นวนิยายแฟนตาซีอวกาศเรื่องยาว

วีรบุรุษทางช้างเผือก銀河英雄伝説

เรื่อง โดย ทะนะกะ โยะชิกิ (田中芳樹) แปลโดย Pae

บทที่ 2 การรบที่แอสทาเท
-7-


อีก 30 นาทีถัดมา ขบวนทัพของทั้งสองฝ่ายก็ต่อกันเป็นรูปวงแหวน ช่างเป็นภาพที่แปลกประหลาดเหลือเกิน ขณะที่กองหน้าของทัพสมาพันธ์กำลังพุ่งเข้าโจมตีใส่ท้ายขบวนของทัพจักรวรรดิ กองหน้าของทัพจักรวรรดิก็กำลังวิ่งไล่เข้าหาท้ายของขบวนที่อยู่ทางขวาในบรรดาสองขบวนที่แยกกันของทัพสมาพันธ์

หากใครสักคนไปอยู่ในที่ที่ไกลออกไปในห้วงอวกาศอันมืดมิด แล้วมองมาทางนี้คงจะเห็นเป็นภาพของงูใหญ่เรืองแสงสองตัว วิ่งไล่งับหางของกันและกันอยู่เป็นวงกลม

“รูปขบวนแบบนี้ ... กระผมเพิ่งเคยเห็นนี่แหละครับ”

พันตรีเหลาที่มองจอภาพของคอมพิวเตอร์จำลองสถานการณ์ หันกลับมาบอกกับหยางด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“นั่นสิ... ผมก็เหมือนกัน”

หยางตอบไปแกน ๆ ซึ่งประโยคหลังนั้นเขาพูดโกหกเพราะรู้ดีว่า สมัยที่มนุษย์ยังคงอาศัยอยู่บนดาวที่ชื่อว่า “โลกมนุษย์” เพียงดวงเดียวเท่านั้น สภาพการรบและรูปขบวนแบบนี้ เคยเกิดขึ้นหลายครั้งแล้ว หรือแม้แต่แนวยุทธศาสตร์ที่เคานท์ออฟโรเอนกรัมใช้ในครั้งนี้ก็ตาม ก็เคยมีตัวอย่างมาแล้วในสมัยโบราณทั้งสิ้น ไม่รู้จะเรียกว่าเป็นโชค หรือเป็นเคราะห์กันแน่ ที่ในกลียุค-ยุคที่เกิดมหาสงครามบนพื้นโลกมนุษย์ จะต้องมียอดแม่ทัพที่สามารถเดินทัพได้อย่างเหนือความคาดหมาย และฉีกแนวคิดการเดินทหารแบบเดิม ๆ ออกได้- ถือกำเนิดขึ้นทุกยุคไป



“ช่างเป็นรูปขบวนที่น่าเกลียดอะไรเช่นนี้!”

บนเรือธงบรุนฮิลต์นั้นเล่า ก็กำลังถูกครอบงำด้วยเสียงบ่นของใครบางคน

“อย่างนี้ก็ได้แต่รบยืดเยื้อตัดกำลังกันไปเรื่อย ๆ นะสิ...”

ไรน์ฮาร์ดกัดฟันพูดพึมพำออกมาอย่างแค้นใจ

และ ข่าวร้ายเกี่ยวกับการเสียชีวิตของนายทหารชั้นสูงก็ถูกรายงานเข้ามา พลตรีแอร์รัคนั่นเอง ถูกระเบิดตายไปพร้อมเรือธงของตนเอง อันเนื่องจากขัดคำสั่งของไรน์ฮาร์ดที่ให้เดินหน้าต่อ แต่เขากลับฝ่าฝืน พยายามหันหัวเรือกลับไปรบกับฝ่ายสมาพันธ์ที่อยู่ด้านหลัง จึงตกเป็นเป้าระดมยิงของปืนแสงนิวตรอนจากข้าศึกเข้าให้

ช่างไร้หัวคิดสิ้นดี! ข้าศึกมาจ่ออยู่ด้านหลังแล้ว ยังจะหยุดเรือแล้วหันลำกลับไปอีก ตายไปก็สมควรแก่การกระทำของมันแล้ว- ไรน์ฮาร์ดสบถในใจ แต่อย่างไรก็ตาม นี่ก็เป็นจุดด่างพร้อยบนชัยชนะครั้งนี้ของเขา



ทางฝ่ายหยางซึ่งเป็นตัวการเปลี่ยนให้สถานการณ์กลายเป็นการรบยืดเยื้อนั้น ย่อมตระหนักดีอยู่แล้วตั้งแต่ต้น และคาดว่าอีกฝ่ายคงไม่ยินดีจะเล่นด้วยหรอก การรบยืดเยื้อที่เอาแต่ไล่เข่นฆ่ากันไปเรื่อย ๆ จนเสียหายทั้งสองฝ่ายนั้น ย่อมไม่มีความหมายใด ๆ ทางยุทธศาสตร์แม้แต่น้อย โดยเฉพาะสำหรับแม่ทัพข้าศึกคือ เคานท์ออฟโรเอนกรัมผู้ชาญฉลาดด้วยแล้วล่ะก็... และนี่คือจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของแผนการครั้งนี้ล่ะ เขาต้องการไล่ต้อนให้ศัตรูยอมรับความจริงที่ว่ารบต่อไปก็ไม่มีประโยชน์นั่นเอง

“อีกสักพัก ข้าศึกก็คงเริ่มถอนตัวแล้วล่ะ”

หยางบอกกับพันตรีเหลา

“งั้น เราจะไล่ตีพวกเขาไหมครับ”

“... อย่าได้ทำอย่างนั้นเชียว”

(รักษาการ) ผู้บัญชาการหนุ่มส่ายหน้า

“ทางเราก็จะถอนทัพเหมือนกัน กะจังหวะให้สอดคล้องกับการถอนทัพของฝ่ายนั้นนะ... พวกเราทำได้ดีที่สุดแค่นี้แหละพันตรีเหลา เรารบต่อไปไม่ไหวแล้ว...”



บนเรือธงบรุนฮิลต์ บทสนทนาทำนองเดียวกันก็กำลังดำเนินไปเช่นกัน

“นายคิดว่าไง? เคียร์ชไอซ์”

“ก็น่าจะได้เวลาเลิกแล้วล่ะขอรับ”

บอกว่า “น่าจะ” แต่น้ำเสียงกลับเรียบ ๆ ไม่มีแววลังเลหรือครุ่นคิดแม้แต่น้อย

“นายก็คิดงั้นเหรอ?”

“ขอรับ ปล่อยให้สู้กันต่อไปรังแต่จะสูญเสียทั้งสองฝ่าย ไม่มีความหมายทางยุทธศาสตร์แม้แต่น้อยขอรับ”

ไรน์ฮาร์ดพยักหน้าเห็นด้วย ... ใช่ เห็นด้วย แต่... สีหน้าของเขาก็ยังมีแววอิดออดอยู่ ความคิดที่เป็นเหตุเป็นผลของเขาเข้าใจสถานการณ์ดีแล้วก็จริง แต่... ความรู้สึกของเขายังยอมรับความจริงไม่ได้

“เจ็บใจหรือขอรับ?”

“ก็ไม่เชิง... เพียงแต่อยากจะชนะให้เด็ดขาดกว่านี้เท่านั้นเอง มันเหมือน... ลงทุนวาดภาพสีอย่างสวยงาม แต่สุดท้ายกลับขาดปากกาที่จะใช้เซ็นชื่อ...”

สมกับเป็นไรน์ฮาร์ดจริง ๆ เคียร์ชไอซ์แอบคิดในใจแล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้

“ในสถานการณ์ที่เรากำลังจะถูกล้อมด้วยข้าศึกที่มีกำลังเหนือกว่าถึงสองเท่าจากสามทิศทาง แต่ทัพของเราก็ใช้ยุทธวิธีตีทีละทัพ จนทำลายกองยานรบของข้าศึกได้ถึงสองกอง และในการศึกกับกองสุดท้าย ทั้งที่เราถูกพวกมันซ้อนแผนเข้าเล่นงานจากด้านหลัง แต่เราก็รบกับพวกมันได้อย่างสูสี... เท่านี้ยังไม่พออีกหรือขอรับ คุณไรน์ฮาร์ด ถ้าหวังมากกว่านี้ละก็... ออกจะโลภไปนิดนะขอรับ”

“โอเค ๆ เข้าใจแล้ว... คิดซะว่า เก็บของดีไว้ชื่นชมวันหลังก็แล้วกัน”

ของดีที่ว่า ย่อมหมายถึง ชัยชนะอันเด็ดขาดในแบบที่ไรน์ฮาร์ดอยากได้นั่นเอง

ในที่สุด กองทัพทั้งสองฝ่าย ก็แปรรูปขบวนเป็นหน้ากระดาน แล้วค่อย ๆ ถอยห่างออกจากกัน พลางสาดอาวุธเข้าหากันประปราย จนเมื่อถอยห่างออกมาได้ระยะหนึ่ง ลำแสงที่สาดเข้าหากันก็หมดไป การรบสิ้นสุดลงโดยสมบูรณ์



“ไม่เลวเหมือนกันนี่... ยิ่งกว่าที่คิดไว้ซะอีก”

น้ำเสียงของไรน์ฮาร์ดมีแววชื่นชมและยินดีผสมกันอยู่อย่างกลมกลืน แม่ทัพหนุ่มนิ่งคิดอะไรไปพักใหญ่ แล้วก็เรียกคนสนิทเข้าไปหา

“แม่ทัพของข้าศึก... ผู้บัญชาการกองยานรบที่ 2... คนที่รับช่วงต่อกลางคันน่ะ ชื่ออะไรนะ?”

“พลจัตวาหยางขอรับ”

“เออใช่ หยางนั่นแหละ ช่วยส่งสารไปถึงเขาหน่อยได้ไหม? ลงชื่อจากฉัน”

เคียร์ชไอซ์ยิ้มกว้าง แล้วถาม

“จะให้ส่งข้อความว่าอะไรล่ะขอรับ”

“ก็... ข้าพเจ้าขอแสดงความชื่นชมในการรบที่ยอดเยี่ยมของท่าน ขอให้รักษาเนื้อรักษาตัวให้ดีจนกว่าวันที่เราจะได้พบกันอีก... ทำนองนี้น่ะ”

“ได้ขอรับ”

เคียร์ชไอซ์ถ่ายทอดคำสั่งดังกล่าวให้นายทหารสื่อสารฟัง ฝ่ายหลังถึงกับเอียงคอนิด ๆ มองสวนกลับมา นายทหารหนุ่มผมแดงยิ้มด้วยรอยยิ้มเปิดเผยก่อนจะพูดว่า

“ข้าพเจ้าก็เหมือนท่านแหละ... ไม่ได้อยากเจอกับข้าศึกที่เก่ง ๆ แบบนี้หรอก ถ้าเป็นไปได้ ขอเลือกเจอข้าศึกที่อ่อน ๆ ดีกว่าเจอแม่ทัพที่ควรค่าแก่การยกย่องแบบนี้นะ”

“เห็นด้วยอย่างยิ่งขอรับ”

นายทหารสื่อสารพยักหน้า ตอนนั้นเอง เสียงสั่งการของไรน์ฮาร์ดก็ดังขึ้นอีก

“เคลื่อนทัพกลับโอดีนได้ ถ่ายทอดคำสั่ง เรือรบทุกลำ จัดรูปขบวน!”

แถมท้ายด้วยคำสั่งที่ว่า ระหว่างทางให้แวะพักที่ป้อมปราการอิเซลโลน, ให้รีบสำรวจ-ประเมินความเสียหายทั้งฝ่ายตนและข้าศึก เป็นต้น เมื่อสั่งการเสร็จแล้ว ไรน์ฮาร์ดก็ปรับพนักเก้าอี้ให้เอนหลังลงจนเกือบจะขนานพื้น แหงนหน้าขึ้นมองเพดานที่เป็นรูปครึ่งทรงกลม แล้วก็หลับตาลง

เขารู้สึกได้ถึงความเหนื่อยล้าที่ผุดตัวขึ้นมาจากก้นบึ้งส่วนลึกภายในร่างกาย ประดุจพรายน้ำที่ผุดปุดๆ ขึ้นที่ผิวน้ำ ขอนอนพักสักงีบเถิดนะ หากมีเรื่องอะไรเร่งด่วนละก็ เดี๋ยวเคียร์ชไอซ์ก็คงมาปลุกเองแหละ ส่วนเรื่องเส้นทางที่จะใช้บินกลับนั้น ก็ให้ระบบนำทางอัตโนมัติจัดการให้ก็ได้...


กล่าวทางแม่ทัพของฝ่ายที่พ่ายศึกนั้นเล่า เขาไม่มีสิทธิจะได้นอนสบายโดยมอบงานให้ลูกน้องทำแทนเลยแต่น้อย ภารกิจหลักของเขาตอนนี้คือ ต้องรีบสำรวจความเสียหายและช่วยชีวิตผู้รอดตายออกจากยานอวกาศลำที่เสียหายไปแล้ว ถ่ายเทลำเลียงมายังลำที่ใช้การได้ จากนั้นห้อตะบึงกองยานรบที่เหลืออยู่ของตนไปยังตำแหน่งที่เป็นสุสานของกองยานรบที่ 4 และ ที่ 6 ตามลำดับเพื่อจัดการอย่างเดียวกัน

ที่จริงไม่ว่างานไหน ๆ ในสงครามก็ลำบากด้วยกันทั้งนั้นแหละ แต่เพิ่งรู้ซึ้งตอนนี้เองว่า งานจัดการสะสางทัพที่แตกพ่ายนี่ เป็นงานที่หนักที่สุดเท่าที่เคยเจอมาเลยกระมัง หยางคิดในใจขณะที่นั่งดื่มนมผสมโปรตีนจากถ้วยกระดาษ หลังจากที่เขาถอดหมวกนิรภัยออกไปแล้ว

“ท่านเสธฯ เอ๊ย ท่านรักษาการผบ. ครับ มีสารส่งมาจากทางกองทัพจักรวรรดิครับผม!”

สีหน้าของพันตรีเหลาที่วิ่งนำสารนั้นเข้ามาให้ เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ช่างเป็นการรบที่มีแต่เรื่องเหนือความคาดหมายตั้งแต่ต้นจนจบเลยทีเดียว ท่าทีของเขาบอกว่าอย่างนั้น

“โทรสารเหรอ? อ่านให้ฟังหน่อยซิ”

“ครับ อ่านนะครับ... ข้าพเจ้าขอแสดงความนับถือและชื่นชมในการรบอันเด็ดเดี่ยวห้าวหาญของท่าน ขอให้ท่านรักษาตัวให้ดี จนกว่าเราจะมีโอกาสได้พบกันใหม่ภายหน้า ลงชื่อ พลเอกพิเศษ ไรน์ฮาร์ด ฟอน โรเอนกรัม แห่งกองทัพจักรวรรดิทางช้างเผือก... ข้อความมีเท่านี้ครับ”

“ชื่นชมในการรบอันห้าวหาญหรือ... ไม่กล้ารับหรอก คำชมอย่างนี้”

หยางพูดพึมพำ แต่ในใจคิดว่า ความหมายของสารนั้นคือ... พบกันคราวหน้าละก็ ให้เตรียมใจไว้ให้ดี เอาตายแน่... ทำนองนั้นกระมัง จะว่าไปนี่คือสารท้ารบ-หรือข้อความอาฆาตดี ๆ นี่เอง แต่แปลก ที่เขากลับไม่มีความรู้สึกทางลบต่อเจ้าของสารนั้นแม้แต่น้อย

“จะทำยังไงดีครับ ให้ตอบกลับไหม?”

หยางตอบคำถามของพันตรีเหลาด้วยน้ำเสียงเนือย ๆ ว่า

“ไม่ต้อง ปล่อยไว้งี้แหละ ทางนั้นก็คงไม่ได้คาดหวังว่าเราจะตอบมั้ง ผมว่านะ...”

“คะ...ครับ...”

“ว่าแต่... เร่งมือพวกเราให้รีบช่วยเหลือผู้รอดชีวิตจะดีกว่านะคุณเหลา... ผมอยากช่วยให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้”

เมื่อร่างของเหลาลับตาไปแล้ว หยางเบนสายตาไปที่แผงควบคุมโดยไม่ตั้งใจ บนพื้นใต้แผงนั้นเอง เอกสารปึกหนึ่งก็วางตกอยู่ เป็นแผนการรบที่หยางเสนอไว้ตั้งแต่ต้นการเดินทัพครั้งนี้นั่นเอง เขาแค่นยิ้มขมขื่น สาบานได้เลยว่าตัวเองไม่เคยหวังและไม่รู้สึกยินดีเลยแม้แต่นิดเดียว ที่การคาดการณ์ของตนถูกต้อง โดยมีบทพิสูจน์ออกมาในสภาพเช่นนี้ บทพิสูจน์ที่แลกมาด้วยความสูญเสียเหลือคณานับอันมีส่วนประกอบหลักจากกองยานรบที่ 4 และที่ 6... พวกผู้ใหญ่ในกองทัพจะทำหน้าตาอย่างไรหนอ ถ้าเห็นรายงานความสูญเสียครั้งนี้



“การรบที่แอสทาเท” ก็ปิดฉากลงด้วยประการฉะนี้

ไพร่พลที่เข้าร่วมสงครามครั้งนี้ ฝ่ายจักรวรรดิ 2,448,600 นาย ฝ่ายสมาพันธ์ฯ 4,065,900 นาย ยานรบที่เข้าสงคราม ฝ่ายจักรวรรดิ 20,000 ลำเศษ, ฝ่ายสมาพันธ์ฯ 40,000 ลำเศษ ผู้เสียชีวิตจากสงคราม ฝ่ายจักรวรรดิ 153,400 คนเศษ ฝ่ายสมาพันธ์ฯ 1,508,900 คนเศษ ยานรบที่ถูกทำลายหรือเสียหายจนใช้การต่อไม่ได้ ฝ่ายจักรวรรดิ 2,200 ลำเศษ ฝ่ายสมาพันธ์ฯ 22,600 ลำเศษ

ความเสียหายฝ่ายสมาพันธ์ฯ สูงถึงสิบ-สิบเอ็ดเท่าของฝ่ายจักรวรรดิก็จริง แต่สุดท้ายแล้ว ก็ถือว่าพวกเขาป้องกันการรุกรานของทัพจักรวรรดิที่เข้ามาทางหมู่ดาวแอสทาเทได้สำเร็จ แม้จะแบบเต็มกลืนเต็มทีก็ตาม..
(อ่านตอนต่อไป)

หมายเหตุ

อาจจะงง ๆ นิดว่าทำไมงานของแม่ทัพที่แพ้จะหนักขนาดนั้น อย่าลืมว่า สมรภูมิอยู่ในอวกาศนะครับ ถ้ามีผู้รอดชีวิตอยู่ในยานอวกาศลำที่เจ๊งไปแล้วละก็... พวกเขาจะช่วยตัวเองในการกลับดาวที่ตั้งไม่ได้เลย ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของผู้รอดชีวิตบนยานอวกาศลำอื่นที่จะต้องเร่งรวบรวมผู้รอดชีวิตจากยานลำที่เสียหายนี้มาไว้บนยานที่ยังใช้การได้อยู่ของฝ่ายตน แล้วพากลับฐานที่มั่นด้วยกัน... ในนิยายเขียนฉากพวกนี้ไม่ค่อยละเอียดเท่าไร แต่ในการ์ตูน (ประมาณต้นเล่มสอง) อ. มิจิฮาระ เขียนฉากพวกนี้ไว้ละเอียดทีเดียวครับ

ศึกแอสทาเท... มีความสำคัญในทางประวัติศาสตร์ในเรื่องนี้ กล่าวคือ เป็นการรบครั้งแรกที่ไรน์ฮาร์ดและหยางได้ประทะฝีมือกันโดยตรงในฐานะผู้นำทัพทั้งสองฝ่ายนั่นเอง โดยก่อนหน้านี้ ต่างฝ่ายต่างก็เคยอยู่ในสมรภูมิเดียวกันมาแล้ว ไม่ต่ำกว่าสองครั้ง (เท่าที่มีข้อมูลเขียนถึงในภาคพิเศษ) แต่ตอนนั้น ไรน์ฮาร์ดก็เป็นแค่ผู้บังคับการกองรบย่อยภายใต้การนำของแม่ทัพคนอื่น (อย่างที่เมลคัทซ์และพวกเป็นในบทนี้) ส่วนหยางก็เป็นเพียงเสธ.อันดับรอง ๆ ในทัพฝ่ายสมาพันธ์เท่านั้น

กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป 1