นวนิยายแฟนตาซีอวกาศเรื่องยาว

วีรบุรุษทางช้างเผือก銀河英雄伝説

เรื่อง โดย ทะนะกะ โยะชิกิ (田中芳樹) แปลโดย Pae

บทที่ 3 อาทิตย์อัสดง ณ แดนจักรวรรดิ
-2-


อุ้งมือของรัตติกาลกำลังโอบแผ่อยู่บนซีกตะวันตกของดาวเคราะห์โอดีนอย่างนิ่มนวล

ไม่ว่าดินแดนนั้นจะเป็นดินแดนจักรวรรดิก็ดี ดินแดนสมาพันธ์ก็ดี ล้วนแล้วหนีไม่พ้นการผลัดเปลี่ยนของสิ่งที่เรียกว่า “กลางวัน” และ “กลางคืน” ได้ ตราบที่ดาวเคราะห์นั้นยังคงอยู่ภายใต้กฎการเคลื่อนที่ที่ต้องหมุนรอบตัวเอง แม้แต่มหาจักรพรรดิลูดอร์ฟผู้ยิ่งใหญ่เจ้าของปณิธานอันแข็งกล้าที่จะรวบรวมจักรวาลให้เป็นหนึ่งเดียวภายใต้อุ้งมือตนก็ตาม ยังมิอาจจะสามารถเปลี่ยนแปลงกฎแห่งธรรมชาตินี้ไปได้ และยิ่งไปกว่านั้น การหมุนรอบตัวเองของดาวเคราะห์นี้ ล้วนแต่มีความหลากหลาย ดาวเคราะห์ดวงหนึ่งอาจจะหมุนรอบตัวเองด้วยคาบเวลา 18 ชั่วโมงครึ่ง ขณะที่อีกดวงหนึ่งหมุนรอบตัวเองหนึ่งรอบใช้เวลา 40 ชั่วโมงก็มี หามีดวงไหนที่เหมือนกันไม่

แต่ในอีกทางหนึ่ง นับแต่สมัยที่ยังตั้งถิ่นอาศัยอยู่เฉพาะดาวเคราะห์ดวงที่สามในระบบสุริยะจักรวาลแล้ว นาฬิกาภายในร่างกายมนุษย์นั้นที่จริงแล้วมีช่วงคาบเวลาที่ต่างจากคาบของการหมุนรอบตัวเองของ “โลกมนุษย์” อยู่หนึ่งชั่วโมง นั่นคือ เป็น 25 ชั่วโมง ซึ่งมนุษย์แต่ละคนก็อาศัยการปรับสภาพของตัวเอง ปรับนาฬิกาในตัวให้เข้ากันได้กับเวลาหนึ่งวันยี่สิบสี่ชั่วโมง และนี่คือ การฝังรากฐานที่แน่นลึกของการใช้ชีวิตประจำวันด้วยคาบเวลา 24 ชั่วโมงนั่นเอง แต่เมื่อถึงยุคที่มนุษย์เริ่มเดินทางข้ามระบบดาวฤกษ์ มนุษย์ก็พบปัญหาในการปรับเวลาการดำเนินชีวิตของตน ปัญหาในการปรับตัวให้เข้ากับเวลา “กลางวัน” สลับกับ “กลางคืน”

ในสิ่งก่อสร้างที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น ในยานอวกาศ, นครอวกาศ หรือ ในดาวเคราะห์บางดวงที่ต้องสร้างบรรยากาศเทียมขึ้นมาด้วยน้ำมือมนุษย์เองทั้งหมด เหล่านี้กลับไม่เป็นปัญหาเท่าไรนัก เพราะมนุษย์สามารถปรับสิ่งแวดล้อมให้เข้ากับตัวเองได้ กล่าวคือ สามารถปรับให้แสงสว่างมาก เพื่อบอกว่านี่คือเวลากลางวัน และครบสิบสองชั่วโมงก็หรี่แสงลงมาให้มืด เพื่อให้มันเป็นเวลากลางคืน รวมทั้งการควบคุมอุณหภูมิด้วย เวลากลางวันก็ให้ร้อนหน่อย ส่วนเวลากลางคืนก็ให้เย็นลงมาหน่อย หรือแม้แต่ในฤดูร้อนและฤดูหนาว นอกจากจะคุมอุณหภูมิให้แตกต่างกันแล้ว ก็ยังสามารถควบคุมไปถึงความยาวของกลางวันกลางคืนที่แตกต่างกันในแต่ละฤดูได้อีกด้วย

นอกจากนี้ บนดาวเคราะห์ที่วงรอบการหมุนรอบตัวเองยาวมาก ๆ หรือสั้นมาก ๆ ไปเลย มนุษย์ก็ยังใช้วิธีกำหนดเวลาหนึ่งวันเป็นยี่สิบสี่ชั่วโมงเอาตามความเคยชินของตน และทำให้เกิดคำพูดทำนองที่ว่า “วันนี้ มืดทั้งวันเลยนะครับ ต้องรอถึงวันมะรืนพระอาทิตย์ถึงจะขึ้น” หรือ “แหม บนดาวเคราะห์ดวงนี้นี่ เราจะได้มีโอกาสเห็นพระอาทิตย์ตก สองครั้งในหนึ่งวันเชียวนะคะ” ขึ้นมา

จะว่าไป ดาวที่เป็นปัญหา คือ บรรดาดาวเคราะห์ที่มีคาบการหมุนรอบตัวเองใกล้เคียงกับเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงของโลกมนุษย์ต่างหาก เช่น 21 ชั่วโมงครึ่ง หรือ 17 ชั่วโมง ฯลฯ บนดาวเหล่านี้ ผลจากการทดลองผิดลองถูกของมนุษย์ในช่วงเวลาที่ยาวนาน พวกเขาก็ตัดสินใจแก้ปัญหาเรื่องเวลา โดยแบ่งเป็นสองพวก คือ พวกแรก ใช้วิธียึดตามการหมุนรอบตัวเองของดาวเคราะห์นั้นจริง แล้วแบ่งเวลาหนึ่งคาบออกเป็นยี่สิบสี่ส่วนเท่า ๆ กัน แต่ละส่วนก็เรียกว่า 1 ชั่วโมงท้องถิ่น กับอีกพวกหนึ่ง คือ ยึดเวลามาตรฐาน 24 ชั่วโมงของโลกมนุษย์อย่างเคร่งครัด แต่แน่นอน ไม่ว่าพวกไหนก็ตาม ล้วนต้องอาศัยความอดทนและการปรับตัวอย่างใหญ่หลวงในการดำรงชีวิตอยู่บนดาวเหล่านั้น

ระบบ 24 ชั่วโมงเป็น 1 วัน และ 365 วันเป็น 1 ปี หรือที่เรียกว่าการนับปีแบบมาตรฐานนี้ ถูกใช้ทั้งในดินแดนจักรวรรดิและสมาพันธ์ วันปีใหม่ของจักรวรรดิก็เป็นวันและเวลาเดียวกันกับทางฝั่งสมาพันธ์นั่นเอง

“เราจะยอมให้อาถรรพ์ของโลกมนุษย์มาผูกมัดตัวเราไปถึงเมื่อไรกัน? ถึงตอนนี้แล้วโลกมนุษย์ไม่ใช่ศูนย์กลางของสังคมมนุษยชาติอีกต่อไป ระบบนับปีแบบปีสากลอวกาศก็ถูกตั้งขึ้นมาแล้ว ถึงเวลาที่เราจะต้องตั้งระบบเวลามาตรฐานกันใหม่แล้วมิใช่หรือ?”

ในบรรดาผู้คนที่มีแนวคิดว่า ของเก่าคือของไม่ดีนั้น ก็มีผู้ที่พากันเสนอแนวคิดเปลี่ยนวิธีนับเวลาอยู่เหมือนกัน แต่พอถามว่า แล้วจะใช้อะไรเป็นมาตรฐานของเวลาในหน่วยใหม่ล่ะ? ก็ไม่มีผู้ใดคิดคำตอบที่เป็นที่น่าพอใจของคนส่วนใหญ่ได้ สุดท้ายแล้ว ระบบนับเวลาแบบเก่าบนโลกมนุษย์ ก็ถูกใช้มาจนทุกวันนี้ แม้จะไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่นักก็ตาม

“การผูกมัดกับโลกเก่า” นั้น ยังคงครอบคลุมไปถึงระบบชั่งตวงวัดอีกด้วย น้ำหนัก 1 กรัม คือ น้ำหนักของน้ำ 1 ลูกบาศก์เซนติเมตรที่อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส ภายใต้บรรยากาศแรงโน้มถ่วงของโลกมนุษย์ และความยาว 1 เซนติเมตร ก็คือ เศษ 1 ส่วน 4 พันล้านของเส้นรอบวงของโลกมนุษย์ หน่วยวัดเหล่านี้ ยังคงถูกใช้อยู่ในมวลมนุษย์ทั่วทั้งจักรวาล

มหาจักรพรรดิลูดอร์ฟเอง ก็เคยมีพระราชดำริจะเปลี่ยนระบบชั่งตวงวัดเหล่านี้เสียใหม่ โดยใช้ส่วนสูงของพระองค์เอง คิดเป็น 1 ไกแซร์ฟาเดน น้ำหนักตัวของพระองค์เป็น 1 ไกแซร์เซนท์นาร์ และให้ใช้หน่วยใหม่นี้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งหมดทั่วจักรวาล (จักรวรรดิทางช้างเผือก) แต่พระราชดำรินี้ก็หยุดอยู่เพียงความคิดของพระองค์เท่านั้น หาได้ถูกดำเนินการจริงไม่

ทั้งนี้ไม่ใช่ว่า เพราะพระราชดำรินี้ขาดเหตุผลที่สมควรจึงถูกระงับ หากแต่เพราะ ในสมัยนั้น ตอนที่เสนาบดีคลังลอร์ดเครเฟได้รับพระบัญชาให้ไปศึกษาความเป็นไปได้ในการดำเนินการเรื่องนี้ ลอร์ดเครเฟได้ถวายเอกสารสำคัญปึกหนึ่งให้แก่มหาจักรพรรดิด้วยท่าทีนอบน้อมยิ่ง เอกสารที่ว่าคือ ผลการคำนวณงบประมาณค่าใช้จ่ายที่จะต้องใช้ในการเปลี่ยนหน่วยชั่งตวงวัดทั้งหมด โดยอยู่บนสมมติฐานที่ว่า ต้องเปลี่ยนฐานข้อมูลในคอมพิวเตอร์ใหม่ทุกเครื่อง รวมทั้งบรรดาเครื่องอิเลกทรอนิกส์ต่าง ๆ ด้วย นอกจากนี้ สมัยนั้นเพิ่งเป็นยุคที่เปลี่ยนระบบเงินตราจากเครดิต (ของสหพันธ์อวกาศ) มาเป็นมาร์คจักรวรรดิใหม่ๆ ด้วยแล้ว ตัวเลขศูนย์ที่เรียงรายอยู่ในข้อมูลนั้น ถึงกับทำให้มหาจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่และไม่เคยหวั่นเกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนทั้งสิ้นต้องมีอันหน้าถอดสีกันก็คราวนั้นเอง

และนั่นคือ ที่มาว่า ทำไมหน่วยเมตรและกิโลกรัม จึงถูกใช้มาจนยุคนี้ แต่มาถึงบัดนี้แล้ว ก็มีหลายเสียงที่กล่าวว่า การคำนวณของลอร์ดเครเฟในตอนนั้น โอเวอร์เกินความเป็นจริงไปหลายเท่า และเชื่อกันว่า นี่เป็นการประท้วงเงียบ ๆ ของขุนนางคนหนึ่งที่มีต่อท่าทีเชื่อมั่นในพระองค์เองเป็นอย่างสูงของมหาจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่นั่นเอง

...

ค่ำคืนนี้ พระราชวังของจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิทางช้างเผือกอันมีนามว่า “นอย ซันซูซี” หรือ “ตำหนักปลอดโศกแห่งใหม่” กำลังอวดโฉมอันสวยสง่าของมันภายใต้ท้องฟ้ายามราตรี

ตึกและอาคารที่บ้างก็เป็นอาคารเดี่ยวบ้างก็เป็นอาคารกลุ่มที่เชื่อมต่อกัน, น้ำพุจำนวนมากมาย, ป่าธรรมชาติและป่าที่มนุษย์ปลูกขึ้น, สวนกุหลาบแบบขุดพื้นต่ำลงไประดับพื้นดิน, รูปปั้น, กระถางดอกไม้, เก๋ง (ศาลาพักร้อน) และ สนามหญ้าอันกว้างขวางโอ่โถงภายใต้การดูแลรักษาเป็นอย่างดี เหล่านี้ประกอบกันเข้ากับแสงไฟที่ฉายอย่างเหมาะเจาะ ก่อให้เกิดบรรยากาศโทนสีเงินอันเป็นมนต์ขลัง

พระราชวังนี้เอง คือ ศูนย์กลางการปกครองจักรวาลซึ่งประกอบด้วยระบบดาวฤกษ์ไม่ต่ำกว่า 1000 ระบบ รอบ ๆ พระราชวัง มีอาคารที่ทำการของหน่วยงานรัฐที่สำคัญเรียงอยู่โดยรอบ หากแต่ อาคารเหล่านี้ไม่มีที่ใดเลยเป็นอาคารสูง สำนักงานสำคัญต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่สร้างอยู่ในชั้นใต้ดินด้วยกันทั้งสิ้น ทั้งนี้ก็เพราะ คงไม่เป็นการดีนักที่จะยอมให้ข้าราชบริพารไปยืนมองวังของจักรพรรดิลงมาจากที่สูงเป็นแน่ รวมทั้ง บรรดาดาวเทียมต่าง ๆ ที่โคจรอยู่รอบดาวโอดีนนี้ด้วย ล้วนไม่ได้รับอนุญาตให้กำหนดวงโคจรเคลื่อนผ่านเหนือพระราชวังแห่งนี้

ในพระราชวัง มีข้าราชบริพารและนางกำนัลรวมทั้งสิ้นไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นคน ทั้งนี้ การใช้แรงงานคนในงานที่สามารถทำแทนได้ด้วยเครื่องจักร ก็ย่อมเป็นการแสดงความยิ่งใหญ่โอ่อ่าของบุคคลผู้มีฐานะสูงสุดได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการทำอาหารเอย, การทำความสะอาด, การต้อนรับแขก, การดูแลสวนดอกไม้, การเลี้ยงฝูงกวางที่ถูกปล่อยให้วิ่งได้อิสระภายในสนามหญ้าเหล่านี้ ล้วนแต่ใช้แรงงานคนทำทั้งสิ้น และผู้ที่สามารถบันดาลให้เกิดปรากฏการณ์เช่นนี้ได้ ก็มีเพียงเจ้าเหนือหัวผู้เดียวเท่านั้น

ในพระราชวังนี้ ไม่มีเบลท์เวย์ (ทางสายพานเลื่อน) และบันไดเลื่อนแม้แต่ที่เดียว ทุกคนที่มาที่พระราชวังนี้ล้วนต้องเดินไปตามทางเดินด้วยเท้าของตนเอง และก้าวขึ้นลงบันไดด้วยแรงขาของตนเอง ไม่เว้นแม้แต่องค์จักรพรรดิ

“มหาจักรพรรดิลูดอร์ฟผู้ยิ่งใหญ่” มีพระราชดำริว่า ความแข็งแรงของร่างกาย คือ เงื่อนไขข้อหนึ่งของผู้ปกครองแผ่นดินเช่นกัน หากผู้นั้นไม่สามารถแม้แต่จะเดินได้ด้วยขาของตนเองแล้วไซร้ ยังจะมีหน้าไปแบกรับภาระการปกครองประเทศอันหนักอึ้งไว้บนบ่าทั้งสองข้างของตนอีกหรือ?

ในพระราชวังนี้ มีห้องพิธีอยู่หลายห้อง แต่สำหรับค่ำคืนนี้ ห้องที่แออัดไปด้วยข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทั้งฝ่ายพลเรือนและทหาร คือ “ห้องไข่มุกดำ” ซึ่งกำลังจะประกอบพิธีพระราชทานคทาจอมพล ให้แก่ท่านเคานท์ไรน์ฮาร์ด ฟอน โรเอนกรัม ผู้มีความดีความชอบจากการทำลายล้างกองทัพกบฏผู้อหังการ และนำมาซึ่งการแสดงแสนยานุภาพของจักรวรรดิให้บรรดาพวกกบฏได้รู้สึกสำนึก ในศึกแอสทาเท่ที่ผ่านมานั่นเอง

ตำแหน่งจอมพลแห่งทัพจักรวรรดินั้น หาใช่เพียงแค่เป็นลำดับขั้นที่สูงกว่าพลเอกพิเศษขึ้นไปอีกหนึ่งขั้นเท่านั้นไม่ ผู้ดำรงตำแหน่งจอมพลยังสามารถเปิดจวนจอมพลของตนเองได้ และสามารถแต่งตั้ง-โยกย้าย-ถอดถอนนายทหารในสังกัดของตนได้อย่างอิสระด้วย อีกทั้ง ยังได้รับอภิสิทธิ์ทางกฎหมาย หากมิใช่โทษร้ายแรงอันเนื่องจากเป็นกบฏแล้วไซร้ จอมพลจะไม่ต้องถูกให้รับโทษทัณฑ์ใด ๆ ตามกฎหมายทั้งสิ้น

ซึ่งบรรดาอภิสิทธิ์ต่าง ๆ ที่กล่าวมานั้น ปัจจุบันมีเพียงสี่คนเท่านั้นที่ถือครองอยู่ แต่พ้นพิธีนี้ไป ชื่อของเคานท์ไรน์ฮาร์ด ฟอน โรเอนกรัมก็จะถูกเพิ่มเข้าไปในทำเนียบรายชื่อจอมพลแห่งจักรวรรดิด้วย ยิ่งไปกว่านั้น เคานท์ ฟอน โรเอนกรัมยังจะได้รับแต่งตั้งให้เป็นรองผู้บัญชาการสูงสุดของกองเรือรบอวกาศ และมีอำนาจบังคับบัญชาครึ่งหนึ่งของกองเรือรบอวกาศของทัพจักรวรรดิซึ่งมีทั้งหมด 18 กองอีกด้วย

“ต่อไปก็คงเป็นฐานันดรศักดิ์สินะ จากเคานท์เลื่อนขึ้นเป็นมาร์ควิส...”

มุมหนึ่งของห้องไข่มุกดำอันโอ่โถง หลาย ๆ คนจับกลุ่มกันซุบซิบนินทาด้วยเนื้อหาคล้าย ๆ กัน ... กล่าวได้ว่า การนินทา และไฟ เป็นเพื่อนที่อยู่คู่สังคมมนุษย์แต่สมัยดึกดำบรรพ์เลยทีเดียว

ในตำแหน่งที่ใกล้กับบัลลังก์นั้น ยืนเรียงรายไว้ด้วยบุคคลผู้มีฐานะสูงส่ง ได้แก่ ขุนนางฐานันดรศักดิ์ชั้นสูง, ข้าราชการชั้นสูงทั้งฝ่ายพลเรือนและทหาร หรือบางคนก็มีหลายฐานะ พวกเขายืนเรียงรายอยู่สองฟากของพรมสีแดงอย่างดี ความกว้างหกเมตรซึ่งปูลาดตรงกลาง พรมนี้เป็นพรมที่อาศัยช่างฝีมือจำนวน 200 คน ทำการถักทอด้วยมือ โดยใช้เวลารวมกันถึงสองศตวรรษ จึงจะได้มาซึ่งพรมที่มีสิทธิ์มาปูในห้องพิธีสำคัญเยี่ยงนี้

ฝั่งหนึ่งของพรมนั้น ซึ่งเป็นแถวของข้าราชการพลเรือน บุคคลที่มีตำแหน่งสูงสุดในบรรดาพลเรือน ก็ยืนอยู่ ณ ที่นี้ด้วย เขาคือ มาร์ควิส ฟอน ลิชเทนลาเด้

ผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน มาร์ควิส ฟอน ลิชเทนลาเด้ เป็นผู้รักษาการตำแหน่งหัวหน้าคณะรัฐบาลแห่งจักรวรรดิ และเป็นผู้นำของรัฐบาลจักรวรรดิในขณะนี้ (แน่นอนว่าภายใต้พระราชอำนาจขององค์จักรพรรดิ) เขาเป็นชายชราวัยเจ็ดสิบห้าปี ผมขาวเป็นสีเงิน จมูกแหลมโง้ง และดวงตาแหลมคมที่มองแล้วน่ากลัวมากกว่าน่าเกรงขาม ถัดจากเขาผู้นี้ไปทางด้านหลัง ก็เป็นเสนาบดีคลังแกร์รัค, เสนาบดีมหาดไทยเฟรแกร์, เสนาบดีธรรมการ- รุมพ์, เสนาบดีวิทยาศาสตร์วิลเลียม, เสนาบดีการวังนอยแคร์นและ เลขาธิการคณะรัฐบาลคีลมันเซก ตามลำดับ

ฝั่งตรงข้ามเป็นแถวของนายทหารชั้นผู้ใหญ่ เริ่มจากเสนาบดีกลาโหมจอมพลเอเลนแบร์ก, ผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งทัพจักรวรรดิจอมพลสไตน์ฮอฟ, ผู้บัญชาการกองเสนาธิการทหารสูงสุดจอมพลคลาเซน, ผู้บัญชาการสูงสุดกองเรือรบอวกาศจอมพลมิวเคนแบร์แกร์, ผู้บัญชาการสูงสุดหน่วยนาวิกโยธินพลเอกพิเศษออฟเฟรซเซอร์, ผู้บัญชาการสูงสุดกองทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์พลเอกพิเศษลัมส์ดอร์ฟ, ผู้บัญชาการสูงสุดนายทหารพระธรรมนูญพลเอกคราเมอร์ และก็ที่เหลือเป็นผู้บัญชาการกองเรือรบอวกาศทั้งสิบแปดคน

เสียงแตรแบบโบราณดังขึ้น ทำให้บรรดาผู้เข้าร่วมในห้องพิธีพากันขยับตัวจัดท่าทางและเครื่องแต่งกายของตนให้เรียบร้อยอีกครั้ง เสียงพึมพำ ๆ ที่กระหึ่มอยู่รอบห้องเงียบหายเป็นปลิดทิ้งทันที เสียงเจ้าพนักงานขานบอกการมาถึงของบุรุษผู้ทรงอำนาจสูงสุดแห่งจักรวาล

“ผู้ปกครองสูงสุดแห่งมวลมนุษย์และแห่งห้วงจักรวาล ผู้รักษากฎระเบียบแห่งสวรรค์ ผู้นำสูงสุดอันศักดิ์สิทธิ์สุดที่ผู้ใดจะล่วงละเมิดมิได้ -- องค์จักรพรรดิฟรีดลิชที่สี่-- เสด็จ!!!”

ตอนท้ายของคำประกาศ ถูกกลบด้วยเสียงเพลงชาติของจักรวรรดิ และทุกผู้คนในห้องนั้นล้วนพากันก้มศีรษะลงไปอย่างนอบน้อมพร้อมเพียงกัน ประดุจถูกมืออำนาจที่มองไม่เห็นกดศีรษะลงไปกระนั้น

เวลาผ่านไปชั่วขณะ บางที หลาย ๆ คนอาจจะใช้วิธีนับงึมงำอยู่ในปากของตนก็ได้ เมื่อแต่ละคนค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมา บนราชบัลลังก์สีทองอร่ามนั้น องค์จักรพรรดิซึ่งเป็นที่เคารพสูงสุดของพวกเขาก็ได้เสด็จมาประทับนั่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

จักรพรรดิองค์ที่ 36 แห่งจักรวรรดิทางช้างเผือก-- จักรพรรดิฟรีดลิชที่สี่ ดูเป็นชายชราวัย 63 พรรษา ที่ให้ความรู้สึกแปลกแก่ผู้ได้พบเห็นเสียเหลือเกิน ด้วยบุคลิกที่ชวนให้ใช้คำว่าชายชรา ทั้งที่ด้วยชันษาของพระองค์ก็ยังไม่นับว่าชรานัก นอกจากนั้นเป็นที่ทราบกันว่า พระองค์ไม่สนพระราชหฤทัยในงานราชกิจของแผ่นดินทั้งมวล ดูเหมือนว่าพระองค์จะไม่มีพระราชประสงค์-- หรืออาจจะรวมถึงว่าไม่มีพระปรีชาสามารถ-- ที่จะใช้อำนาจเด็ดขาดของพระองค์ที่ทรงมีอยู่อย่างเต็มที่ด้วยซ้ำ ช่างเป็นจักรพรรดิที่มีบุคลิกตรงกันข้ามกับต้นตระกูลของพระองค์คือ มหาจักรพรรดิลูดอร์ฟเสียเหลือเกิน แต่ นี่แหละ คือ จักรพรรดิฟรีดลิชที่สี่

จักรพรรดิผู้นี้ทรงสูญเสียจักรพรรดินีไปเมื่อสิบปีก่อน ไม่ใช่ด้วยโรคร้ายสาหัสใดหรอก หากแต่เป็นไข้หวัดซึ่งลามหนักจนเป็นปวดบวมจนสิ้นพระชนม์... ก็เท่านั้นเอง น่าแปลกนัก ที่มนุษย์สามารถเอาชนะโรคมะเร็งได้อย่างเด็ดขาดมานานแล้ว แต่สำหรับโรคธรรมดา ๆ อย่างไข้หวัดนี้ ดั่งที่เคยมีนักประวัติศาสตร์ของสมาพันธ์ดาวเคราะห์เสรีผู้หนึ่งเคยบันทึกแกมประชดไว้ว่า “ต่อให้ใช้อำนาจล้นฟ้าของลูดอร์ฟผู้ยิ่งใหญ่ก็ตาม” ก็ไม่สามารถลบชื่อไข้หวัดออกไปจากสารบบโรคภัยไข้เจ็บที่เป็นศัตรูของมนุษย์ได้

หลังจากนั้น จักรพรรดิก็ไม่ทรงแต่งตั้งนางสนมผู้ใดขึ้นเป็นจักรพรรดินีแทนที่เลย หากแต่ทรงลุ่มหลงและให้การยกย่องนางสนมคนหนึ่ง ถึงกับแต่งตั้งฐานันดรให้เป็นเกรฟิน ฟอน กรุนเนวัลต์ ซึ่งก็เรียกว่าให้การยอมรับนางสนมผู้นี้เป็นมเหสีเอกกลาย ๆ นั่นเอง และเนื่องจากนางสนมผู้นี้ไม่ได้เป็นเชื้อสายของขุนนางฐานันดรศักดิ์มาแต่กำเนิด จึงหลีกเลี่ยงไม่ยุ่งเกี่ยวข้องแวะกับราชกิจใด ๆ โดยเด็ดขาด รวมทั้งในค่ำคืนนี้ก็เช่นนั้น เธอก็มิได้ปรากฏร่างอันโสภาอีกเช่นเคย และ เกรฟิน ฟอน กรุนเนวัลต์ผู้นี้ คือ อันเนโรเซ่ (ฟอน มิวเซลเดิม) นั่นเอง

“เบิกตัวท่านกราฟ ฟอน โรเอนกรัม!!!”

เจ้าพนักงานพิธีประกาศชื่อบุคคลผู้เป็นเจ้าของงานพิธีในคืนนี้

คราวนี้ บรรดาผู้ที่ยืนอยู่ก่อนแล้วในห้องพิธี ไม่มีความจำเป็นต้องก้มศีรษะแสดงความเคารพแก่ผู้มาใหม่เหมือนเมื่อครู่นี้อีก พวกเขาจึงต่างยืนนิ่งจ้องมองร่างของบุรุษหนุ่มน้อยผู้ย่างเท้าก้าวเข้ามาตามพรมที่ปูไว้กลางห้อง

เสียงอุทานชื่นชมดังลอดออกมาจากหมู่ท่านผู้หญิงที่เข้าร่วมในพิธีด้วย แน่นอน ต่อให้บรรดาผู้ที่ไม่ชอบหน้าเด็กหนุ่มผมทองผู้นี้ก็ตาม-- ซึ่งก็คือ บรรดาขุนนางชั้นสูงส่วนใหญ่ในห้องนี้นั่นแหละ-- ก็ต้องยอมรับว่า ใบหน้าของเด็กหนุ่มนี้ช่างงดงามเหลือเกิน งามอย่างหาที่เปรียบมิได้

ช่างสวยงามราวกับรูปแกะสลักจากหินอ่อนชั้นดีเหลือเกิน หากแต่ ถ้าจะเปรียบบุรุษผู้นี้ว่างามราวรูปแกะสลักก็คงจะไม่ตรงความจริงนัก เนื่องด้วยสายตาที่กล้าแข็งของเขาเอง และใบหน้าที่แสดงความรู้สึกชัดเจน เกินกว่าที่จะเป็นเพียงรูปแกะสลักได้ หากไม่เพราะความลุ่มหลงที่จักรพรรดิทรงมีต่อพี่สาวของเขา- อันเนโรเซ่ และหากไม่เพราะกริยาท่าทีที่เขาแสดงออกมาอย่างแข็งกร้าวต่อคนทั่วไปแล้วไซร้ แน่นอนว่า จะต้องมีข่าวลือหรือการซุบซิบนินทาเกี่ยวกับเรื่องทางชู้สาวของเขาไม่เว้นแต่ละวันเป็นแน่ทีเดียว

หลังจากเดินอย่างสง่างามสมกับเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ผ่านท่ามกลางสายตานับร้อยคู่ที่มองมาด้วยความรู้สึกต่าง ๆ กัน จนมาถึงเบื้องหน้าของราชบัลลังก์แล้ว ไรน์ฮาร์ดก็ทรุดกายลง คุกเข่าข้างหนึ่งทั้งที่ในใจไม่ได้คุกเข่าด้วยเลยแม้แต่น้อย

ด้วยสภาพนี้เอง ไรน์ฮาร์ดได้แต่รอให้องค์จักรพรรดิมีพระราชดำรัสแก่เขาก่อน ในพิธีหรือสถานที่ที่เป็นทางการ ข้าราชบริพารไม่มีสิทธิที่จะทูลเอ่ยอะไรต่อเจ้าเหนือหัวก่อนได้รับอนุญาตเป็นอันขาด

“กราฟ ฟอน โรเอนกรัม ผลงานของเจ้าในครั้งนี้ช่างน่าชื่นชมนัก”

ช่างเป็นพระราชดำรัสอย่างแกน ๆ เสียเหลือเกิน

“เป็นพระมหากรุณาธิคุณพะยะคะ ทั้งนี้ ที่ข้าพระองค์สามารถประกอบภารกิจได้สำเร็จ ก็ล้วนด้วยพระบารมีคุ้มครองทั้งสิ้น พะยะคะ”

คำตอบของไรน์ฮาร์ดก็เป็นคำตอบที่เรียบ ๆ ไม่มีเนื้อหาใดพิเศษเช่นกัน แต่นี่เป็นผลจากการประเมินสถานการณ์และการควบคุมตัวเองของเขาต่างหากที่จงใจตอบเช่นนี้ เพราะทราบดีว่า ต่อให้ตอบด้วยถ้อยคำหรู ๆ ใด อีกฝ่ายก็คงไม่ใส่ใจ รังแต่จะทำให้บรรดาพวกที่ยืนอยู่ข้างหลังนี่พากันหมั่นไส้เขามากขึ้นไปเท่านั้นเอง และสำหรับไรน์ฮาร์ดแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้ คือ ไอ้แผ่นกระดาษที่เจ้าพนักงานกำลังจะยื่นให้องค์จักรพรรดิรับไปอ่านและป่าวประกาศแต่งตั้งต่างหากเล่า

“ด้วยความดีความชอบจากศึกแอสทาเท ที่เจ้าได้ปฏิบัติการทำลายล้างทัพกบฏให้แตกพ่ายไป จึงขอแต่งตั้งให้เจ้า- กราฟไรน์ฮาร์ด ฟอน โรเอนกรัม ดำรงยศเป็น จอมพลแห่งทัพจักรวรรดิ อีกทั้งให้ดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการสูงสุดกองเรือรบอวกาศ มีอำนาจหน้าที่ควบคุมดูแลกองเรือรบอวกาศของทัพจักรวรรดิจำนวนกึ่งหนึ่ง นับแต่วันที่ 19 มีนาคม ปีจักรวรรดิที่ 487 เป็นต้นไป ในนามของ จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิทางช้างเผือก ฟรีดลิชที่สี่”

ไรน์ฮาร์ดลุกขึ้นยืน แล้วค่อย ๆ เดินก้าวขึ้นไปบนบันไดที่ทอดไปสู่บัลลังก์อย่างช้า ๆ เมื่อถึงเบื้องหน้าพระพักตร์ เขาก็รับใบประกาศแต่งตั้งนั้นจากพระหัตถ์ จากนั้น ก็รับมอบคทาจอมพล และ ณ วินาทีนั้นเอง เคานท์ไรน์ฮาร์ด ฟอน โรเอนกรัม ก็กลายเป็นจอมพลคนใหม่แห่งทัพจักรวรรดิ

เบื้องหลังรอยยิ้มที่ดูสดใสของไรน์ฮาร์ด เบื้องลึกของจิตใจนั้น ใครเลยจะทราบว่า เขายังไม่ได้พอใจเพียงเท่านี้ นี่เป็นเพียงก้าวแรกของถนนชีวิตที่เขาเลือกเดินเท่านั้น และเขาก็จะเดินต่อไปจนกว่าจะถึงวันที่เขาสามารถก้าวขึ้นไปแทนที่ไอ้คนที่บังอาจใช้อำนาจที่ล้นฟ้ามาพรากแย่งพี่สาวไปจากเขาได้

“ฮึ จอมพลอายุยี่สิบหรือ?”

เสียงสบถเบา ๆ ดังจากปากของผู้บัญชาการสูงสุดหน่วยนาวิกโยธิน พลเอกพิเศษ ออฟเฟรซเซอร์ เขาเป็นบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ บึกบึน อายุราวสี่สิบปีต้น ๆ ใบหน้าประดับด้วยรอยไหม้สีม่วงบนแก้มซ้าย อันเนื่องจากถูกปืนเลเซอร์ของทหารฝ่ายสมาพันธ์ยิงถากไป หากจะรักษาแผลนี้ให้หายสนิทก็ทำได้ แต่เขาจงใจทิ้งมันไว้เป็นเครื่องแสดงวีรกรรมการรบอันห้าวหาญของตน

“กองทัพเรือรบอันยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิ กลายเป็นของสำหรับเด็กมาเล่นตุ๊กตาตั้งแต่เมื่อไรกันนี่ ใต้เท้า”

ผู้ที่ถูกเขาพยักเพยิกขอกระซิบคุยด้วย ก็คือ บุรุษที่เพิ่งถูกไรน์ฮาร์ดแบ่งเอากองเรือรบจำนวนครึ่งหนึ่งไปอยู่ใต้อำนาจของตนแทนนั่นเอง

ผู้บัญชาการสูงสุดกองเรือรบอวกาศ จอมพลมิวเคนแบร์แกร์ย่นคิ้วที่เป็นสีขาวหม่นของตน พลางตอบ

“ท่านอาจจะพูดเช่นนั้นก็ได้ แต่พวกเราก็คงปฏิเสธไม่ได้อยู่ดีว่าเจ้าเด็กผมทองนั่น มันมีความสามารถในการนำทัพสูงจริง ๆ อย่างคราวนี้มันก็ตีทัพกบฏแตกพ่ายให้เราเห็นกันกับตาแล้วนี่ ขนาดพลเอกเมลคัทซ์ที่ว่าเก๋า ๆ ยังถึงกับยอมยกนิ้วให้เลย”

“ฮึ เรียกว่าโดนถอนหงอก ว่าเช่นนั้นเถิด”

ออฟเฟรซเซอร์ชำเลืองสายตาดูหมิ่นไปยังร่างของพลเอกเมลคัทซ์ที่ยืนอย่างสงบนิ่งอยู่ในแถวของนายทหารที่เข้าร่วมพิธีแวบหนึ่ง ก่อนจะวิจารณ์ต่ออย่างไม่เกรงใจใครทั้งสิ้นว่า

“ต่อให้มันชนะมาคราวนี้ก็ตาม แต่กะอีแค่ชนะแค่ครั้งเดียวนี่มันอาจจะฟลุคกันก็ได้นี่ จริงไหมท่าน หรือไม่ก็ ข้าศึกมันอ่อนเกินไป เพราะการแพ้ชนะนี่ สุดท้ายแล้วมันก็แค่เป็นสิ่งที่สัมพัทธ์กันเท่านั้นเอง”

-- ถ้าฝ่ายเราอ่อน แต่ฝ่ายตรงข้ามอ่อนกว่า เราก็ชนะ--

เขาหมายถึงเช่นนั้น

“เสียงดังไปแล้ว!”

ปากก็พูดปรามเช่นนั้นก็จริง แต่ในใจของท่านจอมพลก็ไม่ได้ปฏิเสธเนื้อหาที่อีกฝ่ายพูดมาทั้งหมดเสียทีเดียว การที่จะให้ยอมรับในฝีมือและผลงานของไรน์ฮาร์ดโดยไม่มีข้อกังขาใด ๆ นั้นดูมันจะเป็นเรื่องยากมากสำหรับบรรดาผู้เข้าพิธีนี้ซึ่งล้วนแต่เป็นพวกขุนนางฐานันดรแต่กำเนิด หรือพวกนายทหารที่อยู่มานานแล้วทั้งนั้น แต่ถึงอย่างไรก็ตาม การมาพูดติฉินในสถานที่แบบนี้ก็ออกจะไม่สมควร ท่านจอมพลจึงรู้สึกว่าต้องรีบหันเหหัวเรื่องไปน่าจะดีกว่า

“ว่าแต่... ไอ้ข้าศึกที่ท่านว่านั่นแหละนะ ท่านเคยได้ยินชื่อของนายทหารข้าศึกที่ชื่อหยางบ้างหรือไม่?”

“เอ่อ...... ไม่เคยได้ยินเลยขอรับ เจ้าหมอนั่นมันทำไมหรือ?”

ออฟเฟรซเซอร์ไม่สามารถนึกไปถึงเหตุการณ์ที่เอลฟาซิลได้นั่นเอง

“เขาก็คือคนที่ทำให้กองทัพสมาพันธ์รอดพ้นจากสภาพแตกพ่ายแบบล่มสลาย และเป็นคนทำให้พลตรีแอร์รัคตายในสนามรบนะสิ”

“โอ้...”

“ได้ยินว่าเป็นนายทหารที่เก่งเอาการ ขนาดเจ้าเด็กผมทองนั่นถึงกับหัวเสียไปพักใหญ่เลยนะ”

“สมน้ำหน้านะขอรับ”

“ถ้านี่เป็นเรื่องของไรน์ฮาร์ดคนเดียวละก็นะ... น่าสะใจอยู่หรอก แต่พวกศัตรูเวลาเจอกันมันก็คงไม่เลือกหรอก ว่าจะรบกับใคร?”

น้ำเสียงของท่านจอมพลอดไม่ได้ที่จะแฝงแววกังวล ขณะที่ออฟเฟรซเซอร์ก็เพียงแต่ยักไหล่อันบึกบึนของตนครั้งหนึ่งเท่านั้นเอง

เสียงดนตรีเริ่มถูกบรรเลงในห้องไข่มุกดำนั้นอีกครั้ง คราวนี้เป็นเพลงที่ใช้สำหรับสรรเสริญวีรกรรมของนายทหารที่ผ่านสงครามมา เพลง “เทพีวัลคิวเรชื่นชมในความกล้าหาญของเจ้า” นั่นเอง

และงานพิธีที่น่าเบื่อหน่ายสำหรับบรรดาขุนนางชั้นสูงเหล่านี้ก็กำลังใกล้จะถึงตอนจบเข้าทุกขณะ

...

พันเอกซี้กฟรีด เคียร์ชไอซ์อยู่ในห้องอีกห้องหนึ่ง คือ ห้องอะเมซิสต์ ซึ่งห่างจากห้องไข่มุกดำเพียงแค่มีทางเดินกว้าง ๆ คั่นกลางเท่านั้น เขาอยู่รวมกับบรรดาพวกนายทหารระดับนายพันด้วยกัน

เคียร์ชไอซ์ซึ่งไม่ได้เป็นทั้งขุนนางฐานันดรศักดิ์ รวมทั้งไม่ได้เป็นนายทหารระดับนายพล จึงไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมพิธีในห้องไข่มุกดำด้วย แต่เขาได้รับการยืนยันแล้วว่าในอีกสองสามวันนี้แหละ เขาเองก็จะได้รับการเลื่อนยศแบบข้ามขั้นขึ้นไปเป็นพลตรี และมีศักดิ์ศรีให้คนอื่นเรียกว่า “ใต้เท้า” บ้างล่ะ ซึ่งถึงตอนนั้น เขาก็จะได้สิทธิ์เข้าร่วมพิธีใหญ่ ๆ ทุกพิธีแล้วโดยไม่ถูกกีดกันออกมาอีกต่อไป

-- คุณไรน์ฮาร์ดได้เลื่อนยศครั้งหนึ่ง เราก็ได้เลื่อนยศตามไปด้วยทุกครั้ง--

เคียร์ชไอซ์คิดในใจแล้วก็อดไม่ได้ที่จะต้องสยิวกายด้วยความหนาวเหน็บ ไม่ใช่ว่าเพราะคิดว่าตนเองไม่มีความสามารถพอที่จะได้เลื่อนยศ หรือไม่สมควรได้เลื่อนยศหรอก หากแต่... ความเร็วในการเลื่อนยศของตนมันเร็วผิดปกติเกินไป ซึ่งเขาต้องคอยเตือนตนเองอยู่เสมอว่า สิ่งที่เขาได้มาทั้งหมด หาใช่ความสามารถของตนเองล้วน ๆ แต่อย่างเดียว หากเขาลืมตัวละก็... คงไม่ใช่เรื่องดีนัก

“พันเอกซี้กฟรีด เคียร์ชไอซ์ใช่หรือไม่?”

น้ำเสียงเรียบ ๆ ของใครบางคนถูกส่งมาจากด้านข้าง

ร่างของนายทหารรูปร่างผอมแกร็น อายุราวสามสิบเศษผู้หนึ่งมาหยุดอยู่ในคลองจักษุของเคียร์ชไอซ์ มองจากเครื่องหมายยศแล้ว เป็นพันเอกเหมือนกัน รูปร่างของเขาผู้นี้ค่อนข้างสูง แม้จะไม่สูงเท่าเคียร์ชไอซ์ก็เถิด ผมสีดำมีผมหงอกแซมเกือบทั้งศีรษะ ดวงตาสีชา ผิวขาวซีด

“ใช่แล้ว ข้าพเจ้าเอง แล้วท่าน... เอ่อ...”

“ข้าพเจ้า พันเอก พอล ฟอน โอแบร์สไตน์ ได้มีโอกาสพบท่านเป็นครั้งแรกนี่เอง”

ขณะที่กำลังแนะนำตัวอยู่ ดวงตาทั้งสองของชายผู้อ้างตัวว่าชื่อ โอแบร์สไตน์ ก็พลันทอประกายแสงประหลาดออกมา ทำให้เคียร์ชไอซ์ตีสีหน้าประหลาดใจ

“ขออภัย...”

โอแบร์สไตน์รีบพูดขอโทษ เขาคงสังเกตเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายนั่นเอง จึงได้รู้ตัว

“ตาเทียมคู่นี้คงรวนนิด ๆ น่ะ ขออภัยที่ทำให้ท่านตกใจ สงสัยพรุ่งนี้ต้องไปเปลี่ยนเสียแล้ว”

“ท่านใช้ตาเทียมอยู่หรือ? อ๊ะ... ขอโทษด้วย ที่ข้าพเจ้าเสียมารยาท...”

“โอ๊ย ไม่ถือสาหรอกท่าน ตาเทียมนี่มันใส่คอมพิวเตอร์แสงไว้ ทำให้ข้าพเจ้าสามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้สบายเหมือนคนปกติ เพียงแต่ว่า... อายุการใช้งานมันสั้นไปสักหน่อย...”

“ท่านได้รับบาดเจ็บจากการรบหรือ?”

“หามิได้ ข้าพเจ้าเป็นเช่นนี้ตั้งแต่เกิดแหละ หึ หากข้าพเจ้าเกิดในสมัยของมหาจักรพรรดิลูดอร์ฟละก็ คงไม่แคล้วต้องถูกนำไปฆ่าทิ้งภายใต้ ‘พระราชบัญญัติการกำจัดดีเอ็นเอที่บกพร่อง’ แล้วสินะ”

น้ำเสียงนั้น เป็นน้ำเสียงที่เบาที่สุดที่ทำให้เกิดคลื่นอากาศสั่นสะเทือนจนกระทั่งมาถึงหูมนุษย์ผู้อยู่ใกล้ที่จะได้ยิน เคียร์ชไอซ์ตระหนักดีว่าอีกฝ่ายคงจงใจพูดให้ตนฟังเท่านั้นด้วยน้ำเสียงเบาขนาดนี้ และเขาก็อดที่จะตระหนกมิได้อยู่ดี ชายผู้นี้ซึ่งเคยพบตนเป็นครั้งแรก ถึงกับกล้าเอ่ยวาจาในเชิงตำหนิการกระทำของมหาจักรพรรดิลูดอร์ฟให้เขาฟังเชียวหรือนี่

“ท่านช่างโชคดีนักที่มีเจ้านายที่ดี พันเอกเคียร์ชไอซ์”

คราวนี้โอแบร์สไตน์พูดด้วยเสียงที่ดังขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่ดังเกินเสียงกระซิบอยู่ดี

“คำว่าเจ้านายที่ดี หมายถึงเจ้านายที่ดึงความสามารถของลูกน้องออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่ น่าเสียดายที่ในทัพจักรวรรดิตอนนี้ เจ้านายแบบนี้มีน้อยนัก แต่เคานท์ฟอนโรเอนกรัมเป็นข้อยกเว้น ช่างเป็นบุคคลที่เก่งกาจ ไม่สมกับวัยเลยจริง ๆ ‘ไอ้พวก’ ขุนนางฐานันดรศักดิ์ที่เอาแต่ยึดมั่นถือมั่นกับชาติตระกูลน่ะ คงไม่มีวันเข้าใจเรื่องนี้หรอก ...”

สัญญาณเตือนภัยให้ระวังกับดักดังขึ้นในหัวสมองของเคียร์ชไอซ์ ใครจะไปรู้ ชายที่อ้างชื่อว่าโอแบร์สไตน์ผู้นี้อาจจะเป็นหุ่นเชิดหรือนกต่อ ของพวกที่ไม่หวังดีจ้องจะทำลายคุณไรน์ฮาร์ดส่งมาลองหยั่งเชิงก็เป็นได้

“ท่านสังกัดอยู่ที่หน่วยใดหรือ?”

เขาลองเปลี่ยนหัวเรื่องดูดื้อ ๆ

“ที่ผ่านมา ข้าพเจ้าอยู่กองวิเคราะห์ข้อมูล กองบัญชาการทหารสูงสุด แต่ต่อจากนี้ไป เพิ่งได้รับคำสั่งให้ไปประจำกองเสนาธิการของกองเรือรบประจำป้อมปราการอิเซลโลน”

โอแบร์สไตน์ตอบ แล้วก็หัวเราะเบา ๆ

“ท่าทางท่านจะระวังตัวแจอยู่นะ”

เคียร์ชไอซ์หน้าซีดไปแวบหนึ่ง ขณะที่กำลังคิดว่าจะตอบอะไรอยู่ดี สายตาเขาก็เหลือบไปเห็นร่างของไรน์ฮาร์ดที่กำลังเดินเข้ามาในห้อง ดูท่าพิธีจะเสร็จสิ้นแล้ว

“เคียร์ชไอซ์ พรุ่งนี้...”

ผู้มาใหม่ส่งเสียงทักผู้ใต้บังคับบัญชาของตน แต่แล้วก็หยุดกลางคัน เมื่อสังเกตเห็นชายผิวซีดที่ยืนอยู่ด้วย

โอแบร์สไตน์ทำความเคารพจอมพลคนใหม่แล้วเอ่ยแนะนำตัว จากนั้นก็กล่าวแสดงความยินดีอย่างพอเป็นพิธีสองสามคำ แล้วหันหลังเดินจากไป

ไรน์ฮาร์ดกับเคียร์ชไอซ์เดินด้วยกันออกมายังทางเดินนอกห้อง ในคืนนี้พวกเขามีกำหนดค้างคืนที่ห้องรับรองเล็ก ๆ ห้องหนึ่งในเขตพระราชวังนี้เอง ห้องดังกล่าวอยู่ห่างออกไปโดยต้องเดินผ่านสวนดอกไม้ไปเป็นเวลาประมาณ 15 นาที

“เคียร์ชไอซ์ พรุ่งนี้ฉันจะไปหาพี่ ไปด้วยกันสิ”

ไรน์ฮาร์ดพูดขึ้นอีกครั้ง ขณะที่ทั้งสองกำลังเดินออกจากร่มชายคา

“กระผมไปด้วยได้หรือขอรับ?”

“คบกันมาจนป่านนี้แล้ว ยังมาพูดเกรงใจอะไรอีก เราก็เหมือนกับพี่น้องกันไม่ใช่หรือ?”

ไรน์ฮาร์ดตอบด้วยสีหน้าร่าเริงสมกับวัยหนุ่มน้อย แต่แล้วเมื่อนึกอะไรขึ้นได้ ก็ทำหน้าเครียดอีก พลางถามด้วยเสียงต่ำ ๆ ว่า

“ว่าแต่ ผู้ชายคนตะกี้ใครหรือ? น่าสงสัย”

เคียร์ชไอซ์เล่าสรุปเรื่องราวที่ผ่านมาให้ฟัง แล้วเสริมว่า

“เป็นคนลึกลับที่มองเจตนาไม่ออกเลยขอรับ”

ไรน์ฮาร์ดฟังแล้วก็ย่นคิ้วที่โค้งได้รูปงามของตน ก่อนจะแสดงความเห็นด้วยว่า

“นั่นสิ อ่านเบื้องหลังมันไม่ออกเลยจริง ๆ”

แล้วเสริมว่า

“แต่ไม่ว่ามันจะเข้ามาหานายด้วยวัตถุประสงค์อะไรก็ตาม เราระวังตัวไว้ก่อนเป็นดี ว่าแต่... ศัตรูเยอะ ๆ แบบนี้นี่ บอกให้ระวังตัว ๆ ก็ไม่รู้จะระวังอย่างไรดีเหมือนกันนะ ฮึ”

แล้วทั้งสองหัวเราะพร้อมกัน
(อ่านตอนต่อไป)

หมายเหตุ

เปิดตัวจักรพรรดิฟรีดลิชที่สี่ครับ

และเป็นอันว่าจอมพลของทัพจักรวรรดิ ยิ่งใหญ่จริง ๆ ดังที่ได้บรรยายในเนื้อเรื่องแล้วนะครับ ผู้แปลคงไม่มีคอมเมนท์อะไรมาก

อ้อ... เกี่ยวกับชื่อฐานันดร เคานท์ นั้นในภาษาเยอรมันใช้ว่า กราฟ ครับ และเคาน์เตส ใช้คำว่า เกรฟิน ส่วนฐานันดรอื่น ยังไม่ได้เช็คเลย เลยขอใช้เป็นภาษาอังกฤษไปก่อน แหะ ๆ ๆ จริง ๆ ควรจะทำเป็นภาษาเยอรมันให้หมดให้เหมือนกันทั้งระบบ เวลาฝ่ายจักรวรรดิเรียกชื่อฐานันดร ก็ใช้ภาษาเยอรมัน แต่เวลาในคำบรรยาย หรือในการกล่าวอ้างโดยฝ่ายสมาพันธ์ก็ใช้เป็นภาษาอังกฤษ


กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป 1