ตอนที่หยางเดินทางกลับไปถึงบ้านพักทหารของเขา ซึ่งอยู่ในหมู่ที่ 24 ในย่านซิลเวอร์บริดจ์นั้น นาฬิกาข้อมือก็บอกเวลาเป็น เวลามาตรฐาน 20 นาฬิกาเข้าไปแล้ว ในย่านนั้นเป็นหมู่บ้านจัดสรร สำหรับนายทหารระดับสูงที่ยังเป็นโสด หรืออยู่กันเป็นครอบครัวเล็ก ๆ บรรยากาศถูกอบอวลด้วยกลิ่นสีเขียวสดชื่นของแมกไม้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า บริเวณนี้จะเป็นย่านสิ่งปลูกสร้างหรูหรา ขนาดที่ให้ปลูกต้นไม้อย่างหนาแน่นแต่อย่างไร บ้านพักล้วนแล้วแต่เป็นบ้านเก่า ๆ ทั้งนั้น และที่ปล่อยให้มีต้นไม้ขึ้นทั่วไป ก็เพราะรัฐบาลไม่มีงบประมาณจะมาปลูกสร้างสิ่งก่อสร้างเพิ่มเติมเป็นเวลานานมาแล้วต่างหาก หยางก้าวลงจากทางสายพาน (เบลต์เวย์) ความเร็วต่ำ แล้วเดินตัดผ่านสนามหญ้าสาธารณะที่กว้างขวางและขาดคนดูแล ประตูของบ้านเลขที่ B-6 เปิดออกจากกันช้า ๆ เพื่อต้อนรับเจ้าของบ้านให้เดินเข้าไปหลังจากเครื่องพิสูจน์ทราบทำงานของมันเรียบร้อยแล้ว เสียงดังเอี๊ยดอ๊าดของประตูฟ้องถึงสภาพอายุของมันอย่างชัดเจน หยางคิดในใจว่า สงสัยต้องยอมควักกระเป๋าตัวเองจ่ายค่าเปลี่ยนประตูแล้วกระมัง ถ้ามัวแต่รอเจรจาให้ทางแผนกพัสดุซ่อมให้ละก็ มีหวัง... กลับมาแล้วหรือครับ คุณพลจัตวา เด็กชายจูเลียน มินซ์เดินออกมารับเขาที่ใต้กันสาดหน้าบ้าน (porch) ผมนึกว่าจะไม่กลับซะแล้วสิครับ โชคดีจังเลย ผมทำสตูไอริชของโปรดไว้ด้วยครับ โฮะโฮ่ คุ้มที่อุตส่าห์หิวท้องกิ่วกลับมาแฮะ ว่าแต่... ทำไมถึงคิดว่าฉันอาจจะไม่กลับล่ะ? ก็พลตรีแคซเซิร์นโทรฯ มาบอกนะสิครับ เด็กชายตอบ พลางยื่นมือไปรับหมวกเบเลต์จากหยาง บอกว่า คุณหยางลุกขึ้นจับมือถือแขนสุภาพสตรีแสนสวยท่านหนึ่งกลางงานพิธี แล้วก็พากันหายไปไหนไม่รู้... น่ะครับ เวร! หยางก้าวผ่านประตูบ้าน พลางแค่นยิ้มประชด จูเลียน มินซ์-เด็กในปกครองของหยางคนนี้ กำลังจะมีอายุสิบสี่ปีในปีนี้ เป็นเด็กที่มีส่วนสูงสมกับอายุตัว ผมสีเหลืองน้ำชา ตาสีน้ำตาลเข้ม หน้าตาดีทีเดียว แคสเซิร์นและคนรู้จักอีกหลายคนเคยแซวว่าเป็น พ่อบ้านส่วนตัวของคุณชายหยาง เด็กชายจูเลียนถูกส่งมาเป็นเด็กในปกครองของหยางตั้งแต่สองปีก่อน ตาม ประมวลกฎหมายพิเศษสวัสดิการเด็กและสตรีสำหรับบุตรหลานทหารที่เสียชีวิตจากสงคราม ซึ่งประมวลกฎหมายดังกล่าว ถูกขนานนามตามชื่อผู้เสนอแนวคิดว่า รัฐบัญญัติทราเวิร์ส สมาพันธ์ดาวเคราะห์เสรีนั้น อยู่ในสภาวะสงครามกับจักรวรรดิทางช้างเผือกมานานถึงหนึ่งศตวรรษครึ่งแล้ว ซึ่งนั่นหมายความว่า ในระหว่างนั้นก็มีผู้เสียชีวิตและผู้ที่ได้รับความเสียหายจากสงครามเป็นจำนวนมหาศาล และรัฐบัญญัติทราเวิร์สนี่เอง คือ ประมวลกฎหมายที่ตราขึ้นเพื่อจะ ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว กล่าวคือ แก้ปัญหาเด็กกำพร้าไร้ญาติอันเนื่องจากสงคราม และแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากร (ทหาร) สำหรับใช้ในสงครามไปพร้อมกัน บรรดาเด็กกำพร้าดังกล่าวจะถูกเลี้ยงดูในครอบครัวของนายทหาร โดยครอบครัวที่รับไปนั้นจะได้รับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายจำนวนหนึ่งจากทางรัฐบาล บรรดาเด็กกำพร้าเหล่านี้จะได้รับการศึกษาในโรงเรียนธรรมดาจนอายุสิบห้าปี แล้วหลังจากนั้น ก็ขึ้นกับการเลือกทางเดินของแต่ละคน โดยมีข้อแม้ว่า หากเลือกที่จะสมัครเป็นทหาร ไม่ว่าจะโดยเป็นยุวชนทหาร หรือสมัครเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร หรือโรงเรียนช่างทหาร ก็จะได้รับการยกเว้นไม่ต้องชดใช้ค่าเลี้ยงดูที่รัฐบาลเคยจ่ายให้ตนมา ซึ่งสำหรับกองทัพแล้ว แม้แต่ผู้หญิงก็เป็นกำลังหลักที่จะขาดเสียมิได้ เพราะแม้พวกเธอเหล่านี้จะไม่ได้เป็นกำลังรบในแนวหน้าโดยตรงก็ตาม ก็ยังมีงานสนับสนุนการรบในแนวหลัง ไม่ว่าจะเป็นงานธุรการ, ส่งกำลังบำรุง, การเงิน, การขนส่ง, การสื่อสาร, การจัดการ, การประมวลข้อมูลข่าวสาร, การดูแลรักษาสถานที่ทางการทหาร ฯลฯ เหล่านี้ล้วนต้องการทรัพยากรบุคคลจำนวนมหาศาล สรุปก็คือ เป็นระบบทาสติดที่ดินที่ใช้ในยุคกลาง (ยุโรปสมัยกลาง) นั่นเองแหละว้า พูดกันตรง ๆ นะ หรือจะว่าไป อาจจะแย่กว่าด้วยซ้ำ เพราะเล่นเอาเงินมาเป็นเงื่อนไขผูกมัดอนาคตคน ตอนนั้น แคสเซิร์นซึ่งสังกัดอยู่ฝ่ายสนับสนุนการรบ ได้เคยอธิบายแบบประชดประชันด้วยสำนวนข้างต้นให้หยางฟัง แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่มีเหยื่อล่อละก็ ก็ไม่มีคนมาทำงานให้เราแหละ นี่เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ แล้วก็... สิ่งที่ขาดไม่ได้อีกอย่างก็คือ คนรับเลี้ยงเด็กแหละ ว่าไง นายช่วยรับไปสักคนสองคนไหม เจ้าหยาง? แต่ผมยังไม่มีครอบครัวนะครับ ก็นั่นแหละ นายก็เลยยังไม่ได้ทำหน้าที่เลี้ยงดูลูกเมียซึ่งเป็นพันธกิจสำคัญของคนในสังคมไง ว่าไง รับไปสักคนสิ ได้เงินค่าเลี้ยงดูด้วยนะ หือ คุณชายคนโสด ก็ได้ครับ แต่คนเดียวพอนะ จะเอาสองคนก็ได้นะ ไม่ว่า คนเดียวเหลือแหล่ครับผม ด้าย............. ไว้จะหาไอ้ที่มันกินจุ ๆ ขนาดสองคนให้นายละกัน ฮึ่ม หลังจากบทสนทนาข้างต้นระหว่างสองคนนี้ได้ดำเนินไปในทำนองนี้ อีกสี่วันให้หลัง เด็กชายจูเลียนก็มายืนเคาะประตูบ้านของหยาง และนับจากวันรุ่งขึ้นนั้นเอง จูเลียนก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะหาที่อยู่ของตนในบ้านของหยางให้มั่นคง หยางเองนั้นเป็นคนที่ค่อนข้างจะไม่ได้เรื่องเลยกับการดำเนินชีวิตส่วนตัวของตน ขนาดได้รับโฮมคอมพิวเตอร์ไว้ฟรี ๆ หนึ่งเครื่องประจำบ้าน แต่ก็ไม่เคยใส่ข้อมูลหรือโปรแกรมให้มันใช้งานได้เลย สุดท้ายก็กลายเป็นกล่องสี่เหลี่ยมที่ตั้งไว้เฉย ๆ รวมทั้งบรรดาอุปกรณ์เครื่องใช้ในบ้าน ที่ไม่เคยโดนใช้งานจนกระทั่งฝุ่นจับหนาเขรอะ รู้สึกว่างานแรก จูเลียนตัดสินใจที่จะจัดระเบียบให้กับบรรดาเครื่องใช้อุปกรณ์ในบ้านเหล่านี้ก่อน ทั้งนี้ เด็กแกก็คงทำไปเพื่อความอยู่รอดของตัวเองด้วยแหละ ในวันถัดจากวันรุ่งขึ้นหลังจากที่จูเลียนมาอยู่ที่บ้านหยางนั้นเอง เจ้าของบ้านหนุ่มก็มีอันต้องไปราชการระยะสั้น ทำให้ไม่อยู่บ้านเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ เมื่อเขากลับมาถึงบ้าน ก็พบว่า บ้านแสนสุขของเขาถูกยึดครองด้วยกองทัพผสมของ ความเป็นระเบียบ และ ความสะอาด เสียแล้ว ผมจัดหมวดของโปรแกรมและข้อมูลในโฮมคอมพิวเตอร์ออกเป็นหกหมวดครับ ผู้บัญชาการกองทัพผสมผู้รุกรานกล่าวรายงานด้วยน้ำเสียงแจ้ว ๆ กับเจ้าบ้านหนุ่มที่ยังยืนงงอยู่ ได้แก่ เอ่อ ... 1. โฮมเมเนจเมนท์ 2. ระบบควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้า 3. ระบบความปลอดภัย 4. ฐานข้อมูล 5. การศึกษาด้วยตนเอง และ 6. หมวดบันเทิงครับ บัญชีรายรับรายจ่ายของบ้าน กับพวกรายการในชีวิตประจำวันก็ 1., ส่วนถ้าจะสั่งงานเครื่องปรับอากาศ หรือเครื่องดูดฝุ่น หรือ เครื่องซักผ้าก็โปรแกรมเบอร์ 2., ระบบกันขโมยหรือระบบดับเพลิงก็เบอร์ 3., ถ้าจะดูข่าวหรือพยากรณ์อากาศหรือข้อมูลราคาของก็เบอร์ 4. นะครับ ช่วยจำไว้ด้วยนะครับ คุณพันเอก ในตอนนั้น หยางยังมียศเป็นพันเอกอยู่ เขาได้แต่ทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาในห้องนั่งเล่นซึ่งเป็นห้องอาหารด้วย พลางนึกในใจว่า จะต่อว่าเจ้าผู้บุกรุกตัวน้อยนี้ยังไงดีให้สาแก่ใจที่บังอาจมายุ่มย่ามกับชีวิตของตน แล้วก็... ผมได้จัดการทำความสะอาดบ้านเรียบร้อยแล้วครับ ผ้าปูที่นอนก็จัดการซักให้เรียบร้อยหมดแล้ว เอ่อ คือ คิดว่าบ้านเป็นระเบียบเรียบร้อยขึ้นมาแล้วครับ ไม่ทราบว่า มีตรงไหนไม่พอใจรึเปล่าบอกผมมาได้เลยนะครับ หรือถ้ามีอะไรให้ผมรับใช้ก็บอกมาได้เลยครับ ... ชา... สักถ้วยซิ ที่จริงหยางบอกไปอย่างนั้น ก็เพราะเดิมกะเก็งไว้ในใจว่า ขอดื่มน้ำชาที่เขาชอบให้ชุ่มคอเสียก่อนเถอะ จะต่อว่าให้จั๋งหนับเทียว แต่แล้วเขาก็ต้องตะลึงเมื่อเด็กน้อยวิ่งเข้าไปในครัวแล้วกลับออกมาพร้อมกับชุดชงชาที่ถูกขัดซะใหม่เอี่ยม และจัดแจงชงชาอย่างคล่องแคล่วต่อหน้าเขานั่นเอง ใบชาชั้นดีจากดาวซิลอนซะด้วย และหลังจากรับน้ำชาจากเด็กชายมาจิบได้คำเดียว หยางก็ตัดสินใจยอมแพ้ ด้วยน้ำชาถ้วยนั้นรสชาติเลอเลิศจริง ๆ ทั้งกลิ่นและทั้งรสชาติเลยล่ะ ทราบภายหลังว่า บิดาผู้ล่วงลับของจูเลียนนอกจากจะเป็นทหารยศร้อยเอกของกองทัพแล้ว ยังเป็นนักดื่มชาตัวยงยิ่งกว่าหยางเสียอีก และเขาก็ได้ถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับชา ทั้งเรื่องของใบชาชนิดต่าง ๆ และวิธีชงชาให้อร่อย ให้แก่บุตรชายของตนไว้อย่างครบถ้วนกระบวนความเลยทีเดียว หลังจากหยางยอมรับระบบการบริหารบ้าน (เฉย ๆ นะไม่มีเมืองต่อท้าย) ของเด็กชายจูเลียนได้หนึ่งเดือน แคสเซิร์นซึ่งมาเล่นหมากรุกสามมิติกับหยางที่บ้านของฝ่ายหลัง ก็ได้วิจารณ์ขึ้นหลังจากมองไปรอบ ๆ บ้านว่า รู้สึกว่าบ้านนายจะสะอาดเรียบร้อยเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์มนุษยชาติเลยนะเนี่ย แสดงว่าไอ้คำโบราณที่ว่า ยิ่งพ่อแม่ไม่ได้เรื่องเท่าไหร่ ลูกก็ต้องยิ่งเอางานเอาการขึ้นเท่านั้น เป็นจริงสินะ หยางไม่เถียงแม้แต่คำเดียว ... และเวลาก็ผ่านมาสองปี ส่วนสูงของเด็กชายจูเลียนก็เพิ่มขึ้นอีกไม่น้อยกว่าสิบเซ็นติเมตร ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นนิดหนึ่ง และดูเหมือนว่าจะเรียนเก่งด้วย... ที่ใช้คำว่า ดูเหมือน ก็เพราะว่า หยางเองไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วเป็นอย่างไรต่างหาก เพราะตัวผู้ปกครองนั้นเคยประกาศไว้แต่ฝ่ายเดียวว่า ถ้าไม่เลวร้ายขนาดสอบตกล่ะก็ ไม่จำเป็นต้องมารายงานทุกครั้งที่มีการประกาศผลสอบหรอก แต่ปรากฏว่า หลายครั้งที่เขาเห็นเด็กในดูแลเอาเหรียญรางวัลเรียนดีมาตั้งโชว์ไว้ที่บ้าน จึงทำให้รู้ว่า คงจะเรียนเก่งมั้ง... ถ้าเรื่องนี้รู้ถึงแคสเซิร์นละก็ ไม่พ้นโดนวิจารณ์ว่า ช่างเป็นอภิชาตบุตรจริงๆ เป็นแน่ วันนี้ ที่โรงเรียนเขาถามเรื่องแผนการเรียนต่อสำหรับปีหน้าน่ะครับ ระหว่างที่รับประทานอาหาร จูเลียนก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา ซึ่งนับว่าผิดปกติของบ้านนี้ หยางหยุดการเคลื่อนไหวของช้อนของตนที่กำลังตักสตูในชามอยู่ แล้วมองหน้าอีกฝ่ายพลางถาม เธอจะเรียนจบก็ตั้งเดือนมิถุนา ปีหน้าไม่ใช่เรอะ มีระบบเก็บหน่วยกิตครับ ถ้าเก็บได้ครบ ก็จบเร็วขึ้นได้ครึ่งปีน่ะครับ อะเหรอ... ผู้ปกครองที่ไม่ได้รับรู้อะไรเลยคนนี้ ได้แต่ร้องครางอย่างประหลาดใจ แล้วไง... จะเป็นทหารรึไง? ครับ ก็ผมเป็นลูกทหารนี่ครับ ไม่มีกฎที่บังคับว่า ลูกต้องสืบต่ออาชีพเดียวกับพ่อนะ อย่างฉันนี่ พ่อก็เป็นพ่อค้าแท้ ๆ เลย แล้วเสริมว่า ถ้าอยากทำอาชีพอื่นก็เลือกทำไปได้เลย พลางนึกในใจไปถึงเด็กชื่อวิลที่เพิ่งเจอที่สนามบิน แต่ถ้าไม่เป็นทหาร จะต้องชดใช้ค่าเลี้ยงดูคืนให้รัฐบาลนะครับ คืนก็คืนสิ เอ๊ะ? อย่าดูถูกผู้ปกครองของเธอให้มากนัก จูเลียน เห็นฉันอย่างนี้ก็เถอะ มีเงินสะสมพอนะ ฉันจะจ่ายค่านั่นคืนให้เอง แต่จะว่าไป... เธอก็ไม่จำเป็นต้องรีบเรียนให้จบเร็ว ๆ อยู่แล้วนี่นา อยู่ต่อในโรงเรียนเล่น ๆ อีกสักครึ่งปีจะเป็นไรไป หือ? แก้มใส ๆ ของเด็กชายดูจะมีสีเข้มขึ้น ผมรบกวนคุณหยางขนาดนั้นไม่ได้หรอกครับ อย่าพูดอวดดีสิ... เป็นเด็กเป็นเล็ก รู้เปล่า เด็กน่ะ คือสิ่งมีชีวิตที่กัดกินผู้ใหญ่เพื่อการเจริญเติบโตของตัวเองนะ เข้าใจ๋? ขอบพระคุณครับ แต่... แต่อะไรอีกล่ะ... ทหารนี่เป็นอาชีพที่น่าเป็นขนาดนั้นเชียวเหรอ? คราวนี้จูเลียนมองหน้าหยางอย่างสงสัยบ้าง ฟังอย่างกับคุณหยางเกลียดทหารอย่างนั้นแหละครับ ก็เกลียดอะดิ คำตอบที่ชัดเจนจากปากของหยางเองทำให้เด็กน้อยยิ่งประหลาดใจ อ้าว ก็... ถ้างั้น แล้วทำไมมาเป็นทหารละครับ? เหตุผลง่าย ๆ ก็เพราะฉันทำอย่างอื่นไม่เป็นนะสิ! หยางรับประทานสตูเสร็จเรียบร้อย แล้วเช็ดปากด้วยผ้าเช็ดปาก ส่วนจูเลียนขนถ้วยชามไปใส่ในเครื่องล้างชาม แล้วกลับมาสั่งงานเครื่องนั้นผ่านมาโฮมคอมพิวเตอร์ ก่อนที่จะเดินไปในครัว หยิบชุดน้ำชาออกมา แล้วเริ่มชงชาซิลอนของโปรดของหยาง เอาเถอะ สรุปว่า ลองคิดดูใหม่อีกทีละกันนะ ไม่ต้องรีบร้อนก็ได้ ครับ ว่าแต่ คุณพลจัตวาครับ เห็นในข่าวเคยออกว่า เคานท์ออฟโรเอนกรัมเอง ก็เริ่มรับราชการทหารเมื่ออายุแค่สิบห้าไม่ใช่เหรอครับ งั้นมั้ง มีภาพให้ดูในข่าวด้วยครับ เขาหล่อมากเลยนะครับ เคยเห็นรึเปล่าครับ? ถ้าเป็นเคานท์ออฟโรเอนกรัมละก็ หยางเองก็เคยเห็นหลายครั้งแล้วจากภาพฉายสามมิติ (เลเซอร์โฮโลแกรม) ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นการพบหน้าอีกฝ่ายโดยตรงก็เถอะ ได้ยินว่า คนคนนี้เป็นขวัญใจของสาว ๆ ทหารหญิงในฝ่ายสนับสนุนการรบยิ่งกว่านายทหารฝ่ายสมาพันธ์คนใดเสียอีก ก็ช่วยไม่ได้นี่นะ แม้แต่หยางเองก็ยังยอมรับว่า เขาไม่เคยเห็นชายหนุ่มคนใด รูปงามเท่าเคานท์ออฟโรเอนกรัมเลย ... ว่าแต่ ฉันเองก็ไม่เลวเหมือนกันแหละน่า จริงไหมจูเลียน? ง่า... จะเติมนมหรือบรั่นดีในชาครับ คุณหยาง ^^' (หงะ ไม่รับมุขเลยวุ้ย)... บรั่นดี! ตอนนั้นเอง เสียงบาดแก้วหูก็ดังขึ้น พร้อมกับที่สัญญาณไฟเตือนขโมยกระพริบถี่ ๆ จูเลียนกดสวิทช์เปิดจอภาพโทรทัศน์วงจรปิดขึ้นทันที ภาพจากแสงอินฟราเรดที่แสดงในจอภาพ เป็นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ทุกคนสวมหมวกผ้าสีขาวครอบทั้งส่วนศีรษะ เหลือแต่ช่องให้ดวงตามองลอดออกมาเท่านั้น จูเลียน ครับ? เดี๋ยวนี้ เขาฮิตแฟชันใหม่แบบนี้กันแล้วเหรอ ที่พากันแต่งตัวติ๊งต๊องแล้วบุกรุกบ้านคนอื่นยามวิกาลน่ะ นั่นมันคณะอัศวินรักชาตินะครับ ไม่รู้จักว่ะ คณะละครสัตว์ชื่อประหลาดแบบนั้น พวกนี้เป็นกลุ่มคนที่แสดงออกซึ่งการรักชาติแบบหัวรุนแรงน่ะครับ แล้วก็เที่ยวไปรังควานคนที่แสดงท่าทีไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล กับพวกต่อต้านสงคราม ช่วงนี้มีชื่อเสียงมากเลยครับ แต่... แปลกจริง ทำไมมาบุกบ้านเรานะ? คุณหยางนี่มีแต่ทำเรื่องที่คนชม ไม่มีเรื่องด่างพร้อยให้คนตำหนิไม่ใช่เหรอครับ? พวกมันมากันกี่คน? หยางรีบเบี่ยงเบนหัวเรื่องสนทนาทันที จูเลียนอ่านตัวเลขจากมุมของจอภาพ ที่บุกเข้ามาในเขตบ้านเรา 42 คนครับ โอ๊ะ 43... 44 คนแล้วครับ พลจัตวาหยาง! เสียงดังลั่นมาจากลำโพงข้างนอก ทำเอากำแพงด้านหนึ่งของบ้านซึ่งทำจากกระจกพิเศษ สั่นสะเทือน เออ มีไร? หยางพึมพำตอบ แต่แน่นอน เสียงเขาไม่มีทางได้ยินไปถึงคนข้างนอกหรอก พวกเราคือคณะอัศวินรักชาติ ซึ่งเป็นกลุ่มคนผู้รักชาติอย่างแท้จริงมารวมตัวกัน และ ณ บัดนี้พวกเราจะลงโทษเจ้า เพราะเจ้าหลงมัวเมาในวีรกรรมของตัวเอง จนบังอาจทำเรื่องที่ขัดต่อพิธีร่วมแรงร่วมใจเป็นหนึ่งเดียวของกองทัพ อันมีผลทำให้ขวัญกำลังใจของทหารผู้อื่นเสียไป อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่รู้ตัวว่าตัวเองทำอะไรลงไป หยางรู้สึกได้ถึงสายตาอันตื่นตระหนกของจูเลียนที่ทิ่มแทงเข้ามาที่แก้มของตน พลจัตวาหยาง เจ้าได้ทำให้พิธีไว้อาลัยวีรชนอันศักดิ์สิทธิ์ต้องเสื่อมเสีย ขณะที่ผู้ร่วมพิธีทุกคน ตอบสนองต่อสุนทรพจน์อันเร่าร้อนของท่านประธานกรรมาธิการกลาโหม และลุกขึ้นยืนกล่าวคำปฏิญาณร่วมกันที่จะสู้กับศัตรูอยู่นั่น เจ้า-เพียงผู้เดียวที่บังอาจนั่งอยู่เฉย ๆ กับที่ ทำตัวเหมือนกำลังหัวเราะเยาะพิธีศักดิ์สิทธิ์ที่ประชาชนของสมาพันธ์ทุกคนกำลังร่วมแรงร่วมใจกันอยู่ก็ปาน เพราะฉะนั้น เราจะต้องลงโทษเจ้าในความผิดดังกล่าว หากเจ้ามีอะไรจะชี้แจงละก็ จงไสหัวออกมาต่อหน้าพวกเราเดี๋ยวนี้ บอกไว้ก่อน ไม่ต้องโทรศัพท์ไปแจ้งความให้เหนื่อยหรอก พวกเรามีวิธีรบกวนช่องการสื่อสารของบ้านนี้เรียบร้อยแล้ว หยางถึงกับบางอ้อ อย่างนี้นี่เอง ที่แท้ เบื้องหลังของคณะละครสัตว์ เอ๊ย คณะอัศวินรักชาติ ก็คือ ท่านสุภาพบุรุษผู้รักชาติอย่างที่สุดหาที่เสมอเหมือนมิได้ นายทริวนิชท์ เป็นแบกกราวนด์อยู่นั่นเอง พวกมันถึงกล้าฮึกเหิมขนาดนี้ สิ่งที่พวกมันพูดมาสอดคล้องกับเนื้อหาคำสุนทรพจน์ที่มีเนื้อหาสาระเจือจางยิ่งกว่าน้ำซุปราคาถูก ๆ ของหมอนั่นจริง ๆ คุณพลจัตวา ทำอย่างที่เขาว่าจริงหรือครับ? จูเลียนถาม ก็...ทำนองนั้น ปัทโธ่เอ๊ย แล้วไปทำอย่างนั้นทำไมล่ะครับ ต่อให้ในใจเราไม่เห็นด้วย ก็แกล้ง ๆ ยืนปรบมือให้ซะก็สิ้นเรื่อง ใครจะมารู้ความในใจของเราได้ล่ะครับ เขาก็ดูกันแค่ภายนอกทั้งนั้นแหละ พูดเหมือนพี่แคสเซิร์นเลยแฮะ เรานี่ ไม่ต้องเอาชื่อพลตรีแคสเซิร์นมาอ้างหรอกครับ เรื่องแค่นี้เด็ก ๆ เขาก็คิดได้! ... ว่าไง? ไม่ออกมาใช่ไหม? สำนึกผิดละสิท่า แต่ตราบใดที่ไม่ออกมาพูดด้วยปากของเจ้าว่าสำนึกผิดละก็ เราจะไม่ยอมรับการสำนึกของเจ้าเด็ดขาด เสียงจากข้างนอกดังเข้ามาอีกอย่างโอหัง หยางทำเสียงจึ๊กในปากทีหนึ่งอย่างอารมณ์เสีย แล้วผลุดลุกขึ้นยืนทันที เด็กชายจูเลียนต้องรีบคว้าข้อมือผู้ปกครองไว้ พลจัตวาครับ ถึงจะโกรธก็ห้ามใช้กำลังนะครับ นี่ ๆ น้อย ๆ หน่อยเราน่ะ ไหงมาด่วนตัดสินว่าฉันจะออกไปเอาเรื่องกับพวกมันโดยไม่ยอมเจรจา? หือ? ก็แล้ว... ใช่ไหมล่ะครับ? ... ตอนนั้นเอง ผนังกระจกก็เกิดรอยร้าวขึ้นด้วยเสียงอันดัง ทั้งที่มันเป็นกระจกพิเศษที่ไม่แตกง่าย ๆ แม้จะขว้างก้อนหินใส่เต็มแรงก็ตาม แล้วพริบตาถัดมา ลูกกลม ๆ ขนาดเท่าศีรษะคน ก็วิ่งทะลุกำแพงกระจกนั้นเข้ามาชนตู้โชว์ที่ตั้งติดผนังด้านในของบ้าน เครื่องปั้นดินเผาที่ตั้งโชว์บนตู้นั้นล้มระเนระนาดกันไปตาม ๆ กัน พร้อมกับที่มีเสียงหนัก ๆ เมื่อลูกกลมนั้นหล่นตุบบนพื้น อันตราย! หลบเร็ว! หยางตะโกน จูเลียนรีบคว้าโฮมคอมพิวเตอร์ไว้ในอ้อมกอด แล้วกระโดดหลบไปอยู่หลังโซฟาอย่างคล่องแคล่ว พริบตาที่จูเลียนกระโดดหลบพ้นแล้วนั่นเอง เจ้าลูกกลมนั้นก็แตกเป็นเสี่ยง ๆ แล้วระเบิดออกรอบด้าน ตามด้วยเสียงดังกึกก้องไม่เป็นโทนดนตรีที่ดังมาจากทิศต่าง ๆ รอบห้อง หลอดไฟแสงสว่าง, เก้าอี้ ฯลฯ ในห้องนั้นแปรสภาพกลายเป็นกองซากปรักหักพังทันที หยางได้แต่อึ้ง เจ้าพวกคณะอัศวินบ้านี่ ถึงขนาดเอาเครื่องยิงลูกระเบิดสำหรับรื้อถอน-- ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำหรับทหารช่างใช้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างโดยไม่ต้องใช้วิธีวางระเบิด-- มาใช้เชียวรึนี่? เท่าที่ในห้องเกิดความเสียหายเพียงแค่นี้ คงเพราะได้ปรับระดับความรุนแรงของลูกระเบิดให้ต่ำสุดแล้วนั่นเอง ถ้าเป็นการใช้งานปกติแล้วละก็ ป่านนี้ ห้องนี้ทั้งห้องมีหวังกระจุยไม่มีชิ้นดีไปแล้ว... ว่าแต่... ทำไมไอ้คณะอัศวินบ้า ๆ ซึ่งก็เป็นแค่พลเรือน ถึงมีอาวุธซึ่งเป็นอุปกรณ์ทางทหารไว้ในครอบครองได้ล่ะ? ในตอนนั้นเอง หยางก็นึกไอเดียดี ๆ ออก เขาดีดนิ้วทันที แต่... ไม่มีเสียงดังเท่าไร จูเลียน สวิทช์เครื่องฉีดน้ำ อันไหนเหรอ 2- A- 4 ครับ จะตอบโต้เหรอครับ แหงล่ะ ไอ้พวกนี้ต้องสอนให้รู้จักมารยาทสังคมซะบ้าง ... ถ้างั้นก็เชิญเลยครับ เป็นไง แน่จริงก็ลองพูดอะไรสักคำสิ ไม่งั้น เดี๋ยวจะยิงเข้าไปอีกลูก... เสียงกวนโทสะที่ดังอยู่ด้านนอกนั้น พลันกลายเป็นเสียงหวีดร้องอย่างตกใจ เมื่อสปริงเกอร์สำหรับรดน้ำ ได้ฉีดพ่นสายน้ำลำใหญ่ออกไปด้วยความดันสูงเข้าใส่กลุ่มคนพวกนั้นจนเปียกมะล่อกมะแล่กไปตาม ๆ กัน เหมือนเจอฝนเข้าไปห่าใหญ่ ผู้บุกรุกที่สวมหมวกคลุมศีรษะสีขาว พากันวิ่งวนไปเวียนมาอยู่ในสนามในบ้าน พยายามหนีให้พ้นจากสายน้ำที่ฉีดเข้าใส่อย่างไม่ยั้งประดุจงูตัวใหญ่ ๆ ที่เลื้อยส่ายไปมาพลางไล่กัดผู้บุกรุก ฮึ รู้รึยังว่ามาแหย่ให้สุภาพบุรุษโกรธแล้วจะได้รับผลยังไง ไอ้พวกหมาหมู่ที่เอาจำนวนเข้าว่า ขณะที่หยางพูดพึมพำอยู่นั้น เสียงหวอจากรถตำรวจก็ดังขึ้นจากที่ไกล ๆ คงมีเพื่อนบ้านช่วยโทรศัพท์ไปแจ้งความให้นั่นเอง แต่จะว่าไป จนป่านนี้แล้วตำรวจเพิ่งจะมาได้ แสดงว่าเบื้องหลังของไอ้กลุ่มคนดีจอมปลอมพวกนี้คงจะยิ่งใหญ่น่าดูเลยทีเดียว ถ้าคิดว่าคนนั้นเป็นนายทริวนิชต์เองด้วยละก็... ทุกอย่างก็สอดคล้องกันหมด พวกคณะอัศวินรักชาติพากันถอนตัวออกไป คงจะด้วยอารมณ์ที่ไม่เบิกบานเท่าไรนักกระมัง แล้วหลังจากนั้น ตำรวจหนุ่มในชุดเครื่องแบบสีน้ำเงินก็เพิ่งจะโผล่หัวมาถึง แล้วก็ยังมีหน้ามาสรรเสริญให้หยางฟังอีกว่า คณะอัศวินรักชาติเป็นกลุ่มคนที่รวมตัวกันเพื่อแสดงออกถึงความรักชาติ จนหยางหงุดหงิดต้องตอกกลับว่า ถ้าเป็นอย่างที่คุณว่าละก็ ทำไมพวกเขาไม่ไปเป็นทหารให้รู้แล้วรู้รอดเลยล่ะ? มาเที่ยวบุกรุกบ้านคนอื่นซึ่งมีเด็กอยู่ในบ้านด้วยในยามวิกาลอย่างนี้ เป็นการกระทำของผู้รักชาติอย่างนั้นหรือ? จะว่าไป ถ้าการกระทำของพวกเขาเป็นสิ่งถูกต้องจริง ทำไมต้องปิดหน้ากันทุกคนด้วยล่ะ ไม่ขัดแย้งกันในตัวรึ? ระหว่างที่หยางกำลังเทศน์ให้ตำรวจผู้นั้นฟังนั่นเอง จูเลียนก็ปิดสวิทช์สปริงเกอร์ แล้วเริ่มลงมือเก็บกวาดห้องนั่งเล่น ซึ่งตอนนี้เละเทะจนดูไม่ได้ ฉันช่วยทำด้วยละกัน พอหยาง-ซึ่งเพิ่งไล่ตำรวจที่ไม่ได้เรื่องนายนั้นกลับไป- พูดเช่นนั้น จูเลียนก็โบกมือเป็นเชิงปฏิเสธ อย่าเลยครับ เกะกะเปล่า ๆ เอางี้ละกัน ขอเชิญไปนั่งบนโต๊ะตัวนั้นก่อนนะครับ ให้นั่งบนโต๊ะ... เนี่ยนะ น่านะ... แป๊บเดียวเองครับ เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว แล้วจะให้ฉันนั่งทำอะไรบนโต๊ะดีล่ะ? อืม งั้นผมชงน้ำชามาให้ก็แล้วกันครับ คุณหยางนั่งจิบน้ำชาไปบนโต๊ะละกันนะครับ หยางบ่นพึมพำแต่ก็ยอมปีนขึ้นไปนั่งขัดสมาธิอยู่บนโต๊ะแต่โดยดี พอเห็นเด็กในปกครองหยิบเศษกระเบื้องชิ้นหนึ่งขึ้นมาจากพื้น เขาก็ร้องคราง นั่นเครื่องเคลือบหมื่นปีนี่นา... เป็นของจริงเพียงชิ้นเดียวในบรรดาของสะสมของพ่อฉันแท้ ๆ ... เวลา 22 นาฬิกา ขณะที่พลตรีแคสเซิร์นต่อวิสิโฟน (โทรศัพท์แบบเห็นภาพ) มาที่บ้านของหยาง จูเลียนก็เกือบจะทำความสะอาดเสร็จแล้ว โอ้ว เจ้าหนู ผู้ปกครองอยู่ไหนน่ะ เรียกมาหน่อยซิ อยู่โน่นครับ ปลายนิ้วของจูเลียนชี้ไปบนโต๊ะอาหาร ซึ่งบัดนี้ ร่างของเจ้าของบ้านหนุ่ม กำลังนั่งเอกเขนกขัดสมาธิอยู่บนนั้น พลางยกถ้วยชาขึ้นจิบ พลตรีแคสเซิร์นตะลึงมองภาพนั้นอยู่ราวห้าวินาทีได้ ก่อนจะรวบรวมสติ ถามขึ้นว่า นี่! ที่บ้านนายมีธรรมเนียมนั่งจิบชาบนโต๊ะตั้งแต่เมื่อไหร่วะ? ก็เป็นบางวันน่ะครับ ^^' หยางตอบมาจากบนโต๊ะ เล่นเอารุ่นพี่หัวเราะเบา ๆ อย่างเอือมระอา เออ ๆ เรื่องของนาย ว่าแต่ ขอพูดธุระด่วนจี๋สุด ๆ เลยละกัน ให้นายมารายงานตัวที่กองบัญชาการทหารสูงสุดเดี๋ยวนี้ ทางนี้ส่งแลนด์คาร์ไปรับแล้ว อีกประเดี๋ยวคงถึง เดี๋ยวนี้นี่นะ? คำสั่งจากผบ. สูงสุดซิทเลย์โดยตรงเชียวนะท่าน หยางวางถ้วยชาลงบนจานรองด้วยเสียงอันดังกว่าปกติ จูเลียนซึ่งกำลังยืนตัวแข็งอยู่พลอยได้สติไปด้วย แล้วรีบวิ่งเข้าไปห้องด้านในเพื่อจัดเตรียมชุดเครื่องแบบให้ผู้ปกครอง แล้วผบ. สูงสุดมีธุระอะไรกับผมมิทราบ? ที่ฉันรู้ก็คือ ให้ตามนายมาด่วนเท่านั้นแหละ เอาไว้เดี๋ยวค่อยมาคุยต่อที่นี่เองละกัน วิสิโฟนถูกตัดการติดต่อไปแล้ว หยางยังคงนั่งกอดอก นิ่งคิดอยู่ชั่วขณะหนึ่ง เมื่อเขาหันหน้ากลับไปก็พบว่าจูเลียนถือชุดเครื่องแบบของเขาไว้ในอ้อมแขนยืนรออยู่ ระหว่างที่หยางกำลังเปลี่ยนชุดอยู่นั้นเอง รถยนต์ในราชการของกองบัญชาการทหารสูงสุดก็มาถึง ชายหนุ่มอดคิดไม่ได้ว่า นี่ช่างเป็นคืนที่วุ่นวายเหลือเกิน ขณะที่หยางกำลังจะเดินผ่านประตูบ้านออกไปนั้นเอง เขาก็หยุดชะงักแล้วหันมามองเด็กในปกครอง สงสัยจะดึกน่ะงานนี้ ถ้าไงก็เข้านอนไปก่อนเลยไม่ต้องรอ ครับ คุณพลจัตวา จูเลียนรับคำ แต่หยางกลับรู้สึกขึ้นมาตะหงิด ๆ ว่า สงสัยเด็กจะไม่ทำตามที่รับคำแหงเลย จูเลียน เรื่องที่เกิดในคืนนี้ คงจะถูกพูดกันกลายเป็นเรื่องตลกในที่สุดแหละนะ แต่ในอนาคตใกล้ ๆ นี้ อาจจะไม่จบที่ระดับของเรื่องตลกแบบคืนนี้อีกก็ได้... รู้สึกว่า ยุคสมัยมันจะแย่ลงทุกวันแล้ว ทำไม จู่ ๆ ตนเองก็พูดกับเด็กในปกครองออกไปเช่นนี้ หยางเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน จูเลียนมองตอบนายทหารหนุ่มด้วยดวงตาใสแป๋ว แล้วพูดว่า คุณพลจัตวาครับ ผมอาจจะพูดอะไรเกินตัวก็ได้ แต่ก็จะขอพูดครับว่า ไม่ต้องเป็นห่วงผม และขอให้คุณพลจัตวาเดินไปในทางที่เชื่อว่าถูกต้องเถอะครับ ผมคนหนึ่งล่ะ ที่เชื่อมั่นในตัวของคุณว่าทำถูกเสมอ หยางมองตอบเด็กชายนิ่ง ๆ เขาทำท่าเหมือนจะพูดอะไรอีก แต่แล้วก็เปลี่ยนใจไม่พูด เพียงแค่ยกมือขึ้นลูบศีรษะที่ปกคลุมด้วยผมสีเหลืองน้ำชาของฝ่ายอ่อนวัยกว่าเบา ๆ แล้วหันหลังเดินไปทางแลนด์คาร์ที่จอดรออยู่ จูเลียนยืนอยู่ตรงใต้กันสาดหน้าบ้าน (porch) มองตามไฟท้ายรถคันนั้นไปจนกระทั่งมันหายลับไปในความมืดของราตรี (อ่านตอนต่อไป) หมายเหตุเปิดตัวเด็กชายจูเลียน มินซ์อย่างเต็มตัวครับ หลังจากที่แค่กล่าวถึงในความคิดของหยางเท่านั้นจูเลียน มินซ์คนนี้อีกหน่อยจะมีบทบาทสูงมาก แต่ตอนนี้ มีหน้าที่เป็นคู่หูคู่ฮากับหยางไปก่อนละกัน เหอ ๆ ๆ ๆ ๆ คู่นี้ ไม่รู้ใครเป็นผู้ปกครองใครเป็นเด็กในปกครองกันแน่ ๕๕๕ ส่วนเรื่องของคณะอัศวินรักชาติ.... โนคอมเมนต์ เอาเป็นว่า ลองมองในสังคมเราละกันมีคนแบบนี้อยู่ไหม? |