นวนิยายแฟนตาซีอวกาศเรื่องยาว

วีรบุรุษทางช้างเผือก銀河英雄伝説

เรื่อง โดย ทะนะกะ โยะชิกิ (田中芳樹) แปลโดย Pae

บทที่ 4 กำเนิดกองยานรบที่ 13
-4-


ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพสมาพันธ์ดาวเคราะห์เสรี จอมพลซิดนี่ย์ ซิทเลย์ เป็นชายผิวดำ วัยเริ่มจะเข้าวัยกลางคน รูปร่างสูงชะลูดราวสองเมตร เขาไม่ถึงกับเป็นคนที่มีแววอัจฉริยะอะไรเด่นชัดนัก แต่ก็เป็นผู้ที่มีความสามารถอย่างหาตัวจับยากในด้านการจัดการบริหารองค์กรทหาร รวมทั้งยังเป็นนักยุทธศาสตร์มือเยี่ยม ด้วยบุคลิกที่เรียบ ๆ แต่ชวนให้น่าเชื่อถือแบบนี้เอง ทำให้เขาได้รับความไว้วางใจจากบรรดาคนในองค์กรจนไต่เต้าขึ้นมาถึงระดับนี้ แม้จะไม่ถึงกับเป็นบุคคลที่มี ‘สาวกผู้คลั่งไคล้’ มาคอยแสดงความนิยมชมชอบก็ตาม แต่ผู้ที่สนับสนุนเขาก็มีอยู่อย่างกว้างขวางและแน่นแฟ้น

ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดนั้น เป็นตำแหน่งสุงสุดสำหรับเครื่องแบบทหารของฝ่ายสมาพันธ์ ซึ่งในยามสงครามนั้น ผู้ดำรงตำแหน่งนี้จะพ่วงตำแหน่งผู้ปฏิบัติราชการแทนแม่ทัพสูงสุดด้วยอีกหนึ่งตำแหน่ง ทั้งนี้ ตำแหน่งแม่ทัพสูงสุดนั้นย่อมเป็นของนายกรัฐมนตรีซึ่งก็คือ ประธานคณะกรรมาธิการสูงสุดนั่นเอง โดยในยามปกติ ภายใต้ตำแหน่งสูงสุดนี้ ก็จะมีประธานคณะกรรมาธิการกลาโหมเป็นผู้รับผิดชอบด้านการบริหารบุคคลในกองทัพ ส่วนผู้บัญชาการทหารสูงสุดก็เป็นผู้รับผิดชอบในทางปฏิบัติการและยุทธการ

แต่เป็นที่น่าเสียดาย ที่สองตำแหน่งนี้ผู้ดำรงตำแหน่งมักจะไม่กินเส้นกัน ทั้งที่ในทางทฤษฎีแล้ว ผู้ที่จัดการบริหารองค์กรทหารและผู้ที่บังคับบัญชาการยุทธจักต้องประสานงานกันอย่างใกล้ชิดและเป็นทีมเวิร์คจึงจะทำให้การดำเนินงานทางการทหารสามารถเป็นไปได้ด้วยดี แต่ในความเป็นจริงนั้น เป็นที่รู้กันดีว่า ทั้งสองฝ่าย-ซิทเลย์และทริวนิชท์ต่างก็ไม่ถูกชะตากัน พูดอย่างเต็มกลืนว่า เท่าที่ทั้งสองฝ่ายพยายามรักษาความเป็นกลางและไม่ก้าวก่ายงานกันอยู่เช่นสภาพปัจจุบันได้ก็บุญนักหนาแล้ว

ทันทีที่หยางเดินเข้าไปในห้องทำงาน จอมพลซิทเลย์ก็ต้อนรับอีกฝ่ายอย่างคุ้นเคย ทั้งนี้ เพราะตอนที่หยางยังเป็นนักเรียนเตรียมทหารอยู่นั้น ซิทเลย์ผู้นี้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนนั่นเอง

“เชิญนั่งก่อน ‘พลตรี’ หยาง”

ซิทเลย์เอ่ยเชื้อเชิญ และหยางก็ทำตามแต่โดยดี จากนั้นท่านจอมพลก็เจรจาเข้าเรื่องทันที

“ที่เรียกมานี่ ก็เพราะมีเรื่องต้องการแจ้งให้คุณทราบแหละถึงได้เรียกมา คำสั่งแต่งตั้งอย่างเป็นทางการจะออกวันพรุ่งนี้ แต่ผมขอแจ้งว่า คุณได้รับการเลื่อนยศให้เป็นพลตรีแล้ว เป็นคำสั่งที่ลงนามไปเรียบร้อยแล้วด้วยไม่มีเปลี่ยนแปลงอีกแน่นอน ว่าแต่... ทราบใช่ไหมว่าทำไมคุณได้เลื่อนยศ”

“เพราะแพ้มาสิครับ”

คำตอบของหยาง ทำเอาชายสูงวัยกว่ายิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก

“ให้ตายเถอะ คุณนี่ไม่เปลี่ยนไปเลยนะ ตั้งแต่สมัยก่อน ชอบพูดอะไรแสบ ๆ ได้หน้าตาเฉย”

“แต่มันก็เป็นเรื่องจริงไม่ใช่เหรอครับ อาจารย์ใหญ่ อ้า ประทานโทษ ท่านผบ.สูงสุด”

“ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะ?”

“ก็การที่อยู่ ๆ ก็มาไล่เสนอตบรางวัลกันง่าย ๆ นี่ มันแสดงว่ากองทัพต้องมีความจำเป็นอะไรบางอย่างไม่ใช่เหรอครับ ในตำราทางทหารตั้งแต่สมัยโบราณก็เขียนไว้อย่างนั้น ในกรณีนี้ ก็คงเป็นการพยายามที่จะเบี่ยงเบนสายตาสาธารณชนไปจากความจริงที่ว่าเราแพ้สงครามกลับมา ก็เท่านั้นเอง”

หยางตอบเอื่อย ๆ เหมือนไม่รู้ร้อนรู้หนาว เล่นเอาจอมพลต้องแค่นยิ้มอีกครั้งหนึ่ง เขายกแขนขึ้นกอดอก พลางก็จ้องมองอดีตนักเรียนของตน

“ในแง่หนึ่ง คุณก็พูดถูกนะ เพราะเราเพิ่งประสบความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ที่ไม่เคยพบมาก่อนในช่วงหลังนี้ ทั้งบรรดาทหารและพลเรือนล้วนกำลังตระหนกเสียขวัญ จึงจำเป็นต้องมีวีรบุรุษขึ้นมาสักคนเพื่อช่วยเรียกขวัญที่กระเจิงไปให้กลับมา และนั่นก็คือ คุณนั่นแหละ พลตรีหยาง”

หยางหัวเราะเบา ๆ แต่ไม่ใช่เพราะความพอใจอย่างแน่นอน

“สำหรับคุณแล้วคงไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่ ที่ต้องกลายมาเป็นวีรบุรุษที่ถูกปั้นแต่งขึ้นแบบนี้หรอก นึกซะว่านี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของงานของคุณในฐานะทหารละกัน แล้วก็... ที่จริงแล้วคุณเองก็ได้สร้างผลงานที่เหมาะสมกับการเลื่อนยศอยู่แล้ว ถ้าเราซึ่งหมายถึงกองบัญชาการทหารสูงสุดและคณะกรรมาธิการกลาโหมจะไม่เลื่อนยศให้คุณในครั้งนี้ มันจะขัดกับหลักการทำดีให้รางวัล ทำชั่วให้ลงโทษไปนะสิ”

“แล้วไอ้ตรงคณะกรรมาธิการกลาโหมที่ว่านั่นล่ะครับ ประธานทริวนิชท์เขามีความเห็นยังไงบ้าง?”

“ความเห็นของคนคนเดียว ไม่เกี่ยวหรอกในกรณีนี้ ต่อให้คนนั้นเป็นประธานคณะกรรมาธิการก็เถอะ แล้วอีกอย่าง เขาก็ต้องแยกแยะบทบาทของตัวเองเหมือนกัน ในฐานะหน้าที่นะ”

ใช่ เบื้องหน้าก็คงเป็นอย่างนั้นแหละ แต่เบื้องหลังแล้ว ความเห็นส่วนตัวของนายทริวนิชท์เป็นไงบ้างล่ะ? เห็นได้จากการที่แอบหนุนให้คณะอัศวินรักชาตินี่ออกโรง.... ตามการคาดเดาของหยาง ก็คงพอรู้ว่าขานั้นคิดยังไงอยู่ในเรื่องนี้

“ว่าแต่ เปลี่ยนเรื่องกันเถอะ แผนการรบที่คุณเสนอให้พลโทปาเอตต้าก่อนที่จะเริ่มรบน่ะ คุณคิดว่า ถ้าหากมันถูกนำไปปฏิบัติจริง ทางเราจะชนะศึกครั้งที่ผ่านมารึเปล่า?”

“ก็...คงชนะมั้งครับ”

หยางพยายามตอบแบบถ่อมตนที่สุด ขณะที่ซิทเลย์ยกมือขึ้นลูบคางช้า ๆ อย่างครุ่นคิด

“แล้วคุณคิดว่า เราจะมีโอกาสเอาแผนนั้นไปใช้ประโยชน์ในโอกาสอื่นได้อีกหรือเปล่า ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เราก็คงจะได้แก้แค้นเคานท์ออฟโรเอนกรัมบ้าง”

“นั่นก็ขึ้นกับตัวของเคานท์โรเอนกรัมเองแหละครับ ถ้าเขาหลงตัวเองจากชัยชนะครั้งนี้ แล้วเอาแต่คิดจะใช้กำลังที่น้อยกว่าไปรบเอาชนะกองทัพที่มีกำลังมากกว่าอีกล่ะก็ แผนของเราก็จะได้มีโอกาสประสบความสำเร็จแน่ แต่...”

“แต่อะไรหรือ?”

“แต่คงจะไม่เป็นอย่างนั้นนะสิครับ เพราะไอ้การที่ใช้ทหารน้อยกว่าเอาชนะทหารมากกว่านั้น มันดูเหมือนจะเป็นการยุทธที่สวยงามเลอเลิศก็จริง แต่มันก็เป็นการกระทำที่ขัดกับหลักการทางยุทธวิธีใด ๆ ทั้งสิ้น เรียกได้ว่า มันจัดเป็นประเภทของการฟลุคเสียมากกว่า และผมว่าเป็นไปไม่ได้ที่เคานท์ออฟโรเอนเกรัมจะไม่ตระหนักดีถึงความจริงข้อนี้ และผมก็เชื่ออีกด้วยว่า ครั้งหน้าถ้าเขาจะมาอีก เขาจะมาพร้อมกับทัพใหญ่ที่มีกำลังเหนือกว่าพวกเราแน่ครับ”

“นั่นสิ หลักการพื้นฐานของการทหาร ก็คือการใช้กำลังที่เหนือกว่าเข้าตีฝ่ายที่มีกำลังน้อยกว่าทั้งนั้น มีแต่พวกที่ไม่รู้เรื่องเท่านั้นแหละ ที่หลงคิดชื่นชมยุทธวิธีการใช้ทหารที่น้อยกว่าไปเอาชนะกองกำลังที่ใหญ่กว่า บางคนคิดไปถึงว่า ถ้าแม่ทัพคนไหนที่ไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ จัดเป็นแม่ทัพที่ไร้ความสามารถไปโน่น ยิ่งคราวนี้ ทัพเราแพ้ต่อศัตรูที่มีกำลังแค่ครึ่งเดียวของเราด้วยแล้ว...”

คราวนี้หยางสังเกตเห็นแววลำบากใจในสีหน้าของชายผิวดำเบื้องหน้าอย่างชัดเจน จริงสิ ยกเว้นตัวหยางเองแล้ว ผลการศึกในคราวนี้ ทำให้ความเชื่อมั่นที่รัฐบาลและประชาชนมีให้กองทัพหดหายไปมากโขทีเดียว

“พลตรีหยาง จะว่าไปแล้ว กองทัพเราทำถูกต้องหลักการยุทธศาสตร์ตั้งแต่แรกแล้วนะ ที่ทุ่มกำลังเข้าสนามรบในปริมาณที่เหนือกว่าอีกฝ่าย แต่ก็ยังแพ้อยู่ดี คุณคิดว่าเพราะอะไรหรือ?”

“เพราะเราเดินทัพผิดหลักการนะสิครับ”

หยางตอบตรงเป้า ไม่มีการอ้อมค้อม

“อุตส่าห์มีกำลังเหนือกว่าข้าศึกทั้งที แต่ก็กลับหลงลืม ไม่พยายามใช้จุดเด่นในข้อนี้ให้เป็นประโยชน์สูงสุด บางที อาจจะเพราะเรามัวแต่วางใจในตัวเลขที่เหนือกว่ากระมังครับ”

“ขยายความหน่อยซิ?”

“ถ้ายกเว้นยุคสมัยของสงครามแบบกดปุ่ม กับยุคสมัยที่เป็นแบบสงครามเรดาห์และอุปกรณ์อิเลกทรอนิกส์แล้ว... หลักการทางยุทธวิธีก็มีอยู่สองข้อเท่านั้นเองครับ ก็คือ การรวมกำลังเป็นจุดเดียว กับการเคลื่อนย้ายกำลังทหารอย่างรวดเร็ว กล่าวรวมแล้วสองข้อนี้ ก็หมายความว่า ‘การไม่สร้างกองกำลังทหารที่ไม่จำเป็น’ ขึ้นมาในสนามรบนั่นเอง และเคานท์ออฟโรเอนกรัมก็ปฏิบัติตามหลักการเหล่านี้อย่างสมบูรณ์แบบ”

“อืมห์...”

“ทีนี้ลองหันมามองทัพเราบ้างสิครับ ขณะที่กองยานรบที่สี่กำลังถูกทำลายอยู่นั้น อีกสองกองยานรบที่เหลือทำอะไรบ้าง? พวกเขาทั้งสองกองเอาแต่ยึดมั่นอยู่กับแผนการที่วางไว้แต่ตอนแรก แล้วก็ทิ้งเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ อีกทั้งก็ไม่ได้พยายามที่จะสอดแนมความเคลื่อนไหวของข้าศึกเลย แล้วก็ไม่ได้พยายามวิเคราะห์สถานการณ์ด้วย กองยานรบทั้งสามกองต่างก็ได้แต่รบกับข้าศึกอย่างโดดเดี่ยว ขาดการประสานงานช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และนี่ก็เป็นผลอันสมควรจากการละเลยกฎเหล็กสองข้อคือการรวมกำลังทหารและการเดินทัพอย่างรวดเร็วแล้วล่ะครับ”

หยางพูดจบก็หุบปากแน่น ระยะหลัง ๆ นี่มีน้อยครั้งมากที่เขาจะพูดอะไรยาว ๆ อย่างนี้ ดูท่าเขาจะใส่อารมณ์มากไปหน่อยเสียแล้ว

“โอเค ความเห็นของคุณเป็นแบบนี้เอง เข้าใจล่ะ”

จอมพลพยักหน้าหงึกหงักหลายครั้งติดต่อกัน

“มีอีกเรื่องหนึ่ง อันนี้ยังไม่ได้ออกคำสั่งตายตัว แต่ก็ได้มีการตกลงเป็นการภายในไว้แล้ว เราจะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของกองทัพกันเล็กน้อย โดยยุบเอายานรบที่เหลืออยู่ของกองยานรบที่สี่และที่หกเดิมรวมกัน แล้วเพิ่มทหารใหม่เข้าไปจำนวนหนึ่ง ตั้งเป็นกองยานรบที่ 13 และถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ผู้บัญชาการกองยานรบที่ 13 คนแรกก็คือ คุณนั่นแหละ พลตรีหยาง”

หยางเอียงคออย่างแปลกใจ

“อ้าว ผู้บัญชาการกองยานรบนี่ ต้องเป็นยศพลโทขึ้นไปไม่ใช่เหรอครับ?”

“กองยานรบใหม่ที่ตั้งขึ้นมามีกำลังแค่ครึ่งเดียวของกองยานรบอื่นเท่านั้น จำนวนยานรบ 6400 ลำ จำนวนทหาร 7 แสนนาย และภารกิจแรกของกองยานรบที่ 13 ก็คือ ปฏิบัติการยึดป้อมปราการอิเซลโลน”

ผู้บัญชาการทหารสูงสุดพูดด้วยน้ำเสียงเนิบ ๆ เหมือนเรื่องที่พูดไม่สลักสำคัญอะไร

หยางได้แต่ทำตาปริบ ๆ อยู่พักหนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ เอื้อนปากถามย้ำความแน่ใจของสิ่งที่ตนเพิ่งได้ยินมา

“ให้เข้าตีป้อมปราการอิเซลโลน ‘นั่น’ ด้วยกองยานรบ ‘ครึ่งกอง’ นี่นะครับ”

“ใช่แล้ว”

“คิดว่าเป็นไปได้หรือครับ?”

“ก็ถ้าคุณยังทำไม่ได้ ผมก็คิดว่าไม่มีใครหน้าไหนจะทำได้อีกแล้วล่ะ”

ถ้าเป็นคุณล่ะก็ ต้องทำได้แน่... นี่มันคำพูดฆ่าคนที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้วนี่นา หยางอดนึกในใจอย่างนั้นไม่ได้ กี่คนแล้ว ที่ขาดสติเพราะถูกยั่วยุด้วยคำพูดเช่นนี้ แล้วก็ดาหน้ากันเข้าไปท้าทายสิ่งเหนือความสามารถจนตัวตายไป และสุดท้ายแล้ว คนที่เป็นเจ้าของคำพูดยั่วยุเหล่านี้ก็ไม่เคยเลยที่จะรับผิดชอบต่อคำพูดของตนสักคนเดียว

หยางยังคงนั่งเงียบ

“ว่าไง ไม่มีความมั่นใจรึ?”

แม้ตอนที่ผู้บัญชาการทหารสูงสุดถามมาเช่นนั้นก็ตาม หยางก็ยังคงไม่ตอบอะไร หากเขาไม่มีความมั่นใจที่จะทำงานนั้นละก็ คงตอบว่าทำไม่ได้ไปตั้งแต่แรกแล้ว แต่นี่ เพราะเขามีความมั่นใจอยู่ลึก ๆ ว่าตนเองจะทำได้ รวมทั้งมีแผนการคร่าว ๆ อยู่ในใจแล้วต่างหากเล่า ถึงได้นิ่งคิดอยู่อย่างนี้ หากให้เขาเป็นผู้บัญชาการยุทธการบุกยึดอิเซลโลนละก็ กองทัพสมาพันธ์คงไม่ต้องสร้างสถิติอันน่าอดสูด้วยการแตกพ่ายจากการบุกยึดป้อมนี้มาถึงหกครั้งหรอก รวมทั้งยอดผู้เสียชีวิตก็คงลดน้อยลงกว่านี้อีกมหาศาลด้วย แต่... เขาก็ยังคงนั่งเงียบไม่ตอบอะไรออกไป ด้วยรู้สึกไม่พอใจที่จะต้องตกเป็นเครื่องมือของผบ. สูงสุดต่างหาก

“ถ้าหากคุณรับหน้าที่นำกองยานรบใหม่นี้ ไปปฏิบัติการยึดป้อมปราการอิเซลโลนได้สำเร็จอย่างงดงามล่ะก็...”

ซิทเลย์พูดต่อพลางจ้องมองหน้าอดีตลูกศิษย์ตนด้วยสายตาที่มีเลศนัย

“ไม่ว่าโดยส่วนตัวนายประธานกรรมาธิการกลาโหมจะรู้สึกชอบหรือไม่ชอบคุณอย่างไรก็ตาม เขาก็ต้องยอมรับในความสามารถของคุณอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ล่ะ จริงไหม”

ใช่... และรวมทั้งฐานเสียงของท่านผบ. สูงสุดที่จะใช้งัดข้อกับประธานกรรมาธิการกลาโหมก็จะแข็งขึ้นด้วย เรื่องนี้ ดูท่าจะเกินขอบเขตจากการวางแผนในแนวยุทธศาสตร์ กลายเป็นเรื่องการหักเหลี่ยมทางการเมืองเสียแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม หยางต้องตระหนักอีกครั้งว่า ตาแก่นี่เจ้าเล่ห์ไม่เบาทีเดียว ผบ. สูงสุดคนนี้!

“ผมจะพยายามเท่าที่ทำได้ครับ”

หยางตอบออกมาในที่สุด หลังจากเงียบต่ออีกนานพอสมควร

“ตกลงยอมทำงานนี้ใช่ไหม ขอบคุณมาก”

ผบ. ซิทเลย์พยักหน้าคราวหนึ่งอย่างพึงพอใจ

“ถ้างั้นเดี๋ยวผมจะสั่งการฝากเรื่องจัดตั้งกองยานรบใหม่ให้แคสเซิร์นเอง ถ้าคุณต้องการอยากได้อะไรล่ะก็ ให้บอกเขาได้เลย ไม่ต้องเกรงใจนะ ทางเราจะให้การสนับสนุนคุณเต็มที่ทุกอย่างเท่าที่จะทำได้”

หยางเริ่มคิดคำนวณในใจว่า ปฏิบัติการครั้งนี้ควรจะเริ่มลงมือเมื่อไหร่ เท่าที่เขาทราบ วาระดำรงตำแหน่งของผู้บัญชาการทหารสูงสุดตอนนี้เหลืออีก 70 วันเท่านั้น หากแกต้องการจะต่ออายุออกไปอีกหนึ่งสมัยล่ะก็ นั่นหมายความว่า เขาจะต้องปฏิบัติการยึดป้อมอิเซลโลนให้สำเร็จก่อนหน้าที่แกจะหมดอายุลงให้ได้ สมมติว่าระยะเวลาที่ใช้ในปฏิบัติการครั้งนี้เป็น 30 วันล่ะก็ นั่นหมายความว่าอย่างช้าที่สุด อีก 40 วันให้หลังเขาก็ควรจะต้องออกเดินทางจากไฮเนสเซนได้แล้ว

ส่วนนายทริวนิชท์นั้น ก็คงไม่มายุ่งหรือคัดง้างอะไรกับการโยกย้ายกำลัง (จัดตั้งกองยานรบใหม่) และปฏิบัติการครั้งนี้อย่างแน่นอน เพราะไม่ว่าใครรวมทั้งหมอนั่นเอง ก็คงคิดว่า เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่จะไปตีป้อมอิเซลโลนด้วยกองยานรบครึ่งกองเท่านั้น และยิ่งถ้าไม่สำเร็จจริง ก็ยิ่งดี เพราะหมอจะได้ถือโอกาสจำกัดซิทเลย์ออกไปจากวงโคจรเสียเลย ตอนที่หมอนั่นได้ยินข่าวความเคลื่อนไหวของพวกหยาง เผลอ ๆ อาจจะดื่มฉลองให้ตัวเองล่วงหน้าก็ได้ว่า จู่ ๆ คู่แข่งของตนก็ขุดหลุมเตรียมฝังศพตัวเอง

ที่หยางนึกเสียดายอยู่ก็คือ จะต้องอดดื่มน้ำชาอร่อย ๆ จากฝีมือของเจ้าหนูจูเลียนนั่นอีกแล้วสิ... เรื่องนี้ต่างหาก
(อ่านตอนต่อไป)

หมายเหตุ

ตอนนี้ ก็กล่าวคร่าว ๆ ถึงโครงสร้างระดับสูงของกองทัพสมาพันธ์ฯ
แต่ประเด็นสำคัญคือ การที่หยางรับภารกิจแรก ก็เป็นภารกิจสุดหินนี้ต่างหาก
แล้วทำไมเขารับง่าย ๆ? ต้องติดตามบทต่อไปครับ

กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป 1