาไม่เป็นมิตรเท่าไรนัก สำหรับฝ่ายแรกแล้วดูจากบุคลิกก็บอกได้เลยว่า จะเป็นคนอาชีพอื่นไปเสียไม่ได้ นอกจากเป็นทหารอย่างแน่นอน

“ผมอ่านแผนการรบที่คุณเสนอมาแล้ว”

พูดเพียงเท่านั้น แล้วก็จับตามองหยางอีก ท่าทางเหมือนจะบอกว่า ไอ้หนุ่มท่าทางกล้องแกล้งคนนี้เนี่ยนะ เป็นถึงพลจัตวา... ต่ำกว่าตัวเองแค่สองขั้นเท่านั้น ทำใจไม่ได้ ฯลฯ ทำนองนั้น

“เป็นแผนที่น่าสนใจมาก แต่ ดูเหมือนคุณจะระแวดระวังเกินไป จนกลายเป็นเหมือนขลาด ๆ อย่างไรอย่างนั้นแหละ”

“งั้นเหรอครับ?”

หยางตอบด้วยน้ำเสียงเนือย ๆ ถ้าคิดดี ๆ แล้วการใช้น้ำเสียงแบบนี้ต่อเจ้านายย่อมเป็นการเสียมารยาท แต่ในตอนนี้รู้สึกว่านายพลโทปาเอตต้าไม่ได้สังเกตถึงจุดนี้

“อย่างที่คุณเขียนมาก็ถูก มันเป็นแผนที่แพ้ยากมากจริง ๆ แต่... ถ้าแค่รบเพื่อให้ไม่แพ้ละก็ มันจะมีความหมายอะไรหรือ? ต้องชนะสิ กองทัพของพวกเรากำลังเข้าโอบล้อมข้าศึกจากสามทิศทาง ทั้งยังมีกำลังมากเป็นสองเท่าของข้าศึกด้วย อุตส่าห์มีปัจจัยแห่งชัยชนะพร้อมมูลถึงขนาดนี้แล้ว ทำไมต้องมานั่งคิดแผนที่จะรบไม่แพ้ด้วยล่ะ?”

“ใช่ครับ แต่เรายังไม่ได้ล้อมข้าศึกเสร็จสิ้นนะครับ แค่ ‘กำลังจะ’ เท่านั้น”

คราวนี้ นายพลโทสังเกตได้ถึงน้ำเสียงอีกฝ่าย ถึงกับต้องขมวดคิ้วเข้าหากัน จนหน้าผากเป็นรอยย่นในแนวตั้งขึ้นมาหนึ่งรอย

หยางยังคงมีท่าทีไม่ยินดียินร้าย

เก้าปีก่อน ตอนที่จบการศึกษาจากวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร หยางเป็นเพียงร้อยตรีบรรจุใหม่ธรรมดา ๆ คนหนึ่งเท่านั้น ในบรรดานายทหารใหม่ที่จบรุ่นเดียวกัน 4,840 นาย หยางอยู่อันดับที่ 1,909 และปัจจุบัน กล่าวได้ว่า เขาเป็นพลจัตวาธรรมดา ๆ คนหนึ่ง.... ก็คงจะผิดเสียแล้ว ทอดตาทั้งกองทัพของสมาพันธ์ มีเพียงสิบหกคนเท่านั้นที่ครองยศนายพลตั้งแต่อายุยังขึ้นด้วยเลขสอง และเขาก็เป็นหนึ่งในนั้น!

พลโทปาเอตต้าเองก็ใช่ว่าจะไม่ทราบถึงประวัติการทำงานของพลจัตวาหนุ่มผู้นี้ ภายในระยะเวลาเก้าปี ชายหนุ่มออกสู่สนามรบประมาณ 100 ครั้ง ถึงแม้ที่ผ่านมาจะไม่มีครั้งใดเลยที่เป็นการรบในระดับของกองยานรบเรือนหมื่นเช่นครั้งนี้ก็ตาม แต่สงครามก็คือสงคราม ไม่ใช่การเล่นไล่จับหรือเด็กเล่นขายของนี่! และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พลจัตวาหนุ่มผู้นี้แหละคือดาวรุ่งพุ่งแรง- วีรบุรุษจรัสแสงแห่ง “ยุทธการลี้ภัยที่เอล ฟาซิล” นั่นเอง

ใช่ คนผู้นี้เป็นทหารหาญผู้มีชื่อเสียงตั้งแต่ยังหนุ่ม แต่ปาเอตต้าก็ทำใจไม่ได้สักที ในสายตาของท่านพลโทแล้ว หยางน่าจะเป็นพวกทหารธุรการที่ทำงานประเภทนั่งคำนวณเงินเดือนของคนอื่นอยู่ในแนวหลังจะเหมาะสมมากกว่า

“อย่างไรก็ตาม สรุปว่า แผนของคุณไม่ผ่านการพิจารณา”

นายพลโทยื่นเอกสารปึกหนึ่งส่งคืนให้หยาง

“บอกไว้ก่อนนะ นี่ไม่ใช่เพราะผมมีอคติกับคุณนะ”

แถมท้ายด้วยประโยคที่ไม่น่าพูดอีกหนึ่งประโยค
(อ่านตอนต่อไป)

หมายเหตุ

สำหรับการแปลของผม ผมขอยืนยันฟันธงว่า ผู้เขียน (อ. ทะนะกะ) คงต้องการให้ตัวละครตัวนี้ มีชื่อเป็นจีนอย่างแน่นอน ถ้าอ่านในต้นฉบับ ตัวคะตะคะนะที่เขียนชื่อนี้ จะออกเสียงเป็น ยัง เว็นรี่ ( ภาษาญี่ปุ่นไม่ได้แยกตัวสะกดแม่กงกับแม่กนอย่างชัดเจนครับ ไม่ต้องเถียงกันว่า อ่าน ยัง หรือ ยัน กันแน่) ซึ่งหากเขียนเป็นอังกฤษ จะเป็น Yan Wenli และถ้าเราคิดว่ามันเป็น Yang Wenli ละก็... ตามระบบเขียนเสียงภาษาจีนด้วยอักษรโรมันที่ใช้กันตอนนี้ ชื่อนี้ ก็คือ หยาง เหวินหลี่ อย่างแน่นอน และในตัวเนื้อหาของเรื่องเอง อ. ทะนะกะก็ยังอุตส่าห์บรรยายถึงระบบเขียนชื่อแบบ E และ W อีก คิดว่าคงไม่ต้องสงสัยกันต่อไปแล้ว

สรุปว่า ท่านที่เคยอ่านจากฉบับการ์ตูน..........จะไม่มีชื่อยังเวนรี่อีกต่อไปในฉบับแปลนี้นะครับ แต่จะเป็นหยางเหวินหลี่...........ซึ่งพอทำเป็นชื่อจีนแล้ว รู้สึกอยากเชียร์พ่อหนุ่มคนนี้ขึ้นมาตะหงิด ๆ เลยแฮะ

นอกนั้น ก็คงไม่มีอะไรเพิ่มเติมครับ สำหรับบทนี้

กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป 1