นวนิยายแฟนตาซีอวกาศเรื่องยาว

วีรบุรุษทางช้างเผือก銀河英雄伝説

เรื่อง โดย ทะนะกะ โยะชิกิ (田中芳樹) แปลโดย Pae

บทที่ 5 ยุทธการยึดป้อมอิเซลโลน
-2-


วันที่ 27 เมษายน ปีสากลอวกาศที่ 796 พลตรีหยาง เหวินหลี่ ผู้บัญชาการกองยานรบที่ 13 แห่งกองทัพสมาพันธ์ดาวเคราะห์เสรี ก็ออกเดินทางจากดาวไฮเนสเซน เพื่อปฏิบัติภารกิจในยุทธการยึดป้อมอิเซลโลน

แต่ในข้อมูลที่เปิดเผยกับสาธารณชนไว้นั้น ระบุเพียงว่า ภารกิจแรกสุดของกองยานรบที่ 13 คือ การซ้อมรบใหญ่ ณ บริเวณหมู่ดาวไกลโพ้นในแดนสมาพันธ์เอง ซึ่งอยู่ทิศตรงกันข้ามกับชายแดนด้านจักรวรรดิเลยด้วยซ้ำ (โดยเอาดาวไฮเนสเซนเป็นจุดศูนย์กลาง) ดังนั้น การเดินทางของกองยานรบที่ 13 ในช่วงแรกจึงเป็นการเดินทางไปยังจุดมุ่งหมายปลอม ๆ ก่อน โดยขับเคลื่อนกองยานรบด้วยวิธีพัลซ์วาร์ป ด้วยความเร็ว 50 c (ความเร็วแสง) เป็นเวลาสามวันไปในทิศตรงกันข้ามกับป้อมอิเซลโลน จากนั้นก็ค่อยตั้งทิศทางการเดินยานอวกาศกันใหม่ มุ่งหน้ากลับมาทางชายแดนที่ติดกับจักรวรรดิ หลังจากผ่านการวาร์ปยาว 8 ครั้ง และวาร์ปสั้นอีก 11 ครั้ง พวกเขาก็มาปรากฏตัวในช่องแคบอิเซลโลนในที่สุด

“ไม่เลว ๆ เดินทาง 4000 ปีแสง ด้วยเวลา 24 วันนี่นะ”

หยางพูดพึมพำกับตัวเอง แต่ที่จริงแล้ว ผลงานแค่นี้ไม่ใช่แค่ “ไม่เลว” หรอก หากต้องเรียกว่า สุดยอดเลยด้วยซ้ำ เพราะกองยานรบซึ่งเพิ่งจัดตั้งขึ้นนี้ สามารถเดินทางมาจนถึงจุดหมายได้โดยไม่มียานลำใดพลัดหลงหล่นหายไประหว่างทางเลยแม้แต่ลำเดียว ทั้งนี้ ทั้งหมดล้วนต้องยกให้เป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของพลจัตวาฟิชเชอร์ รองผู้บัญชาการกองยานรบที่ได้แสดงความสามารถในการควบคุมสั่งการกองยานรบให้เป็นที่ประจักษ์กันว่าเขาแน่แค่ไหน

“กองยานรบที่ 13 ของเรามียอดฝีมือด้านนี้อยู่แล้วนี่”

หยางพูดไว้แค่นั้น แล้วที่เหลือก็มอบหมายให้อีกฝ่ายจัดการหมดเลย ตัวเองมีหน้าที่แค่คอยพยักหน้าอนุมัติคำสั่งลูกเดียว -_-'

ในหัวสมองของหยาง ตอนนี้เขามีประเด็นที่ต้องใส่ใจเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น คือ ปฏิบัติการยึดป้อมอิเซลโลนนี่แหละ จำได้ว่าตอนที่เปิดเผยแผนการของเขาให้กับกองบัญชาการกองยานรบ ซึ่งก็ประกอบด้วยนายทหารทั้งสามคนคือ ฟิชเชอร์, มุระอิ และปาตริเชฟ ปฏิกริยาของทั้งสามคนคือ ใบ้กิน

ทั้งฟิชเชอร์ นายทหารที่เริ่มเข้าวัยชรา เจ้าของผมสีเงินและหนวดสีเดียวกัน, มุระอิซึ่งเดิมก็เป็นคนคร่ำครึอยู่แล้ว และปาตริเชฟ เจ้าของร่างอันบึกบึนจนชุดเครื่องแบบที่ใส่อยู่แทบปริ และใบหน้ากลมไว้ผมจอนยาว ล้วนได้แต่จ้องมองผู้บัญชาการกองยานรบอย่างเงียบ ๆ อยู่เช่นนั้น

“ถ้าแผนการล้มเหลวขึ้นมา จะทำยังไงหรือครับ?”

มุระอิถามขึ้นด้วยคำถามที่สมควรถามเป็นอย่างยิ่ง หลังจากอึ้งไปพักใหญ่

“ก็ม้วนหางวิ่งหนีกลับไฮเนสเซนนะสิ”

“แต่...”

คำว่า ‘หนี’ ไม่ใช่คำพูดของทหารผู้มีเกียรตินั่นเอง นี่คือความเห็นของมุระอิ

“ไม่ต้องคิดมากหรอก มันผิดตั้งแต่แรกอยู่แล้วที่คิดจะให้ตีป้อมอิเซลโลนให้แตกด้วยกองยานรบครึ่งกองน่ะ พวกคุณไม่ต้องรับผิดชอบอะไรทั้งนั้นแหละ คนที่จะต้องเอาปี๊บคลุมหัวเวลาที่ยุทธการนี้ล้มเหลว มีแค่สองคนก็พอ คือ ผมกับท่านผบ. ซิทเลย์ต่างหาก”

หลังจากให้ทั้งสามคนกลับออกไปแล้ว หยางก็เรียกร้อยโทเฟรดเดอริกา กรีนฮิลล์ ผู้ช่วยของตนเข้ามา

ในฐานะที่เป็นผู้ช่วยของเขา ที่จริงแล้ว เฟรดเดอริกาได้รับฟังแผนการของหยางก่อนหน้านายทหารสามคนนั้นเสียอีก หากแต่หลังจากทราบแผนของผู้บัญชาการหนุ่มแล้ว หญิงสาวกลับไม่มีทีท่าสงสัยหรือคัดค้านเลย ไม่แม้แต่จะแสดงสีหน้าลังเลสงสัยแม้แต่น้อย แต่กลับแสดงความมั่นใจอย่างเต็มที่ว่า หยางจะต้องทำสำเร็จแน่ เผลอ ๆ หล่อนอาจจะดูมั่นอกมั่นใจยิ่งกว่าเจ้าของแผนเสียอีกด้วยซ้ำ

“ทำไมคุณถึงมั่นใจได้ขนาดนั้นนะ?”

หยางถามเองก็นึกแปลกใจเอง ว่าทำไมเขาต้องถามคำถามนี้ด้วย รู้สึกว่าเขาซึ่งเป็นเจ้าของแผนแท้ ๆ ยังมีความมั่นใจไม่เท่าหล่อนเลย

“เพราะเมื่อแปดปีก่อน ผู้การก็ทำสำเร็จเหมือนกันไงคะ ยุทธการเอลฟาซิลน่ะค่ะ”

“มันก็ใช่แต่... มันไม่ได้เป็นหลักประกันว่าครั้งนี้ก็จะต้องสำเร็จด้วยนี่ครับ”

“แต่ในตอนนั้น ผู้การประสบความสำเร็จในการปลูกฝังความเชื่อมั่นอย่างสูงสุดไว้ในใจของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งค่ะ”

“...?”

ทหารหญิงผมทองน้ำตาลคนงาม มองหน้าเจ้านายของตนตรง ๆ พลางสาธยายต่อ

“บังเอิญคุณแม่พาดิฉันกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดที่นั่นพอดีน่ะค่ะ ดิฉันยังจำได้ติดตา ถึงภาพของร้อยโทหนุ่มคนนั้นที่เป็นผู้ควบคุมขบวนลี้ภัยจากเอลฟาซิลอย่างอดหลับอดนอน ขนาดที่ว่าแม้แต่เวลาจะรับประทานอาหารก็ยังไม่มี ต้องยืนกัดกินแซนด์วิชไปขณะที่คอยสั่งงาน แต่... รู้สึกว่าร้อยโทคนนั้นจะลืมเด็กผู้หญิงอายุสิบสี่คนหนึ่งที่ยื่นกาแฟใส่ถ้วยกระดาษให้เขาดื่ม ตอนที่เขาสำลักแซนด์วิชติดคอไปแล้วสินะคะ”

“...”

“รวมทั้งคำพูดที่เขาพูดหลังจากดื่มกาแฟนั้นช่วยชีวิตแล้ว ก็คงลืมไปด้วยกระมังคะ?”

“... เขาพูดว่าอะไรหรือ?”

“บอกว่า น่าจะเป็นน้ำชานะ กาแฟผมไม่ชอบเลย”

หยางเกือบจะหัวเราะออกมา แต่แล้วก็รีบกลั้นไว้ เสไอสองสามทีเพื่อไล่เชื้อหัวเราะออกจากร่าง แล้วพูดว่า

“เอ... หมอนั่นพูดอะไรแย่ ๆ ขนาดนั้นไปจริงหรือเนี่ย”

“พูดค่ะ พูดไปก็ขยำถ้วยกระดาษนั้นไปด้วย”

“เข้าใจแล้ว ขอโทษย้อนหลังก็แล้วกันนะครับ ว่าแต่... คุณน่าจะใช้ความจำของคุณในด้านที่เป็นประโยชน์มากกว่านี้นา...”

หยางพูดเหมือนจะติง แต่ที่จริงก็คงแค่เขินมากกว่า เพราะความจำอันเป็นเลิศของเฟรดเดอริกา ได้รับการพิสูจน์คุณค่ามาเรียบร้อยแล้ว ตอนที่หล่อนสามารถสังเกตเห็นภาพถ่ายที่ผิดปกติหกใบ จากภาพถ่ายของป้อมอิเซลโลนจำนวนถึง 14,000 ใบได้...

1052-yang-frederica.jpg


“ช่วยเรียกพันเอกเชนค็อปมาพบหน่อยครับ”

หยางออกคำสั่งแก่ผู้ช่วยของเขา

...

พันเอกวอลเตอร์ ฟอน เชนค็อปมาปรากฏกายต่อหน้าหยางในอีกสามนาทีถัดมาพอดีไม่ขาดไม่เกิน เขาเป็นหัวหน้ากองกำลัง ‘โรสเซนริตเตอร์’ (กองกำลังอัศวินกุหลาบแดง) ซึ่งสังกัดอยู่ในหน่วยนาวิกโยธินของกองทัพสมาพันธ์ เป็นชายฉกรรจ์อายุราว 30 ปี หน้าตาคมคาย แบบที่มักโดนเพศเดียวกันนินทาลับหลังว่า ‘หน้าตาเจ้าเล่ห์’ เป็นผู้สืบเชื้อสายขุนนางฐานันดรของจักรวรรดิทางช้างเผือกอย่างถูกต้อง ที่จริง หากเขาอยู่ในฝ่ายจักรวรรดิ ป่านนี้คงได้เป็นนายทหารระดับผู้การไปแล้ว

อันว่า กองกำลัง ‘อัศวินกุหลาบแดง-โรสเซนริตเตอร์’ นี้ เป็นกองกำลังรบประชิดตัว (ตะลุมบอน) ซึ่งจัดตั้งขึ้นจากบรรดาลูกหลานของขุนนางชั้นสูงที่ลี้ภัยมาจากจักรวรรดิเป็นหลัก กองกำลังนี้มีประวัติการก่อตั้งมายาวนานถึงครึ่งศตวรรษ และในประวัติอันยาวนานของโรสเซนริตเตอร์นี้ ก็มีทั้งเกียรติยศที่ถูกจารึกด้วยตัวอักษรสีทอง และความอัปยศที่สลักไว้ด้วยตัวหนังสือสีดำปะปนกันอยู่ หัวหน้ากองกำลังนี้มีมาแล้วทั้งหมดสิบสองคน ในบรรดานั้น สี่คนเสียชีวิตระหว่างการรบกับทัพจักรวรรดิ สองคนได้ดิบได้ดีเป็นถึงยศนายพล ก่อนที่จะเกษียณไป ส่วนที่เหลืออีกหกคน ล้วนแล้วแต่หักหลังไปเข้าฝ่ายจักรวรรดิด้วยกันทั้งสิ้น โดยมีทั้งคนที่แอบหนีไปเงียบ ๆ และคนที่สลับเปลี่ยนมิตรและศัตรูระหว่างดำเนินการรบ และวอลเตอร์ ฟอน เชนค็อปผู้นี้เป็นหัวหน้ากองกำลังคนที่สิบสาม

หลายคนกล่าวว่า เลขสิบสามเป็นเลขอัปมงคล เชื่อได้เลยว่าไอ้หมอนี่จะต้องทรยศไปอยู่กับทัพจักรวรรดิแน่ แต่พอถามว่า แล้วทำไมเลขสิบสามถึงเป็นเลขไม่ดี ปรากฏว่ามาถึงยุคนี้แล้วไม่มีใครให้คำตอบที่แท้จริงได้ บ้างก็ว่าเพราะในสมัยก่อน สงครามนิวเคลียร์ครั้งสุดท้ายบนโลกมนุษย์กินเวลา 13 วัน ก่อนที่จะนำไปสู่การยกเลิกการใช้อาวุธนิวเคลียร์ที่อาศัยปฏิกิริยาปรมาณูแบบฟิวชั่นทั้งหมด เพื่อป้องกันมนุษย์สูญพันธุ์ไปจากโลก, บ้างก็ว่า เพราะศาสดาของศาสนาหนึ่งซึ่งหายไปจากจักรวาลแล้ว ถูกสาวกคนที่สิบสามทรยศน่ะสิ แต่สรุปแล้วก็ไม่มีใครทราบแน่ชัด

“ฟอน เชนค็อป มารายงานตัวแล้ว ครับผม!”

น้ำเสียงสุภาพเกินเหตุกับกริยาท่าทางที่ไม่แสดงว่าสำรวมเลย ดูช่างขัดกันจริง ๆ หยางคิดในใจอย่างรวดเร็วขณะที่พินิจมองอดีตชาวจักรวรรดิผู้แก่กว่าตนสาม-สี่ปีผู้นี้ ไม่แน่ บางทีหมอนี่อาจจะจงใจแสดงท่าทางแบบนี้เพื่อลอบสังเกตคู่สนทนาอยู่ก็ได้ ถ้าหลงกลไปเต้นตามหมอไปด้วยมีแต่เหนื่อยเปล่า... เข้าเรื่องของเราดีกว่า

“ผมมีเรื่องจะปรึกษากับคุณหน่อย”

“เรื่องสำคัญหรือครับ”

“สำคัญมั้ง ... เรื่องการตีป้อมอิเซลโลนน่ะ”

สายตาของเชนค็อปมองสเปะสปะไปทั่วห้องอยู่หลายวินาที

“อืมห์ นั่นมันเรื่องสำคัญมาก ๆ เลยนะครับเนี่ย แล้วมาปรึกษากับผู้น้อยอย่างกระผมนี่จะได้เรื่องหรือครับท่าน?”

“ได้สิ เพราะงานนี้ต้องเป็นคุณเท่านั้นถึงจะทำสำเร็จ ฟังให้ดีนะ...”

...

ห้านาทีถัดมา หลังจากฟังคำอธิบายของอีกฝ่ายจบแล้ว นัยน์ตาสีน้ำตาลของเชนค็อปก็ทอประกายประหลาด ดูเหมือนเขากำลังพยายามสะกดอาการตื่นเต้นของตนอย่างเต็มที่

“กล่าวโดยสรุปเลยนะ คุณพันเอก ไอ้ที่ว่ามานี่มันไม่เรียกว่าเป็นกลยุทธหรอก มันจัดเป็นพวกกลอุบาย หรือกลลวงซะมากกว่า”

หยางซึ่งถอดหมวกเบเลต์ของตนออกมาหมุนควงเล่นด้วยนิ้วชี้อย่างไม่ระมัดระวังกริยา กล่าวเสริมขึ้น

“แต่การจะยึดป้อมอิเซลโลนที่ไม่มีวันถูกตีแตกได้นั้น คงมีแต่วิธีนี้เท่านั้นแหละ ถ้าแม้แต่วิธีนี้ก็ไม่สำเร็จแล้วล่ะก็... ผมก็หมดปัญญาแค่นี้เหมือนกัน”

“.......................... ก็ดูเหมือนจะไม่มีวิธีอื่นอีกแล้วแหละครับเนี่ย”

เชนค็อปเอามือลูบคางที่ค่อนข้างแหลมของตนขณะที่ตอบ

“ยิ่งมนุษย์พึ่งพาแสนยานุภาพของป้อมปราการนั่นมากเท่าไร ก็ยิ่งประมาทมากเท่านั้น โอกาสสำเร็จนี่ กระผมมองว่ามีสูงมากครับผม เพียงแต่...”

“เพียงแต่?”

“ถ้ากระผมกลายเป็นคนทรยศคนที่เจ็ดจริงตามข่าวลือขึ้นมาล่ะครับ แผนของท่านก็พังครืนหมดไม่มีชิ้นดีเลย ถึงตอนนั้นท่านจะทำยังไงเล่าครับ?”

“ซวยสิ” จะให้ทำยังไงได้เล่า ^^'

เชนค็อปจ้องมองใบหน้าขึงขังของหยาง แล้วก็แค่นหัวเราะ

“ครับ ซวยแน่ ๆ ... ว่าแต่ท่านจะยอมงอมืองอเท้ารับความซวยเฉย ๆ หรือครับ ไม่คิดหาวิธีแก้ไขหรือป้องกันไว้ก่อน?”

“ไอ้คิดก็คิดอยู่หรอก”

“แล้ว?”

“แต่คิดไม่ออกเลยน่ะสิ... ถ้าคุณทรยศเราเมื่อไหร่ ก็จบเห่กันเมื่อนั้น ผมหมดปัญญาจะทำอะไรต่อไปทั้งนั้นแหละ”

หมวกเบเลต์กระเด็นหลุดจากนิ้วของหยางไปหล่นอยู่บนพื้น อดีตชาวจักรวรรดิหนุ่มก้มตัวลงไปยื่นมือเก็บมันขึ้นมา แล้วก็ปัดฝุ่นสักสองสามทีทั้งที่เห็น ๆ อยู่ว่าไม่มีฝุ่นเลยในห้องนั้น ก่อนจะยื่นคืนให้เจ้าของหมวก

“ขอบใจ”

“ไม่เป็นไรครับ... สรุปก็คือว่า ท่านจะไว้วางใจกระผมเต็มประตูอย่างนั้นหรือครับ?”

“พูดตรง ๆ ผมก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่”

หยางตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ

“เพียงแต่ว่า ถ้าไม่เชื่อใจคุณ ก็พับแผนนี้เก็บได้เลยตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่ม เพราะฉะนั้น ผมต้องเชื่อใจคุณ ไม่มีทางเลือกอื่น”

“เข้าใจแล้วครับผม”

ปากก็พูดไปอย่างนั้น แต่เห็นได้ชัดว่า นายเชนค็อปไม่ได้มีสีหน้าเข้าใจเลยแม้แต่น้อย หัวหน้ากองกำลังโรสเซนริตเตอร์ส่งสายตากึ่งสงสัยกึ่งคาดคั้นมายังผู้บัญชาการหนุ่มอีกครั้ง

“ขอถามอะไรอย่างได้ไหมครับ ผู้การ”

“เชิญ”

“ภารกิจที่ท่านได้รับมอบหมายในครั้งนี้เป็นคำสั่งไร้เหตุผลตั้งแต่ต้นอยู่แล้วนะครับ เล่นจะให้เอากองยานรบครึ่งกอง แถมเป็นกองผสมที่เพิ่งหัดเดินแบบนี้ด้วย ไปตีป้อมปราการอันแข็งแกร่งอย่างอิเซลโลนน่ะครับผม หากท่านจะปฏิเสธไม่รับงานนี้ กระผมเชื่อว่าก็คงไม่มีใครตำหนิอะไรท่านได้ แต่ท่านก็กลับรับภารกิจนี้มา ซึ่งก็พอเข้าใจได้ว่าเพราะท่านมีแผนการนี้อยู่แล้วนั่นเองในแง่ทางปฏิบัติ ทีนี้กระผมอยากทราบว่า เบื้องลึกลงไปล่ะครับ ท่านมีเหตุผลอะไรในการรับปฏิบัติภารกิจครั้งนี้อีก ท่านต้องการชื่อเสียงหรือครับ หรือว่าต้องการเป็นใหญ่?”

สายตาของเชนค็อปทวีความเข้มขึ้นอย่างคาดคั้น

“คิดว่าไม่ใช่เพราะต้องการเป็นใหญ่หรอก”

หยางตอบเอื่อย ๆ เหมือนกับกำลังคุยเรื่องคนอื่นอยู่

“แค่ได้เป็นนายพลก่อนอายุสามสิบนี่ ก็เหลือแหล่แล้ว และที่แน่ ๆ จบภารกิจนี้แล้ว ถ้าผมยังรอดชีวิตอยู่ล่ะก็ ผมตั้งใจไว้แล้วว่าจะลาออก”

“ลาออก?... หรือครับ”

“ใช่... ก็... เงินบำนาญก็ได้นะ เงินชดเชยตอนลาออกก็ยังได้อีก เข้าใจว่าจำนวนเงินน่าจะมากพอที่จะให้ผมกับใครอีกสักคนใช้ชีวิตได้สบาย ๆ ไปเรื่อย ๆ เลยล่ะ”

“ท่านพูดว่าจะลาออก ภายใต้ ‘สถานการณ์’ อย่างนี้น่ะหรือครับ?”

หยางยิ้มให้กับน้ำเสียงของเชนค็อปที่บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าไม่เชื่อ

“นั่นแหละ ๆ ไอ้ ‘สถานการณ์’ ที่คุณว่านั่นแหละ คือพอยนท์สำคัญล่ะ ลองคิดดู ถ้าป้อมปราการถูกยึดมาอยู่ในมือของกองทัพเรา ก็หมายความว่า กองทัพจักรวรรดิสูญเสียเส้นทางการเดินทัพเพียงเส้นทางเดียวในการมาบุกตีสมาพันธ์ใช่ไหม? ทีนี้ ตราบใดที่ฝ่ายสมาพันธ์เราเอง ไม่ทำอะไรโง่ ๆ อย่างเช่น บุกไปตีดินแดนจักรวรรดิซะเองล่ะก็ การประทะกันระหว่างทั้งสองฝ่ายก็จะไม่เกิดไปอีกนานล่ะ อย่างน้อยก็จะไม่มีสงครามระดับใหญ่ ๆ อีกล่ะนะ”

“...”

“ที่เหลือก็... ขึ้นกับฝีมือทางการทูตของรัฐบาลสมาพันธ์ล่ะนะ อาศัยการที่เราสร้างฐานที่มั่นทางการทหารใหม่นี้ได้ จากนั้นก็เจรจาต่อรองทำสัญญาสันติภาพ ด้วยเงื่อนไขที่น่าพึงพอใจสำหรับฝ่ายเรา หากทำสำเร็จล่ะก็ ผมก็ลาออกได้อย่างสบายใจ จริงไหม?”

“แต่ ไอ้สันติภาพที่ท่านว่านั่น มันจะอยู่ตลอดไปหรือครับผม?”

“ในประวัติศาสตร์มนุษยชาติก็ไม่เคยปรากฏว่ามีสันติภาพอย่างถาวรอยู่แล้ว สิ่งที่ผมต้องการเพียงแค่ระยะเวลาอันสงบสุขสักยี่สิบสามสิบปีเท่านั้นก็พอแล้วล่ะ หากมนุษย์เราต้องทิ้งมรดกไว้ให้รุ่นต่อไปล่ะก็ สิ่งที่ดีที่สุดก็น่าจะเป็นสันติภาพนี่แหละ แล้วคนรุ่นต่อไปเมื่อได้รับสันติภาพเป็นมรดกสืบทอดมาแล้ว พวกเขาก็มีหน้าที่ต้องรักษามันไว้ให้รุ่นต่อ ๆ ไปอีกที ถ้ามนุษย์แต่ละรุ่นมีความรับผิดชอบต่ออนาคตของรุ่นถัดไปแบบนี้ไปเรื่อย ๆ สันติภาพอย่างถาวรก็จะเกิดขึ้นมาเอง แต่ถ้ามีรุ่นไหนสักรุ่นที่ไม่รักษาสันติภาพไว้ ก็เหมือนกับว่าเขาใช้มรดกสืบทอดนั้นจนหมด แล้วต้องเริ่มต้นจากศูนย์ใหม่ ... ซึ่งก็ไม่เห็นเป็นไรนี่นะ”

หยางโปะหมวกเบเลต์ของตนขึ้นบนศีรษะ หลังจากควงมันเล่นมานานพอแล้ว

“ความคาดหวังของผมก็คือ สันติภาพในช่วงอีกหลายสิบปีข้างหน้านี่แหละครับ ต่อให้มันเป็นแค่เวลาสั้น ๆ ก็ตามก็ยังดีกว่าช่วงเวลาสงครามสักปีเดียวเป็นหลายหมื่นหลายล้านเท่าอย่างแน่นอน .... พูดให้แคบลงอีกนะ ที่บ้านผมมีเด็กผู้ชายอายุสิบสี่อยู่คนนึง ผมไม่ต้องการเห็นเขาต้องถูกส่งตัวไปสนามรบในยามที่เขาโตขึ้น ก็เท่านั้นเอง”

หยางหุบปากของตนลงสนิทหลังจากกล่าวอย่างยืดยาว ความเงียบเข้าปกคลุมห้องนั้นอีกครั้ง แต่คราวนี้เพียงช่วงสั้น ๆ เท่านั้น

“ขอประทานโทษเถิดครับ ผู้การ กระผมว่า ถ้าท่านไม่ใช่คนใสซื่อบริสุทธิ์ที่จริงใจแบบสุด ๆ ล่ะก็ ท่านก็คงจะต้องเป็นนักตอแหลผู้ยิ่งใหญ่นับตั้งแต่ยุคของมหาจักรพรรดิลูดอร์ฟมาเลยทีเดียวเชียวแหละครับผม”

เชนค้อปยิ้มเหยียดเต็มใบหน้า

“เอาเป็นว่า เข้าใจแล้วครับ ท่านได้กรุณาตอบกระผมอย่างเกินกว่าที่กระผมคาดหวังไว้เสียอีก และคราวนี้ก็เป็นทีของกระผมจะตอบสนองความคาดหวังของท่านบ้าง... เพื่อสันติภาพชั่วนิรันดร์กาล นะครับผม”

ทั้งสองคนต่างไม่มีนิสัยจับมือกับคู่สนทนาเพื่อแสดงความยินดีหรือความจริงใจกันทั้งคู่ ดังนั้น การสนทนาในเบื้องต้นของพวกเขาจึงจบเพียงเท่านี้ หลังจากนั้นก็เป็นการหารือและซักซ้อมปรับแก้ในรายละเอียดทางปฏิบัติต่อ
(อ่านตอนต่อไป)

หมายเหตุ

หน่วยนาวิกโยธิน ในที่นี้ หมายถึงหน่วยรบเฉพาะกิจแบบหน่วยคอมมานโด หรือหน่วยรุกเร็ว มีหน้าที่เข้ารบด้วยปืนประจำกาย และการรบแบบประชิดตัว... ซึ่งเดี๋ยวต่อไปในเรื่องจะมีฉากให้เห็นว่า เป็นการรบโดยใช้ “ขวานศึก” เข้าห้ำหั่นกันครับ เหมือนสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 ที่พอรบยิงกระสุนใส่กันจนหมดแล้วก็ติดดาบปลายปืนเข้าลุย
และอย่างที่กล่าวในเรื่อง.... หน่วยนาวิกโยธินของฝ่ายสมาพันธ์ที่ขึ้นชื่อ คือ กองกำลังโรสเซนริตเตอร์ หรือ อัศวินกุหลาบแดง ที่นำโดยเชนค็อปผู้นี้

กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป 1