นวนิยายแฟนตาซีอวกาศเรื่องยาว

วีรบุรุษทางช้างเผือก銀河英雄伝説

เรื่อง โดย ทะนะกะ โยะชิกิ (田中芳樹) แปลโดย Pae

บทที่ 1 ราตรีที่ยาวนานดุจชั่วนิรันดร์
-5-


จบปีที่สอง หยางถูกอาจารย์ที่ปรึกษาเรียกไปพบ แล้วสั่งให้ย้ายไปเรียนภาควิชายุทธศาสตร์การรบแทน

“ไม่ใช่เฉพาะเธอคนเดียว...”

อาจารย์ปลอบใจ

“ภาควิชาประวัติศาตร์การสงครามของเราถูกปิดน่ะ พวกนักเรียนคนอื่นก็ต้องย้ายภาคเหมือนกัน สำหรับเธอ ครูเห็นว่ามีผลงานเอาชนะนายไวท์โบนคนนั้นไว้อย่างงดงาม คิดในแง่ของการใช้คนให้เหมาะสมกับความสามารถ ครูก็คิดว่าเธอน่าจะเหมาะสมกับการเรียนภาควิชายุทธศาสตร์การรบมากกว่าอยู่ดี”

“แต่... ผมเข้ามาเรียนที่นี่เพราะอยากเรียนวิชาประวัติศาสตร์นี่ครับ เปิดภาควิชาไว้ ให้เด็กมาเรียน แล้วพอกำลังจะจบ ก็มายกเลิก อย่างนี้ไม่แฟร์นะครับ”

“นักเรียนนายร้อยหยาง นับแต่เธอก้าวเท้าเข้ามาในโรงเรียนนี้แล้ว เธอก็เทียบได้กับเป็นทหารแล้วนะ ถึงแม้จะยังไม่ได้จบไปรับราชการทหารก็เถอะ เธอเทียบได้กับนายทหารระดับนายสิบ และในโลกของทหารแล้ว ทหารผู้น้อยก็ย่อมต้องเชื่อฟังคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ถูกไหม?”

“...”

“ที่สำคัญที่สุด เรื่องย้ายภาควิชานี่ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายสำหรับเธอเลยนะ ภาควิชายุทธศาสตร์การรบเป็นภาควิชาที่คนแย่งกันเรียนเป็นอันดับต้น ๆ มีแต่นักเรียนเก่ง ๆ ทั้งนั้น คนที่เรียนไม่ไหวแล้วขอย้ายออกไปภาควิชาอื่นก็มีถมไป แต่คนที่ได้รับอนุมัติให้ย้ายจากภาคฯ อื่นเข้าไปนี่ หายากเต็มที...”

“ครับ ช่างเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ผมได้รับเชิญให้ไปเรียนในภาคอย่างนั้น ... ทั้งที่ผมไม่คิดว่าผมจะเก่งอะไรนักหนาเลย...”

“ฮึ ไม่ต้องพูดประชดหรอก พ่อคุณ ถ้าเธอไม่ต้องการทำตามคำสั่งนี้ละก็ เธอก็ย่อมมีสิทธิที่จะลาออกได้ แต่มีข้อแม้ว่าต้องชดใช้เงินค่าเล่าเรียนคืนให้รัฐทั้งหมดด้วยนะ โรงเรียนนี้มีไว้สำหรับคนที่จะเป็นทหารเท่านั้นที่จะได้เรียนฟรี”

หยางได้แต่แหงนหน้าขึ้นมองเพดานอย่างหมดหวัง ในใจอดนึกถึงคำพูดของพ่อก่อนตายที่เกี่ยวกับเงินไม่ได้ เฮ้อ คนเรานี่ พอเกิดมาเป็นคนแล้วก็ไม่มีอิสระติดตัวเลยหรือ?

เมื่ออายุยี่สิบปี หยางก็สำเร็จการศึกษาจากภาควิชายุทธศาสตร์การรบด้วยผลการเรียนธรรมดา ๆ และถูกบรรจุเข้ารับราชการในยศร้อยตรีทันที อีกหนึ่งปีให้หลังเขาก็ได้รับเลื่อนยศเป็นร้อยโท ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับบรรดานายร้อยจบใหม่ที่จะเป็นเช่นนี้ทุกคน ไมใช่ว่าหยางทำความดีความชอบจนได้รับเลื่อนขั้นหรอก และอีกอย่างหนึ่ง ตอนที่เป็นร้อยตรี ต้นสังกัดของเขาคือ ห้องเก็บข้อมูล ฝ่ายยุทธศาสตร์ ซึ่งแน่นอนการทำงานในแนวหลังเช่นนี้ ไม่มีโอกาสจะได้ทำความดีความชอบได้เลย แต่การที่มีโอกาสได้สัมผัสกับข้อมูลเก่า ๆ ทางการทหารก็เพียงพอที่ทำให้หยางพอใจกับสภาพของตนแล้ว

แต่เมื่อเลื่อนยศเป็นร้อยโท หยางก็ได้รับคำสั่งให้ออกไปแนวหน้า และต้นสังกัดใหม่ของเขาคือ กองยานรบประจำเขตดาวเอลฟาซิล โดยตำแหน่งใหม่ของเขาเป็น นายทหารที่ปรึกษาคนหนึ่งในกองเสนาธิการประจำกองบัญชาการยานรบนั้นนั่นเอง

“เฮ้อ พอพลาดไปเรื่องหนึ่งแล้วนี่ เรื่องต่อ ๆ มาก็รวนไปหมดเลยน้อ...”

ร้อยโทหนุ่มได้แต่ร้องครางในใจคนเดียว

ทั้งที่ไม่เคยคิดแม้แต่ครั้งเดียวว่าอยากเป็นทหารแท้ ๆ เลย แต่ตอนนี้เขากลับอยู่ในเครื่องแบบนายทหารเต็มตัว เริ่มจากหมวกเบเล่ต์สีดำที่ประดับด้วยรูปดาวห้าแฉกสีขาว, เสื้อนอกสีดำและผ้าพันคอสีขาวงาช้าง, กางเกงสีเดียวกับผ้าพันคอ และรองเท้าหนังหุ้มส้น ช่างเป็นเครื่องแบบที่ออกมาได้เรียบง่ายดีแท้

ในปีนั้นเอง อันเป็นปีสากลอวกาศที่ 788 “ศึกเอลฟาซิล” ก็ได้ขับเคลื่อนชีวิตทหารของหยางให้วิ่งแรงเป็นพลุแตกอย่างที่ไม่มีใครคาดถึง

การสงครามครั้งนี้ เปิดฉากด้วยความอัปยศของกองทัพฝ่ายสมาพันธ์โดยแท้ ที่จริงแล้วเนื้อหาของการทำศึกยานรบเองนั้นไม่ถึงกับเลวร้ายนักหรอก...เฉพาะในตอนแรกนะ เมื่อกองยานรบอวกาศของทั้งสองฝ่ายซึ่งมีจำนวนประมาณหนึ่งพันลำต่างพ่นไฟสงครามเข้าหากันจนกระทั่งต่างฝ่ายต่างสูญเสียกำลังไปยี่สิบเปอร์เซ็นต์ทั้งคู่ ในการศึกตอนแรกนี้หยางไม่ได้ทำอะไรเลย ได้แต่นั่งประจำอยู่ที่ที่นั่งของตนในฐานะเสนาธิการ ในห้องบัญชาการของเรือธง และนั่งเฝ้ามองสภาพการรบผ่านจอภาพหน้าห้องเท่านั้นเอง ผู้บังคับการกองยานรบไม่ได้ถามความเห็นของเขาแม้แต่คำเดียว

และขณะที่กองทัพฝ่ายสมาพันธ์กำลังหันหัวยานรบกลับไปยังดาวเอลฟาซิล ทัพจักรวรรดิซึ่งตอนแรกก็ทำท่าจะเลิกรากลับไปเหมือนกัน ก็หันหัวเรือกลับมามุ่งโจมตีเข้าใส่ทัพสมาพันธ์ที่ประมาทจนหันหลังให้ข้าศึกอย่างจัง

ลำแสงพลังงานสูงแปรสภาพเป็นประดุจหอกยาวที่พุ่งผ่านห้วงอวกาศอันมืดมิด เมื่อมันกระทบเป้าหมายก็ก่อเกิดประกายไฟดวงใหญ่ดุจดาวฤกษ์ดวงกระทัดรัด สว่างขึ้นแล้วก็ดับไป ขณะที่รอบข้างก็เกิดดวงไฟดวงใหญ่ขึ้นมาแทนที่อีก ยานรบที่ถูกอาวุธเข้าอย่างจังระเบิดออก ก่อให้เกิดพายุหมุนในห้วงอวกาศและพาให้ยานรบฝ่ายตนเองที่อยู่ใกล้ ๆ ต้องพลอยสั่นสะเทือนไปด้วย ในตอนนั้นผู้บังคับการกองยานรบเอลฟาซิลคือ พลตรีรินช์ถึงกับตื่นตระหนกจนเกินเหตุ แทนที่จะรีบสั่งการและควบคุมกองยานรบของตนให้รับมือกับสถานการณ์ เขากลับรีบสั่งให้พายานรบ (ซึ่งเป็นเรือธงด้วย) ของตน “วิ่งหนี” กลับดาวเอลฟาซิลทันที ทิ้งให้เพื่อนร่วมทัพติดอยู่ในสมรภูมินรก

หลังจากเรือธงของฝ่ายตนหนีออกจากสมรภูมิไปแล้ว บรรดายานรบของฝ่ายสมาพันธ์ที่เหลืออยู่ก็เสียขวัญกันไปหมด บรรดายานรบที่ก่อนหน้านั้นทหารบนยานยังตั้งสติยิงตอบโต้กับข้าศึกที่อยู่ตรงหน้าได้บ้าง ต่างก็พากันละทิ้งความคิดที่จะสู้ต่อโดยสิ้นเชิง ส่วนหนึ่งพายานรบหนีออกมาจากสมรภูมิและหนีไปนอกเขตดาวเอลฟาซิลได้สำเร็จ อีกส่วนหนึ่งหนีตามเรือธงกลับไปยังพื้นบรรยากาศของดาว และส่วนที่เหลือซึ่งหนีไม่ทันก็มีทางเลือกเพียงสอง คือ โดนลำแสงพลังงานของข้าศึกยิงจนยานระเบิด หรือไม่ก็ส่งสัญญานแสงขอยอมจำนน ซึ่งส่วนใหญ่เลือกหนทางหลัง

กองกำลังประจำเอลฟาซิลที่หนีกลับไปบนดาวได้ มีจำนวน 200 ลำ ประกอบด้วยนายทหารน้อยใหญ่ทั้งสิ้น 50,000 คน แต่ฝ่ายกองกำลังจักรวรรดิก็ได้ทัพเสริมมาจนมีกำลังเป็นสามเท่าของของเดิม และพร้อมที่จะดำเนินยุทธการ “ปลดปล่อยดาวเอลฟาซิลจากเงื้อมมือที่ชั่วร้ายของพวกกบฏ” ในไม่ช้า พลเมืองดาวเอลฟาซิลจำนวนสามล้านคนพากันแตกตื่นกับข่าวร้ายนี้ ดูท่าดาวเอลฟาซิลคงไม่พ้นตกอยู่ใต้การยึดครองของจักรวรรดิทางช้างเผือกเสียเป็นแน่แล้ว

พวกเขาส่งตัวแทนบุกเข้ามาถึงกองบัญชาการทหารของเอลฟาซิล เรียกร้องให้รีบดำเนินการอพยพลี้ภัยบรรดาพลเรือนทั้งสามล้านของดาวดวงนี้โดยด่วน และนายทหารที่ปรากฏตัวออกมาตอบรับว่าตนเองได้รับมอบหมายให้เป็นผู้รับผิดชอบการอพยพพลเรือน คือ ร้อยโทหยางเหวินหลี่

บรรดาตัวแทนของพลเรือนพากันหน้านิ่วคิ้วขมวดไปตาม ๆ กัน ร้อยโทหยาง? อายุก็น้อย แถมยศก็ต่ำด้วย ส่งคนแบบนี้มาเป็นผู้รับผิดชอบการอพยพนี่นะ กองทัพมันคิดอพยพพวกเราอย่างจริงจังรึเปล่า? ร้อยโทหยางเองก็ได้แต่เกาศีรษะแกรก ๆ ด้วยทีท่าเก้ ๆ กัง ๆ ดูไม่น่าเชื่อถือเท่าไร แล้วเขาก็ลงมือทำสิ่งที่ควรจะทำโดยด่วน นั่นคือการจัดหารวบรวมยานอวกาศทั้งของเอกชนและของกองทัพมารวมกัน เพื่อเตรียมการอพยพ รวมทั้งการจัดรวบรวมเสบียงและเชื้อเพลิง รวมทั้งประสานงานกับฝ่ายพลเรือนจัดทำรายชื่อผู้อพยพ ภายใต้สถานการณ์ตึงเครียดที่กองทัพจักรวรรดิกำลังใกล้เข้ามาทุกที

ซึ่งจะว่าไป งานพวกนี้ขอให้เป็นนายทหารที่ได้การฝึกฝนมาเสียหน่อยก็ทำได้ทั้งนั้น แต่สิ่งที่หยางทำได้และคนอื่นคงไม่มีใครทำได้อีกแล้ว คือ การที่เขาสั่งให้บรรดาพลเรือนอยู่ในความสงบและรอคอยเวลาที่เหมาะสมในการหลบหนีอยู่ก่อน ทั้ง ๆ ที่การเตรียมการอพยพพร้อมแล้ว

และแล้ว วันหนึ่ง ข่าวร้ายก็มาถึงหูของชาวเอลฟาซิล พลตรีรินช์พากองยานรบที่เหลือทั้งหมดบินหนีไปแล้ว! ขณะที่ทุกคนกำลังตกตะลึงและเริ่มโวยวายอยู่นั่นเอง หยางก็พูดว่า ได้เวลาแล้ว และสั่งทุกคนขึ้นยานอพยพ แล้วพาพวกเขาทะยานขึ้นท้องฟ้า ออกสู่ห้วงอวกาศในทิศทางตรงกันข้ามกับพลตรีรินช์

“ทุกท่านไม่ต้องเป็นห่วงครับ กองยานรบของนายพลรินช์จะช่วยล่อกองทัพของจักรวรรดิไว้เอง พวกเรายกขบวนหนีไปตามกระแสลมอวกาศได้เลย ไม่ต้องติดเครื่องรบกวนเรดาร์หรือเครื่องพรางตัวใด ๆ ทั้งสิ้นด้วย!”

ร้อยโทหนุ่มผู้นี้ ถึงกับใช้เจ้านายของตนเองเป็นเหยื่อล่อฝ่ายตรงข้าม!

และสิ่งที่เขาคาดไว้ก็เป็นจริง ทางกองทัพจักรวรรดิที่คาดการณ์ได้ว่าจะมีคนหนีจากดาวเอลฟาซิล ได้จัดกำลังขึงเป็นตาข่ายตาถี่ยิบรออยู่ก่อนแล้ว เมื่อกองยานรบจำนวนน้อยนิดของพลตรีรินช์หนีออกไป ก็เผชิญกับการตามล่าของกองทัพฝ่ายตรงข้ามเข้าอย่างจัง หลังจากวิ่งไล่ล่ากันพักหนึ่ง พวกของพลตรีรินช์ก็ยอมจำนน ตกเป็นเชลยของกองทัพจักรวรรดิ ณ บัดนั้น

ในระหว่างนั้นเอง กองอพยพภายใต้การควบคุมของหยางก็ยกขบวนออกจากเอลฟาซิลมุ่งหน้าตรงไปยังหมู่ดาวที่อยู่ลึกเข้าไปในแดนของสมาพันธ์ดาวเคราะห์เสรี แน่นอนว่า เรดาร์ของกองเรือรบของจักรวรรดิตรวจจับขบวนยานอพยพของหยางได้ทันทีเช่นกัน แต่บรรดาแม่ทัพของจักรวรรดิกลับคิดไปว่า สิ่งที่พวกเขาเห็นว่าเป็นริ้วขบวนขนาดใหญ่อยู่อีกฟากหนึ่งของดาวเอลฟาซิลนั้น คงเป็นฝนดาวตก หรือหมู่สะเก็ดดาวขนาดใหญ่มากกว่า “ถ้าปรากฏสัญญาณบนเรดาร์ละก็ ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นหรอก” พวกเขาถูกความเคยชินที่ว่า ยานอวกาศที่กำลังจะหนีต้องติดตั้งเครื่องรบกวนเรดาร์หรือเครื่องพรางตัวอย่างใดอย่างหนึ่งเสมอเข้าบดบังความคิดของตนเองหมด ทั้งที่เห็นขบวนยานอวกาศของหยางบนจอเรดาร์ของตนแล้ว กลับปล่อยให้ขบวนนั้นวิ่งไปจนพ้นรัศมีทำการของเรดาร์

กล่าวกันว่า หลังจากรู้ตัวว่ากองอพยพได้หนีไปไกลแล้ว บรรดานายทหารของกองทัพจักรวรรดิกองนั้นถึงกับพากันขว้างแก้วไวน์ที่พวกเขากำลังจะดื่มฉลองชัยชนะอยู่ลงกับพื้นแล้วกระทืบซ้ำจนแหลกละเอียดเพื่อระบายความเจ็บใจ

และสิ่งที่รอหยางอยู่ ณ ดาวที่อยู่ถัดไปในแดนของสมาพันธ์ หลังจากที่เขาพาบรรดาพลเรือนสามล้านคนของเอลฟาซิลไปส่งที่นั่นอย่างปลอดภัยแล้ว ก็คือ กองเกียรติยศกองโต

ท่านผู้ใหญ่ในกองทัพสมาพันธ์พร้อมใจกันกล่าวคำสดุดีวีรกรรม ความสามารถและการตัดสินใจที่ยอดเยี่ยมของร้อยโทหยางกันใหญ่โต พวกเขา “ต้อง” ทำเช่นนั้นอย่างไม่มีทางเลี่ยง เพราะการศึกครั้งนี้เต็มไปด้วยความอัปยศของกองทัพ เริ่มตั้งแต่รบแพ้ แล้วยังหนีศึกอีก รวมถึงความผิดร้ายแรงที่สุดที่กองทัพซึ่งมีหน้าที่ต้องคุ้มกันพลเรือนกลับเป็นฝ่ายทิ้งพวกเขาไปเสียเอง การที่จะกลบเกลื่อนความอัปยศอดสูเหล่านี้ มีแต่จะต้องสร้างวีรบุรุษที่เป็นทหารขึ้นมาสักคน และหยางก็คือวีรบุรุษผู้นั้น โอ ร้อยโทหยางผู้ห้าวหาญ ช่างเป็นแบบอย่างของทหารหาญแห่งกองทัพสมาพันธ์โดยแท้ ทหารทั้งกองทัพจงยืนขึ้นร่วมกันสรรเสริญและดูแบบอย่างร้อยโทหยางไว้เถิด!

ในปีนั้นเอง นับตามเวลามาตรฐานเป็นเช้าของวันที่ 12 เดือนมิถุนายน เวลา 9 นาฬิกา หยางก็ได้รับเลื่อนยศเป็นร้อยเอก และวันเดียวกันเวลาบ่ายโมง เขาก็ได้รับเลื่อนยศขึ้นเป็นพันตรี ทั้งนี้ เพราะมีเขียนไว้อย่างชัดเจนในกฎกลาโหมว่าการจะเลื่อนยศรวดเดียวสองขั้นนั้นจะสงวนไว้สำหรับผู้ที่ตายขณะปฏิบัติหน้าที่เท่านั้น การเลื่อนยศให้หยางรวดเดียวสองขั้นจึงทำโดยตรงไม่ได้ และต้องออกมาในรูปแบบนี้

เจ้าตัวเองนั้นดูไม่ยินดียินร้ายในเรื่องนี้เท่ากับคนรอบข้างสักเท่าไรนัก เพียงแต่พึมพำอย่างถ่อมตนว่า “ก็รอดมาหวุดหวิดนะครับ” แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก สิ่งที่เขาดีใจที่สุดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คงมีแค่ว่า เงินเดือนที่เพิ่มขึ้นตามยศของตนที่สูงขึ้นคงช่วยให้เขาซื้อหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์มาอ่านได้มากขึ้น ก็เท่านั้น

แต่อย่างไรก็ตาม นับจากเหตุการณ์นั้น หยางก็เริ่มให้ความสนใจกับศาสตร์ของการเดินทหาร

“กล่าวโดยสรุปก็คือ ไม่ว่าเวลาผ่านไปเท่าไรก็ตาม หัวใจสำคัญของการรบก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจากเมื่อยุคสักสาม-สี่พันปีก่อนหน้านั้นเลย นั่นคือ ก่อนที่จะเดินทางถึงสมรภูมิรบละก็ การลำเลียงยุทธปัจจัยเป็นตัวกำหนดการแพ้ชนะ และกรณีที่ถึงสมรภูมิรบแล้ว ความสามารถของผู้นำทัพ คือตัวกำหนด”

ผลจากการวิเคราะห์ประวัติศาสตร์การทำสงครามของมนุษยชาติ ทำให้หยางสรุปว่าอย่างนั้น

“ภายใต้การนำของแม่ทัพผู้สามารถ ไม่มีทหารเลวที่อ่อนแอ”

หรือ

“ฝูงแพะร้อยตัวภายใต้การนำของสิงโตย่อมสู้ชนะฝูงสิงโตร้อยตัวที่อยู่ภายใต้การนำของแพะได้”

คำกล่าวที่เน้นให้เห็นความสำคัญของแม่ทัพหรือผู้นำทัพในสนามรบนั้น มีมามากมายนับไม่ถ้วนตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว

พันตรีหนุ่มอายุยี่สิบเอ็ดปีผู้นี้ ตระหนักดีถึงสาเหตุของความสำเร็จของตนได้ดีกว่าใคร ๆ ทั้งสิ้น อย่าว่าแต่ฝ่ายจักรวรรดิเลย แม้แต่ฝ่ายสมาพันธ์เองก็เถอะ ล้วนแต่เชื่อในวิทยาการมากเกินไป จนหลงเชื่ออย่างสนิทใจว่า “ถ้าปรากฏสัญญาณบนเรดาร์ละก็ ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นหรอก” และจุดนี้เอง เป็นช่องว่างที่ทำให้เขาสามารถใช้แผนซ้อนแผนได้สำเร็จ

ไม่มีสิ่งใดที่น่ากลัวไปกว่าความดื้อด้านหลงเชื่อในสิ่งหนึ่งสิ่งใดโดยไม่ยอมเปลี่ยนแปลงความคิดหรือปรับตัวอีกแล้ว ลองคิดให้ดี หยางก็พบว่า สมัยที่ยังเรียนอยู่และเขาทำศึกซิมูเลชันชนะนักเรียนนายร้อยไวด์โบนนั่น ก็เป็นตัวอย่างได้ดีเช่นกัน ฝ่ายตรงข้ามมัวแต่คิดว่าข้าศึกจะจัดขบวนยานรบมาสู้กันซึ่ง ๆ หน้า จึงได้โดนหยางใช้ยุทธการดัดหลังอย่างเจ็บแสบ

อ่านใจศัตรูให้ออก-หลักการสำคัญของการเดินทัพอยู่ที่ตรงนี้เอง นอกจากนั้น การที่จะรบได้เต็มที่ในสนามรบ การลำเลียงยุทธปัจจัยเป็นสิ่งที่จะขาดเสียมิได้เลย พูดแบบออกจะโอเวอร์หน่อยก็คือ ไม่ต้องทำลายกำลังหลักของข้าศึกก็ได้ เพียงแต่ตัดเส้นทางลำเลียงยุทธปัจจัยเท่านั้น เราก็ชนะได้แล้วโดยที่ไม่ต้องสู้รบเสียด้วยซ้ำ ข้าศึกต้องถอนทัพกลับไปเอง

พ่อของหยางได้เคยเอ่ยย้ำกับเขาบ่อย ๆ ถึงความสำคัญของเงิน หากเปรียบกองทัพทหารเป็นคน เงินที่ว่าก็คือยุทธปัจจัยนั่นเอง พอคิดอย่างนี้ก็รู้สึกว่า พ่อช่างสอนสิ่งดี ๆ ให้ตนไว้เหลือเกิน

หลังจากนั้นแล้ว หยางก็ได้มีโอกาสออกรบอีกหลายครั้ง และในการออกรบสองครั้งจะต้องมีครั้งหนึ่งที่เขาสร้างผลงานได้ด้วยวิธีที่ไม่มีใครคาดถึง ยศทหารของเขาก็เลื่อนสูงขึ้นตามลำดับ จากพันตรีเป็น พันโท พันเอก และปัจจุบันเขาเป็นพลจัตวาด้วยอายุยี่สิบเก้าปี ไวด์โบนซึ่งเป็นนักเรียนท็อปของรุ่นเดียวกันนั้น ตอนนี้เป็นพลตรีแล้ว แต่ว่า... เป็นการได้ยศพลตรีหลังจากที่พันเอกไวด์โบนตายในสนามรบเพราะมัวแต่มุ่งจะรบกับข้าศึกอย่างตรงไปตรงมา เลยโดนแผนตลบหลังเล่นงานเข้าให้ และได้รับเลื่อนยศสองขั้นตามระเบียบ

...

ในทันใดนั้นเอง ความตึงเครียดก็แผ่ปกคลุมไปทั่วห้องบัญชาการ ข่าวด่วนจากยานลาดตระเวณนั่นเองที่เป็นต้นเหตุ

“กองทัพจักรวรรดิไม่อยู่ที่ตำแหน่งเป้าหมาย คาดว่าตอนนี้กำลังเคลื่อนทัพอย่างรวดเร็วไปทางกองยานรบที่สี่

“อะไรนะ... เป็นไปไม่ได้ เรื่องผิดธรรมชาติอย่างนั้น....”

น้ำเสียงของพลโทปาเอตต้าดังแหลมขึ้นอย่างตื่นตระหนก

หยางเอื้อมมือไปหยิบเอกสารปึกหนึ่งขึ้นจากบนหน้าจอแผงควบคุมของตน เป็นเอกสารที่ทำจากกระดาษ คิด ๆ ไปก็น่าขำนัก นับแต่คนจีนค้นพบวิธีผลิตกระดาษขึ้นมาได้เมื่อประมาณเกือบสี่พันปีที่แล้ว มนุษย์ก็ไม่สามารถค้นพบสื่อใหม่ในการจารึกข้อความที่เหมาะสมไปกว่า “กระดาษ” ได้จนแล้วจนรอด

เอกสารนั้นคือ แผนการรบที่หยางเสนอให้ท่านพลโทและถูกปฏิเสธมาเรียบร้อยแล้วนั่นเอง เขาเปิดหน้ากระดาษออก เพื่อพบกับตัวอักษรที่ถูกจัดพิมพ์อย่างเป็นระเบียบด้วยโปรแกรมประมวลผลคำ (เวิร์ดโปรเซสเซอร์)

“... ถ้าหากว่าข้าศึกมีแนวคิดที่เด็ดขาดและกล้าหาญ พวกเขาจะไม่มองว่านี่เป็นสถานการณ์เสียเปรียบอันเนื่องจากพวกเขากำลังจะตกอยู่ในวงล้อม แต่พวกเขาจะกลับมองว่านี่เป็นโอกาสดี ที่พวกเราแบ่งทัพยานรบเป็นสามกองต่างหากจากกัน พวกเขาจะมีโอกาสดีในการไล่ตีกองยานรบของเราให้แตกไปทีละกอง และหากพวกเขาคิดเช่นนี้จริง เป้าหมายแรกที่พวกเขาจะโจมตีคือ กองยานรบที่สี่ของพวกเรา ซึ่งอยู่ตรงด้านหน้าของพวกเขาพอดี และเป็นกองยานรบที่มีกำลังรบน้อยที่สุดในบรรดาสามกองด้วย หลังจากทำลายกองยานรบที่สี่แล้ว ข้าศึกก็ยังคงมีสิทธิในการเลือกคู่ต่อสู้รายต่อไปอีกด้วย ว่าจะเข้าโจมตีกองยานรบที่สอง หรือที่หก...

วิธีที่จะรับมือ หากข้าศึกใช้ยุทธวิธีเช่นนี้ คือ กองยานรบที่สี่เมื่อถูกโจมตี ให้รบต้านไว้สักเล็กน้อย แล้วก็ถอยกำลังไปด้านหลังช้า ๆ เมื่อกองทัพจักรวรรดิมุ่งหน้าขึ้นจะโจมตีต่อ ให้กองยานรบที่สองและหกซึ่งตอนนั้นก็คงเร่งรีบไปสมทบได้แล้ว ทำการโจมตีด้านหลังของทัพข้าศึก หากทัพข้าศึกกลับลำหันมาสู้ด้วย ก็ให้กองยานรบที่สองและหกรบพลางถอยพลางอีกเช่นกัน และคราวนี้ให้กองยานรบที่สี่ โจมตีข้าศึกจากด้านหลังบ้าง ทำแบบนี้ซ้ำ ๆ กันหลาย ๆ รอบ ตัดกำลังข้าศึกไปเรื่อย ๆ จนเมื่อข้าศึกอ่อนกำลังลงแล้ว จึงเริ่มยุทธการโอบล้อมและกวาดล้างข้าศึกให้สิ้นซาก...

... ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นยุทธวิธีที่มีโอกาสประสบความสำเร็จสูงมาก แต่ก็มีข้อควรระวังคือ การควบคุมสมาธิของทหารที่ร่วมรบ, การประสานงานอย่างใกล้ชิดของกองยานรบทั้งสาม, จังหวะในการรุกและถอย,...”


หยางปิดเอกสารลง แล้วเงยหน้าขึ้นมองบนจอภาพยักษ์ด้านบนของห้องบัญชาการ ภาพของดวงดาวระยิบระยับนับล้านดวงจ้องตอบเขากลับมาอย่างเย็นชา

พลจัตวาหนุ่มห่อปากจะผิวปากแต่แล้วก็ยกเลิกกลางคัน ก้มหน้าก้มตาทำอะไรบางอย่างกับแผงควบคุมตรงหน้าตนอย่างขมักเขม้น
(อ่านตอนต่อไป)

หมายเหตุ

ก็จบบทที่ 1 จนได้ครับ ยาวนานสมกับชื่อบทจริง ๆ

บทหน้าก็จะรบกันแล้วล่ะ เหอ ๆ ๆ ๆ

อ่านประวัติของหยางเหวินหลี่แล้ว อาจจะรู้สึกว่าหยางเจ้าเล่ห์ที่ใช้เจ้านายของตนเองเป็นเหยื่อล่อได้ลงคอ แต่ต้องเข้าใจว่า ขณะนั้นหยางเป็นเพียงร้อยโท และยังเป็น "คนใหม่" สำหรับทีมงานของพลตรีรินซ์ด้วย ดังนั้นก็คาดได้ว่า ที่หยางมารับหน้าที่พาพลเรือนอพยพนั้น ก็เป็นเพราะรินซ์กีดกันหยางออกมานั่นเอง แล้วพวกเขาก็คิดจะหนีตั้งแต่ต้น... ซึ่งหยางก็รู้ทัน และเขาก็เลือกที่จะช่วยพลเรือน มากกว่าที่จะติดตามเจ้านายคนนี้ไป เพราะรู้ดีว่า ถึงยังไงเจ้านายคนนี้คงไม่ฟังคำแนะนำใด ๆ ของเขา เขาจึงได้ปล่อยให้พวกรินซ์หนีไปแล้วเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากเหตุการณ์นั้นให้คุ้มค่า

กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป 1