นวนิยายแฟนตาซีอวกาศเรื่องยาว

วีรบุรุษทางช้างเผือก銀河英雄伝説

เรื่อง โดย ทะนะกะ โยะชิกิ (田中芳樹) แปลโดย Pae

บทที่ 2 การรบที่แอสทาเท
-4-


“พบกองยานอวกาศทางทิศสี่นาฬิกาครึ่ง ยังไม่สามารถระบุสังกัดได้”

ขณะที่ได้รับรายงานจากยานลาดตระเวณที่กำลังเคลื่อนตัวอยู่บริเวณด้านท้ายของกองยานรบนั้น ผู้บัญชาการกองยานรบที่ 6 ของกองทัพสมาพันธ์ฯ- พลโทมัวร์กำลังนั่งรับประทานอาหารอยู่กับบรรดากองเสนาธิการอยู่พอดี

นายพลโทเงยหน้าขึ้นมาถลึงตาใส่พลนำสารที่นำรายงานจากห้องบัญชาการตามมาแจ้งยังห้องอาหารนี้ ด้วยอาการที่ไม่สบอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง มือของเขาที่ถือมีดยังคงคามีดไว้ในก้อนโปรตีนเกษตรชุบแป้งทอดที่กำลังหั่นค้างอยู่บนจาน ฝ่ายพลนำสารที่เพิ่งวิ่งเข้ามาถึงกับใจหายวาบเมื่อประทะกับสายตาที่แหลมคมยิ่งกว่ามีดของเจ้านายตน เป็นที่รู้กันทั่วไปว่า พลโทมัวร์นี้เป็นคนใจนักเลงก็จริง แต่ก็เป็นคนหยาบคายแบบนักเลงด้วยเหมือนกัน

“ทิศสี่นาฬิกาครึ่งรึ?”

น้ำเสียงของท่านพลโทน่ากลัวพอ ๆ กับสายตาที่มองมาเลยทีเดียว

“คะ... ครับ ทิศสี่นาฬิกาสามสิบนาที ยังไม่สามารถระบุได้ครับว่าเป็นกองยานอวกาศของฝ่ายเราหรือฝ่ายข้าศึก”

“เฮอะ แล้วมันสี่นาฬิกาสามสิบนาทีของตอนไหนละ ก่อนเที่ยงหรือหลังเที่ยง?”

พลโทมัวร์ถามประชด แต่ก็ยอมละมือจากอาหารตรงหน้าอยู่ดีแล้วลุกขึ้น รีบเดินออกจากห้องอาหารของนายทหาร แต่เมื่อรู้สึกได้ว่าด้านหลังตน บรรดานายทหารเสนาธิการต่างกำลังตาลีตาเหลือกลุกตามกันมาเป็นแถว เขาก็หันกลับไปมองพวกนั้นแวบหนึ่งก่อนจะยักไหล่อันบึกบึนของตน

“ลนลานอะไรกัน! ข้าศึกไม่มีทางอยู่ทางทิศสี่นาฬิกาครึ่งของเราได้หรอก เพราะพวกมันอยู่ด้านหน้าตรงทิศที่เรากำลังมุ่งหน้าไปไม่ใช่เรอะ?”

ท่านพลโทตะคอกด้วยน้ำเสียงอันดัง

“พวกเรากำลังมุ่งหน้าตรงไปยังสนามรบอย่างรีบด่วน และทางกองยานรบที่ 2 ก็กำลังทำเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นพวกเราสองกองยานรบก็จะร่วมกันตีขนาบข้าศึกที่สนามรบได้ ชัยชนะต้องเป็นของพวกเรา ... ไม่สิ พวกเราต้องชนะแน่นอน ไม่ว่าจะดูจากปัจจัยด้านกำลังรบ หรือความได้เปรียบด้านการวางกำลังก็ตาม...”

“แต่... ท่านผู้บัญชาการครับ...”

ผู้ที่ขัดจังหวะการร่ายยาวของท่านนายพลคือ พันตรีแร็พ ซึ่งเป็นนายทหารคนหนึ่งในทีมเสนาธิการ เขากำลังใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดริมฝีปากที่เลอะคราบน้ำมัน ขณะที่ทุกคนหันไปมอง

“อะไร?”

“กระผมคิดว่า ข้าศึกได้ย้ายตำแหน่งไปแล้วมากกว่าครับ”

“ย้ายตำแหน่ง?... ทิ้งกองยานรบที่ 4 เอาไว้น่ะนะ?”

“เอ่อ... ต้องขออภัยด้วยครับ กระผมคาดว่าป่านนี้กองยานรบที่ 4 คงจะเสร็จข้าศึกไปเรียบร้อยแล้วล่ะครับ”

คำพูดนี้ทำให้ท่านพลโทต้องขมวดคิ้วหนา ๆ ของเขาเข้าหากัน

“พันตรีแร็พ... ช่างเป็นการคาดการณ์ที่กล้าหาญแล้วก็ไม่น่าฟังเอาซะเลยนะคุณ สงสัยปากคุณคงลื่นเพราะน้ำมันนั่นกระมัง? ถึงพูดพล่อย ๆ ออกมาได้”

พันตรีแร็พกระดากจนหน้าแดง รีบเก็บผ้าเช็ดหน้าลงทันที

คณะนายทหารทั้งหมดเพิ่งเดินทางด้วยทางสายพานอัตโนมัติ (เบลท์เวย์)มาถึงห้องบัญชาการ (สะพานเรือ) ของเรือธง ก่อนที่จะมีอันต้องซวนเซไปตาม ๆ กัน ทั้งนี้เพราะยานรบมีอันต้องเปลี่ยนทิศทางกระทันหันนั่นเองทำให้สนามแรงโน้มถ่วงรวนไปชั่ววูบ แต่สิ่งที่น่าตระหนกกว่านั้นคือ เครื่องตรวจจับพลังงานกำลังร้องเตือนถึงพลังงานความเข้มสูงขนาดที่สามารถจะทำลายยานรบได้ทั้งลำว่า กำลังสาดส่องเข้ามาใกล้ ๆ นี่เอง

“ข้าศึกโจมตีจากด้านหลังขวา!”

เสียงแจ้งเหตุดังระงมในช่องสัญญาณสื่อสารของกองยานรบที่ 4 แต่แล้วอีกชั่วขณะหนึ่งมันก็ถูกกลบด้วยเสียงซ่า ๆ ดังสนั่นน่ารำคาญหู

บรรดานายทหารทุกคนล้วนใจหายวาบ การรบกวนคลื่นสัญญาณสื่อสารนี่ไงเล่า หลักฐานชั้นดีว่าข้าศึกอยู่ใกล้ ๆ แล้ว!

“ตกใจหาอะไรกัน!”

เสียงตวาดของพลโทมัวร์ดังขึ้น... จะว่าไปเป้าหมายของการตำหนินี้ กึ่งหนึ่งเขาหมายถึงตัวเขาเองนั่นแหละ จนป่านนี้ ถึงได้รู้สึกตัวว่า ประมาทเลินเล่อมากไป รู้สึกเหมือนถูกตบเข้าที่แก้มหนา ๆ ของตนสักฉาดใหญ่ ๆ เลยทีเดียว

ที่สำคัญ การจัดขบวนทัพนั้น ล้วนแต่จัดเอายานรบที่ไม่มีประสิทธิภาพสูงนักไว้ด้านหลังทั้งสิ้น เจอกับการโจมตีจากด้านหลังเข้าจัง ๆ แบบนี้ละก็.... ไม่เหลือ

แต่... เดี๋ยวก่อน! การที่ข้าศึกมันโจมตีจากด้านหลังเราได้ หมายความว่า... พวกมันถล่มกองยานรบที่ 4 ไปเรียบร้อยแล้วหรือ? มิฉะนั้นก็แปลว่า ทัพจักรวรรดิ์มันยกกันมามากกว่าที่คิดจนแบ่งกำลังมาตีด้านหลังเราได้กระนั้นหรือ?

“ยิงตอบโต้พวกมันไป! เปิดป้อมปืนใหญ่!”

นายพลโทสั่งการด้วยคำสั่งพื้น ๆ ขณะที่ในใจยังไม่สามารถสงบสติอารมณ์และวิเคราะห์เหตุการณ์ได้อย่างถูกต้อง

ฝ่ายกองทัพจักรวรรดินั้น กองเรือรบภายใต้การนำของสิงห์เฒ่าเจนสนามอย่างพลเอกเมลคัทซ์ กำลังพากันโจมตีกองยานรบที่ 6 ของศัตรูจากด้านหลังขวาอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นระบบ ลำแสงนิวตรอนจากปืนใหญ่ของเรือรบฝ่ายตน แปรสภาพเป็นลำแสงแห่งความตายที่สาดส่องเข้าหาบรรดายานรบที่เปราะบางและมีเพียงบาเรียพลังต่ำหุ้มกาย จนระเบิดไป ลำแล้วลำเล่า

เมลคัทซ์เอง ก็กำลังนั่งเฝ้ามองภาพของลูกไฟดวงใหญ่ที่สว่างวาบขึ้นในห้วงอวกาศอันมืดมิดแล้วก็หายไป ดวงแล้วดวงเล่าผ่านทางจอภาพ แม้นี่เป็นภาพที่เขาเห็นมาจนชินตาในรอบสี่สิบปีที่ผ่านมาแล้วก็ตาม แต่ไม่มีครั้งใดเลย ที่จะทำให้เขารู้สึกสะทกสะท้อนใจเหมือนครั้งนี้

ถึงตอนนี้แล้ว เมลคัทซ์ไม่ได้มองไรน์ฮาร์ดว่าเป็นเพียง “ตุ๊กตาผมทอง” ธรรมดา ๆ อีกต่อไปแล้ว ชัยชนะจากศึกแรกไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรือโชคช่วยอย่างแน่นอน หากแต่มันเป็นผลลัพธ์ที่สมควรได้ จากการใคร่ครวญสถานการณ์อย่างละเอียดถี่ถ้วน บวกกับการตัดสินใจที่เด็ดขาดและความกล้าหาญที่จะคิดนอกกรอบต่างหาก นึกไม่ถึงเลยว่า ทั้ง ๆ ที่กำลังจะถูกโอบล้อมจากสามทิศทางอยู่แท้ ๆ ทีเดียว กลับพลิกสถานการณ์บุกเข้าโจมตีข้าศึกตีละทัพได้!

ถ้าเป็นตัวเอง... คงทำไม่ได้แน่ หรือแม้แต่บรรดาแม่ทัพแก่ ๆ ที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาหลายสิบปี ทั้งที่ยังอยู่และตายไปแล้ว ล้วนแต่ไม่มีใครกล้าทำได้เช่นนี้แน่นอน ยุทธศาสตร์การรบแบบนี้ เห็นทีจะมีแต่คนหนุ่มรุ่นใหม่ที่ไม่ติดยึดกับกรอบคร่ำครึเดิมๆ เท่านั้นที่จะทำได้

บางที... ยุคสมัยของทหารแก่อย่างพวกเราอาจจะจบลงแล้วก็ได้- แวบหนึ่งที่พลเอกเมลคัทซ์คิดเรื่อยเปื่อยไปถึงตรงนั้น

ระหว่างนั้น การรบก็ยังดำเนินต่อไปอย่างดุเดือด

ทัพจักรวรรดิค่อย ๆ รุกคืบหน้าเข้าไปในทัพยานรบของอีกฝ่าย ประดุจลิ่มที่ตอกลงบนท่อนไม้ ฝ่ายแรกกำลังได้เปรียบในทุกสมรภูมิ ไม่ว่าจะเป็นการสาดอาวุธยาวอันได้แก่ ปืนแสงนิวตรอนเข้าหากัน หรือการรบระยะประชิดด้วยฝูงบินรบประจัญบาน กองทัพจักรวรรดิทั้งกองทัพกำลังเก็บเกี่ยวความได้เปรียบจากการลงมือโจมตีก่อนของตนอย่างเต็มที่ ฝ่ายกองทัพสมาพันธ์ฯ ก็พยายามตอบโต้สุดความสามารถเช่นกัน แต่ตราบใดที่ตัวผู้นำ คือ ผบ. กองยานรบเองยังไม่สามารถควบคุมสติของตนได้ การรบอย่างสะเปะสะปะไปตามเรื่องของยานรบแต่ละลำที่ขาดการประสานงานกัน ก็ไม่มีประสิทธิภาพในการต้านทัพข้าศึกเลยแม้แต่น้อย

“ยานรบทุกลำ กลับลำไปข้างหลัง”

พลโทมัวร์ยืนเท้าสะเอวจังก้าอยู่กลางห้องบัญชาการของเรือธง และตะโกนออกมาเช่นนั้น หลังจากที่ตัดสินใจได้ในที่สุด โดยก่อนหน้านั้น เขาได้แต่ตะโกนโหวกเหวกไปมาอย่างไร้แก่นสาร

“ท่านผู้บัญชาการ! สั่งให้กลับลำก็มีแต่จะทำให้ทัพเรารวนยิ่งขึ้นนะครับ! เราควรจะสั่งให้เคลื่อนขบวนไปในทิศตามเข็มนาฬิกาด้วยความเร็วสูงสุดแล้วอ้อมกลับไปโจมตีด้านหลังข้าศึกบ้างจะดีกว่าครับ”

ข้อเสนอของพันตรีแร็พ เหมือนก้อนกระดาษที่ปาไปกระทบร่างของพลโท แล้วก็กระเด้งกลับมาทันที

“กว่าจะอ้อมไปตีหลังพวกมันได้ พวกเราก็โดนส่องร่วงไปกว่าครึ่งแล้ว... กลับลำดีกว่า กลับลำเดี๋ยวนี้!”

“แต่...”

“เงียบได้ไหม!”

พลโทมัวร์ตะคอกสุดเสียง ตัวสั่นเทิ้ม ในขณะที่ฝ่ายพันตรีหนุ่มต้องหุบปากของตนลงทันที เขาตระหนักเดี๋ยวนี้เองว่า เจ้านายของตนกำลังร้อนลนและขาดสติอย่างกู่ไม่กลับเสียแล้ว

ยานรบเพอร์กามอน อันเป็นเรือธงของกองยานรบที่ 6 เริ่มหันหัวยานจะกลับหลังหัน และบรรดายานรบลำอื่นก็พากันเลียนแบบตามบ้าง แต่... การที่จะหันหัวยานรบไปขณะที่กำลังสู้รบไปด้วยนั้น ไม่ใช่สิ่งที่จะทำได้ง่าย ๆ เลย และสิงห์เฒ่าอย่างเมลคัทซ์ก็ไม่ใจดีพอที่จะปล่อยให้โอกาสดี ๆ ในการโจมตีข้าศึกที่กำลังรวนเสียขบวนเช่นนี้ให้ผ่านพ้นไปได้

ลำแสงจากปืนใหญ่ของเรือรบฝ่ายจักรวรรดิสาดเข้ามาราวกับฝนดาวตกห่าใหญ่ ยานรบที่บาเรีย (สนามแม่เหล็กสลายพลัง) ทำงานจนเต็มพิกัดแล้วก็ยังต้านพลังงานแสงที่สาดเข้ามาไม่ไหวจนปล่อยให้ลำแสงเหล่านั้นกระทบตัวยานรบโดยตรง-ระเบิดออก ลำแล้วลำเล่า กระจัดกระจายอยู่ทั่วสมรภูมิ

พลังงานที่ระเบิดออกจากที่เก่าเพิ่งจางไป ก็เกิดการระเบิดจากที่ใหม่อีกแล้ว และในสายตาของทั้งพลโทมัวร์และพันตรีแร็พ ดูเหมือนว่า บรรดายานรบที่ถูกระเบิดเหล่านี้กระแทกใส่จะมีแต่เพียงฝ่ายตนเท่านั้นเอง

“ฝูงบินเล็กจำนวนมาก กำลังมุ่งตรงมาทางเรือธง!”

พนักงานประจำเครื่องตะโกนขึ้น บนจอภาพจอหนึ่งปรากฏภาพของฝูงบินวัลคิวเรขึ้นก่อน แล้วไม่กี่อึดใจ ภาพบนจอภาพทุกจอก็เต็มไปด้วยภาพของฝูงบินรบขนาดเล็กเหล่านี้ พวกมันพากันบินว่อนฉวัดเฉวียนไปมาอย่างคล่องแคล่ว แล้วสาดลำแสงทำลายเข้ามาจากระยะประชิด

“ตะลุมบอน! ฝูงบินสปาร์ตาเนียนออกปฏิบัติการ!”

คำสั่งนี้ก็จบลงด้วยความล้มเหลวโดยสิ้นเชิง อันเป็นผลมาจากความล่าช้าในการออกคำสั่งนั่นเอง ทันทีที่สปาร์ตาเนียนกำลังจะดีดตัวพ้นยานแม่ พวกวัลคิวเรก็รออยู่ก่อนแล้ว ลำแสงจากศัตรูที่กราดยิงเข้ามา ทำให้บรรดาฝูงบินสปาร์ตาเนียนพากันระเบิดไปเป็นแถว ไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะได้ตายในสนามรบเลยด้วยซ้ำ!

“ท่านผู้บัญชาการ ดูนั่นครับ...”

พนักงานประจำเครื่องชี้ไปที่จอภาพจอหนึ่งหน้าห้อง เรือรบของจักรวรรดิลำหนึ่งกำลังมุ่งหน้าตรงเข้ามา และด้านหลังของมันก็เป็นเรือรบอีกลำหนึ่ง และอีกลำหนึ่ง และอีกลำหนึ่ง.... ยานรบเพอร์กามอนถูกห้อมล้อมด้วยข้าศึกไว้อย่างหนาแน่นเสียแล้ว

“พวกมันกำลังส่งสัญญาณแสง!”

พนักงานอีกคนหนึ่งพูดด้วยเสียงเบาเหมือนพึมพำกับตัวเอง

“ลองถอดรหัสซิ”

พันตรีแร็พตัดสินใจสั่งการด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง แทนพลโทมัวร์ซึ่งเอาแต่ยืนนิ่ง

“ครับ จะถอดรหัสเดี๋ยวนี้... ยานรบของท่านถูกล้อมไว้หมดแล้ว ไม่มีทางที่จะหนีรอดไปได้ จงยอมจำนนแต่โดยดี เราสัญญาว่าจะปฏิบัติต่อท่านอย่างสมศักดิ์ศรี”

เสียงถอดรหัสถูกทวนซ้ำอีกครั้ง แล้วสายตาของทุกผู้ในห้องบัญชาการก็มองไปที่ผู้บัญชาการเป็นจุดเดียว บรรยากาศเงียบสนิท ... ทุกคนล้วนกำลังรอการตัดสินใจของท่านอยู่

“ให้ยอมจำนนงั้นหรือ?...”

เสียงของนายพลโทสั่นระริกด้วยความโกรธสุดขีด ใบหน้าแดงก่ำจนออกคล้ำ

“ไม่มีทาง ข้ายอมถูกด่าว่าเป็นไอ้คนไม่ได้เรื่อง แต่จะไม่ยอมถูกตราหน้าว่าขี้ขลาดเด็ดขาด...”

อีก 20 วินาทีถัดมา ลำแสงสีขาวลำใหญ่ก็ตรงเข้าห่อหุ้มพวกเขาไว้...
(อ่านตอนต่อไป)

หมายเหตุ

.......... สงสารแร็พ ที่ต้องมาตายเพราะดันอยู่กับเจ้านายโง่ ๆ

แถมท้ายด้วยเบื้องหลังการแปลนิดนึง
ที่จริง คำพูดที่พันตรีแร็พท้วงเจ้านายตนตอนกำลังเดินออกจากห้องอาหาร ต้นฉบับเขียนว่า "กระผมคิดว่า ข้าศึกย้ายสมรภูมิไปแล้วมากกว่าครับ" ซึ่งความหมายก็คือ ข้าศึกย้ายตำแหน่งมาเข้าตีพวกเรากองยานรบที่หกทางด้านด้านหลัง และ ณ จุดนี้กำลังจะเป็นสมรภูมิใหม่นั่นเอง
ตอนอ่านต้นฉบับ รู้สึกว่าคำพูดของแร็พพูดสั้น ๆ และลึกซึ้งดีหรอก แต่พอทำเป็นภาษาไทย ว่าข้าศึกย้ายสมรภูมิแล้ว ผมอ่านยังไงก็ไม่ซึ้ง เลยตัดสินใจเปลี่ยนคำพูดเป็นว่า ข้าศึกย้ายตำแหน่งแทน... ตรงนี้มีใครคิดว่าไงบ้างครับ?

กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป 1