หากมองทะลุกระจกใสชนิดพิเศษที่ทำเป็นหน้าต่างรูปโค้งอย่างสวยงามนี้ออกไป ก็จะพบหินประหลาดรูประฆังคว่ำเรียงรายอยู่สุดลูกหูลูกตา และ ณ ฉากหลังของมันท้องฟ้ายามอัสดงสยายปีกลงปกคลุมบรรยากาศโดยทั่ว ทอแสงสีน้ำเงินเรื่อ ๆ ในสายตาของผู้ดูทุกคน
บุคคลที่ยืนเอามือไพล่หลังอยู่ใกล้ ๆ ผนังห้อง หันหน้ามาเพียงเล็กน้อยเพื่อส่งสายตาไปยังกลางห้อง เป้าสายตาของเขาคือ แผงควบคุมขนาดใหญ่ที่มีสีขาวเด่น และข้าง ๆ กันนั้นมีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งยืนอยู่อย่างนอบน้อม
สรุปว่า...
ผู้ที่ยืนริมห้องส่งเสียงถาม เขาเป็นชายรูปร่างท้วม น้ำเสียงโทนต่ำก้องกังวานไปทั่วห้อง
ทัพจักรวรรดิเป็นฝ่ายชนะ แต่ก็ไม่ได้ชนะจนเด็ดขาด อย่างนั้นใช่ไหม บอร์เท็ก
ขอรับ ท่านลันเดสเฮล และทัพสมาพันธ์ก็แพ้ศึกจริง แต่ไม่ถึงกับล่มสลายสูญเสียกำลังรบทั้งหมดขอรับ
แล้วยังไง? พวกเขาจัดทัพใหม่ได้อย่างนั้นหรือ?
ขอรับ จัดทัพใหม่ แล้วก็โต้ตอบกลับได้ในระดับหนึ่ง แต่ผลโดยรวมแล้ว ทัพจักรวรรดิก็เป็นผู้ชนะในศึกครั้งนี้อยู่ดี แต่ฝ่ายแพ้ก็ไม่ได้ถึงกับโดนกระทำแต่ฝ่ายเดียว สำหรับเฟซานของเราแล้ว... ก็เรียกได้ว่าเป็นผลลัพธ์ที่น่าพอใจได้นะขอรับ ข้าน้อยคิดว่าเช่นนั้น ท่านลันเดสเฮลมีความเห็นอย่างไรขอรับ?
คราวนี้ ชายที่ยืนอยู่ริมผนังห้อง-- ผู้ปกครองเฟซานลันท์ (เขตปกครองตนเองเฟซาน) หรือ ลันเดสเฮล รุ่นที่ 5 แอเดรียน ลูวินสกี้-- หมุนตัวหันกลับมาทางอีกฝ่ายทั้งตัว
ช่างเป็นคนบุคลิกพิเศษยิ่ง ดูจากหน้าตาแล้ว คาดว่าเขาเป็นชายอายุราวสี่สิบ แต่บนศีรษะกลับไม่มีเส้นผมแม้แต่เส้นเดียว ผิวเป็นสีดำอ่อน ส่วนประกอบบนใบหน้าไม่ว่าจะเป็นคิ้ว, จมูก, ดวงตา, ริมฝีปาก ล้วนแล้วแต่มีขนาดใหญ่กว่าคนทั่วไป เรียกว่า ไม่ใช่คนหน้าตาดีอะไร แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เป็นดวงหน้าที่สร้างความเกรงขามให้แก่ผู้พบเห็นไม่มากก็น้อย รูปร่างของเขาไม่เพียงแต่สูงใหญ่เท่านั้น แต่ยังดูห้าวหาญด้วยไหล่ที่กว้างและแผงหน้าอกที่ดูบึกบึน ดูเปี่ยมแน่นไปด้วยพลังและความมุ่งมั่น
ระยะเวลาที่รับตำแหน่งจนบัดนี้ 5 ปี และได้รับสมญานามจากทั้งฝั่งจักรวรรดิและสมาพันธ์เป็นเสียงเดียวกันว่า จิ้งจอกดำแห่งเฟซาน นี่ล่ะ คือ เขา- ผู้ปกครองของเขตปกครองตนเองที่จะอยู่ในตำแหน่งตลอดจนสิ้นชีวิต เขตปกครองตนเองซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าของจักรวาล- เฟซาน
จะพอใจอย่างนั้นก็ไม่ได้หรอก บอร์เท็ก
ลันเดสเฮลส่งทั้งน้ำเสียงและสายตาตำหนิใส่ผู้ช่วยของตน
ผลลัพธ์ที่เจ้าว่านั้น เป็นผลที่ได้มาโดยบังเอิญ หาใช่เป็นผลจากความพยายามหรือการบงการของพวกเราไม่ และในอนาคตจะฝากเรื่องราวต่าง ๆ ไว้กับดวงอย่างนี้ต่อไปก็ไม่ได้หรอก ท่าทางต้องเร่งมือเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลกันอีกยกใหญ่เสียแล้ว ไพ่ตายน่ะ ยิ่งมีไว้มากใบยิ่งดี ไม่ใช่รึ บอร์เท็ก?
ลูวินสกี้เดินสวบ ๆ เข้าหาแผงควบคุมที่กลางห้อง เขาอยู่ในชุดลำลองสบาย ๆ เสื้อสเวตเตอร์คอเต่าสีดำและสวมทับด้วยเสื้อสูทสีเขียวอ่อน ดูอย่างไรก็ไม่สมกับเจ้าครองแคว้นสำคัญเลย
บอร์เท็กจัดแจงเคาะแป้นพิมพ์อยู่ขณะหนึ่ง จอภาพจอใหญ่ที่กลางแผงควบคุมก็แสดงภาพภาพหนึ่งออกมา
ภาพแสดงการวางกำลังทัพของทั้งสองฝ่าย โดยมองจากมุมด้านบนขอรับ
ภาพนั้น เป็นภาพเดียวกับที่เคียร์ชไอซ์เคยแสดงให้ไรน์ฮาร์ดดู เมื่อสามวันก่อนนั่นเอง ทัพจักรวรรดิแสดงด้วยสีแดง ทัพสมาพันธ์สีเขียว ลูกศรสีเขียวสามรูปกำลังเคลื่อนที่พุ่งเข้าหาลูกศรสีแดงที่อยู่ตรงกลาง จากทางด้านบนจอภาพและทางซ้ายขวา หรือหากจะมองให้ลูกศรพวกนี้เป็นจุด ก็อธิบายได้ว่า จุดสีแดงอยู่ในตำแหน่งใจกลางของรูปสามเหลี่ยมที่มีมุมยอดทั้งสามเป็นจุดสีเขียวเหล่านั้น
จำนวนยานรบ ฝ่ายจักรวรรดิ 2 หมื่น ฝ่ายสมาพันธ์ 4 หมื่นขอรับ จากจำนวนแล้ว ฝ่ายสมาพันธ์ควรจะได้เปรียบขอรับ
จากตำแหน่งการวางทัพก็ด้วย กำลังโอบล้อมทัพจักรวรรดิจากสามทิศทางนี่นะ เอ๊ะ! เดี๋ยวก่อน... นี่มัน...
ลูวินสกี้ใช้นิ้วอวบ ๆ ของเขานวดลงบนหน้าผากตนเอง
ถ้าจำไม่ผิด... นี่เป็นการเดินทัพที่ฝ่ายสมาพันธ์เคยใช้ใน ยุทธการล้อมทำลายที่ดากอน เมื่อร้อยกว่าปีก่อนนี่นา ดูท่าพวกเขาคงอยากจะทำความฝันให้เป็นจริงอีกครั้งหนึ่งสินะ ฮึ ไอ้พวกไม่มีความก้าวหน้า
แต่ ตามทฤษฎีการเดินทหารแล้ว นี่เป็นยุทธวิธีที่เหมาะสมแล้วนี่ขอรับ
เฮอะ! แผนบนโต๊ะน่ะ ไม่ว่าเมื่อไหร่มันก็ดูสวยทั้งนั้นแหละ ปัญหาคือตอนปฏิบัติต่างหากเล่า ฝ่ายตรงข้ามก็มีความคิดเหมือนกันไม่ใช่รึ? ว่าแต่... งานนี้ แม่ทัพฝ่ายจักรวรรดิคือ ไอ้เด็กผมทองที่ว่านั่นน่ะสิ?
ขอรับ เคานท์ฟอนโรเอนกรัมขอรับ
ลูวินสกี้หัวเราะด้วยน้ำเสียงที่เหมือนกับพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อห้าปีก่อน ตอนที่เขาจะรับตำแหน่งลันเดสเฮลต่อจากคนก่อน คือ วาเรนคอฟซึ่งเสียชีวิตกระทันหัน ในตอนนั้น ฝ่ายตรงข้ามกับเขาได้พากันสนับสนุนแคนดิเดทอีกคนหนึ่งซึ่งอายุห้าสิบปี โดยให้เหตุผลว่า เลือกคนแก่มีประสบการณ์สูงเป็นลันเดสเฮลดีกว่า ตำแหน่งสำคัญเช่นนี้ สำคัญเกินกว่าที่จะให้คนหนุ่มอายุเพียงสามสิบหกปีเช่นเขาเป็นได้ แต่ดูกรณีของเคานท์ฟอนโรเอนกรัมนี่เล่า? แม่ทัพผู้นี้อายุน้อยกว่าตอนเขารับตำแหน่งลันเดสเฮลถึงสิบหกปีมิใช่หรือ? รู้สึกว่า ยุคสมัยอันไม่น่าพิสมัยสำหรับพวกทหารแก่ ๆ ที่ดีแต่ร้องหาธรรมเนียมปฏิบัติเอย ระเบียบวิธีแสนจุกจิกต่าง ๆ เอย ได้มาถึงแล้วหรือนี่
ในวิกฤติการณ์เช่นนี้ เคานท์ฟอนโรเอนกรัมทำอย่างไรถึงพลิกสถานการณ์ได้ ท่านลันเดสเฮลคาดการณ์ได้ไหมขอรับ?
น้ำเสียงของบอร์เท็กมีแววอยากลองภูมิอยู่กลาย ๆ ทางฝ่ายลันเดสเฮลเจ้าของบุคลิกเฉพาะตัวเพียงแค่ชำเลืองหางตาเหลือบมองผู้ช่วยของตนแวบหนึ่ง แล้วก็หันกลับไปจ้องจอภาพเป็นครู่ใหญ่ ก่อนจะเอ่ยออกมาเรียบ ๆ แต่เต็มไปด้วยความมั่นใจว่า
อาศัยจังหวะที่ข้าศึกยังรวมกำลังกันไม่ติด ชิงลงมือก่อนโดยใช้กลยุทธตีแตกทีละทัพละสิ ไม่มีวิธีอื่นอีกแล้ว
ผู้ช่วยของเขาถึงกลับทำหน้าเหมือนถูกชกเข้าโครมใหญ่ จ้องมองบุคคลที่เขาต้องให้ความภักดีผู้นี้อย่างตื่น ๆ
เป็นจริงอย่างที่ท่านกล่าวมาขอรับ ท่านลันเดสเฮลช่างทรงปัญญานัก ข้าฯ น้อยนับถือเต็มหัวใจเลยขอรับ
ลูวินสกี้ยิ้มรับคำชมนั้นหน้าตาเฉย กล่าวว่า
ไม่แปลกหรอกที่ฉันคิดได้ บอร์เท็กเอ๋ย ในหลาย ๆ กรณีนะ ผู้เชี่ยวชาญก็อาจจะมีการตัดสินใจที่ด้อยกว่ามือสมัครเล่นก็ถมไป เพราะพวกนั้นมักจะมองข้อเสียเปรียบมากกว่าข้อได้เปรียบ มองวิกฤติมากกว่าโอกาสนั่นแหละ ดูจากภาพการวางกำลังนี่ ผู้เชี่ยวชาญการศึกทั้งหลายก็คงพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ทัพจักรวรรดิที่กำลังจะถูกล้อมนี่จะต้องแพ้พ่ายอย่างแน่นอน แต่... ที่จริงแล้ว ในตอนที่วงล้อมยังไม่เสร็จสิ้นสมบูรณ์นี่ต่างหากเล่า ฝ่ายสมาพันธ์ซึ่งกำลังแยกกำลังออกเป็นส่วน ๆ นั่นแหละเป็นฝ่ายที่กำลังเสียเปรียบอย่างแท้จริง
จริงอย่างที่ท่านพูดทุกประการขอรับ
สรุปก็คือ ทัพสมาพันธ์ประเมินความสามารถของแม่ทัพฝ่ายจักรวรรดิ เคานท์ฟอนโรเอนกรัมต่ำไปนั่นเอง จะว่าไป... ก็ช่วยไม่ได้นะที่พวกเขาจะเป็นอย่างนั้น ว่าแต่ ไหนลองแสดงสถานการณ์การรบให้ละเอียดทีสิ
ภายใต้การทำงานของบอร์เท็ก ภาพบนจอก็เปลี่ยนไปตามจังหวะ ลันเดสเฮลหรี่ตามองภาพนั้นอย่างใจจดใจจ่อ เริ่มจากลูกศรสีแดงเพิ่มความเร็วแล้ว วิ่งเข้าหาลูกศรสีเขียวที่อยู่ด้านหน้าอย่างกระทันหัน แล้วจัดการ ลบ ลูกศรสีเขียวนั้นเสีย จากนั้นก็เปลี่ยนทิศทาง พุ่งเข้าใส่ลูกศรสีเขียวอีกรูปหนึ่ง ลบมันทิ้งอีกเช่นกัน แล้วจึงเบนทิศทางวิ่งเข้าหาลูกศรสีเขียวรูปสุดท้าย ในจังหวะนี้เอง เขาก็โบกมือให้ผู้ช่วยหยุดแสดงภาพก่อน พลางจ้องเขม็งไปที่จอภาพอยู่เช่นนั้นแล้วรำพึงออกมา
ช่างเป็นการดำเนินกลยุทธตีทีละทัพได้สมบูรณ์แบบจริง ๆ เป็นการเดินทัพอย่างไดนามิกและแอคทีฟสุดยอด ว่าแต่...
เขาหยุดคำพูดไปเล็กน้อย พลางเอียงคอนิดหนึ่งก่อนกล่าวต่อ
ว่าแต่ว่า ถ้าสถานการณ์มาถึงขั้นนี้แล้วละก็ ทัพจักรวรรดิจะชนะอย่างเด็ดขาดก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนี่นะ จากตรงนี้ฝ่ายสมาพันธ์จะทำยังไงให้รอดพ้นจากสภาพแตกพ่ายยับเยินได้เล่า? ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ นา บอร์เท็ก แม่ทัพของกองยานรบกองสุดท้ายที่เหลืออยู่นี่ ใครรึ?
ตอนแรกเป็นพลโทปาเอตต้าขอรับ แต่หลังจากเริ่มรบไปได้ประเดี๋ยวเดียว เรือธงก็โดนอาวุธข้าศึกเข้า ตัวพลโทบาดเจ็บสาหัส แล้วหลังจากนั้นเสนาธิการลำดับที่สอง พลจัตวาหยาง เหวินหลี่ก็เป็นผู้รับช่วงบัญชาการรบต่อขอรับ
หยางเหวินหลี่?... เอ รู้สึกว่าจะเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนนะ
นายทหารที่เป็นผู้ดำเนิน ยุทธการลี้ภัยที่เอลฟาซิล เมื่อแปดปีก่อนขอรับ
อ้อ ใช่ ๆ เจ้าหนุ่มเมื่อตอนนั้นเองรึ...
ลูวินสกี้พยักหน้าหงึก ๆ
ทีแรกก็นึกว่า ทางทัพสมาพันธ์มีนายทหารที่ไม่เลวเพิ่มมาอีกคนเท่านั้นเอง แล้ว... วีรบุรุษแห่งเอลฟาซิลเขาเดินทัพอย่างไรต่อล่ะ บอร์เท็ก
ผู้ช่วยลันเดสเฮลลงมือบังคับแผงควบคุมเพื่อตอบคำถามของเจ้านายตนทันที ภาพแสดงการดำเนินไปของการรบที่แอสทาเทในขั้นสุดท้ายปรากฏขึ้นบนจอภาพ
ลูกศรสีเขียวถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่งซ้ายขวา และตรงกลางนั้นลูกศรสีแดงก็พุ่งเข้าใส่อย่างกระหายเลือด เป็นกลยุทธทะลวงกลางทัพที่ห้าวหาญนั่นเอง หากแต่... ผ่านไปได้ครู่หนึ่งลูกศรสีเขียวทั้งสองซีกก็วิ่งย้อนด้านข้างของลูกศรสีแดง แล้วไปรวมตัวกันใหม่ที่ด้านหลังของลูกศรสีแดง จากนั้นก็โจมตีใส่ท้ายลูกศรสีแดงนั้น...
ลูวินสกี้ถึงกับครางเสียงต่ำในคอ เขาเองก็นึกไม่ถึงเลยว่า ในกองทัพสมาพันธ์จะมีนายทหารที่ดำเนินกลยุทธได้เฉียบขาดถึงขนาดนี้อยู่ด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่กองทัพฝ่ายตนกำลังจะประสบหายนะใหญ่หลวงเช่นนี้ เขาผู้นั้นกลับสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ วิเคราะห์สถานการณ์และทางแก้ไขอย่างใจเย็น แล้วก็ทำมันได้สำเร็จเสียด้วย... ถ้าไม่ใช่คนที่มีความสามารถเท่ากับหรือสูงกว่าเคานท์ฟอนโรเอนกรัมละก็ เป็นไปไม่ได้แน่นอน
ลันเดสเฮลรุ่นที่ห้ายังคงเหม่อมองจอภาพอยู่เช่นนั้นอีกครู่ใหญ่ ก่อนจะกล่าวว่า
อย่างกับดูมายากลเลย... นักแสดงฝีมือดีเสียด้วยสิ
ในที่สุด ลูวินสกี้ก็สั่งให้สมุนมือขวาปิดจอภาพเสีย ซึ่งหลังจากทำตามคำสั่งแล้วฝ่ายนั้นก็ก้าวถอยหลังไป และยืนรอรับคำสั่ง
หยาง... เหวินหลี่หรือ?... บอร์เท็ก ออกคำสั่งไปยังสำนักงานข้าหลวงใหญ่ของเราที่ไฮเนสเซ่นให้จัดการรวบรวมข้อมูลของนายพลจัตวาผู้นี้โดยด่วน! ตอนนี้ เรื่องมันแจ่มแจ้งแล้วว่า ยุทธการเอลฟาซิลเมื่อแปดปีก่อนนั่น หาใช่เรื่องบังเอิญแต่อย่างไรไม่
น้อมรับคำสั่งขอรับ
ไม่ว่าจะเป็นองค์กร หรือ เครื่องจักรใด ๆ ก็ตาม สุดท้ายแล้วผู้ที่ควบคุมมันก็คือ คนนี่แหละ ฝูงแมวอาจจะกลายเป็นฝูงเสือได้ หรือกลับกันก็ได้ ขึ้นกับผู้นำขององค์กรนั้นว่ามีความสามารถและสติปัญญาแค่ไหน และเขี้ยวเล็บของฝูงเสือที่ว่าจะพุ่งใส่เหยื่อตัวไหน... ก็ขึ้นกับคนฝึกเสือล่ะนา... หึหึหึ แต่ตอนนี้ก็ต้องรวบรวมรายละเอียดของตัวละครสำคัญก่อนล่ะ...
หลังจากรู้แล้วว่าบุคคลแต่ละคนเป็นอย่างไร เราถึงจะหาวิธีใช้เขาได้- ลูวินสกี้คิดต่อในใจ พลางโบกมือให้ผู้ช่วยของตนกลับออกไปได้
ดาวฤกษ์เฟซานมีดาวเคราะห์บริวารสี่ดวง ซึ่งสามในสี่ดวงนี้เป็นเพียงกลุ่มก้อนก๊าซที่ร้อนจัด มีแต่ดาวเคราะห์ดวงที่สองเท่านั้นที่เป็นก้อนดินแข็ง อีกทั้งบรรยากาศของเปลือกดาวเคราะห์ดวงนี้ก็ไม่แตกต่างจากต้นกำเนิดของมนุษย์- ดาวเคราะห์ดวงที่สามในระบบสุริยจักรวาล- เท่าไรนัก นั่นคือ มีไนโตรเจนแปดสิบเปอร์เซ็นต์ และออกซิเจนยี่สิบเปอร์เซ็นต์ แต่สิ่งที่แตกต่างกับโลกมนุษย์อย่างมากคือ บนดาวดวงนี้ไม่มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และนั่นเป็นเหตุที่ทำให้บนดาวดวงนี้ไม่มีพืชเจริญเติบโตอยู่เลย
น้ำก็มีน้อย ถึงแม้ว่าผู้อยู่อาศัยจะได้พยายามแพร่พันธุ์พืชตั้งแต่ชั้นต่ำ จำพวกเห็ด รา จนกระทั่งพืชชั้นสูง แต่ก็ไม่สามารถทำให้สีเขียวปกคลุมทั่วผิวดาวดวงนี้ได้ จะเห็นผิวดาวนี้เป็นสีเขียวเพียงหย่อม ๆ เฉพาะบริเวณที่ใกล้แหล่งน้ำเท่านั้น ส่วนที่เหลือซึ่งเป็นบริเวณสีแดงนั้น ล้วนเป็นทะเลทรายเวิ้งว้าง ที่ประดับด้วยแท่งหินขนาดใหญ่ที่ถูกวันเวลากัดกร่อนจนมีรูปร่างแปลกประหลาด รวมกันเป็นภาพบรรยากาศวังเวง ดูน่าสะพรึงกลัว
คำว่าเฟซาน เป็นทั้งชื่อของดาวฤกษ์ และเป็นทั้งชื่อของดาวเคราะห์ดวงที่สองซึ่งเป็นดวงเดียวที่มนุษย์จะอาศัยอยู่ได้ อีกทั้งยังเป็นชื่อของระบบดาวฤกษ์นี้ และในที่สุด เมื่อปีจักรวรรดิที่ 373 เฟซานก็กลายเป็นชื่อของเขตปกครองตนเองด้วย กองทหารของดินแดนนี้ มีเพียงกองกำลังป้องกันตนเองกองเล็ก ๆ กองหนึ่งเท่านั้น ประชากรจำนวน 2 พันล้านคนของเฟซานนี้เอง เป็นผู้ควบคุมเส้นทางการค้าขายระหว่างจักรวรรดิและสมาพันธ์ และกอบโกยผลกำไรมหาศาลมาตลอดเวลา ดินแดนแห่งนี้เป็นอาณานิคมของจักรวรรดิทางช้างเผือกแต่เพียงในนาม แต่ความเป็นจริงแล้ว มันมีอำนาจการปกครองของตนเองอย่างเต็มที่ และถ้าจะนับเฉพาะอำนาจทางเศรษฐกิจ ก็มีล้นมือถึงขนาดที่ทั้งทางจักรวรรดิและสมาพันธ์ต้องจับตามองเลยทีเดียว
แต่อย่างไรก็ดี หนทางกว่าจะมาเป็นเฟซานอย่างในทุกวันนี้ก็หาได้โรยด้วยกลีบกุหลาบไม่ นับแต่ลันเดสเฮลคนแรกคือ เรโอปอลด์ ราพเป็นต้นมา ผู้ปกครองของเขตปกครองตนเองแห่งนี้ทุกคน ล้วนให้ความสำคัญกับการ จารกรรม ทางการเมือง เพื่อรักษาสถานภาพของตนและของดินแดนใต้ปกครองของตนอย่างเต็มที่ แนวนโยบายของเฟซานคือ ไม่อ่อนแอจนเกินไปจนถูกดูหมิ่น แต่ไม่เข้มแข็งจนเกินไปจนถูกหวาดระแวง สัดส่วนอัตรากำลัง จักรวรรดิ 48% สมาพันธ์ 40% และเฟซาน 12% ซึ่งคงที่มาตลอดเวลานี้ ก็แสดงถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินนโยบายของรัฐบาลเฟซานในทุกยุคสมัยได้เป็นอย่างดี
หากรวมกำลังของจักรวรรดิและเฟซานเข้าด้วยกัน แน่นอนว่าย่อมเหนือกว่าสมาพันธ์พอสมควร แต่ก็ไม่ถึงกับจะสามารถกลืนสมาพันธ์ดาวเคราะห์เสรีได้ง่ายดาย และในทางกลับกัน ต่อให้สมาพันธ์และเฟซานรวมพลังเป็นพันธมิตรกัน ถึงจะเป็นพันธมิตรที่มีกำลังเหนือกว่าจักรวรรดิทางช้างเผือกก็จริง แต่ก็ไม่ถึงกับจะโค่นล้มจักรวรรดิได้อยู่ดี
และนี่เอง คือ ความสำเร็จในการดำเนินยุทโธบายและกุศโลบายทางการเมืองและทางทหารของเฟซาน ที่จะรักษาตัวเลขเหล่านี้เอาไว้ เฟซานห้ามเข้มแข็งเกินไป เพราะจะทำให้ทั้งจักรวรรดิและสมาพันธ์ไม่ไว้ใจ หากทั้งสองประเทศนี้รวมกำลังกันแล้ว ย่อมมีอัตราส่วนกำลังเป็น 88% ซึ่งสามารถเหยียบย่ำเฟซานให้จมฝ่าเท้า และลบชื่อเฟซานออกจากระบบจักรวาลได้ในการศึกเพียงหนเดียว แต่ในขณะเดียวกันเฟซานก็ห้ามอ่อนแอเกินไป เพราะจะทำให้ขาดอำนาจต่อรองและทั้งจักรวรรดิและทั้งสมาพันธ์ก็คงไม่สามารถให้การรับรองเขตปกครองตนเองที่เล็กเกินไปได้เช่นกัน
หากจักรวรรดิแสดงท่าทีจะยึดครองเฟซาน ดินแดนแห่งนี้ก็จะแสดงทีท่าสวามิภักดิ์ต่อสมาพันธ์ หรือในทางกลับกันก็เช่นกัน และในทางปฏิบัติ เฟซานนั้นก็ให้การสนับสนุนด้านยุทธปัจจัยแก่ทั้งสองประเทศ พลางปล่อยเส้นสายของตนแทรกซึมเข้าไปในการเมืองของทั้งคู่ด้วย จากนั้นก็ปล่อยให้ประเทศใหญ่ทั้งสองสู้รบกัน โดยเฟซานหาได้ยุ่งเกี่ยวด้วยแต่อย่างไรไม่ และมันก็คงความเป็นเฟซานไว้ได้เรื่อยมา เฟซานที่อยู่ยงคงกระพัน
และผู้ที่เป็นผู้ปกครองประเทศอันอยู่ยงคงกระพันที่ว่า ก็คือ เขาผู้นี้ แอเดรียน ลูวินสกี้!
ประเทศใหญ่ทั้งสองจะสู้รบกันเพียงใดก็ไม่ใช่ธุระของเขา เพียงแต่ การสู้รบที่ว่านั้น ต้องไม่นำมาซึ่งผลแพ้ชนะที่เด็ดขาด หรือมิฉะนั้น ก็ขอให้ทั้งสองประเทศรบจนสิ้นสลายไปตาม ๆ กันได้ก็ยิ่งดี โดยที่เฟซานจะต้องไม่เกี่ยวข้องหรือถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเด็ดขาด
เฟซานเป็นผู้กำกับการดำเนินไปของประวัติศาสตร์ และที่สำคัญ เป็นการกำกับที่ไม่ได้อาศัยกำลังทหารแต่อย่างใด หากอาศัยเพียงความมั่งคั่งของตนและกลอุบายการเมืองเท่านั้นเอง ไอ้การที่จะลากเอาเรือรบหรือปืนใหญ่มาสาดอาวุธใส่กัน แล้วผลสุดท้ายก็สะท้อนกลับมาพาให้สภาพสังคมเศรษฐกิจของประเทศล่มจมนั้น ปล่อยให้สองประเทศใหญ่ท่านทำต่อไปเถิด สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าจะเป็นจักรวรรดิทางช้างเผือกที่ปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชก็ดี หรือจะเป็นสมาพันธ์ดาวเคราะห์เสรีที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยก็ดี มันก็แค่กลุ่มคนโง่เขลาที่รู้จักวิธีป้องกันประเทศเพียงแค่การใช้กำลังเข้าห้ำหั่นกับฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น! พวกนี้ เหมาะสมแล้วที่จะหลงละเมอในอุดมคติของตน แล้วก็เต้นเร่า ๆ ต่อไป ในอุ้งมือของเฟซาน!
แต่... การปรากฏตัวของเคานท์ฟอนโรเอนกรัม และนายพลหยางนี้ ช่างเป็นลางบอกเหตุถึงการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยเสียเหลือเกิน เห็นท่าจะต้องคอยจับตามองความเคลื่อนไหวของทั้งสองคนนี้เสียแล้ว อาจจะเป็นการระแวงเกินเหตุก็ได้ แต่... สัญญาณเตือนภัยจะต้องไวไว้ก่อน และไพ่ตายก็ยิ่งมีมากไว้ก่อนก็ยิ่งดีมิใช่หรือ ลูวินสกี้เอย..
(อ่านตอนต่อไป)
หมายเหตุ
ทั้งสามประเทศในเรื่อง ถือว่าไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตต่อกันนะครับ จักรวรรดิก็มองว่าเฟซานเป็นอาณานิคมของตน สมาพันธ์ก็มองว่าเฟซานเป็นดินแดนของพวกพ่อค้าหน้าเลือด ดังนั้น ไม่มีการส่งทูตแลกเปลี่ยนกัน แต่... ระหว่างเฟซานกับจักรวรรดิ และเฟซานกับสมาพันธ์ มีการแลกเปลี่ยนส่งข้าหลวงใหญ่ไปประจำการในประเทศฝ่ายตรงข้ามซึ่งกันและกันครับ
ส่วน... ในตอนนี้ ข้อความท่อนสุดท้าย คือ ลูวินสกี้ (ชื่อนี้คุ้น ๆ แฮะ) รำพึงกับตัวเองนะครับ ไม่ใช่ว่ามีใครที่ใหญ่กว่าชักใยอยู่เบื้องหลังแล้วกำลังออกมาเตือนลูวินสกี้อีกที เดี๋ยวจะคิดกันไปใหญ่... "ในชั้นนี้" เอาเป็นว่ามีเฉพาะลูวินสกี้แห่งเฟซานเท่านั้นครับ
อ้อ.... เกือบลืม ในเวอร์ชันการ์ตูน อ. มิจิฮาระแกเล่นเปลี่ยนตัวละครอะครับ นายแอเดรียน ลูวินสกี้ กลายเป็นลันเดสเฮลสาว ชื่อ ลูวินสกาย่า ครับ แต่บุคลิกที่วาดมา เป็นสาวผิวดำอายุสักสามสิบเศษ หัวโล้น แต่ดูแล้วกลับไม่น่าเกลียด ดูสวยแบบลึกลับน่ากลัวมากกว่า..
|