นวนิยายแฟนตาซีอวกาศเรื่องยาว

วีรบุรุษทางช้างเผือก銀河英雄伝説

เรื่อง โดย ทะนะกะ โยะชิกิ (田中芳樹) แปลโดย Pae

บทที่ 5 ยุทธการยึดป้อมอิเซลโลน
-1-


อิเซลโลน

ฐานที่มั่นทางทหารที่สำคัญของจักรวรรดิทางช้างเผือก เดิมที ณ บริเวณดาวฤกษ์ที่กำลังอยู่ในวาระสุดท้ายซึ่งชื่อว่า ดาวอาร์เธนานี้ เป็นดาวฤกษ์โดดเดี่ยวที่ไร้ดาวบริวาร และตั้งอยู่ห่างจากดาวโอดีนเมืองหลวงของจักรวรรดิเป็นระยะทาง 6250 ปีแสง และ ณ ที่นี้เอง ที่ทัพจักรวรรดิได้มาก่อสร้างดาวเคราะห์เทียมขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 60 กิโลเมตรขึ้น ด้วยเหตุผลทางยุทธศาสตร์อันเนื่องจากตำแหน่งของมัน

หากมองจากมุมด้านบนของห้วงจักรวาลแล้ว จากอาณาเขตของจักรวรรดิทางช้างเผือก มุ่งหน้าไปทางดินแดนของสมาพันธ์ดาวเคราะห์เสรี บริเวณรอยต่อนั้นเป็นรูปสามเหลี่ยมรูปใหญ่ที่มีจุดยอดของสามเหลี่ยมอยู่ตรงแถว ๆ ตำแหน่งของอิเซลโลนนี่เอง เดิมทีบริเวณนี้ เป็นเขตอันตรายที่ยากต่อการเดินเรือ (ยานอวกาศ) ผ่าน และเป็นดินแดนที่ถูกขนานนามว่า ซาลกัสโซ-สเปซ (ห้วงสุสานอวกาศ) อันคร่าชีวิตของบรรพบุรุษของชาวสมาพันธ์ดาวเคราะห์เสรีไปนับไม่ถ้วน ซึ่งทางจักรวรรดิเองก็เคยพอใจกับความเป็นจริงข้อนี้ และตอนนี้พวกเขาก็ยิ่งเสริมความสำคัญให้กับบริเวณนี้ด้วยการสร้างฐานที่มั่นทางการทหารที่สำคัญยิ่งแห่งนี้ขึ้นมา

ณ บริเวณห้วงอวกาศแถบนี้ ซึ่งเป็นพื้นที่อันตรายดังกล่าวประกอบด้วยดาวฤกษ์พฤติกรรมประหลาด, ดาวเคราะห์ดวงใหญ่สีแดง, เขตแรงดึงดูดสูง ฯลฯ แต่ก็มีอยู่แถบหนึ่ง เป็นช่องแคบเล็ก ๆ ที่สามารถจะเดินยานอวกาศผ่านไปได้ และตรงกึ่งกลางของช่องแคบที่ว่านั้นเอง ก็เป็นที่ตั้งของป้อมปราการอิเซลโลน หากจะเดินทัพจากดินแดนสมาพันธ์ไปยังจักรวรรดิแล้ว หากใช้ช่องแคบนี้ก็ต้องเคลื่อนทัพผ่านป้อมปราการอิเซลโลนอย่างไม่มีทางเลือก หรือมิฉะนั้น หากจะไปยังแดนจักรวรรดิก็ยังมีอีกเส้นทางหนึ่ง คือ ผ่านทางด้านเฟซานซึ่งก็ตั้งอยู่ตรงกลางของช่องแคบอวกาศเช่นกัน แต่แน่นอน พวกเขาย่อมไม่สามารถใช้เส้นทางทางด้านเฟซานเพื่อดำเนินการทางการทหารได้

นอกจากช่องแคบเฟซานและช่องแคบอิเซลโลนแล้ว ยังจะมีเส้นทางอื่นที่เชื่อมต่อระหว่างดินแดนของสมาพันธ์กับจักรวรรดิอีกไหม? เหล่าผู้นำของสมาพันธ์และนักการทหารหลายคนเคยให้ความสนใจกับประเด็นนี้เป็นอย่างมาก แต่ความพยายามเสาะหาเส้นทางใหม่นั้นก็ไม่เคยประสบความสำเร็จเลย ด้วยความไม่พร้อมในด้านการสำรวจทำแผนที่ดวงดาว ประกอบกับการแทรกแซงทั้งโดยแจ้งและโดยลับจากทางฝ่ายจักรวรรดิและเฟซาน ซึ่งสำหรับฝ่ายหลังแล้ว การค้นพบ ‘ช่องทางที่สาม’ ที่เชื่อมระหว่างสมาพันธ์และจักรวรรดิ ย่อมหมายถึงการสูญเสียฐานะสำคัญของตนที่เป็นพ่อค้าคนกลางผู้ผูกขาดแต่ผู้เดียวระหว่างสองประเทศไปนั่นเอง ย่อมเป็นสิ่งที่จะยอมให้เกิดขึ้นมิได้เด็ดขาด

และผลสุดท้าย ข้อสรุปของทัพสมาพันธ์ก็คือ การบุกรุกดินแดนของจักรวรรดิ หมายถึงการเคลื่อนทัพผ่านช่องแคบอิเซลโลนเท่านั้น ไม่มีวิธีอื่นอีก และนั่นเป็นที่มาของยุทธการตีป้อมอิเซลโลน ซึ่งถูกดำเนินการไปถึงหกครั้งในรอบสี่ครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา ทุกครั้ง ล้วนเป็นศึกใหญ่ที่ทุ่มเทกำลังรบอย่างเต็มพิกัด และทุกครั้งล้วนประสบความปราชัยอย่างย่อยยับกลับมา ถึงกับเป็นที่มาให้บรรดานายทหารของจักรวรรดินำไปกล่าวทับถมอย่างฮึกเหิมว่า

“ช่องแคบอิเซลโลน คือสถานที่ประดับประดาด้วยซากศพกองเท่าภูเขาของพวกกบฏ”

สำหรับหยางเอง ที่ผ่านมาก็เคยร่วมในยุทธการตีอิเซลโลนถึงสองครั้ง คือ ศึกตีอิเซลโลนครั้งที่ห้า ในฐานะพันตรี และศึกตีอิเซลโลนครั้งที่หกในฐานะพันเอก เขาซาบซึ้งถึงการศึกที่เป็นต้นกำเนิดของซากศพเพื่อนร่วมทัพจำนวนมหาศาลเป็นอย่างดี และตระหนักดีว่า การจะตีหักเอาป้อมปราการแห่งนี้ด้วยกำลังนั้น เป็นสิ่งที่โง่เขลาเพียงใด

หยางเคยคิดระหว่างที่โดยสารยานรบของตน ระหว่างเดินทางกลับหลังจากปราชัยอย่างยับเยินในครั้งก่อนว่า หากจะตีป้อมนี้จากภายนอกละก็ ไม่มีทางสำเร็จแน่

ถ้าอย่างนั้นจะทำอย่างไรดีเล่า?

กำลังทหารของจักรวรรดิที่ป้อมปราการอิเซลโลนนี้ นอกจากตัวป้อมเองแล้ว ก็ยังมีกองเรือรบซึ่งเรียกว่า ‘กองเรือรบประจำอิเซลโลน’ ซึ่งมีจำนวนเรือรบ 15,000 ลำอีกด้วย ผู้บัญชาการป้อมปราการ และผู้บัญชาการกองเรือรบประจำป้อม เป็นนายทหารระดับพลเอกเท่ากัน และตรงนี้เอง ที่น่าจะมีช่องโหว่ให้เราใช้แผนการอะไรได้บ้าง... นี่คือสิ่งที่หยางคิด

อย่างการศึกครั้งที่ผ่านมาก็เช่นกัน เคานท์ออฟโรเอนกรัมก็ใช้ป้อมปราการอิเซลโลนเป็นฐานจัดกระบวนทัพขั้นสุดท้าย ก่อนยกพลล่วงล้ำเข้ามาในแดนสมาพันธ์ เรียกว่า ตราบใดที่ป้อมปราการอิเซลโลนนี้ยังเป็นของจักรวรรดิอยู่ มีแต่จะเป็นภัยพิบัติของสมาพันธ์โดยแท้ ไม่ว่าจะทำวิธีใดก็ตาม พวกเขาจะต้องยึดป้อมปราการนี้จากทางฝ่ายจักรวรรดิให้ได้ และในยุทธการคราวนี้ กำลังทหารที่มีให้หยางก็เพียงแค่ กองยานรบ ‘ครึ่งกอง’ เท่านั้น

...

“บอกตรง ๆ ฉันไม่คิดว่านายจะตอบรับงานนี้เลยว่ะ”

พลตรีแคสเซิร์นพูดขึ้นขณะที่กำลังใช้นิ้วพลิกหน้ากระดาษของเอกสารปึกหนึ่งอยู่ ขณะนี้เขาอยู่ในห้องทำงานของตนเองซึ่งอยู่ในตึกกองบัญชาการทหารสูงสุด

“ไม่ว่าจะเป็นประธานคณะกรรมาธิการก็ดี หรือผบ. สูงสุดก็ดี ต่างก็มีความคาดหวังของตัวเองอยู่ในใจทั้งคู่ และฉันก็เชื่อว่านายก็คงรู้ทันทั้งสองคนนั่นแหละ ใช่ไหม?”

หยางซึ่งนั่งอยู่ตรงหน้าเขาได้แต่แค่นยิ้ม ไม่ตอบอะไร แคสเซิร์นรวบแฟ้มเอกสารนั้นแล้วตบลงกับโต๊ะทำงานเสียงดัง พลางจ้องมองรุ่นน้องสมัยเรียนที่โรงเรียนเตรียมทหารอย่างพินิจ

“กองทัพของเรา ที่ผ่านมาเคยดำเนินยุทธการตีป้อมนั่นถึงหกครั้งใหญ่ แล้วก็แพ้กลับมาทุกครั้ง นายก็รู้ดี แต่ก็ยังดันทุรังจะไปตีมันด้วยกองยานรบครึ่งกองนี่นะ?”

“อืมห์... ของอย่างนี้มันต้องลอง”

คำตอบของหยาง ทำเอารุ่นพี่ต้องหรี่ตามองอย่างครุ่นคิด

“ท่าทางมีความมั่นใจนะ นายจะทำยังไงเหรอ?”

“ความลับ”

“แม้แต่ฉันก็บอกไม่ได้?”

“อุบไว้ก่อน จะได้รู้สึกตื่นเต้นไงล่ะ ไม่ดีเหรอครับ”

“ก็จริงของนายนะ เอาล่ะ ถ้านายต้องการยุทโธปกรณ์อะไร ก็บอกมาได้เลยไม่ต้องเกรงใจ ฉันจะช่วยเต็มที่โดยไม่ต้องสอดค่าน้ำร้อนน้ำชาเลย พับผ่าสิ เอ้า”

“ครับ ถ้างั้นก็ไม่เกรงใจละนะ ขอเรือรบของจักรวรรดิสักลำสิครับ เอาจากที่เรา ๆ ยึดได้จากตอนทำศึกนั่นแหละ แล้วก็ขอชุดทหารของจักรวรรดิสักสองร้อยชุดด้วย”

แคสเซิร์นเบิ่งตาที่ค่อนข้างหยีของตนออกกว้าง เมื่อได้ยินคำขอนั้น

“จะเอาเมื่อไหร่?”

“ภายในสามวัน”

“.... เฮ้อ ฉันไม่ถึงกับเรียกร้องขอค่าทำงานหนักเกินหน้าที่จากนายละนะ เอาเป็นว่าคราวหลังช่วยเลี้ยงคอนญัคสักแก้วละกัน”

“ผมเลี้ยงสองแก้วเลยครับ หึหึ ว่าแต่ มีเรื่องขอร้องอีกเรื่องด้วย”

“งั้นคิดเป็นสามแก้วละกัน ว่ามา”

“เรื่องของพวก ‘ติงต๊อง’ ที่เรียกตัวเองว่า คณะอัศวินรักชาติน่ะครับ”

“อ้อ เรื่องนั้นเรอะ รู้แล้ว ๆ นายนี่ซวยไม่เบาเลยนะ”

สิ่งที่หยางขอคือ ให้ช่วยจัดนายทหารพระธรรมนูญไปคอยเดินรักษาการณ์ให้หน่อย เพราะระหว่างที่เขาไปศึกครั้งนี้ ที่บ้านพักจะเหลือจูเลียนเฝ้าบ้านคนเดียว (บริเวณนั้นเป็นเขตทหาร และสำหรับหยาง เขารู้แล้วว่าพวกตำรวจพึ่งไม่ได้ในกรณีนี้) ที่จริง ตอนแรกเขาคิดว่าจะฝากจูเลียนไว้ที่บ้านคนที่ไว้ใจได้สักคน แต่เจ้าหนูจูเลียนซึ่งดำรงตำแหน่งผบ.ทบ. (ผู้บัญชาการที่บ้าน) ไม่ยอมรับวิธีนี้

ได้ จะจัดคนให้เดี๋ยวนี้เลย- แคสเซิร์นตอบ แล้วก็ทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ เขามองหน้ารุ่นน้องอีกครั้งหนึ่ง

“เออใช่... ช่วงหลัง ๆ นี่ รู้สึกว่าข้าหลวงใหญ่เฟซานจะสนใจมาติดต่อขอข้อมูลเกี่ยวกับประวัตินายเป็นพิเศษนะ”

“โอ๊ะโอ”

เกี่ยวกับคำว่า ‘เฟซาน’ นี้ หยางเองมีความสนใจในคำนี้อยู่แล้ว แต่ในแง่คิดที่ค่อนข้างแตกต่างกับคนทั่วไป เป็นที่รู้กันดีว่า เฟซานถูกก่อตั้งขึ้นมาด้วยฝีมือของนักธุรกิจใหญ่ผู้มีเชื้อสายจากโลกมนุษย์ นามว่า นายเรโอปอลด์ ราพ คนนั้น หากแต่ สิ่งที่หยางรู้สึกติดใจอยู่คือ ประวัติที่มาและแหล่งเงินทุนของนายคนนั้นค่อนข้างลึกลับและเป็นที่เปิดเผยน้อยมาก หยางซึ่งพลาดโอกาสจะเป็นนักประวัติศาสตร์ ได้ตั้งข้อสังเกตในประเด็นของเฟซานไว้ว่า เป็นไปได้ไหมที่จะมีใครบางคนหรือองค์กรใดบางองค์กร ที่อยู่เบื้องหลังของนายร้าพและสั่งให้ร้าพสร้างเฟซานขึ้นมาด้วยวัตถุประสงค์อะไรบางอย่าง แต่อย่างไรก็ตาม หยางก็ไม่เคยบอกข้อสังเกตของตนนี้ให้กับใครอื่นฟัง

“เจ้าหมาจิ้งจอกสีดำแห่งเฟซานดูท่าจะสนใจตัวนายอยู่นะ เผลอ ๆ อาจจะมาเจรจาดึงตัวไปอยู่ด้วยก็ได้”

“น้ำชาที่เฟซานจะอร่อยไหมเนี่ย”

“ท่าทางจะปรุงรสด้วยความกลิ้งกลอกนะสิไม่ว่า... ว่าแต่ เป็นไงบ้างล่ะ ทุกอย่างดำเนินไปตามกำหนดการดีไหม?”

“โอกาสที่เรื่องต่าง ๆ จะดำเนินไปตามกำหนดการน่ะ ไม่ค่อยมีหรอกครับ แต่... ถึงอย่างนั้นก็ตาม ก็ต้องสร้างกำหนดการแหละเน้อ...”

หยางตอบเพียงแค่นั้น แล้วก็ลุกขึ้นยืน งานกองใหญ่ยังรอเขาอยู่

กองยานรบที่ 13 นั้น ไม่เพียงแต่มีจำนวนยานรบและนายทหารประจำการน้อยเป็นครึ่งเดียวของกองยานรบอื่นเท่านั้น นายทหารน้อยใหญ่ที่สังกัดกองยานรบนี้ ยังเป็นพวกพ่ายศึกจากแอสทาเท คือพวกที่มาจากกองยานรบที่สี่และที่หกเดิม นอกนั้นก็เป็นทหารใหม่ที่ไม่มีประสบการในการออกรบเลยอีกด้วย แถมผู้บัญชาการกองยานรบนี้ก็ยังเป็นไอ้เด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอีก ... บรรดาผู้การ (ผู้บัญชาการกองยานรบ) คนอื่น ๆ พอได้ยินข่าวนี้เข้า ล้วนแล้วแต่ตกตะลึง, ปลงสังเวช แล้วสุดท้ายก็หัวเราะขำกันถ้วนหน้า และหยางก็รู้ดีถึงท่าทีของพวกนั้น ว่า พากันนินทาทำนองว่า นี่เหมือนกับจะให้เด็กทารกที่ยังนุ่งผ้าอ้อมอยู่เลย ไปสู้กับสิงโตกระนั้นแหละ ท่าทางจะดูไม่จืด คนที่สั่งงานนี้ก็บ้า คนรับงานก็ท่าทางจะบ้าพอกัน...

หยางเองก็ไม่ได้โกรธหรือนึกเคืองคนที่นินทาเช่นนั้นเลย เพราะเขาเองก็ตระหนักดีว่า คนที่ฟังข่าวเรื่องนี้แล้วสามารถทำใจให้เชื่อได้ว่ายุทธการครั้งหน้านี้จะสำเร็จละก็... คงจะเป็นคนมองโลกแง่ดีแบบสุดกู่เท่านั้นกระมัง

แต่ก็มีอยู่บุคคลผู้หนึ่งเท่านั้น ที่ช่วยแก้ต่างให้กับหยาง นั่นคือ ท่านผู้บัญชาการกองยานรบที่ห้า พลโทบิวค็อก คนผู้นี้เป็นชายชราวัยเจ็ดสิบ ผมขาวโพลนหวีแบบลวก ๆ และเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นคนหัวแข็งและขวานผ่าซาก เวลาที่นายทหารหนุ่ม ๆ อย่างเช่นรุ่นของหยางเดินสวนกับแก แล้วทำวันทยาหัตถ์ให้ แกก็ทำหน้าเหมือนกับรำคาญเต็มประดา แต่ก็ยกมือวันทยาหัตถ์ตอบ หากในใจคงไม่แคล้วคิดว่า ‘ไอ้หนุ่มพวกนี้ใครวะ มายุ่งกับตู’ อยู่เป็นแน่ ได้ยินมาว่า ตอนที่พวกบรรดาผู้การรุ่นไล่เลี่ยกันกำลังนั่งนินทาเรื่องของกองยานรบที่ 13 และเรื่องของหยางอย่างเมามันอยู่ในสโมสรนายทหารชั้นสูง ‘ไวท์สตัก’ (คลับกวางขาว) อยู่นั้น คุณลุงอันตรายผู้นี้ก็ส่งเสียงขัดขึ้นมาว่า

“ที่นินทากันอยู่นี่ ระวังจะหน้าแตกกันทีหลังเน้อพวกคุณ พวกคุณเห็นต้นกล้าเล็ก ๆ ต้นนึง แล้วก็หัวเราะว่ามันเตี้ย ๆ แต่วันหลังมาดูอีกทีมันอาจจะกลายเป็นต้นไม้ใหญ่แล้วก็ได้ ใครจะไปรู้!”

แสบสันต์ดีแท้... ว่ากันว่า พวกที่นั่งนินทากันอยู่พากันจ๋อยไปทันที แต่ละคนคงจะเพิ่งนึกถึงความสามารถของหยางขึ้นมาได้ ทั้งผลงานในศึกแอสทาเทที่ผ่านมา และผลงานก่อนหน้านั้นอีก ด้วยคำพูดของนายทหารเฒ่าผู้นี้ ทำให้พวกนั้นหมด ‘มู้ด’ ไปตาม ๆ กัน พากันดื่มเหล้าของตนจนหมดแก้ว แล้วแยกย้ายกันกลับ ด้วยสีหน้าเจื่อน ๆ

แต่หยางเองก็ไม่คิดจะไปกล่าวขอบคุณบิวค็อกเลยแม้แต่น้อย เพราะรู้ดีว่า ขืนทำอย่างนั้น มีหวังโดนทำเสียงฮึใส่ด้วยความรำคาญแน่นอน

แต่ถึงจะตัดเสียงคัดค้านนินทาจากบรรดาผู้การคนอื่น ๆ ไปได้แล้วก็ตาม ภารกิจของหยางก็ใช่ว่าจะง่ายขึ้นแต่อย่างไร มันก็ยังคงความหนักหน่วงเท่าเดิมนั่นแหละไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ถึงยังไง เขาก็ต้องนำทัพที่ประกอบด้วย ‘กองยานรบครึ่งกอง’ ซึ่ง เท่ากับ นายทหารพ่ายศึกผสมกับทหารใหม่ ๆ ซิง ๆ ไปตีป้อมปราการอิเซลโลนอันมีกิตติศัพท์เลื่องลือว่าไม่มีวันแตกนั้นอยู่ดี

หยางเดินเรื่องมาถึงการแต่งตั้งกองบัญชาการกองยานรบของเขา สำหรับตำแหน่งรองผู้บัญชาการกองยานรบนั้น เขาหมายตาไว้แล้วว่าจะมอบให้พลจัตวาฟิชเชอร์ซึ่งรบอย่างเต็มความสามารถกับกองยานรบที่สี่ในศึกแอสทาเทที่ผ่านมา และเลือกพลจัตวามุระอิซึ่งเป็นคนที่ค่อนข้างหัวเก่าและเคร่งระเบียบ แต่ก็แม่นยำในด้านทฤษฎีและวิธีการต่าง ๆ มาเป็นเสนาธิการ ส่วนรองเสนาธิการประจำกองยานรบ ก็เลือกพันเอกปาตริเชฟ

สิ่งที่คาดหวังจากมุระอินั้น ก็คงจะให้ชายผู้นี้คอยเสนอความเห็นที่เป็นหลักการ เพื่อหยางจะได้ใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงได้ สำหรับปาตริเชฟก็คาดหวังบุคลิกอันองอาจเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเขา เพื่อให้ช่วยเป็นคนปลุกขวัญกำลังใจของทหารในกองยานรบ และสุดท้ายสำหรับฟิชเชอร์นั้น หยางคาดหวังในฝีมือการควบคุมจัดการกองยานรบของนายทหารผู้นี้เป็นอย่างมาก

ที่กล่าวมาข้างต้น จัดว่าเป็นการจัดสรรกำลังที่หยางค่อนข้างพึงพอใจ พอมาถึงตำแหน่งนายทหารผู้ช่วยของเขาเอง หยางก็ลองออกสเปกไปกับพลตรีแคสเซิร์นแบบถ้าได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่มีอะไรจะเสียว่า “ขอเป็นนายทหารหนุ่ม ๆ ที่มีพรสวรรค์หน่อย” แล้วก็ได้รับคำตอบจากอีกฝ่ายว่า “ได้แล้วคนนึง เป็นเด็กจบรุ่นปี 794 ด้วยคะแนนเป็นที่สองของรุ่น ท่าทางจะเก่งกว่านายเยอะเลยว่ะ ตอนนี้สังกัดอยู่กองวิเคราะห์ข้อมูลของกองบัญชาการทหารสูงสุด”

และผู้ที่มารายงานตัวต่อหน้าหยาง กลับเป็นหญิงสาวแรกรุ่นแสนสวยคนหนึ่ง ซึ่งมีผมสีทองออกโทนน้ำตาลและนัยน์ตาสีเฮเซล (น้ำตาลอ่อน) ความงามของเจ้าหล่อนถึงขนาดที่ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกว่าเครื่องแบบทหารสีดำที่ประดับแซมด้วยสีขาวงาช้างที่หล่อนสวมใส่อยู่ดูจะกลายเป็นชุดสวยไปด้วยกระนั้น หยางเอง ตอนที่พบกันครั้งแรกถึงกับถอดแว่นกันแดดที่ตนสวมอยู่ออก แล้วจ้องมองอีกฝ่ายอย่างตกตะลึง

“ดิฉันร้อยโทเฟรดเดอริกา กรีนฮิลล์ค่ะ ได้รับคำสั่งให้มาปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ช่วยของท่านพลตรีหยางตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปค่ะ”

นั่นคือประโยคทักทายที่หล่อนกล่าวกับเขา
1051-yang-frederica.jpg

หยางสวมแว่นกันแดดกลับอีกครั้งเพื่อซ่อนสีหน้าของตน พลางนึกในใจว่า ผู้ชายที่ชื่อ อเล็กซ์ แคสเซิร์นนี่จะต้องเป็นพวกอสูรเจ้าเล่ห์ปลอมตัวมาโดยซ่อนหางแหลม ๆ ไว้ใต้กางเกงสแลคของตนอย่างแนบเนียนแน่เลย เพราะหญิงสาวตรงหน้า ที่จริงแล้วก็คือ บุตรีคนเดียวของรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด พลเอก ดไวท์ กรีนฮิลล์นั่นเอง และเป็นที่เลื่องลือกันว่า หล่อนเป็นผู้มีความจำเป็นเลิศ

และสรุปแล้ว การจัดสรรกำลังเข้าประจำกองยานรบที่ 13 ก็ถึงจุดลงตัวด้วยประการฉะนี้
(อ่านตอนต่อไป)

หมายเหตุ

ซาลกัสโซ.... เข้าใจว่า มาจากคำว่า ซาลกัสโซซี Salgaso Sea ... ในที่นี้ คงหมายถึงพื้นที่อันตรายในห้วงอวกาศที่เต็มไปด้วยเทหวัตถุอันตรายลอยอยู่เต็มไปหมด (เหมือนที่สิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ลอยตายเต็มไปหมดอยู่ในน้ำทะเล) .....ที่เขียนมานี่เดาจากข้อมูลอันน้อยนิดเท่าที่เปิดในเน็ตนะครับ ในต้นฉบับไม่ได้อธิบายไว้เลยว่าทำไมใช้คำนี้แปลว่าสุสาน
ลองดูข้อมูลจากเวบ Glossary of Oceanography เขาว่างี้
aguaje
A condition observed annually in the coast water off Peru in which the water is discolored red or yellow and there is a significant loss of marine life. It typically occurs from April through June and is probably caused by an increase in water temperatures via the importation of warmer waters by ocean currents. This causes the death of temperature sensitive marine organisms such as dinoflagellates, which may in turn kill other organisms via the release of toxins. The annual nature of this phenomenon makes it distinct from the El Nino phenomenon occurring in the same region. This is also known as salgaso or aqua enferma.

กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป 1