บิดาของหยางเหวินหลี่ คือ หยางไท่หลงเป็นพ่อค้าที่มีชื่อเสียงในหมู่พ่อค้าด้วยกันในสมาพันธ์ดาวเคราะห์เสรี เขาเป็นคนซ่อนสมองที่ใช้สำหรับคำนวณกำไรขาดทุนไว้เบื้องหลังรอยยิ้มอันแสนประทับใจ และจากเจ้าของยานสินค้าเพียงลำเดียว ก็ค่อย ๆ ขยายกิจการขึ้นมาจนร่ำรวย
ก็ผมให้ความรักต่อเงินเป็นอย่างดีนี่นา
เขาเคยตอบเพื่อนที่ถามถึงเคล็ดลับในการประสบความสำเร็จของเขาไว้อย่างนี้
เม็ดเงินที่รู้ซึ้งถึงพระคุณของผม มันจะกลับมาสู่มือของผมอีกครั้งหนึ่งไงครับ จากเหรียญทองแดงกลับมาก็กลายเป็นเหรียญเงิน จากเหรียญเงินกลายเป็นเหรียญทอง เงินมันโตได้... อยู่ที่วิธีเลี้ยงของเรา
ที่จริงไท่หลงตั้งใจจะให้มันเป็นโจ๊กเล่ากันสนุก ๆ แต่เจ้าตัวดันไปเที่ยวเล่าไว้แบบนี้ซะทั่ว ทำให้คนทั่วไปให้สมญานามเขาว่า นักเลี้ยงเงินมือเซียน ซึ่งจะว่าไป ก็ใช่ว่าเป็นคำชมหรอก เป็นคำประชดเสียมากกว่า แต่เจ้าตัวก็พอใจกับสมญานามนี้มาก
นอกจากนี้ หยางไท่หลงยังเป็นนักสะสมศิลปะโบราณอีกด้วย บรรดาภาพวาด, รูปแกะสลัก, เครื่องปั้นดินเผาตั้งแต่สมัยที่มนุษย์ยังใช้ปีคริสตศักราชในการนับปีอยู่ ถูกสะสมไว้ที่บ้านของเขาเป็นจำนวนมาก เวลาที่ว่างจากการสั่งงานให้กับบรรดาลูกน้องที่ออฟฟิศของบริษัทการค้าระหว่างดวงดาวแล้ว เขาจะง่วนอยู่กับการนั่งชื่นชมของสะสมเหล่านี้ บางทีก็นั่งขัดเช็ดทำความสะอาดอย่างไม่รู้เบื่อ
มีข่าวลือว่า หยางไท่หลงบ้าคลั่งกับงานอดิเรกของตัวเองมาก ถึงขนาดแต่งงานกับงานศิลปะไปแล้ว
หลังจากแยกทางกับภรรยาคนแรกซึ่งมีนิสัยฟุ่มเฟือยแล้ว เขาก็แต่งงานกับสาวสวยอีกคนซึ่งเป็นภรรยาม่ายของอดีตนายทหารผู้หนึ่ง หลังจากนั้น บุตรชาย หยางเหวินหลี่ ก็ถือกำเนิดขึ้นมา
หยางไท่หลงได้รับแจ้งข่าวบุตรชายของตนคลอดแล้วขณะที่เขากำลังนั่งขัดแจกันโบราณใบหนึ่งอยู่ เขาหยุดมือลงชั่วขณะ ก่อนจะรำพึงขึ้นมาว่า
เฮ้อ ถ้าฉันตายไป งานศิลปะทั้งหมดนี้ก็ตกเป็นของเจ้านั่นสินะ
แล้วก็ก้มหน้าก้มตาขัดแจกันต่อ
เมื่อหยางเหวินหลี่อายุได้ห้าขวบ แม่ของเขาก็เสียไปด้วยโรคมะเร็งหัวใจ ทั้งที่เป็นคนแข็งแรงมาตลอด เมื่อมาเสียชีวิตกระทันหัน แม้แต่หยางไท่หลงเองก็อดตกใจไม่ได้
เขาปล่อยให้รูปหล่อสิงโตที่ทำจากทองเหลืองที่กำลังขัดอยู่นั้นตกลงบนพื้น แต่เมื่อได้สติก็เก็บมันขึ้นมาใหม่ แล้วรำพึงถ้อยคำที่ทำให้ญาติฝ่ายภรรยาผู้เพิ่งเสียชีวิตโกรธเป็นฟืนเป็นไฟว่า
เฮ้อ ดีนะ ตะกี้ไม่ได้กำลังเช็ดพวกที่ตกแตกได้ โชคดีจริง ๆ
หลังจากแยกทางกับภรรยาถึงสองคน- คนแรกแยกทางในขณะที่ฝ่ายนั้นมีชีวิตและคนหลังแยกทางเพราะฝ่ายหลังเสียชีวิตจากไป- หยางไท่หลงก็ไม่คิดที่จะแต่งงานใหม่อีกเลย
หยางไท่หลงจ้างพี่เลี้ยงมาดูแลลูกชายของตน แต่เวลาที่พี่เลี้ยงลาหยุด เขาก็ไม่รู้จะทำยังไงกับเจ้าตัวน้อยดี สุดท้ายก็พาเจ้าตัวน้อยเข้าไปนั่งกับเขาในห้องสมุดส่วนตัว พลางให้ช่วยขัดเช็ดพวกแจกันต่าง ๆ ไปด้วยกัน
บรรดาญาติ ๆ ของภรรยาผู้ล่วงลับที่ได้มาเยี่ยมบ้านของหยางและเห็นภาพที่สองพ่อลูกนั่งขัดแจกันเก่า ๆ กันเงียบ ๆ ในห้องสมุดต่างพากันเอือมระอาไปตาม ๆ กัน บางคนถึงกับโวยวายว่าจะปล่อยให้เด็กน้อยอยู่กับพ่อที่ไม่เอาใจใส่คนนี้ต่อไปไม่ได้ เมื่อมีคนถามว่า ระหว่างลูกชายกับงานศิลปะอย่างไหนสำคัญกว่า หยางไท่หลงตอบว่า
อืม... พวกงานศิลปะพวกนี้นี่ต้องใช้เงินถึงจะหามาได้เน้อ....
ส่วนลูกชายนั่นของฟรี... สรุปว่างั้น
คำพูดนี้เองทำให้บรรดาญาติ ๆ ตัดสินใจที่จะฟ้องร้องแยกตัวเด็กน้อยออกมาจากมือของพ่อสักที แต่หยางไท่หลงรู้ตัวเสียก่อน จัดแจงอุ้มลูกชายหนีขึ้นไปกับยานพาณิชย์ระหว่างหมู่ดาวของเขาซะ ทิ้งให้บรรดาญาติ ๆ ได้แต่ถอนหายใจเฮือก ๆ จะฟ้องศาลหรือแจ้งความว่า พ่อลักพาลูกชายตัวเองก็ไม่ได้ ได้แต่ปลอบใจกันเองว่า อย่างน้อยที่หยางไท่หลงพาเหวินหลี่ไปด้วย ก็แสดงว่าคงมีความรักต่อบุตรชายบ้างละน่า
ด้วยเหตุฉะนี้ หยางเหวินหลี่จึงต้องใช้ชีวิตส่วนใหญ่ของตนอยู่บนยานอวกาศ จนกระทั่งอายุได้สิบหกปี
เด็กน้อยหยาง ในตอนแรกมีอาการไม่สบาย เป็นไข้บ้าง อาเจียนบ้าง ทุกครั้งที่ยานอวกาศทำการ วาร์ป แต่เมื่อชินแล้ว เด็กน้อยก็ยอมรับในโชคชะตาของตนเองแต่โดยดี หลังจากที่เด็กชายหยางให้ความสนอกสนใจเกี่ยวกับเครื่องยนต์กลไกอยู่พักหนึ่ง แกก็หันไปสนใจอย่างอื่นแทน ซึ่งได้แก่ วิชาประวัติศาสตร์
เด็กชายหยางดูวีดีโอเก่า ๆ อ่านหนังสือและนิตยสารเก่า ๆ รวมทั้งบรรดาหนังสือนิทานต่าง ๆ อย่างสนอกสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องราวเกี่ยวกับ ทรราชย์ที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ- ลูดอร์ฟ- นั้นเด็กชายมีความสนใจเป็นพิเศษ แน่นอนว่า เรื่องราวต่าง ๆ ที่เขาได้อ่าน ได้ฟัง ได้เห็น เป็นเรื่องราวจากแง่มุมของคนในสมาพันธ์ดาวเคราะห์เสรี ดังนั้น ลูดอร์ฟผู้นั้นจึงเป็นเพียงไอ้ตัววายร้ายที่เหมือนกับเป็นความชั่วร้ายทั้งหมดทั้งมวลในจักรวาลสำแดงร่างมาในสภาพของมนุษย์ผู้หนึ่ง แต่หลังจากศึกษาเกี่ยวกับลูดอร์ฟไปพักหนึ่ง เด็กชายหยางก็เริ่มสงสัยขึ้นมา ถ้าลูดอร์ฟเลวร้ายขนาดนั้นจริง ทำไมบรรดาประชาชนในสมัยนั้นจึงให้ความสนับสนุนและมอบอำนาจการปกครองให้แก่ลูดอร์ฟล่ะ?
ก็เพราะว่าไอ้ลูดอร์ฟมันเลวยิ่งกว่าเลวนะสิ มันหลอกผู้คนทั่วไปจนเขาหลงเชื่อมันหมด
แล้วทำไมประชาชนหลงเชื่อเขาง่าย ๆ ล่ะครับ?
เพราะลูดอร์ฟมันเลวกว่าที่คิดนะสิ
คำตอบแบบนี้ไม่ได้ทำให้เด็กชายหยางพอใจได้เลย แต่เมื่อไปลองถามบิดาของตน ไท่หลงกลับตอบด้วยคำตอบที่ต่างจากคนอื่นไป
เพราะประชาชนอยากจะสบายนะสิ
อยากสบาย?
เออ... แทนที่พวกนั้นจะพยายามแก้ปัญหาต่าง ๆ ด้วยตัวเองนะ พวกเขากลับนั่งหวังลม ๆ แล้ง ๆ ว่าจะมียอดมนุษย์หรือมีฮีโร่จากที่ไหนสักแห่งปรากฏตัวขึ้นมาเบื้องหน้าพวกเขาแล้วก็ช่วยพวกเขาแก้ปัญหายาก ๆ พวกนั้นโดยไม่หวังผลตอบแทน และไม่ปริปากบ่นด้วย... นั่นแหละ คือ จุดที่ทำให้ลูดอร์ฟมีโอกาสเป็นใหญ่ขึ้นมาได้ล่ะ จำไว้นะลูกเอ๋ย การเกิดเผด็จการขึ้นมาสักคนนั้น พวกประชาชนที่เป็นตัวต้นเหตุทำให้เกิดเผด็จการคนนั้นนั่นแหละ ต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นมากที่สุด ต่อให้เขาไม่ได้สนับสนุนเผด็จการคนนั้นแบบสุด ๆ ก็ตาม แต่แค่อยู่นิ่ง ๆ ไม่เอ่ยปากค้าน ก็ถือว่ามีส่วนทำให้เกิดเผด็จการขึ้นแล้ว .... ว่าแต่... แทนที่จะสนเรื่องพวกนี้นะ ไอ้หนู เอ็งหัดสนใจเรื่องอื่นที่มันมีประโยชน์บ้างสิวะ
เรื่องที่มีประโยชน์เหรอพ่อ?
เออ ... เรื่องของเงินกับงานศิลปะไง เงินช่วยทำให้ท้องเราอิ่ม ส่วนงานศิลปะก็ทำให้ใจเราอิ่ม
พ่อของเขาทิ้งท้ายไว้อย่างนั้นก็จริง แต่ก็ไม่ได้แสดงทีท่าบังคับฝืนใจให้หยางเหวินหลี่หันมาสนใจงานหรืองานอดิเรกของตน ดังนั้น เด็กชายหยางจึงยิ่งค้นคว้าเกี่ยวกับวิชาประวัติศาสตร์มากขึ้น ๆ
ก่อนที่หยางเหวินหลี่จะอายุครบสิบหกปีได้ไม่กี่วัน บิดาหยางไท่หลงก็เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุขณะซ่อมเตาปฏิกรณ์ปรมาณูของยานอวกาศ เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นหลังจากที่หยางเหวินหลี่เพิ่งจะตัดสินใจสมัครสอบเข้าเรียนภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยไฮเนสเซ่นเมมโมเรียล และเพิ่งได้รับอนุญาตจากบิดาเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง
ตอนนั้น หยางไท่หลงตอบบุตรชายว่า
.............อืม... ตามใจเอ็งว่ะ นักประวัติศาสตร์ที่รวย ๆ ก็ใช่ว่าจะหาไม่ได้สักคนนี่เนอะ
และตบท้ายไว้ ก่อนจะโดนตามตัวไปช่วยกันซ่อมเตาต้นเหตุว่า
แต่จำไว้อย่างนะ ลูกเอ๋ย เงินทองไม่ใช่สิ่งที่เราควรจะไปดูถูกมันนะ ถ้าเรามีเงินซะอย่าง เราจะไม่ต้องก้มหัวให้กับคนที่เราเกลียด ไม่ต้องยอมเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองไปในทางที่ไม่อยากทำด้วย มันก็เหมือนกับนักการเมืองนะแหละ ถ้าเราควบคุมมันให้ดี ๆ มันก็เป็นประโยชน์กับเรา
สิ่งที่หยางไท่หลงซึ่งตายเมื่ออายุสี่สิบแปดปีทิ้งไว้เบื้องหลังคือ ลูกชายหนึ่งคน บริษัทการค้าหนึ่งบริษัทและงานศิลปะกองเท่าภูเขา
เมื่อหยางเหวินหลี่เสร็จสิ้นจากงานศพของบิดาตน เขาก็ต้องผจญกับปัญหาการรับมรดก การเสียภาษีต่าง ๆ อยู่พักใหญ่ และก็ได้รับทราบความจริงอันน่าตระหนก
งานศิลปะที่พ่อของเขาสะสมมาตลอดชีวิตนั้น ไม่มีชิ้นใดเป็นของจริงแม้แต่ชิ้นเดียว !
ไหเอทรูเรีย (Etruria) เอย, ภาพวาดลายเส้นแบบโรโคโค (Rococo) เอย, รูปหล่อม้าทองแดงของประเทศ ฮั่น (จีน) โบราณเอย ล้วนแล้วแต่ ไม่มีคุณค่าแม้แต่ดินาร์เดียว ตามคำตัดสินที่โหดร้ายจากนักตีราคางานศิลปะมืออาชีพ
ยิ่งกว่านั้น ความรับผิดชอบของหยางไท่หลงต่อบริษัทของเขา ยังรวมไปถึงการรับผิดชอบในเรื่องหนี้สินด้วย สรุปแล้วหยางเหวินหลี่ก็ต้องขายบริษัทนั้นไปเพื่อหลีกหนีจากหนี้สินจำนวนมหาศาล
สภาพของเด็กหนุ่มหยางเหวินหลี่อายุสิบหกปีในขณะนั้น เปรียบเสมือนถูกโยนออกมากลางถนนในสภาพตัวเปล่า พร้อมกับกองงานศิลปะเก๊อีกหนึ่งกอง
หยางได้แต่ถอนหายใจแล้วยิ้มขื่น ๆ พลางก็ทำใจยอมรับสภาพของตนในตอนนั้นอีกครั้งหนึ่ง เหมือนกับที่เขาเคยต้องทำใจรับสภาพของตนมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อตอนเล็ก นึกถึงบิดาแล้วก็อดขำไม่ได้ พ่อค้าใหญ่กลับมีตาที่ไร้แววในเรื่องของงานศิลปะที่ตัวเองชอบนี่นะ? จะว่าไป หากจะคิดอีกแง่ว่า พ่อซื้อหาของพวกนี้มาสะสมทั้งที่รู้ว่ามันเป็นของปลอม กลับจะยอมรับได้เสียมากกว่า ว่าสมเป็นหยางไท่หลงจริง ๆ
และสำหรับเรื่องของบริษัทของพ่อที่หลุดมือไปนั้น หยางเหวินหลี่เองไม่มีใจจะสานต่อกิจการแต่แรกอยู่แล้ว จึงไม่รู้สึกเสียดายหรือยี่หระสักเท่าไร
แต่ถึงจะทำใจได้ขนาดนั้น ในโลกของความจริง ปัญหาใหญ่ก็ยังคงทอดเงาทะมึนอยู่บนศีรษะของเขาอยู่ดี ในมือของเขาขณะนี้ ไม่มีเงินเหลือพอที่จะเรียนในขั้นสูงขึ้นไปอีกแล้ว !
สมาพันธ์ดาวเคราะห์เสรีซึ่งอยู่ในสภาวะสงครามยืดเยื้อกับจักรวรรดิทางช้างเผือก ย่อมต้องมีค่าใช้จ่ายในการทำสงครามเป็นจำนวนมหาศาล และมันก็ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างงบประมาณแผ่นดินอย่างรุนแรง การศึกษาในสาขาวิชาอื่น ๆ ที่ไม่ใช่วิชาทหาร ล้วนถูกตัดงบประมาณกันถ้วนหน้า งบประมาณที่ทุ่มเทให้การศึกษาลดน้อยลงทุกปี และหมายความว่า ทุนการศึกษาก็น้อยมากด้วย และคงหมดสิทธิ์ที่จะไปสอบแข่งเพื่อให้ได้ทุน
มีที่ไหนบ้างหนอที่จะให้เราเรียนวิชาประวัติศาสตร์ได้ฟรี ๆ .... มีสิ
ภาควิชาประวัติศาสตร์การสงคราม ของวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (โรงเรียนเตรียมทหาร) นั่นเอง หยางยื่นใบสมัครทันหมดเขตพอดี แล้วก็สอบผ่านเข้าไปด้วยผลสอบที่ห่างจากคนได้ที่หนึ่งมากนัก แต่เขาก็ผ่านล่ะ
ด้วยเหตุประการฉะนี้เอง หยางเหวินหลี่จึงได้เข้าศึกษาในโรงเรียนเตรียมทหาร เขาตัดสินเส้นทางการศึกษาของตนโดยที่ไม่เกี่ยวข้องกับ ความรักชาติ หรือ ความอยากเป็นทหาร ใด ๆ ทั้งสิ้น
เขาทิ้งบรรดา มรดก ของพ่อไปเกือบหมด บางส่วนที่เลือกเก็บไว้ก็ไปเช่าตู้นิรภัยแล้วยัดพวกมันเก็บเข้าไป จากนั้นก็ เดินตัวเปล่า เข้าไปพักในหอพักนักเรียนเตรียมทหาร
เหตุผลที่เข้าโรงเรียนนี้ก็อย่างที่ได้กล่าวแล้ว เพราะฉะนั้นไม่ต้องมาคาดหวังเลยว่าผลการเรียนหยางจะดีขนาดไหน เขาตั้งอกตั้งใจเรียนวิชาประวัติศาสตร์การสงคราม และวิชาที่เป็นพื้นฐานของวิชานี้ซึ่งได้แก่วิชาประวัติศาตร์มนุษย์อย่างเต็มที่ แต่สำหรับวิชาอื่น ๆ แล้ว เขาใส่ใจพวกมันน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกวิชายิงปืน, การขับยานอวกาศ, วิศวกรรมเครื่องยนต์ ฯลฯ วิชาที่หยางไม่สนใจเหล่านี้ เขาขอเพียงได้คะแนนคาบเส้นก็พอใจแล้ว จากนั้นก็ทำตัวเฉย ๆ ไม่เดือดร้อนใด ๆ กับผลการเรียนอันย่ำแย่ของตน
ถ้าสอบตกละก็ อาจจะโดนไล่ออกจากการศึกษา หรือถึงไม่โดนไล่ออก ก็ต้องเสียเวลามานั่งสอบซ่อมอีก สรุปว่า เรียนให้ผ่านไว้ทุกวิชานั่นแหละดีแล้ว เป้าหมายของเขาไม่ได้อยู่ที่เสนาธิการทหารสูงสุด หรือ ผู้บัญชาการสูงสุดของกองยานรบอวกาศ หรือ หัวหน้าฝ่ายยุทธศาสตร์ของกองทัพเสียเมื่อไหร่ เขาต้องการเป็นเพียงแค่นักวิจัยอยู่ในห้องเก็บประมวลประวัติศาสตร์สงครามเท่านั้นก็พอแล้ว ไม่ได้หวังจะได้ดิบได้ดีหรือเป็นใหญ่เป็นโตในอาชีพทหารนี้เลย
หยางซึ่งเรียนด้วยผลการเรียนเฉลี่ยคาบเส้น โดยมีผลสอบวิชาว่าด้วยประวัติศาสตร์สงครามดีเยี่ยม ส่วนวิชาอื่น ๆ อยู่ต่ำติดดินนั้น ก็ยังอุตส่าห์มีอีกวิชาที่ทำคะแนนได้ดีเหมือนกัน คือวิชาการจำลองยุทธการ/ยุทธวิธี ในการสอบวิชานี้จะใช้คอมพิวเตอร์ซิมูเลท (จำลองสถานการณ์) การเดินทัพของนักเรียนสองฝ่ายที่จะต้องทำศึกกองยานรบกันในห้วงอวกาศ สิ่งที่ทำให้บรรดาอาจารย์ผู้สอนและผู้ให้คะแนนวิชานี้แปลกใจไปตาม ๆ กันก็คือ หยางเอาชนะนักเรียนนายร้อยไวด์โบนซึ่งเป็นนักเรียนท็อปของรุ่นและได้รับการยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะในรอบสิบปีลงได้หน้าตาเฉย!
หยางใช้วิธีรบโดยทุ่มกำลังทั้งหมดเข้าตัดเส้นทางลำเลียงยุทธปัจจัย (เสบียงและพวกกระสุน เชื้อเพลิง อะไหล่ ฯลฯ) ของฝ่ายตรงข้าม เมื่อสำเร็จแล้ว หลังจากนั้นเขาก็เอาแต่ตั้งรับอย่างเดียว ไวด์โบนพยายามใช้กลยุทธต่าง ๆ ในการเข้าตีกองทัพของหยางให้แตกให้ได้ แต่ก็ไม่สำเร็จ และเมื่อยุทธปัจจัยของเขาหมดลง ก็จำต้องถอนทัพกลับไป ผลการตัดสินของคอมพิวเตอร์ และการให้คะแนนของบรรดาอาจารย์ล้วนให้หยางเป็นฝ่ายชนะทั้งสิ้น
ไวด์โบนซึ่งรู้สึกเสียหน้าอย่างมากถึงกับยืนตะโกนกลางห้อง
ถ้าสู้กันซึ่ง ๆ หน้าผมก็ชนะไปแล้ว ไอ้หมอนั่นเอาแต่หนีถ่ายเดียวไม่ใช่เหรอ?
ทำไมให้อีกฝ่ายชนะ? เป็นสิ่งที่นักเรียนท็อปของรุ่นยอมรับไม่ได้
หยางไม่ได้โต้ตอบใด ๆ ทั้งสิ้น สำหรับเขาแล้ว คะแนนจากวิชานี้สามารถไปชดเชยกับคะแนนห่วย ๆ ของตนในวิชาวิศวกรรมเครื่องยนต์ได้พอดี นั่นคือสิ่งที่เขาต้องการล่ะ
แต่... หยางก็ไม่สามารถสบายใจได้นานนัก
(อ่านตอนต่อไป)
หมายเหตุ
ตอนนี้ก็จะกล่าวถึงภูมิหลังของหยางเหวินหลี่น่ะครับ ... ชื่อหยางไท่หลง หรือ ยังไทรอน ก็เป็นอีกสาเหตุนึงที่ช่วยเสริมให้ผมค่อนข้างมั่นใจว่า ยังเวนรี่ เป็นคนเชื้อสายจีนชื่อ หยางเหวินหลี่ เพราะแวบแรกที่เห็นชื่อ ยังไทรอน นึกรู้เลยว่า หมายถึง หยาง ไท หลง (หลงแปลว่ามังกร)
คำพูดของหยางไท่หลงเด็ด ๆ มีเยอะเลย ที่ผมชอบก็คงเป็นประโยคที่ว่า "ถ้าเรามีเงินซะอย่าง ก็ไม่ต้องก้มหัวให้คนที่เราเกลียด ไม่ต้องทำในสิ่งที่เราไม่ชอบ" ....... เฮ้อ... แกพูดถูกเลยล่ะ ไม่รู้ว่าคนเขียน (อ. ทะนะกะ) แกหมายถึงตัวแกเองด้วยรึเปล่า? ส่วนบทวิจารณ์เกี่ยวกับกำเนิดของเผด็จการ ก็แสบสันต์ถึงทรวงเชียวล่ะ ว่าไหมครับ?
หน่วยเงินของสมาพันธ์ คือ ดินาร์ (Dinar) ไม่ทราบว่าผู้เขียนเขาเลียนแบบมาจากหน่วยเงินประเทศไหนเหมือนกัน (ผมวิศวะหงะ ความรู้น้อย) แต่ไรช์มาร์กนั่น ไม่ต้องสงสัยว่ามาจาก มาร์กเยอรมัน + จักรวรรดิ์ไรช์เยอรมัน (แต่ที่หยางไท่หลงพูดถึงเหรียญทอง เงิน ทองแดง คงเป็นการเปรียบเทียบมากกว่า ว่า จากเหรียญ 1 ดินาร์ กลายเป็นแบงค์สิบ จากแบงค์สิบเป็นแบงค์ร้อย ทำนองนั้น)
|