นวนิยายแฟนตาซีอวกาศเรื่องยาว

วีรบุรุษทางช้างเผือก銀河英雄伝説

เรื่อง โดย ทะนะกะ โยะชิกิ (田中芳樹) แปลโดย Pae

บทที่ 2 การรบที่แอสทาเท
-5-


ความหวาดกังวลที่สะสมมาอย่างต่อเนื่องกำลังจะถึงขีดสุด

ภายในห้องบัญชาการของเรือธงแพโทรครอสของกองยานรบที่ 2 แห่งกองทัพสมาพันธ์ฯ ถูกปกคลุมไว้ด้วยเมฆดำที่มองไม่เห็น รอว่าเมื่อไหร่จะมีฟ้าผ่าลงจากเมฆฝนเหล่านั้น ในขณะนี้ ทุกคนอยู่ในชุดอวกาศ (สเปซสูท) ตามคำสั่ง “เตรียมประจำสถานีรบ” ที่เพิ่งออกไปเมื่อไม่กี่อึดใจมานี้เอง แต่บรรยากาศของความวิตกกังวลนั้นก็ดูจะซึมผ่านชุดอวกาศเข้าไปลูบไล้ผิวหนังของพวกเขา จนขนลุกซู่กันไปตาม ๆ กัน

“แว่ว ๆ ว่าทั้งกองยานรบที่ 4 และที่ 6 ล่มสลายไปแล้วนะ”

“ใช่ พวกเรากำลังถูกโดดเดี่ยวอยู่ในสนามรบแล้ว และตอนนี้ข้าศึกก็มีกำลังมากกว่าพวกเราด้วย!”

“ข้อมูล! ใครมีข้อมูลอะไรอีกบ้าง? ตอนนี้สถานการณ์เป็นไงกันแน่?”

ที่จริง ในสถานการณ์พร้อมรบเช่นนี้ ห้ามมิให้พูดคุยกันเด็ดขาด แต่พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะต้องพูดอะไรกันออกมาบ้าง ไม่เช่นนั้นดูเหมือนว่าจะทนต่อความกดดันไม่ได้

ไม่น่าเป็นอย่างนี้เลย ตามที่พวกเขาคิดไว้ การศึกครั้งนี้ พวกเขาก็แค่โอบล้อมทำลายข้าศึกจากสามทิศทางด้วยกำลังรบที่เหนือกว่าถึงสองเท่า แล้วก็ประสานเสียงร้องเพลงแห่งชัยชนะกัน ระหว่างที่ยกขบวนกลับไปเมืองหลวงไม่ใช่หรือ... แล้วนี่มันอะไรกัน?!...

“กองทัพข้าศึก กำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้!”

จู่ ๆ เสียงของโอเปอเรเตอร์ก็ดังผ่านไมโครโฟน และก้องไปทั่วห้องบัญชาการ

“ทิศทาง ระหว่างหนึ่งถึงสองนาฬิกา...”

หยางพูดพึมพำกับตัวเอง และเหมือนกับจะตอบคำพูดของเขา เสียงรายงานดังต่อมาอีก

“ทิศทาง หนึ่งนาฬิกายี่สิบนาที มุมก้ม 11 องศา กำลังตรงมาด้วยความเร็วสูง”

บรรยากาศตึงเครียดแผ่ตัวลงปกคลุมห้องบัญชาการของเรือธงแพโทรครอสอย่างรุนแรง ประดุจกรงเล็บของสัตว์ร้ายที่ขยุ้มเข้ามา มีเพียงหยางคนเดียวที่ไม่เป็นเหยื่อของบรรยากาศนี้

ทุกอย่างเป็นไปดังที่เขาคาดการณ์ไว้เลย กองเรือรบของจักรวรรดิก็แค่พุ่งเข้าโจมตีกองยานรบที่ 6 จากด้านหลังขวา แล้วก็ทะลุออกไปทางหน้าซ้าย จากนั้นก็วาดโค้งธรรมชาติ เบนทิศทางมาเข้าโจมตีกองยานรบกองสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่ของสมาพันธ์ฯ... ก็เท่านั้นเอง และยิ่งรู้อยู่แล้วว่า กองยานรบของตนเองกำลังมุ่งหน้าไปในทิศทางเดิม ก็กะได้ไม่ยาก-ว่า ตอนที่ข้าศึกมาถึง พวกเขาจะมาโผล่ในทิศระหว่างหนึ่งนาฬิกาและสองนาฬิกา

“ประจำสถานีรบ!”

เสียงพลโทปาเอตต้าสั่งการ

สั่งการช้าไปแล้ว!- หยางนึกในใจ

ที่จริง การรอจนกระทั่งสังเกตการณ์เห็นข้าศึกก่อน แล้วจึงเตรียมสู้ด้วยนั้น เป็นวิธีปฏิบัติตามแบบมาตรฐานที่ทำกันมาโดยตลอด แต่... นั่นต้องยกเว้นสำหรับศึกครั้งนี้ ขืนทำตามวิธีเดิม ๆ คิดแบบเดิม ๆ ละก็จะไม่ได้การเสียแล้ว ทางเรามีเวลาเหลือเฟือแท้ ๆ ที่จะคิดแก้สถานการณ์หรือหายุทธวิธีใหม่ที่ผิดไปจากแผนเดิม ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนทัพเร็วเข้าโจมตีด้านหลังข้าศึก หรือจะร่วมมือกับกองยานรบที่ 6 เพื่อตีขนาบข้าศึก ล้วนแล้วแต่เป็นไปได้ทั้งสิ้น... แต่ก็หมดโอกาสแล้วในตอนนี้

ถ้าคิดจะสู้รบทำสงครามละก็... จะมัวมานั่งห่วงความเสียหายนั้น คงเป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางที่จะรบโดยไม่มีความสูญเสียอยู่แล้ว แต่นั่นแหละ ประเด็นคือ ยิ่งสูญเสีย (กำลังรบ) มากเท่าไร โอกาสชนะก็น้อยลงไปเท่านั้นแบบแปรผกผันกัน ศาสตร์ของการเดินทหาร ก็อยู่ที่จะเลือกจุด “คุ้มทุน” ระหว่างความสูญเสียกับชัยชนะอย่างไร มิใช่หรือ? กล่าวคือ ทำอย่างไรให้รบได้ผลมากที่สุด (ฆ่าศัตรูให้มากที่สุด หรือ ยึดที่มั่นข้าศึกให้เร็วที่สุด) โดยสูญเสียให้น้อยหรือคุ้มค่าที่สุด แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่ให้มีความสูญเสียเลยคงเป็นไปไม่ได้ กล่าวอย่างเลือดเย็นก็คงจะกล่าวได้ว่า จะฆ่าทหารของตนให้คุ้มค่าได้เพียงใดนั่นเอง ทุกชีวิตของฝ่ายตนที่ตายไป นั่นย่อมหมายถึงอีกหลายเท่าของชีวิตฝ่ายข้าศึกที่เราต้องปลิดมันให้ได้... หยางอดนึกสงสัยไม่ได้ว่า ผู้บัญชาการของตนเข้าใจเรื่องพวกนี้หรือเปล่าหนอ?

สำหรับความสูญเสียที่เกิดขึ้นไปแล้วนั้น บอกได้อย่างเดียวว่าช่วยไม่ได้ ใช่ แค่พูดว่าช่วยไม่ได้แล้วจบ... ก็คงไม่ได้หรอก คนที่จะต้องรับผิดชอบก็คือ บรรดาผู้ใหญ่ในกองทัพที่เป็นผู้วางแผนการรบหรือวางยุทธศาสตร์การรบไว้ให้นั่นแหละ จะต้องรู้จักอับอายถึงความโง่เขลาของตนเสียบ้างที่ปล่อยให้ลูกน้องของตนไปหาที่ตายเช่นนี้ แต่... นั่นก็ต้องเก็บไว้ว่ากันทีหลัง หลังจากที่การรบทุกอย่างเสร็จสิ้นลงนั่นแหละ ค่อยมาไล่เบี้ยกัน ตอนนี้ สิ่งที่ทุกคนต้องตระหนักให้มากไว้ ก็คือ ทำอย่างไรไม่ให้เกิดความผิดพลาดหรือความสูญเสียซ้ำซากขึ้นมาอีก ทำอย่างไรถึงจะพลิกสถานการณ์จากที่กำลังย่ำแย่ให้รอดพ้นได้...ต่างหากเล่า

หากร้องไห้เสียใจ แล้วทหารที่ตายไปฟื้นคืนชีพได้ละก็ เขายินดีจะหลั่งน้ำตาให้สักหลาย ๆ ปี๊บเลย... แต่สุดท้ายมันก็แค่การเล่นปาหี่ ร่ำไห้เสียใจหน้าโลงศพผู้ตายเท่านั้นเอง!

“ยานรบทั้งหมด เปิดป้อมปืนใหญ่!”

เสียงสั่งการนั้นเกิดขึ้นก่อน หรือเหตุการณ์ต่อไปนี้เกิดขึ้นก่อน ก็สุดจะบอกได้ เหตุการณ์ที่ว่าคือ ในทันใดนั้นเอง แสงสีขาวเจิดจ้าดุจจะแผดเผาม่านนัยน์ตาของทุกคนที่อยู่ในห้องบัญชาการให้มอดไหม้เป็นจุลไปก็ถูกสาดเข้ามา...ผ่านจอภาพ

อีกเสี้ยววินาทีถัดมา ยานรบแพโทรครอสก็ถูกลำแสงพลังงานกระแทกเข้าอย่างจังจนกระชากลำ สะเทือนไปทั้งยานรบ

เสียงร้องลั่นด้วยความตกใจ บางเสียงก็แสดงความเจ็บปวดดังขึ้นแทรกกับเสียงกระแทกกันโครมคราม และเสียงล้มระเนระนาด หยางก็ไม่พ้นชะตากรรมนี้ ร่างของเขากระเด็นจากเก้าอี้อย่างแรง จนหลังฟาดกับพื้นห้องเสียงดัง เจ็บจนลืมหายใจไปวูบหนึ่ง เขายื่นมือมาป้องตาที่ตอนนี้พร่ามัวจนมองไม่เห็นไปแล้วตามสัญชาตญาณมากกว่าอื่นใด ท่ามกลางเสียงสับสนอลหม่านรอบข้าง และกระแสลมพัดกระโชกที่เกิดขึ้นในห้องนั้นซึ่งดังผ่านอุปกรณ์สื่อสารในหมวกนิรภัยที่เขาสวมครอบศีรษะอยู่

ให้ตายเถอะ ไม่รู้จะโทษใครดี นี่เผอเรอกันถึงขนาดไม่มีใครสักคนคิดจะหรี่ความเข้มของจอภาพให้ต่ำลงมาหน่อย เพื่อเตรียมรับสถานการณ์แบบนี้เชียวหรือนี่?!!! ทำผิดพลาดกันซ้ำแล้วซ้ำอีกแบบนี้ ถ้ารบไม่แพ้ละก็ ไม่เรียกว่าปาฏิหาริย์ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้ว

“... ที่นี่ฐานปืนท้ายยาน! ห้องบัญชาการ ได้ยินแล้วตอบด้วย ขอคำสั่งด้วยครับ...”

“ห้องเครื่อง... ที่นี่ห้องเครื่อง ห้องบัญชาการได้ยินแล้วกรุณาตอบด้วย...”

หยางลืมตาขึ้นในที่สุด ภาพที่ปรากฏในคลองจักษุปรากฏริ้วสีแดง ๆ ซ้อนทับบนภาพที่ตนเห็น คงอีกสักครู่ล่ะกว่าตาจะหายพร่า แต่เขาจะรอไม่ได้อีกแล้ว

เขายันกายท่อนบนขึ้นในท่านั่ง แล้วก็สังเกตเห็นร่างของคนอีกคนที่ล้มอยู่ข้าง ๆ ตน ของเหลวสีแดงเข้มกำลังไหลทะลักออกจากปากของชายผู้นั้นและลามปกคลุมทั่วบริเวณคางและหน้าอกหนาของเขา...

“ท่านผบ. !”

หยางครางออกมา ยืดตัวชะโงกดูใบหน้าของอีกฝ่าย จากนั้นใช้เท้าทั้งสองยันตัวเองให้ยืนขึ้น

ผนังด้านหนึ่งของห้องบัญชาการแตกเป็นรอยใหญ่ อากาศในห้องกำลังถูกดูดออกสู่สุญญากาศภายนอกอย่างรวดเร็ว ทำให้ความดันลดลง นี่เองต้นเสียงกระแสลมที่เขาได้ยินตั้งแต่เมื่อครู่ รู้สึกว่า มีร่างของชายเคราะห์ร้ายหลายคนที่ไม่ได้เปิดสวิทช์แม่เหล็กของรองเท้าบูทไว้ ถูกดูดออกไปกับกระแสอากาศนั้นด้วย แต่ตอนนี้รอยแตกนั้นกำลังถูกปิดอย่างรวดเร็วด้วยระบบซ่อมแซมตัวเองของยานอวกาศที่กำลังพ่น “กาวแห้งเร็ว” ออกจากปืนฉีดที่ทำงานอัตโนมัติ

หลังจากสำรวจสภาพในห้องบัญชาการรอบหนึ่ง เพื่อพบว่าแทบจะไม่มีใครยืนอยู่เลยแล้ว หยางก็ยื่นมือไปจับอุปกรณ์สื่อสารใต้หมวกนิรภัยของตนดู เมื่อพบว่ามันยังใช้งานได้อยู่ เขาก็เริ่มออกคำสั่งทันที

“ผู้บัญชาการปาเอตต้าได้รับบาดเจ็บ แพทย์ทหารและทหารพยาบาลให้รีบมาที่ห้องบัญชาการโดยด่วน หน่วยทหารช่างให้รีบสำรวจความเสียหายของยานรบแล้วทำการซ่อมแซมโดยด่วน รายงานเอาไว้ทีหลัง เร็วเข้า เร่งมือกันหน่อย ... ส่วนหอปืนท้ายยาน... ขณะนี้เราเข้าสู่สถานการณ์การรบแล้วไม่ใช่หรือ ไม่ต้องรอคำสั่งอีกแล้ว ทำหน้าที่ของคุณให้ดีที่สุดไปได้เลย... แล้วก็... ห้องเครื่อง มีอะไรหรือ?”

“ครับ ก็แค่เป็นห่วงน่ะครับ ว่าทางห้องบัญชาการปลอดภัยดีไหม ทางห้องเครื่องอยู่ในสภาพเรียบร้อยดีครับผม”

“อ้อ งั้นเหรอ โชคดีนะพวกคุณ”

น้ำเสียงของหยางอดไม่ได้ที่จะแฝงแววประชด

“ห้องบัญชาการยังคงอยู่ เพราะฉะนั้นวางใจได้ แล้วทำหน้าที่ของทุกคนให้ดี เข้าใจไหม?”

จากนั้น เขามองไปรอบ ๆ ตัวอีกครั้ง

“มีนายทหารคนไหนที่ยังไหวอยู่บ้าง?”

“ผมครับ ท่านพลจัตวา”

ร่างของใครคนหนึ่งเดินโซเซเข้ามาอย่างน่าหวาดเสียวแทน

“คุณ... เอ่อ...”

“พันตรีเหลาครับผม อยู่ในทีมเสธฯ ครับ”

ใบหน้าของอีกฝ่ายที่มองเห็นได้ใต้หมวกนิรภัย แสดงถึงดวงตาที่เล็กหยีและจมูกที่เรียวเล็กเช่นกัน ท่าทางมีอายุรุ่นเดียวกันกับหยางนั่นเอง นอกจากพันตรีผู้นี้แล้ว ยังมีต้นหน (พนักงานขับยาน) อีกสองคน โอเปอเรเตอร์อีกหนึ่งคนที่ยกมือบอกว่าตนปลอดภัย ... และนี่คือทั้งหมดที่รอดมาได้จากความเสียหายของห้องบัญชาการเมื่อครู่

“ไม่มีคนอื่นอีกแล้วใช่ไหม?”

หยางได้แต่ตบแก้มตนเองผ่านหมวกนิรภัยเบา ๆ อย่างนี้ก็เท่ากับว่ากองบัญชาการของกองยานรบที่ 2 ล่มสลายไปแล้วสิ

แพทย์ทหารและทหารพยาบาลกลุ่มหนึ่งวิ่งตรงเข้ามา จากนั้นลงมือตรวจสภาพของพลโทปาเอตต้าอย่างรวดเร็ว แล้วรายงานว่า ร่างของท่านพลโทคงจะกระเด็นไปกระแทกกับมุมของโต๊ะบัญชาการ แล้วทำให้กระดูกซี่โครงหักและทิ่มปอดเข้าให้ หมอยังแถมตบท้ายอีกแน่ะ ว่า ดวงแกซวยจริง ๆ ซึ่งจะว่าไป หากเทียบกันแล้ว ก็ต้องเรียกว่า พวกหยางที่รอดมาได้นี่ ดวงแข็งจริง ๆ เหมือนกัน

“พลจัตวาหยาง...”

พลโทปาเอตต้าส่งเสียงเรียกเสนาธิการหนุ่ม ทั้งที่ตนกำลังต่อสู้กับความเจ็บปวดสาหัสทั้งกายใจ

“ฝากคุณทำหน้าที่ผบ. กองยานแทนด้วย...”

“ผมเหรอครับ?”

“เท่าที่เห็น นายทหารที่ยังปลอดภัยอยู่ก็มีคุณนี่แหละยศสูงที่สุดแล้ว ... ลองสำแดงฝีมือนักการทหารของคุณให้...”

เสียงของพลโทขาดลงเพียงเท่านี้ เพราะเจ้าตัวหมดสติไปแล้ว แพทย์ทหารหันไปตะโกนเรียกหารถเข็นอัตโนมัติ (โรบอทคาร์) จ้าละหวั่น

“รู้สึกแกจะเชื่อมือคุณมากนะครับ”

พันตรีเหลาทำท่าชื่นชมพลจัตวาหนุ่ม

“ไม่รู้สิ...”

คำตอบของหยางทำเอาพันตรีหนุ่มเอียงคอด้วยความสงสัย ฝ่ายหลังไม่รู้เบื้องหลังการประทะความเห็นที่แตกต่างกันของพลโทกับพลจัตวาคู่นี้ที่ดำเนินมาตลอดการเดินทัพครั้งนี้นั่นเอง

หยางเดินไปที่แผงสื่อสาร แล้วเปิดสวิทช์สำหรับสื่อสารระหว่างยานรบ รู้สึกว่าพวกเครื่องจักรพวกนี้จะถูกสร้างมาให้แข็งแรงและปลอดภัยกว่ามนุษย์นะนี่

“ถึงยานรบทุกลำ ผมพลจัตวาหยาง เป็นรองเสนาธิการในสังกัดท่านผู้บัญชาการปาเอตต้า”

เสียงของหยางถูกถ่ายทอดผ่านห้วงอวกาศออกไป

“เมื่อสักครู่ เรือธงแพโทรครอสถูกโจมตี ทำให้ผู้บัญชาการปาเอตต้าได้รับบาดเจ็บสาหัส และท่านสั่งให้ผมปฏิบัติหน้าที่บังคับบัญชาการรบแทน”

เขาหยุดเว้นระยะไว้ชั่วขณะ กะประมาณให้บรรดาทหารฝ่ายตนหายจากอาการตกใจเสียก่อนจึงกล่าวต่อ

“ทุกท่านไม่ต้องเป็นห่วง ให้เชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสั่งของผมแล้วรับรองว่าเราจะรอดกลับไปด้วยกัน ใครที่อยากรอด กรุณาใจเย็นๆ และปฏิบัติตามคำสั่งโดยเคร่งครัด ตอนนี้กองทัพของเรากำลังเสียเปรียบอยู่ก็จริง แต่สรุปว่า ขอให้เราชนะได้ในตอนท้ายที่สุดของที่สุดก็พอแล้ว”

โอ๊ะ ๆ หยางแค่นยิ้มพลางนึกในใจว่า นี่เราก็พูดอะไรใหญ่โตเป็นเหมือนกันรึนี่ แต่แน่นอน สิ่งที่นึกในใจในตอนหลังนี้ห้ามพูดเป็นคำพูดออกมาเด็ดขาด ในสนามรบนั้น ต่อให้ผู้นำทัพกำลังใจเสียขวัญเสียขนาดไหนก็ตาม ดูจากภายนอกต้องอกผายไหล่ผึ่งเอาไว้ก่อน

“เราจะไม่แพ้ศึกครั้งนี้แน่นอน ให้ยานรบทุกลำใช้ยุทธวิธีกำจัดข้าศึกทีละลำไป จนกว่าทางนี้จะมีคำสั่งต่อไป เท่านี้นะครับ”

เสียงของหยางไม่ได้ถูกถ่ายทอดไปเฉพาะกองยานรบของตนเท่านั้น หากแต่ทางฝ่ายจักรวรรดิก็ดักฟังคลื่นสัญญาณนั้นได้ด้วย ในห้องบัญชาการของเรือธงบรุนฮิลต์นั้นเอง ไรน์ฮาร์ดก็กำลังเลิกคิ้วที่ได้รูปสวยของตนขึ้นเล็กน้อย พลางพูดว่า

“เราจะไม่แพ้... ใครอยากรอดให้ทำตามคำสั่งของผม... หรือ? นึกไม่ถึงเลยว่าในกองทัพกบฏนี่ก็จะมีพวกที่ดีแต่โม้อยู่ด้วยเหมือนกัน”

แววตาของเขาวาววาบขึ้นเหมือนประกายน้ำแข็ง

“สถานการณ์ล่วงเลยมาถึงขั้นนี้แล้ว ยังจะคิดวิธีอะไรมาพลิกแพลงได้อีก? ... เอาเถอะ ขอดูฝีมือมันสักตั้งนึงละกัน เคียร์ชไอซ์!”

“ขอรับ”

“ถ่ายทอดคำสั่งจัดรูปขบวนทัพใหม่ ให้เรือรบทุกลำจัดขบวนเป็นรูปกระสวย นายรู้ใช่ไหมว่าทำไม?”

“คิดจะทะลวงกลางทัพข้าศึกละสิขอรับ”

“ใช่แล้ว ตามฉันทันเหมือนเคยนะนายนี่”

คำสั่งของไรน์ฮาร์ดถูกถ่ายทอดผ่านเรือรบทุกลำโดยฝีมือของเคียร์ชไอซ์ในทันที

(หมายเหตุผู้แปล- รูปกระสวยในที่นี้ คือ ลูกหนำเลี้ยบ หรือ ลูกรักบี้นั่นเอง รูปขบวนรูปกระสวย ลักษณะหัวท้ายขบวนจะเรียวแหลม และป่องออกตรงกลางขบวน เป็นรูปกระบวนทัพที่เอาไว้บุกทะลวงทัพข้าศึกโดยเฉพาะ)



ถ้าไม่มีหมวกนิรภัยสวมครอบอยู่ละก็ หยางคงจะถอดหมวกเบเลต์แล้วใช้มือเสยผมดกดำของตนไปแล้ว ในสถานการณ์ที่ทั้งสองฝ่ายมีกำลังรบต่างกันไม่มากเกินไปนัก ยุทธวิธีที่ได้ผลสำหรับฝ่ายรุกที่จะโจมตีอีกฝ่ายให้ราบเป็นหน้ากลองไป มีอยู่เพียงสองวิธีเท่านั้น ถ้าไม่ “บุกทะลวงกลาง” ก็เป็นยุทธวิธี “โอบล้อมครึ่งวงกลม” ซึ่งในกรณีนี้ เขาคาดไว้แล้วว่า ทางนั้นคงเลือกใช้ยุทธวิธีที่เด็ดขาดที่สุดมา และก็รู้สึกว่าเขาคาดถูกเสียด้วย

“พันตรีเหลา”

“ครับ ท่านรักษาการผบ.”

“ข้าศึกกำลังจัดรูปขบวนรูปกระสวย ท่าทางจะบุกทะลวงกลางทัพเราล่ะ”

“กลยุทธทะลวงกลางทัพหรือครับ?”

“ใช่ พวกเขาตีกองยานรบที่สี่และที่หกของเราแตกมาหยก ๆ กำลังมีขวัญและกำลังใจดีเยี่ยม ไม่แปลกหรอกที่สุดท้ายเขาจะเลือกใช้ยุทธวิธีนี้กับเรา”

ขณะที่หยางกำลังอธิบายไปเรื่อย ๆ นั้น พันตรีเหลาก็มองมาทางเขาด้วยสีหน้าตื่น ๆ หยางแอบคิดในใจว่า นี่คือ ผลงานชิ้นใหญ่ที่สุดของแนวทางรบที่ฝ่ายจักรวรรดิใช้กับพวกตนล่ะ- การที่ทำให้บรรดาทหารของฝ่ายสมาพันธ์ถอดใจได้ตาม ๆ กัน ดูจากสีหน้าของพันตรีหนุ่มก็เป็นตัวแทนแสดงถึงสภาพจิตใจของฝ่ายสมาพันธ์ได้เป็นอย่างดี

“แล้วเราจะรับมือยังไงดีครับ?”

“ผมคิดแผนรับมือไว้แล้ว”

“แต่ เราจะถ่ายทอดคำสั่งให้ยานรบทุกลำได้ยังไงล่ะครับ? จะใช้คลื่นสื่อสารก็โดนดักฟัง ใช้สัญญาณแสงก็เหมือนกัน ถ้าจะใช้ยานแจ้งข่าวก็จะนานไปมันจะไม่ทันการณ์”

“ไม่ต้องห่วง คุณใช้ช่องสัญญาณสื่อสารนี่แหละ สักหลาย ๆ ช่องหน่อยนะ ถ่ายทอดคำสั่งให้ยานรบทุกลำเปิดดูโปรแกรม C4 ในคอมพิวเตอร์จำลองสถานการณ์กันเองได้เลย คำสั่งอยู่ในนั้นแล้ว ต่อให้พวกจักรวรรดิดักฟังได้ แต่ก็ตามไปดูถึงโปรแกรมนั่นไม่ได้หรอก”

“หมายความว่า... ท่านรักษาการผบ. ได้เตรียมแผนแล้วก็ป้อนข้อมูลลงคอมพิวเตอร์ไว้ล่วงหน้าแล้วเหรอครับ... ก่อนที่จะเริ่มรบซะด้วยซ้ำนี่นะครับ!”

“ใช่... ที่จริงก็หวังว่าเราคงจะไม่ต้องใช้มันแหละนะ...”

หยางพูดเป็นเชิงแก้ตัว ใช่สิ การกระทำแบบนี้ก็เหมือนกับคาดการณ์ว่าทัพตนเองจะต้องแพ้นั่นเอง ถึงได้เตรียมโปรแกรมอย่างนี้ไว้ นับแต่โบราณแล้ว ตั้งแต่สมัยศึกเมืองทรอย ราชินีคาซานดร้าที่ทำนายถึงความพ่ายแพ้ของฝ่ายตนเอง ก็ถูกมองด้วยสายตาเหยียดหยาม รวมทั้งบุคคลในประวัติศาสตร์คนอื่น ๆ ที่ทำนายความพ่ายแพ้ฝ่ายตนเอง ล้วนประสบชะตาเช่นเดียวกัน

“ว่าแต่ คุณรีบไปถ่ายทอดคำสั่งเถอะ เร็วเข้า!”

“ครับผม!”

เหลาวิ่งเหยาะ ๆ ไปยังพนักงานสื่อสารคนใหม่ที่เสริมเข้ามาทันที ทั้งนี้การจะควบคุมห้องบัญชาการด้วยคนเพียงห้าคนที่รอดจากเหตุการณ์เมื่อครู่ได้นั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ หยางจึงขอกำลังเสริมจากหน่วยต่าง ๆ ในยานลำนี้มารวมกันเป็นกองบัญชาการเฉพาะกิจได้ราวสิบคน แน่นอนว่า การทำอย่างนี้ทำให้บางหน่วยงาน หรือบางห้องมีคนขาดมือไปบ้าง เพราะเดิมทีการบรรจุกำลังพลก็ไม่ได้บรรจุเผื่อเหลือเผื่อขาดอยู่แล้ว แต่ก็ช่วยไม่ได้ ยังไงก็ต้องให้กองบัญชาการสามารถบัญชาการรบได้ก่อนล่ะ

เมื่อทัพจักรวรรดิจัดขบวนเป็นรูปกระสวยเสร็จแล้ว ก็เริ่มต้นเดินหน้าลุยทันที ทัพสมาพันธ์ก็ต้อนรับการเดินหน้าของอีกฝ่ายด้วยการสาดอาวุธเข้าใส่อย่างหนักหน่วง แต่ฝ่ายรุกก็ไม่แยแส คงรุกเข้ามาเรื่อย ๆ ระยะระหว่างทั้งสองทัพแคบเข้ามาทุกที ลำแสงพลังงานที่พุ่งสวนทางกันตัดทอกันเป็นประกายวูบวาบสุดลูกหูลูกตา

กองหน้าของทัพจักรวรรดิ ภายใต้การนำทัพของฟาเรนไฮต์ ไม่ได้ลดความเร็วลงเลยแม้แต่น้อย และในที่สุดก็ทิ่มพรวดเข้ามาในขบวนทัพของฝ่ายรับ

“เรือรบข้าศึก ทะลวงเข้ามาในทัพเราแล้วครับ!”

เสียงโอเปอเรเตอร์รายงานด้วยน้ำเสียงแหลมสูง

หยางเงยหน้าขึ้นมองแผงจอภาพบนเพดาน ซึ่งเป็นจอภาพมุมกว้าง 270 องศาฝังติดกับผนังห้องบัญชาการ ภาพของกองเรือรบข้าศึกที่กำลังเคลื่อนที่ใกล้เข้ามาให้ความรู้สึกเหมือนกำลังล่องมาตามคลื่นกระนั้น ช่างเป็นการเคลื่อนทัพที่ดูดุเดือดและห้าวหาญเสียนี่กระไร เทียบกับฝ่ายตั้งรับแล้ว ทางสมาพันธ์ดูจะทำอะไรอืดอาดยืดยาดชักช้าไปหมดทุกอย่าง.... แต่ก็ช่วยไม่ได้นี่นะ

เอาล่ะ... เดี๋ยวก็รู้

หยางเอนหลังพิงพนัก แล้วยกมือขึ้นกอดอก มองภายนอกดูเหมือนเขากำลังนั่งดูสถานการณ์อย่างใจเย็นก็จริง แต่ใครจะรู้ว่าในใจเขาก็ร้อนรุ่มไม่แพ้เพื่อนร่วมทัพคนไหนเลย ณ ขณะนี้ การเคลื่อนไหวของข้าศึกยังอยู่ในความคาดการณ์ของเขาอยู่ ปัญหาคือการเคลื่อนไหวของฝ่ายตนเองต่างหาก ถ้าพวกเพื่อนร่วมทัพทำตามคำสั่งที่เขาให้ไว้อย่างเคร่งครัดละก็... รอดตัวไป แต่ถ้ามีใครสักหลาย ๆ คนแหกคำสั่งขึ้นมาละ? มีสิทธิ์พากันถึงตายได้เชียวนะ

ถ้าถึงตอนนั้นขึ้นมา จะทำยังไงต่อ?

“ฮึ เกาหัวแกรก ๆ แล้วก็หัวเราะแหะ ๆ กลบเกลื่อนมั้ง”

จะให้ทำยังไงได้- หยางตอบตัวเอง

ใช่ เขาก็แค่คนธรรมดา ๆ คนหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าอย่างแม่นยำไปได้ทุกเรื่องหรอก เรื่องที่นอกเหนือความสามารถของเขา มันก็ควรเป็นเรื่องที่นอกเหนือความรับผิดชอบของเขาด้วย จริงไหม?
(อ่านตอนต่อไป)

หมายเหตุ

ในเรื่อง คำสั่งพร้อมรบแบ่งเป็นสามระดับ คือ สถานการณ์ฉุกเฉินระดับ 3, 2 และ 1 ตามลำดับ ถ้าระดับ 1 คือ กำลังจะประจันหน้ากับข้าศึกในไม่นานนี้แล้ว อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ .... ซึ่งตอนนี้ ในฉบับแปลของผม ผมยังไม่ได้บัญญัติศัพท์ที่แน่นอน เพราะยังไม่ถูกใจคำที่ตัวเองคิดขึ้น อย่างในบทนี้ ผมใช้คำว่า "เตรียมประจำสถานีรบ" สำหรับการเข้าสู่สถานการณ์ฉุกเฉินระดับที่ 1 และ ใช้ "ประจำสถานีรบ" หมายถึงการเปิดฉากการรบนั่นเอง

ในเรื่อง ถ้า "เตรียมประจำสถานีรบ" แล้วละก็ จะใส่หมวกนิรภัยครอบศีรษะด้วย ... ให้นึกถึงหมวกกันน็อคแบบดี ๆ สำหรับเวลาขี่มอเตอร์ไซด์นั่นแหละ ซึ่งก็เป็นการเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ อย่างเช่น กรณีที่เกิดกับห้องบัญชาการของเรือธงในตอนนี้นั่นเอง... ถ้าหยางไม่ได้สวมหมวกนิรภัยไว้ ตอนกระเด็นหลังกระแทกพื้น แน่นอนว่าหัวก็คงฟาดพื้นน็อคไม่ฟื้นไปแล้ว ... รวมทั้งสวิทช์แม่เหล็กที่รองเท้าบูทด้วย ที่ช่วยให้ร่างของเขายึดเกาะพื้นไว้ได้ กรณีที่สนามแรงโน้มถ่วงในห้องเกิดรวนขึ้นมา (คงมีกลไกที่ทำให้สามารถยกเท้าก้าวเดินได้แหละนะ ไม่ใช่ว่า เปิดสวิทช์ไปแล้วจะยกเท้าขึ้นจากพื้นไม่ได้เลย) แต่ในเวอร์ชันการ์ตูนไม่เคยเห็นวาดฉากสวมหมวกนิรภัยในห้องบัญชาการสักที

เรื่องการสื่อสารก็อีก.... คงเดาภาพกันได้ไม่ยาก ว่าต่อให้อยู่ในบรรยากาศควบคุมในห้องเดียวกันบนยานเดียวกันก็ตาม ถ้าภายในสถานการณ์การรบ จะสื่อสารผ่านไมค์ตัวเล็กที่อยู่ในหมวกนิรภัย รวมทั้งการสื่อสารกับคนบนยานเดียวกัน (แต่คงใช้คนละช่องสัญญาณกับกรณีพูดกับคนในห้องเดียวกัน) แต่ถ้าเป็นการสื่อสารข้ามยาน ... โดยเฉพาะระหว่างเรือธงกับยานรบอื่น ๆ ก็มีวิธีดังที่พันตรีเหลาได้ช่วยอธิบายให้เราฟังไปแล้ว

อ้อ ... คิดว่าคงจำประโยคท้ายของบทที่แล้วได้นะครับ ที่ว่า "พลจัตวาหนุ่มทำท่าจะผิวปากแล้วก็ยกเลิกกลางคัน ก้มหน้าก้มตาทำอะไรบางอย่างกับแผงควบคุมตรงหน้าตนอย่างขมักเขม้น" น่ะ.... คำตอบก็ถูกเฉลยไว้ระดับหนึ่งแล้วในตอนนี้เอง

กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป 1