นวนิยายแฟนตาซีอวกาศเรื่องยาว

วีรบุรุษทางช้างเผือก銀河英雄伝説

เรื่อง โดย ทะนะกะ โยะชิกิ (田中芳樹) แปลโดย Pae

บทที่ 4 กำเนิดกองยานรบที่ 13
-1-


ชั้นเหนือพื้นดิน 55 ชั้น และยังมีชั้นใต้ดินอีก 88 ชั้น อาคารใหญ่ที่ว่านี้เอง คือ กองบัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพสมาพันธ์ดาวเคราะห์เสรี ซึ่งตั้งอยู่ในเขตป่าไม้ผลัดใบทางซีกเหนือของดาวเคราะห์ไฮเนสเซน รอบ ๆ อาคารนี้ยังเรียงรายไปด้วยตึกของกรมวิทยาศาสตร์การทหาร, กรมยุทธปัจจัยและลอจิสติก, ศูนย์ควบคุมการป้องกันทางอากาศ, โรงเรียนเตรียมทหาร, กองบัญชาการป้องกันนครหลวง เป็นต้น ทั้งหมดนี้ รวมกันเป็นเขตทหารที่ตั้งอยู่ห่างจากใจกลางเมืองหลวง “ไฮเนสเซนโพลิส” ออกมาราวหนึ่งร้อยกิโลเมตร

ณ ชั้นใต้ดินของตึกกองบัญชาการทหารสูงสุดนั้นเอง ตรงชั้นที่เป็นห้องโถงใหญ่ที่มีความสูงกินพื้นที่ถึงสี่ชั้นปกติ ณ ห้องโถงใหญ่นี้เอง กำลังจะมีพิธีไว้อาลัยให้แก่ดวงวิญญาณของวีรชนผู้เสียชีวิตในศึกแอสทาเท ขณะนั้นเป็นเวลาบ่ายของวันที่แดดจ้าสดใส สองวันหลังจากที่กองกำลังที่ส่งออกไปยันทัพจักรวรรดิที่บริเวณเขตดาวแอสทาเทแตกพ่ายศึกกลับมาอย่างยับเยินโดยมีอัตราสูญเสียกำลังไปถึงหกสิบเปอร์เซนต์นั่นเอง

บนทางเบลท์เวย์ที่มุ่งหน้าตรงไปยังตัวอาคารดังกล่าว คลาคร่ำไปด้วยบรรดาผู้ที่กำลังจะไปเข้าร่วมพิธีนั้น ทั้งบรรดาญาติมิตรของผู้เสียชีวิต และยังมีบรรดาผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนายทหารต่าง ๆ และคนสำคัญในคณะรัฐบาล

ในบรรดาคนเหล่านี้ ก็มีหยาง เหวินหลี่รวมอยู่ด้วย

หยางตอบรับคำทักทายจากคนรู้จักรอบข้างอย่างขอไปที แล้วก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีครามเบื้องบน ในสายตาของเขานั้น มองไม่เห็น ‘เจ้าพวกนั้น’ ก็จริง แต่เขาทราบดีว่า เหนือน่านฟ้าขึ้นไปนั้น รอบดาวดวงนี้ มีดาวเทียมทางการทหารกำลังโคจรอยู่นับไม่ถ้วน

ในบรรดาดาวเทียมหล่านั้น มีอยู่สิบสองดวง ที่ถูกขนานนามรวมกันว่า ‘สร้อยคอของเทพีอาร์เตมิส’ ซึ่งเป็นดาวเทียมสำหรับป้องกันการโจมตีของยานอวกาศโดยเฉพาะ เจ้าเครื่องมือฆ่าคนและทำลายล้างเหล่านี้ที่ถูกกล่าวว่า

“ตราบใดที่ดาวเทียมพวกนี้ยังอยู่ ไฮเนสเซนจะไม่มีวันถูกตีแตก”

โดยผู้ที่โอ้อวดคำพูดน่าขันเหล่านี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นพวกท่านผู้ใหญ่ในกองทัพนั่นเอง ซึ่งทุกครั้งที่หยางได้ยินคำพูดทำนองนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงตัวอย่างนับไม่ถ้วนของบรรดาป้อมปราการในอดีตที่เคยถูกขนานนามว่าเป็นป้อมปราการที่ไม่มีวันแตก แต่แล้วต่างก็ถูกเผาทำลายไปในไฟสงครามกันมาถ้วนหน้า แต่จะว่าไป กะอีแค่เครื่องมือทางการทหารที่มีประสิทธิภาพสูงแค่นี้ ก็สมควรจะเอามาเป็นคำโอ้อวดแล้วหรือ?

หยางยกมือทั้งสองขึ้นมาตบแก้มตัวเองเบา ๆ เขารู้สึกได้เลยว่าถึงตอนนี้ ประสาททุกส่วนในร่างกายก็ยังไม่ยอมตื่นเต็มที่สักที เขาเพิ่งตื่นหลังจากนอนติดต่อกันมานานถึงสิบหกชั่วโมงก็จริง แต่ก่อนหน้านั้น เขาตื่นเพื่อทำงานมาติดต่อกันถึงหกสิบชั่วโมงเลยทีเดียว

ยิ่งกว่านั้น เขายังไม่ได้รับประทานอาหารมาเสียด้วย ทั้งนี้รู้สึกว่ากระเพาะมันจะไม่ยอมทำงาน ทำให้เขากินอะไรไม่ลง ได้แต่ดื่มซุปผักที่จูเลียนทำให้เท่านั้นเอง จำได้ว่า ทันทีที่เขากลับถึงบ้านพัก ก็ล้มตัวลงสลบไสลเลยทันที พอตื่นขึ้นมาได้ชั่วโมงเดียว ก็ต้องรีบออกจากบ้านมาอีกแล้ว แทบจะไม่ได้พูดคุยกับเด็กในปกครองคนนั้นอย่างเต็มปากเต็มคำเลย

‘เฮ้อ... ให้ตายเถอะ หมดคุณสมบัติที่จะเป็นผู้ปกครอง (พ่อบุญธรรม) เลยนะนี่’

ตอนนั้นเอง ก็มีใครบางคนตบไหล่เขา เมื่อหันไปมองก็พบว่า รุ่นพี่ที่โรงเรียนเตรียมทหาร พลตรีอเล็กซ์ แคสเซิร์น กำลังยืนยิ้มเตร่อยู่แล้ว

“รู้สึกว่าจะยังไม่ตื่นเต็มตานะ ท่านวีรบุรุษแห่งแอสทาเท”

“ใครเหรอฮะ วีรบุรุษ?”

“ฮึ ก็คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าฉันนี่ไงเล่า ดูท่าจะไม่มีเวลาจะอ่านหนังสือพิมพ์อิเลกทรอนิกส์เลยสิท่า รู้ตัวรึเปล่าว่าพวกนักข่าวพร้อมใจกันเขียนยกย่องนายทุกฉบับเลยนะ”

“ผมเหรอ... แม่ทัพแพ้ศึกเนี่ยนะครับ?”

“ก็ใช่นะสิ กองทัพสมาพันธ์แพ้ศึกกลับมาอย่างหมดรูป เพราะฉะนั้นถึงต้องมีวีรบุรุษขึ้นมาสักคนไง ถ้าหากเป็นการรบชนะละก็ ไม่ต้องการวีรบุรุษก็ได้ แต่เวลาแพ้นี่ เราต้องการใครหรืออะไรสักอย่างที่จะช่วยเบี่ยงเบนความสนใจของบรรดาประชาชนน่ะ... เหมือนอย่างตอนเอลฟาซิลไงล่ะ”

สำนวนประชดประชันแบบนี้ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแคสเซิร์น เขาเป็นชายฉกรรจ์วัยสามสิบห้าที่มีรูปร่างสมส่วน สูงปานกลาง มีประสบการณ์ในด้านงานเอกสาร (เดสก์เวิร์ค) มากกว่าที่จะออกไปรบยังแนวหน้า และมีความสามารถอย่างหาตัวจับยากในด้านเกี่ยวกับการประมวลจัดการแผนการโครงการต่าง ๆ ทางทหาร รวมทั้งงานธุรการด้วย ทำให้เป็นที่มองกันว่า คนนี้แหละ คือ ว่าที่ผู้บัญชาการฝ่ายแนวหลัง (ฝ่ายสนับสนุนการรบ) ในอนาคตอย่างไม่ต้องสงสัย

“ว่าแต่... มาโผล่แถวนี้เอาป่านนี้นี่ ไม่เป็นไรเหรอฮะ ผมคิดว่าป่านนี้ท่านผู้ช่วยคงกำลังยุ่งกับงานจุกจิกจนแทบไม่มีเวลาพักเสียอีก”

โดนรุ่นน้องศอกกลับเข้าให้บ้าง แต่นายทหารจัดการฝีมือดีผู้นี้ก็เพียงแต่เหยียดยิ้มที่มุมฝีปากอย่างมีเลศนัย แล้วตอบว่า

“คนจัดงานนี้คือ กองพิธีการต่างหากเน้อ แล้วอีกอย่างนึง จะว่าไปไอ้งานนี้น่ะ ทั้งพวกทหารเอย หรือแม้แต่ญาติผู้ตายก็เถอะ ไม่ใช่คนสำคัญหรอกว่ะ โน่น คนที่อยากออกงานจนตัวสั่นน่ะ ท่านประธานกรรมาธิการกลาโหมต่างหากล่ะ สรุปก็คือ งานนี้มันก็จัดขึ้นมาเพื่อเป็นเวทีให้ท่านประธานกรรมาธิการกลาโหมใช้หาเสียงเพื่อการเลือกตั้งสมัยหน้าเท่านั้นเอง”

ทั้งสองคนนึกถึงใบหน้าของประธานกรรมาธิการกลาโหม (เทียบกับตำแหน่งรัฐมนตรี) ของรัฐบาลนี้ นายย็อบ ทริวนิชท์ ขึ้นมาพร้อมกัน

คนที่ว่าเป็นนักการเมืองวัยสี่สิบเอ็ด รูปร่างสูง ดวงตาและคิ้วที่คมเข้ม มีชื่อเสียงในด้านเป็นผู้ที่ชูนโยบายต่อต้านจักรวรรดิทางช้างเผือกอย่างรุนแรง บรรดาคนที่รู้จักเขานั้น เกินกว่าครึ่งล้วนชื่นชมเป็นเสียงเดียวว่า เป็นนักวาทศิลป์ฝีปากดี ขณะที่อีกที่เหลือไม่ถึงครึ่งนั้น ล้วนอธิบายถึงคนผู้นี้อย่างรังเกียจว่า เป็นนักพูดปลิ้นปล้อนตัวฉกาจ

ส่วนนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของรัฐบาลสมาพันธ์นั้น โดยตำแหน่งก็คือ ประธานคณะกรรมาธิการสูงสุด นายรอยัล ซันฟอร์ด หากแต่คนผู้นี้ เป็นเพียงนักการเมืองแก่ ๆ คนหนึ่งที่ประนีประนอมเก่ง และได้ก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้ารัฐบาลก็เพื่อทำหน้าที่ประสานงานระหว่างขั้วอำนาจต่าง ๆ นั่นเอง โดยบุคลิกแล้ว เป็นคนที่อนุรักษ์นิยม จะตัดสินอะไรก็เอาแต่อ้างแบบอย่างธรรมเนียมปฏิบัติเก่า ๆ ร่ำไป เรียกได้ว่า ไม่มีความโดดเด่นในฐานะผู้นำเลย และก็ไม่มีใครคาดว่า สมัยหน้าคนคนนี้จะได้เป็นหัวหน้ารัฐบาลอีก

“เฮ้อ... ต้องมาทนนั่งฟังสุนทรพจน์สั่ว ๆ ของเจ้าหมอนั่นนาน ๆ อีกแล้วหรือเนี่ย ทรมานยิ่งกว่าต้องอดนอนมานั่งทำงานทั้งคืนเลยนะเนี่ย”

แคสเซิร์นบ่นพึมพำ แต่ความจริงก็คือ เขาเป็นแค่คนกลุ่มน้อยในบรรดานายทหารของกองทัพสมาพันธ์เท่านั้น ทั้งนี้ ทหารส่วนใหญ่นั้น ล้วนแต่ให้ความนิยมชมชอบต่อนักการเมืองผู้นี้มาก ด้วยเพราะความสนับสนุนทางงบประมาณที่เขาจัดสรรมาให้อย่างถึงใจ และบุคลิกที่ป่าวประกาศปาว ๆ ว่าจะอยู่ร่วมจักรวาลกับพวกจักรวรรดิไม่ได้ ทำให้กอบโกยคะแนนนิยมในหมู่ทหารไปไม่น้อย ทั้งที่รู้ ๆ กันว่า เขาทำเพื่อหาเสียงก็ตามเถอะ

สำหรับหยาง เขาก็เป็นนายทหารอีกคนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มคนส่วนน้อยที่ว่า


ในห้องโถงพิธี ที่นั่งของนายทหารหนุ่มทั้งสองอยู่แยกจากกัน แคสเซิร์นนั้นมีที่นั่งอยู่บนเวที ด้านหลังของประธานในพิธีซึ่งคือ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดซิทเลย์ ส่วนหยางนั้นมีที่นั่งอยู่ด้านล่าง ตรงแถวหน้าสุดหน้าเวที

พิธีเริ่มขึ้นตามรูปแบบเดิม ๆ แล้วก็ดำเนินไปตามรูปแบบเดิม ๆ เช่นกัน หลังจากนายซันฟอร์ดยืนอ่านตามสคริปต์ที่ข้าราชการเตรียมไว้ให้ด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ จนจบ และถอยตัวลงจากแท่นพิธีแล้ว คราวนี้ก็ถึงคิวของนายทริวนิชท์ล่ะ เพียงแต่เขาปรากฏกายขึ้นไปบนเวทีเท่านั้น บรรยากาศในห้องประชุมนั้นก็เปลี่ยนไปเป็นรุ่มร้อนในทันที เสียงปรบมือที่เขาได้รับดังกว่าเสียงปรบมือที่ให้กับท่านประธานคณะกรรมาธิการสูงสุด (นายกรัฐมนตรี-หัวหน้ารัฐบาล) เสียอีก

นายทริวนิชท์เริ่มเปล่งเสียงที่ดังฟังชัดของเขา กล่าวปราศรัยกับบรรดาผู้เข้าร่วมพิธีทั้งหกหมื่นคนในทันที โดยไม่ต้องอ่านโพยแต่อย่างไร

“ท่านพ่อแม่พี่น้องประชาชนทั้งหลาย ท่านทหารผู้หาญกล้าทั้งหลาย วันนี้ ผองเรามาชุมนุมกัน ณ ผืนแผ่นดินแห่งนี้เพื่ออะไรหรือครับ? ใช่ พวกเรามาที่นี่ก็เพื่อร่วมไว้อาลัยและสดุดีให้แก่ดวงชีวาตมันของวีรชนทั้งหนึ่งล้านห้าแสนดวง ที่ถึงแก่สวรรคาลัยในเขตหมู่ดาวแอสทาเทนั่นเอง พวกผู้กล้าหาญอันมิอาจหาได้แล้วในอดีตอนาคตเหล่านั้น – ได้ยอมเสียสละชีวิตอันเลิศล้ำของพวกเขา เพื่อแลกมาซึ่งการปกป้องเสรีภาพของมาตุภูมิอันเป็นที่รักและเพื่อสันติภาพนั่นเองครับ”

ฟังเพียงแค่นี้ หยางก็แทบอยากจะเอามืออุดหูด้วยความรู้สึกอับอายแทน ในขณะที่คนพูดข้างบนกลับไม่มีท่าทีอายต่อคำพูดของตัวเองเลยแม้แต่น้อย นี่ไอ้การที่คนพูดเอาแต่เรียบเรียงถ้อยคำสวยหรูจนคนฟังรู้สึกอายแทนนี่ มันเป็นวัฒนธรรมของมนุษย์มาตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ (คิริเชีย) เลยหรือนี่?

“ครับ เมื่อกี้กระผมได้พูดว่า ชีวิตอันเลิศล้ำ ถูกต้องแล้วครับ ชีวิตเป็นสิ่งที่ควรแก่การหวงแหนเพราะมันมีค่ายิ่ง แต่... ท่านทั้งหลายครับ พวกเขาได้ยอมถึงกับเสียสละชีวิตอันเลิศล้ำไป ก็เพื่อต้องการที่จะสอนสั่งให้พวกเราที่อยู่ด้านหลังได้ประจักษ ์ว่า เหนือจากชีวิตอันเลิศล้ำแล้ว ยังมีสิ่งที่เลิศล้ำไปยิ่งกว่านั้นอีก สิ่งนั้นคืออะไรล่ะ? ผมจะบอกให้ครับ คือ ความเป็นชาติของเรา กับ เสรีภาพนั่นเอง – ความตายของพวกเขาเป็นกาลกิริยาอันเลิศล้ำ!!! เพราะพวกเขายอมเสียสละส่วนน้อย เพื่อรักษาส่วนใหญ่เอาไว้ พวกเขาเป็นบิดาที่ดี เป็นสามีที่ดี เป็นบุตรที่ดี และเป็นคนรักที่ดีสำหรับพวกเราที่อยู่ ณ ที่นี้ และพวกเขาล้วนมีสิทธิโดยชอบธรรมที่จะมีชีวิตอยู่ยืนยาวต่อไปอย่างมีปกติสุข แต่พวกเขาก็ทิ้งสิทธิเหล่านั้น แล้วก้าวเข้าสู่สมรภูมิรบ และในที่สุดก็พลีชีพลง... พ่อแม่พี่น้องทั้งหลายครับ กระผมขอถามดัง ๆ อีกครั้งเถิดว่า พวกเขาพลีชีพเพราะอะไร!!?”

“ฮึ เพราะแผนของกองทัพมันไม่ได้เรื่องนะสิท่าน!”

หยางพึมพำออกมา แต่เสียงนั้นก็ดังเกินไปอยู่ดี ทำเอานายทหารที่นั่งข้าง ๆ หลายคน พากันหันมามองเขาเป็นจุดเดียวด้วยสีหน้าตื่นตระหนก แต่พอหยางหันไปสบตากับคนหนึ่งในจำนวนนั้น ฝ่ายนั้นก็รีบหันหน้ากลับไปมองทางเวทีทันที

ณ เป้าสายตาของเขาคนนั้น ร่างของกรรมาธิการกลาโหมยังคงดำเนินการปาฐกถาต่อไปอย่างยืดยาว สีหน้าของนายทริวนิชท์ตอนนี้ เริ่มแดงเรื่อด้วยสีเลือดขึ้นเรื่อย ๆ ดวงตาทั้งสองข้างเริ่มมีแววมึนเมาในคำพูดของตนเอง

“ใช่ครับ คำตอบนั้น กระผมได้กล่าวไปแล้ว ว่าพวกเขาพลีชีพไปเพราะต้องการปกป้องชาติและเสรีภาพของพวกเรานั่นเอง จะมีการตายแบบไหนที่มีค่าสูงส่งยิ่งกว่านี้อีก หาไม่ได้อีกแล้วครับ จะมีอะไรที่สอนใจพวกเราว่า การมีชีวิตอยู่เพียงเพื่อตัวเองเท่านั้น และตายเพื่อตัวเองเท่านั้น เป็นการกระทำที่น่าดูถูกสิ้นดีนั้น คงไม่มีอีกแล้ว

พวกเราจักต้องตระหนักให้จงดีว่า เพราะมีชาติ จึงมีตัวเราคงอยู่ได้ ทุกท่านอย่าลืมเสียนะครับ สิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าชีวิต ก็คือ ความเป็นชาตินั่นเอง

กระผมขอประกาศอีกครั้งอย่างชัดเจน ณ ที่นี้เลย ชาติและเสรีภาพ คือ สิ่งล้ำค่า ที่แม้จะต้องเสียสละชีวิตเพื่อปกป้องไว้ ก็เป็นสิ่งที่สมควรกระทำ

การต่อสู้ของพวกเรา เป็นการต่อสู้เพื่อผดุงความถูกต้อง เจ้าพวกคนที่อวดอ้างตนเองว่าเป็นพวกใฝ่สันติที่เสนอหน้ามาเสนอแนวคิดเจรจาสันติภาพกับพวกจักรวรรดิก็ดี พวกคนที่อ้างตัวว่าเป็นนักอุดมคติ ที่เอาแต่คิดว่าเราสามารถอยู่ร่วมกันกับทรราชย์ที่เผด็จการก็ดี ขอให้พวกท่านรีบตื่นจากความมัวเมาเถิด ไม่ว่าการกระทำของพวกท่านจะมีสาเหตุจูงใจอย่างไรก็ตาม แต่ผลสุดท้ายแล้ว มันเป็นการทำให้กองทัพสมาพันธ์ของเราอ่อนแอลง และส่งผลดีให้ศัตรูคือ ทัพจักรวรรดิอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราจะไม่ยอมรับแนวคิดสันติเด็ดขาดหากอีกฝ่ายคือจักรวรรดิ

ใช่ เพราะที่นี่คือ ประเทศเสรีอย่างไรเล่า พวกท่านถึงได้มีสิทธิเสรีภาพในการวิจารณ์นโยบายหรือการดำเนินงานของรัฐบาล และพวกท่านก็กำลังหลงผิดในสิทธิเสรีภาพของตนมากไปแล้ว ไม่มีอะไรที่ง่ายไปกว่าการร่ำร้องตะโกนว่าสันติภาพ ๆ ด้วยปากอย่างเดียวโดยไม่ลงมือทำอะไรเลยอีกแล้ว! ไม่มี!”

มีสิ มีอยู่อย่างหนึ่งไง หยางคิดในใจ และนั่นก็คือ การที่ร่ำร้องตะโกนยุยงให้ทำสงคราม โดยที่ตัวเองเอาแต่ซ่อนอยู่ในที่ที่ปลอดภัยนั่นเอง หยางรู้สึกได้ถึงบรรยากาศรอบตัวที่เพิ่มความร้อนแรงขึ้นๆ ไป ทุกวินาที แล้วก็ได้แต่นั่งสังเวชใจ ไม่ว่ายุคสมัยไหนก็ตาม ก็รู้สึกว่าคนที่กระหายความรุนแรงจะได้รับการสนับสนุนจากคนส่วนใหญ่นะ

“กระผมขอประกาศ ณ ที่นี้อีกครั้งหนึ่งครับ ว่า สงครามเพื่อล้มล้างระบอบเผด็จการของทรราชย์จักรวรรดิทางช้างเผือก คือสงครามศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นพันธกิจอันสูงส่งของชาวสมาพันธ์ดาวเคราะห์เสรีทุกคน ผู้ที่ขัดขวางหรือต่อต้านการทำสงครามนี้ คือ ผู้ที่มาเกิดผิดที่ เป็นผู้ที่ไม่มีความเหมาะสมจะเป็นพลเมืองของสมาพันธ์ดาวเคราะห์เสรีอีกต่อไป ผู้ที่มีความกล้าหาญ กล้าที่จะเสียสละแม้กระทั่งชีวิตของตนเองเพื่อปกป้องสังคมแห่งเสรีภาพและรัฐ (รัด-ถะ) ที่ให้การรองรับอิสระของทุกคนเท่านั้น คือ พลเมืองของสมาพันธ์ดาวเคราะห์เสรีอย่างแท้จริง ใครที่ไม่มีความกล้าหาญเช่นนั้นจงรู้สึกละอายต่อดวงวิญญาณของวีรชนเถิด

ประเทศนี้ ถูกสร้างขึ้นด้วยน้ำมือของบรรพบุรุษของพวกเรา พวกเราถึงได้เรียนรู้จากประวัติศาสตร์ว่า บรรพบุรุษของพวกเราก็ได้ต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งประเทศเสรีแห่งนี้

ประเทศชาติที่มีประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ของพวกเรา! ประเทศชาติที่เสรีของพวกเรา!

ครับ พวกเราควรจะต้องร่วมใจกัน สู้ต่อไปไม่ใช่หรือครับ สู้เพื่อประเทศชาติของเรา! พวกเราต้องสู้! สมาพันธ์ดาวเคราะห์เสรีจงเจริญ! ระบอบประชาธิปไตยจงเจริญ! จักรวรรดิทางช้างเผือกจงล่มจมไป!”

พร้อม ๆ กับเสียงตะโกนตอนสุดท้ายของประธานกรรมาธิการกลาโหม สติของบรรดาผู้เข้าร่วมพิธีทั้งหกหมื่นคนก็แตกกระเจิงหายไปที่ไหนไม่ทราบ แต่ละคนต่างพร้อมใจกันลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ แล้วพร้อมใจกันเปล่งเสียงตะโกน โดยอ้าปากกว้างจนมองเห็นลิ้นไก่กันทุกคนว่า

“สมาพันธ์ดาวเคราะห์เสรีจงเจริญ! ระบอบประชาธิปไตยจงเจริญ! จักรวรรดิทางช้างเผือกจงล่มจมไป!”

ท่อนแขนจำนวนนับไม่ถ้วนที่ถูกชูขึ้นกลางอากาศ ตามด้วยหมวกทหารที่ปลิวว่อนขึ้นไป ตบท้ายด้วยบทเพลงร้อนแรงที่ประกอบขึ้นจากเสียงปรบมือดังสนั่นและเสียงโห่ร้อง

แต่ในท่ามกลางบรรยากาศเช่นนั้น หยางยังคง ‘นั่งอยู่เฉย ๆ กับที่ของตน’ ดวงตาดำขลับมองไปที่ร่างของผู้กล่าวปาถกฐาบนเวทีอยู่เงียบ ๆ

ตอนนั้นเอง สายตาของนายทริวนิชท์ซึ่งกำลังชูมือทั้งสองข้างเพื่อตอบเสียงโห่ร้องของผู้ฟัง ก็จ้องมาที่แถวหน้าสุดพอดี และในแวบหนึ่ง สายตาของเขาก็ทอประกายไม่พอใจขึ้น ริมฝีปากกระตุก เพราะเขาสังเกตเห็นว่ามีนายทหารหนุ่มผู้หนึ่งที่ยังคงนั่งเฉยอยู่นั่นเอง หากนายคนนี้นั่งอยู่แถวหลัง ๆ หน่อยก็คงไม่สังเกตเห็นหรอก แต่นี่ หมอนั่งอยู่แถวหน้าเสียด้วย... เรียกว่า หมอนี่เป็นอีกคนหนึ่งที่กำลังเป็นขบถทางใจกับเขาสิท่า... ทั้งที่คนอื่นกำลังแสดงออกด้วยการกระทำถึงความรักชาติอยู่อย่างนี้

“นี่คุณ ทำไมไม่ยืนขึ้น?”

ใครบางคนตะคอกใส่เข้ามาหาหยาง เป็นนายทหารวัยกลางคนคนหนึ่ง รูปร่างบึกบึน มองจากเครื่องหมายยศแล้ว เป็นพลจัตวาเช่นกันกับเขานั่นเอง หยางเพียงแต่หันไปสบตาด้วย แล้วก็ตอบอย่างไม่ยี่หระว่า

“ประเทศนี้เป็นประเทศเสรีนะครับ เวลาที่ไม่อยากยืนก็ย่อมมีสิทธิที่จะไม่ยืนขึ้นได้ และผมก็เพียงแต่ใช้สิทธินั้นเท่านั้นเอง”

“แล้วทำไมถึงไม่อยากยืนล่ะ?”

“ผมขอใช้สิทธิที่จะไม่ตอบครับ”

หยางตอบไปอย่างนั้น พลางก็นึกรู้ตัวในใจเหมือนกันว่า งอแงเป็นเด็กกวนโอ๊ยไม่เข้าเรื่อง นี่ถ้าพี่ (รุ่นพี่) แคสเซิร์นเห็นเข้า คงหัวเราะใส่แน่เลยว่า เอ็งจะแสดงอาการไม่เห็นด้วยอะไรก็เลือกวิธีหน่อยสิว้า... แต่หยางไม่มีอารมณ์ที่จะเลือกใช้วิธีที่เป็นผู้ใหญ่เสียแล้ว เขาไม่มีอารมณ์ทำอะไรทั้งสิ้น ไม่ว่าจะลุกขึ้นยืนแบบแกน ๆ หรือปรบมือแบบแกน ๆ หรือแม้แต่จะตะโกน สมาพันธ์จงเจริญก็ตาม ถ้าหากว่า กะอีแค่ไม่รู้สึกชื่นชมไปตามสุนทรพจน์ของนายทริวนิชท์แล้วจะต้องถึงกับถูกตราหน้าว่าไม่รักชาติละก็ ก็ให้รู้ไปสิ ไม่ว่ายุคสมัยไหนก็ตาม คนที่ออกมาร้องว่า พระราชากำลังแก้ผ้าอยู่ ก็คือ คนที่เป็นเด็กนั่นแหละ ไม่ใช่ผู้ใหญ่

“คุณคิดอะไรของคุณกันแน่...”

ขณะที่นายพลจัตวาผู้สูงอายุกว่าผู้นั้นกำลังจะต่อความยาวสาวความยืดอยู่นั้นเอง นายทริวนิชท์ที่ยืนบนเวทีก็ลดระดับมือของตนลง แล้วร่ายมือเป็นเชิงสะกดฝูงชนให้สงบลง ระดับความคลั่งไคล้ก็ค่อย ๆ บรรเทาลง พร้อมกับระดับศีรษะของบรรดาฝูงชนค่อยลดระดับลงด้วย

รวมทั้งนายพลจัตวาคนที่กำลังจ้องหน้าหยางอย่างเอาเรื่องก็เช่นกัน เขายอมทรุดตัวลงนั่งที่แต่โดยดีทั้งที่ยังมีสีหน้าไม่พอใจอยู่

“... ท่านทั้งหลายครับ”

ท่านกรรมาธิการที่ยืนบนโพเดียมเริ่มเอ่ยปากอีกครั้ง ตอนนี้เสียงของเขาแหบพร่าไม่เป็นโทนของดนตรีอีกต่อไป ด้วยผลจากการพูดติดต่อกันอย่างยืดยาวและโดยเฉพาะจากการแหกปากตะโกนเมื่อกี้นี้ เขากระแอมสองสามคำ ก่อนจะกล่าวปราศรัยต่อ

“อาวุธที่ร้ายกาจที่สุดของพวกเราก็คือ ความมุ่งมั่นร่วมกันของประชาชนทั้งหมดนั่นเองครับ แต่... ประเทศของเราก็เป็นประเทศเสรีซึ่งปกครองด้วยระบอบเสรีประชาธิปไตย ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นจุดมุ่งหมายที่สำคัญเพียงใด เราก็คงไม่สามารถไปบังคับคนทุกคนในประเทศเราให้ทำตามได้ แต่ละคนย่อมมีแนวคิดของตัวเองเกี่ยวกับประเทศที่แตกต่างกันไป

แต่อย่างไรก็ตาม กระผมเชื่อว่า... พลเมืองที่แท้จริง มีจิตใจที่ดีงามสูงส่งอย่างแท้จริงของเราแล้วละก็ จะต้องเข้าใจอย่างแน่นอนว่า เสรีภาพที่แท้จริงก็คือ การยอมเสียสละสิทธิประโยชน์ส่วนตัว แล้วสมานใจสามัคคดีกัน เพื่อปกป้องเสรีภาพส่วนรวม และเพื่อมุ่งหมายสู่เป้าหมายของส่วนรวม

พวกท่านทั้งหลาย...”

พูดถึงตรงนี้ ทริวนิชท์ก็หยุดน้ำเสียงลง มิใช่เพราะเขารู้สึกคอแห้งจนต้องหยุดพูดแต่อย่างไรหรอก แต่เป็นเพราะ เขาสังเกตเห็นสุภาพสตรีสาวสวยท่านหนึ่งกำลังเดินดุ่ม ๆ มาตามทางเดินระหว่างกลางที่นั่งทั้งสองฟาก ตรงมาหาเขายังโพเดียมบนเวทีต่างหากเล่า ใช่ สาวสวยผมสีน้ำตาลอ่อนซึ่งงามขนาดที่บรรดาบุรุษที่เดินสวนกับหล่อน เกินครึ่งจะต้องเหลียวมองตามเลยทีเดียว ขณะที่หล่อนเดินตรงเข้าไปใกล้เวทีเรื่อย ๆ นั้น เสียงพึมพำก็เกิดขึ้นรอบข้างด้วยความสงสัย และเสียงนั้นก็แพร่ขยายวงไปเรื่อย ๆ ประดุจคลื่นน้ำที่เกิดจากโยนหินลงในสระน้ำ

-- ใครกัน ผู้หญิงคนนี้ หล่อนจะทำอะไรหรือ?--

หยางเองก็หันหน้าไปมองทางสุภาพสตรีผู้นี้เหมือนกับคนอื่นเช่นกัน แต่นั่นเป็นเพราะเขาคิดว่า หันไปมองทางอื่นบ้างยัง ‘ดีกว่า’ ทนนั่งมองหน้าไอ้ทริวนิชท์ต่างหาก แต่แล้ว เขาก็ต้องขมวดคิ้วเข้าหากัน เมื่อเห็นชัดว่า สตรีผู้นี้เป็นใคร... เธอเป็นคนที่เขารู้จักดีคนหนึ่ง

“ประธานกรรมาธิการกลาโหมคะ”

เสียงเจ้าหล่อนเอ่ยกับคนบนเวทีด้วยน้ำเสียงกังวานประดุจนักร้องโอเปร่า

“ดิฉันชื่อ เจสสิก้า เอ็ดเวิร์ด เป็นคู่หมั้น... ไม่สิ เคยเป็นคู่หมั้นของฌอง โรแบรท์ แร็พ เสนาธิการประจำกองยานรบที่หก ซึ่งได้เสียชีวิตไปในศึกแอสทาเทค่ะ”

“เอ้อ... ครับ”

เล่นเอา นักวาทศิลป์อย่าง ‘ท่านผู้นำคนต่อไป’ ถึงกับพูดไม่ออก

“กระผมเสียใจด้วยครับ คุณผู้หญิง แต่...”

พูดตะกุกตะกักตอบไปแกน ๆ แล้วท่านประธานกรรมาธิการกลาโหมก็ได้แต่ทอดสายตามองไปรอบห้องโถงอย่างไม่มีความหมาย ผู้ร่วมพิธีทั้งหกหมื่นคนมองตอบเขากลับมาอย่างเงียบสงบด้วยสายตาหกหมื่นคู่ แต่ละคนต่างกลั้นหายใจ จ้องมองพฤติกรรมของสุภาพสตรีที่อ้างว่าสูญเสียคู่หมั้นในสงครามผู้นี้เป็นจุดเดียว

“ท่านไม่ต้องเสียใจกับดิฉันหรอกค่ะ ท่านประธานกรรมาธิการ เพราะคู่หมั้นของดิฉันได้เสียสละชีวิตอย่างมีเกียรติเพื่อปกป้องบ้านเกิดอันมีค่ายิ่งของเรา ”

เจสสิก้าตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ สะกดอาการกระสับกระส่ายของประธานกรรมาธิการลงได้ สีหน้าของทริวนิชท์ส่อแววโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด

“อย่างนั้นหรือครับ โอ... คุณช่างเป็นสตรีใจเพชรที่เข้มแข็งจริง ๆ ครับ กระผมเชื่อว่าความมุ่งมั่นของคุณจะต้องได้รับผลตอบแทนที่สมควรอย่างแน่นอนครับ”

ด้วยท่าทีไร้ยางอายแบบนั้น คราวนี้หยางถึงกับอยากจะหลับตา ไม่อยากมองอีกต่อไป ได้แต่คิดในใจว่า ไม่มีอะไรที่คนหน้าหนาทำไม่ได้

ในขณะที่ เจสสิก้ากลับดูเยือกเย็น

“ขอบคุณค่ะ ท่านประธานกรรมาธิการ ดิฉันที่มาในวันนี้ เพียงมีคำถามอยากจะถามท่านคำถามเดียวเท่านั้นเองแหละค่ะ ไม่ทราบว่าท่านจะกรุณาตอบได้ไหมคะ?”

“อ้อ... ครับ ๆ เป็นคำถามอะไรล่ะครับ ถ้ากระผมตอบได้ละก็ ยินดีตอบเลยครับ”

1041-jessica.jpg


“ตอนนี้ ท่านกำลังอยู่ที่ไหนคะ?”

ทริวนิชท์ได้แต่กระพริบตาปริบ ๆ รวมทั้งคนฟังส่วนใหญ่ซึ่งยังไม่เข้าใจความหมายของคำถามนั้นด้วย ก็ทำเช่นเดียวกัน

“เอ๊ะ อะไรนะครับ?”

“คู่หมั้นของดิฉันได้เดินทางไปสู่สนามรบ เพื่อปกป้องบ้านเกิด แล้วตอนนี้ เขาก็ไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว แต่ท่านล่ะ? ดิฉันถามว่า ท่านซึ่งเป็นผู้ชื่นชมความตายอันสูงค่าของพวกเขาเหล่านั้นน่ะ ท่านอยู่ที่ไหน

“คุณผู้หญิง...”

คราวนี้ไม่ว่าใครก็เห็นได้ชัดเจน ว่าประธานกรรมาธิการกลาโหม มีท่าทีกระวนกระวาย

“แล้วครอบครัวของท่านล่ะ อยู่ที่ไหนคะ?”

เจสสิก้ายังคงรุกต่อไปอย่างไม่อ่อนข้อ

“ขณะที่คู่หมั้นของดิฉันได้เสียสละชีวิตของตัวเองนั้น ครอบครัวของท่านซึ่งเป็นคนป่าวร้องให้พลเมืองทุกคนเสียสละ ๆ เพื่อประเทศชาติล่ะคะไปอยู่ที่ไหนกันคะ? ดิฉันเห็นด้วยกับสิ่งที่ท่านกล่าวมาทุกอย่างค่ะ แต่ อยากถามว่าท่านได้ปฏิบัติตามสิ่งที่ท่านพูดเสมอ ๆ แล้วหรือยังคะ

“รปภ.!”

นายทริวนิชท์เหลียวมองซ้ายที ขวาที แล้วก็ตะโกนเรียกหาขึ้นมา

“ท่านสุภาพสตรีผู้นี้กำลังสับสน ช่วยพาเธอไปพักที่ห้องรับรองก่อน วงดุริยางค์! สุนทรพจน์ของผมจบเพียงเท่านี้ บรรเลงเพลงชาติได้!”

ใครบางคนก้าวเข้าไปจับยึดแขนของเจสสิก้าไว้ ขณะที่หล่อนกำลังจะสะบัดให้หลุดจากการเกาะกุมนั้นเอง หล่อนก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใคร

“ไปกันเถอะ”

หยางนั่นเอง เขากล่าวกับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เหมาะกับคุณหรอก”

เสียงดนตรีในท่วงทำนองที่ฮึกเหิม รุนแรง เริ่มดังกระหึ่มปกคลุมบรรยากาศของห้องพิธี เพลงชาติของสมาพันธ์ดาวเคราะห์เสรีนั่นเอง เพลง “ธงแห่งเสรี ประชาราษฎร์เสรี”

“สหายเอย สักวันหนึ่ง เราจะล้มล้างทรราชย์เผด็จการ
แล้วปักธงตระการแห่งเสรี
ไว้บนผืนธรณีของดวงดาวที่ได้รับการปลดแอก
พวกเราจักสู้ในปัจจุบันนี้ เพื่ออนาคตอันสดใส
พวกเราจักสู้ในวันนี้ เพื่อวันใหม่ที่ดีกว่า
สหายเอย จงร่วมร้องเพลงแห่งดวงวิญญาณเสรีเถิด
สหายเอย จงร่วมแสดงให้บังเกิดซึ่งดวงวิญญาณแห่งเสรีโดยพร้อมเพียง”

ผู้ร่วมพิธีต่างพากันเริ่มร้องเพลงประสานเสียงกัน คราวนี้เป็นการประสานเสียงที่พร้อมเพียง ไม่เหมือนกับการตะโกนร้องไชโยดั่งเมื่อครู่ก่อน

“จากน่านฟ้าไกลโพ้นของแดนแห่งเผด็จการ
พวกเราจักประสานนำรุ่งอรุณแห่งเสรีไปสู่ที่นั่นด้วยมือของเราเอง”


หยางและเจสสิก้าหันหลังให้กับเวที แล้วเดินมุ่งหน้าสู่ประตูทางออก ไปตามทางเดินกลางที่เจสสิก้าใช้เดินเมื่อครู่นี้

ยามที่ทั้งสองเดินผ่าน คนที่ยืนอยู่ที่นั่งติดทางเดิน พากันหันมามองแวบหนึ่ง แล้วต่างก็หันหน้ากลับไปมองตรงยังบนเวทีอีกครั้ง เบื้องหน้าของทั้งสอง ประตูทางออกเปิดออกจากกันอย่างไร้เสียง (ประตูอัตโนมัติ) และขณะที่มันปิดลงหลังจากทั้งสองเดินลอดออกไปแล้ว ท่อนสุดท้ายของเพลงชาติยังดังลอดออกมาให้ทั้งสองได้ยินว่า

“โอ พวกเราคือ ประชาราษฎร์เสรี
พวกเราจะไม่มีวันยอมศิโรราบต่อเผด็จการ ชั่วนิรันดร์”

(อ่านตอนต่อไป)

หมายเหตุ

ตอนนี้เอง คือ ปิ๊งแรก ที่ผู้แปลชอบเรื่องนี้อย่างจริงจัง
อย่าลืมนะครับว่า ทะนะกะ โยะชิกิแต่งเรื่องนี้ตั้งแต่ 20 กว่าปีก่อน
แต่นึกไม่ถึงเลยว่า แม้ในปัจจุบัน คนอย่างทริวนิชท์ ก็ยังมีอยู่ในโลกนี้ ช่างน่าเศร้าเสียจริง...
นวนิยายเรื่องนี้ ที่จริงแล้วหาใช่นวนิยายแฟนตาซีอันงดงามไม่
หากแต่มันคือ นิยายที่แฉความเน่าเฟะของสังคมมนุษย์ ความเลวร้ายเท่าที่มนุษย์ผู้สวมหน้ากากจะพึงทำกับมนุษย์ด้วยกันได้ต่างหาก.....
เลิกติดตามเรื่องนี้ตอนนี้ก็ยังไม่สายนะครับ ๕๕๕

กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป 1