แสงอาทิตย์สุดท้ายของวันเลือนหายไปจากขอบฟ้า ความเยือกเย็นของสนธยาแผ่ตัวเข้าปกคลุมผืนดินอย่างชวนสบายใจ บนฟากฟ้านั้นเล่า ดวงดาวใหญ่น้อยเริ่มแข่งกันส่องแสงประกายระยิบระยับ ในฤดูกาลนี้ ดูเหมือนหมู่ดาวที่เห็นเป็นแถบสว่างบนฟ้าจะเห็นได้ชัดเจนกว่าฤดูอื่น ท่าอากาศยานไฮเนสเซนโพลิสกำลังอยู่ท่ามกลางความจอแจพลุกพล่านอย่างสุดขีด ในห้องโถงใหญ่ของท่าอากาศยาน คลาคร่ำไปด้วยกลุ่มคนมากหลาย ทั้งคนที่เพิ่งเดินทางมา และคนที่กำลังจะออกเดินทาง คนที่มารับและคนที่มาส่งผู้เดินทาง คนในชุดไปรเวทแบบเรียบ ๆ ซึ่งเห็นมาจนชินตาตั้งแต่สมัยก่อนและคนที่อยู่ในชุดเครื่องแบบทหารสวมหมวกเบเลต์สีดำ พนักงานเทคนิคในชุดทำงาน พนักงานรักษาความปลอดภัยในเครื่องแบบซึ่งยืนอยู่ประจำจุดสำคัญต่าง ๆ และจ้องมองไปในหมู่คนด้วยใบหน้านิ่งเฉย เหล่าพนักงานของท่าอากาศยานและสายการบินอวกาศต่าง ๆ ที่รีบเร่งเดินอย่างรวดเร็วแข่งกับเวลา เด็ก ๆ ที่กำลังออกอาการตื่นเต้นและส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวกันยกใหญ่... รวมถึง บรรดาหุ่นยนต์ขนของ โรบอทคาร์ที่ทำงานของมันอย่างซื่อสัตย์ด้วยการบรรทุกของไว้เต็มกะบะแล้ววิ่งลัดเลาะไปตามช่องว่างระหว่างฝูงคน หยาง เจสสิก้า เอ็ดเวิร์ดส่งเสียงเรียกชายหนุ่มที่อยู่ข้าง ๆ หล่อน หืม? คุณคงรู้สึกว่า ฉันเป็นผู้หญิงที่น่ารังเกียจสินะคะ? ทำไมล่ะ? ก็ขณะที่ญาติผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เขายังกล้ำกลืนความเศร้าของตัวเองกันได้เลย แต่ฉันกลับออกไปตะโกนบ้า ๆ อย่างนั้นต่อหน้าสาธารณชนได้ ถ้าใครจะรู้สึกไม่ดีกับฉันก็คงสมควรอยู่หรอกค่ะ ไม่เคยมีตัวอย่างปรากฏมาก่อนว่า การที่มัวแต่ทนนิ่งอยู่เฉย ๆ แล้วเรื่องต่าง ๆ จะดีขึ้นหรอก ต้องมีใครสักคนที่ไปตะโกนเรียกหาความรับผิดชอบจากผู้นำถึงจะถูกสิครับ-- หยางคิดในใจเช่นนั้น แต่เมื่อเขาเอ่ยปากพูด กลับกล่าวแต่เพียงว่า ไม่หรอกครับ ตอนนี้ทั้งสองนั่งเคียงกันอยู่บนโซฟาตัวหนึ่ง ในห้องโถงของท่าอากาศยาน เจสสิก้ากำลังจะโดยสารเที่ยวบินประจำทางเที่ยวหนึ่ง ซึ่งจะออกในอีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้า เพื่อกลับไปยังดาวเคราะห์ข้าง ๆ ชื่อว่าดาวเทลนูเซน หล่อนเป็นครูสอนดนตรีในโรงเรียนประถมแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในดาวดวงนั้นนั่นเอง หากพันตรีฌอง โรแบรต์ แร็พ ยังมีชีวิตอยู่ แน่นอนว่าในอนาคตอันใกล้เขาจะลาออกจากทหารแล้วไปใช้ชีวิตคู่อยู่กับหล่อนแน่นอน คุณเติบใหญ่ได้ดิบได้ดีแล้วสิคะ หยาง เจสสิก้าเปรยขึ้น ขณะที่เหม่อมองพ่อแม่ลูกสามคนที่กำลังเดินผ่านหน้าไป ส่วนหยางไม่ได้ตอบอะไร ฉันได้ยินเกี่ยวกับวีรกรรมของคุณในแอสทาเทมาแล้วนะคะ แล้วก็ยังมีผลงานของคุณก่อนหน้านั้นอีก... ฌองโรแบรท์เขามักจะเล่าอวดให้ฉันฟังบ่อย ๆ ค่ะ บอกว่าคุณเป็นคนที่พวกนักเรียนรุ่นเดียวกันภูมิใจที่สุด ฌองโรแบรท์เป็นผู้ชายที่ดีพร้อมจริง ๆ และที่เจสสิก้าเลือกผู้ชายคนนี้ก็เป็นการเลือกที่ถูกต้องที่สุดแล้ว หยางได้แต่คิดแบบนั้นอย่างเศร้าใจลึก ๆ เจสสิก้า... หล่อนต้องเปลี่ยนจากฐานะของลูกสาวของหัวหน้าแผนกธุรการโรงเรียนเตรียมทหารและเป็นนักเรียนดนตรี กลายมาเป็นครูสอนดนตรีที่เสียคู่หมั้นไปจากสงคราม... นอกจากคุณแล้ว พวกแม่ทัพทั้งหลายในกองทัพสมาพันธ์ควรจะต้องรู้จักอายบ้างนะคะ มีอย่างที่ไหน ปล่อยให้มีคนตายมากกว่าล้านคนในการศึกแค่ครั้งเดียวนี่... มองจากแง่ของศีลธรรมแล้วยิ่งน่าอายใหญ่เลย นั่นไม่ถูกทีเดียวหรอกครับ หยางนึกแย้งในใจ หากไม่นับกรณีที่ฆ่าพลเรือนหรือการละเมิดสัญญาสันติภาพแล้วละก็ ความแตกต่างระหว่างแม่ทัพที่เก่งกับแม่ทัพโง่ ๆ ก็มีไม่มากนักหรอก เพียงแค่ ขณะที่แม่ทัพโง่ ๆ ฆ่าพวกเดียวกันตายไปหนึ่งล้านคน แม่ทัพที่เก่งจะฆ่าข้าศึกไปหนึ่งล้านคน ... มันต่างกันแค่นิดเดียวตรงนี้เท่านั้นเอง แต่ในแง่ศีลธรรมแล้ว ไม่ว่าคนไหนก็เป็นไอ้ฆาตกรบาปหนาทั้งนั้นแหละ สิ่งที่แม่ทัพที่ไร้ความสามารถควรจะต้องรู้สึกสำนึก คือ การขาดความสามารถของตน ไม่ใช่เรื่องของศีลธรรมอะไรหรอก มันคนละประเด็นกัน แต่... พูดไปก็คงเท่านั้น หล่อนคงไม่เข้าใจหรอก และเขาเองก็มองไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องไปอธิบายให้หญิงสาวเข้าใจด้วย เสียงประกาศจากทางท่าอากาศยานทำให้เจสสิก้าลุกขึ้นยืน เวลาออกเดินทางของเที่ยวบินของหล่อนใกล้เข้ามาแล้วนั่นเอง ลาก่อนค่ะ หยาง ขอบคุณมากนะคะที่อุตส่าห์มาส่ง รักษาเนื้อรักษาตัวด้วยนะครับ ขอให้ได้เลื่อนตำแหน่งให้สูง ๆ นะคะ ... เผื่อส่วนของฌองโรแบรท์เขาด้วย หยางได้แต่มองด้านหลังของหญิงสาวที่เดินเข้าไปในประตูทางขึ้นเครื่องจนกระทั่งร่างของอีกฝ่ายลับสายตาไป เลื่อนตำแหน่งให้สูง ๆ... หรือ? หล่อนจะทันคิดไหมหนอ ว่าไอ้คำพูดนี้มันหมายความว่า ให้เขาฆ่าศัตรูให้มาก ๆ นั่นเอง บางที- ไม่สิ แน่นอนเลยล่ะ ว่าหล่อนคงไม่ทันฉุกใจคิดหรอก ว่า คำพูดนี้มันรวมความหมายว่า ให้เขาสร้างผู้หญิงที่ตกอยู่ในสภาพเดียวกับหล่อนให้มาก ๆ ในฝั่งจักรวรรดิทางช้างเผือกบ้าง แล้วคราวนี้ พวกผู้หญิงเหล่านั้นจะไประบายความเศร้าหรือความแค้นกับใครได้หนอ?... เอ่อ... ขอโทษนะคะ ใช่พลจัตวาหยาง เหวินหลี่หรือเปล่าคะ? คุณ... เสียงของสุภาพสตรีชราดังขึ้น เมื่อหยางหันกลับไปช้า ๆ ก็พบกับร่างของหญิงชราที่แต่งตัวดีคนหนึ่ง กำลังจูงหลานชายอายุราวห้า-หกขวบอยู่ข้าง ๆ ครับ ผมเองครับ... โอ้ นั่นไง ฉันว่าแล้ว เอ้า วิล สวัสดีท่านวีรบุรุษแห่งแอสทาเทเร็วเข้าสิลูก แต่เด็กผู้ชายคนนั้นกลับปราดเข้าไปหลบหลังหญิงชราซะนี่ ดิฉัน มิสซิสเมเยอร์ค่ะ สามีแล้วก็ลูกชายของดิฉัน เอ่อ ลูกชายคือ หมายถึงเป็นพ่อของเด็กคนนี้แหละค่ะ เขาเป็นทหารกันทั้งคู่ แล้วก็สู้กับพวกจักรวรรดิจนพลีชีพอย่างมีเกียรติทั้งคู่เหมือนกัน ดิฉันได้ฟังข่าววีรกรรมที่แอสทาเทของท่านแล้วรู้สึกประทับใจมากค่ะ นึกไม่ถึงเลยว่าจะมีโอกาสได้เจอตัวจริงอย่างไม่คาดฝันแบบนี้...โชคดีจริง ๆ... ... หยางสงสัยตัวเองเหลือเกินว่า ตอนนี้เขากำลังทำหน้าอย่างไรอยู่หนอ? เด็กคนนี้แกก็บอกว่าอยากเป็นทหารน่ะค่ะ แกว่าจะจัดการกับพวกทัพจักรวรรดิให้หมด เพื่อแก้แค้นให้คุณพ่อและก็ปู่ พลตรีหยางคะ ดิฉันอยากจะขอร้องอะไรสักอย่างได้ไหมคะ? ช่วยจับมือกับเด็กคนนี้ในฐานะที่ท่านเป็นวีรบุรุษแอสทาเทได้ไหมคะ? จะได้เป็นกำลังใจให้แกในอนาคตต่อไป คราวนี้ หยางถึงกับหลบตาสุภาพสตรีชราผู้นี้ทันที แต่รู้สึกว่าอีกฝ่ายจะตีความว่า การนิ่งเฉยไม่ตอบ คือ การไม่ปฏิเสธกระมัง หญิงชราพยายามดันร่างหลานชายให้มายืนตรงหน้าหยาง ขณะที่ฝ่ายเด็กชายเอาแต่จ้องหน้านายทหารหนุ่ม แต่ตัวเองไม่ยอมปล่อยมือจากที่ยุดชายเสื้อของผู้เป็นย่าสักที เอ้า เป็นอะไรไปล่ะ วิล มัวแต่ขี้กลัวอย่างนี้จะเป็นทหารเก่ง ๆ ได้ยังไงจ๊ะ? คุณนายเมเยอร์ครับ หยางตัดสินใจเอ่ยปากในที่สุด ขณะที่ลอบปาดเหงื่ออยู่ในใจ กว่าคุณหนูวิลจะโตเป็นผู้ใหญ่ รับรองว่าตอนนั้นเป็นยุคสันติแล้วล่ะครับ ไม่จำเป็นต้องไปเป็นทหารหรอกครับ... เจ้าหนู โชคดีนะ หยางกล่าวทิ้งท้ายไว้เท่านั้นแล้วก็ก้มศีรษะบอกลาทีหนึ่ง จากนั้นหันหลังแล้วก้าวสาวเท้ายาว ๆ รีบเดินจากไปทันที หรือจะพูดให้ถูกก็คือ รีบหนีไปอย่างรวดเร็วนั่นเอง โดยที่ไม่รู้สึกว่าการหนีของตนเป็นการกระทำที่เสียเกียรติแม้แต่น้อยเลย (อ่านตอนต่อไป) หมายเหตุเศร้า..... น่าสงสารคุณยายเมเยอร์ โดนล้างสมองแล้วยังไม่รู้ตัวอีก T_T |