นวนิยายแฟนตาซีอวกาศเรื่องยาว

วีรบุรุษทางช้างเผือก銀河英雄伝説

เรื่อง โดย ทะนะกะ โยะชิกิ (田中芳樹) แปลโดย Pae

บทที่ 5 ยุทธการยึดป้อมอิเซลโลน
-4-


กองเรือรบประจำป้อมปราการอิเซลโลนแห่งกองทัพจักรวรรดิ ยังคงไล่ล่าหาศัตรูอยู่ในช่องแคบอิเซลโลนอันเต็มไปด้วยเทหวัตถุอันตรายและสิ่งกีดขวาง

บรรดานายทหารสื่อสารทั้งหลายต่างพยายามติดต่อสื่อสารกับทางป้อมปราการอย่างลำบากยากเย็น แต่แล้วในที่สุด พวกเขาก็หน้าถอดสี พลางตะโกนเรียกหาผู้บัญชาการกองเรือรบอย่างตื่นตระหนก ทั้งนี้เนื่องจาก สารที่พวกเขารับได้ หลังจากพยายามตัดเอาคลื่นรบกวนอันหนาแน่นในช่องแคบออกไปแล้วก็คือ ข่าวจากป้อมปราการอิเซลโลนที่ว่า “ทหารส่วนหนึ่งก่อความไม่สงบ ให้รีบกลับมาช่วยปราบด่วน!” นั่นเอง

“อะไรนะ? เกิดความไม่สงบขึ้นในป้อมกระนั้นหรือ?!!!”

เซกต์ทำเสียงจึกจักในปากอย่างไม่สบอารมณ์

“ให้ตายเถิด แค่ปกครองลูกน้องให้อยู่ในโอวาทก็ทำไม่ได้แล้วหรือนี่ ไอ้เจ้าสต็อกเฮาเซ่นที่ไร้ความสามารถเอ๋ย!”

บ่นไปอย่างนั้นก็จริง แต่เมื่อนึกได้ว่า อีกฝ่ายถึงกับยอม ‘ลดตัว’ มาขอความช่วยเหลือถึงขนาดนี้แล้วละก็... เขาก็อดรู้สึกสะใจอยู่ในใจไม่ได้ ยิ่งเมื่อคิดว่า นี่เป็นโอกาสดีที่จะสร้างบุญคุณให้กับอีกฝ่ายด้วยแล้ว เขาก็ยิ่งรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นเป็นพิเศษ

“เอาล่ะ ถ้าเช่นนั้นภารกิจเฉพาะหน้าของเราก็ควรจะเป็นการดับไฟในบ้านก่อนละนะ เรือรบทั้งหมด หันหัวเรือกลับป้อมอิเซลโลน ณ บัดนี้!”

ทันใดนั้นเอง ก็มีผู้ทักท้วงคำสั่งของเขาว่า

“เดี๋ยวก่อนขอรับ ใต้เท้า”

น้ำเสียงที่เรียบ ๆ จนรู้สึกน่าสะพรึงกลัวนั้นมีผลทำให้บรรยากาศในห้องทวีความตึงเครียดขึ้นทันที เซกต์มองหน้าของนายทหารที่ก้าวเท้าออกมายืนต่อหน้าตนแล้ว ก็ตีสีหน้าที่แสดงถึงความรังเกียจและความไม่พอใจอย่างชัดเจน ศีรษะที่ถูกแซมประดับด้วยผมขาวโพลนไปเกินครึ่งอย่างนี้ ใบหน้าสีขาวจนซีดอย่างนี้ เจ้าพันเอกโอแบร์สไตน์อีกแล้วรึนี่!

“ข้าพเจ้าจำได้ว่า ไม่ได้ถามความเห็นของเจ้าเลยนะ พันเอก!”

“ข้าฯน้อยตระหนักดีขอรับ แต่ก็ยังคงขออนุญาตพูดขอรับ”

“... เจ้าจะพูดอะไรรึ?”

“ข้าฯน้อยเห็นว่า นี่เป็นกับดักขอรับ เราไม่ควรจะกลับไปป้อมในตอนนี้จะดีกว่าขอรับ”

“...”

ผู้บัญชาการกองเรือรบถลึงสายตาจ้องมองลูกน้องที่น่ารังเกียจที่พูดเรื่องน่ารังเกียจด้วยน้ำเสียงน่ารังเกียจคนนี้อย่างเงียบ ๆ ด้วยสีหน้าที่แสดงถึงความไม่พอใจอย่างสูงสุด พลางเอามือลูบคางของตน

“รู้สึกว่า ในสายตาของเจ้านี่ อะไร ๆ ก็จะดูเป็นหลุมพรางเป็นกับดักไปหมดนะ”

“แต่ กรุณาฟังข้าฯน้อยก่อนขอรับ ใต้เท้า”

“ไม่ต้องแล้ว เรือรบทั้งหมด หันหัวเรือกลับป้อมอิเซลโลน เคลื่อนขบวนด้วยความเร็วรบระดับสอง นี่เป็นโอกาสอันดีที่พวกเราจะได้สร้างบุญคุณกับไอ้พวก ‘ตุ่นอวกาศ’ แล้ว รีบไปกันเถิดพวกเจ้า!”

แผ่นหลังอันกว้างใหญ่บึกบึนนั้น เคลื่อนตัวห่างออกไปจากโอแบร์สไตน์อย่างไม่สนใจอีกต่อไป

“หึ เด็กที่เอาแต่ใจตัวเองโดยไม่รู้จักว่าความกล้าหาญที่แท้จริงคืออะไร... ไม่ได้เรื่อง”

โอแบร์สไตน์บ่นพึมพำด้วยน้ำเสียงดูถูก แล้วเขาก็หันหลังเดินออกไปจากสะพานเรือ (ห้องบัญชาการของเรือ) นั้น โดยที่ไม่มีผู้ใดห้ามปรามแม้แต่คนเดียว

เขาเดินไปขึ้นลิฟต์ซึ่งใช้สำหรับทหารระดับนายทหารโดยเฉพาะ หลังจากเครื่องพิสูจน์เสียงมนุษย์ทำงานของมันแล้ว โอแบร์สไตน์ก็ก้าวเข้าไปในลิฟต์นั้น แล้วบังคับให้มันเลื่อนลงไปในชั้นล่างสุดของเรือรบลำยักษ์ซึ่งมีขนาดเทียบเท่ากับตึกถึง 60 ชั้น


“กองเรือรบข้าศึก เข้ามาในระยะยิงแล้วครับผม”

“ปืนใหญ่ประจำป้อม ชาร์จพลังงาน เรียบร้อยแล้วครับผม”

“เล็งล็อคเป้าหมายเรียบร้อย พร้อมยิงได้ทุกเมื่อครับผม”

ขณะนี้ หยางนั่งอยู่บนโต๊ะบัญชาการซึ่งเดิมเป็นของสต็อกเฮาเซน ย้ำอีกครั้งว่า เขานั่ง ‘บน’ โต๊ะจริง ๆ คือ ไม่ได้นั่งอยู่ที่เก้าอี้ หากแต่ปีนขึ้นไปบนโต๊ะบัญชาการ แล้วนั่งขัดสมาธิอยู่อย่างไม่สำรวมกิริยาอยู่บนนั้น พลางจ้องมองบรรดาจุดแสงสว่างที่กำลังเคลื่อนใกล้เข้ามาทุกขณะจนเต็มจอภาพขนาดยักษ์ไปหมด ในที่สุด เขาก็สูดสายใจลึก ๆ ทีหนึ่ง ก่อนจะออกคำสั่งว่า

“ไฟเออร์! (ยิง!)”

เสียงสั่งการของหยางไม่ถึงกับดังมากนัก แต่มันก็ถูกถ่ายทอดผ่านเฮดโฟนไปให้บรรดาพลปืนได้ยินอย่างชัดเจนถ้วนหน้า

สวิทช์ถูกกดลงไป!...

และบรรดาพลปืนเหล่านั้นก็ได้เห็น... ลำแสงสีขาวที่เปี่ยมไปด้วยพลังงานมหาศาลถูกยิงปล่อยเข้าใส่ฝูงจุดแสงสว่างเหล่านั้นอย่างกระหายเลือด ช่างเป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวโดยแท้

เรือรบบริเวณกองหน้าของทัพจักรวรรดิจำนวนกว่าร้อยลำซึ่งถูกกลุ่มของลำแสงที่ยิงจากปืนใหญ่ประจำป้อมนี้เข้าไปโดยตรง ถึงกับสูญสลายหายไปในพริบตาเดียว ทั้งนี้ ความร้อนที่สูงยิ่งและพลังงานที่อัดแน่นในลำแสงนั้นนั่นเอง ที่ไม่ผ่อนผันให้แม้แต่เวลาสำหรับเรือเหล่านั้นจะใช้ในการระเบิดเลย และหลังจากสสารที่เป็นทั้งอินทรียวัตถุก็ดี หรืออนินทรียวัตถุก็ดี ถูกสลายหายไปในความร้อนนั้นแล้ว สิ่งที่เหลือก็เกือบจะเรียกได้ว่า เป็นความว่างเปล่าล้วน ๆ

บริเวณที่เกิดการระเบิดขึ้น คือ บรรดากองเรือรบที่อยู่ด้านหลังถัดไป และบรรดากองหน้าที่อยู่รอบ ๆ บริเวณที่ถูกแสงเข้าโดยตรง และในรัศมีที่ห่างไกลออกไปอีก บรรดาเรือรบน้อยใหญ่ที่ไม่ระเบิด ต่างก็ถึงกับสั่นสะเทือนดุจเรือที่ถูกคลื่นซัดกระหน่ำด้วยควันหลงจากแรงระเบิดของเรือรบที่อยู่ใกล้จุดโจมตีของปืนใหญ่มากกว่าพวกตน

ช่องสัญญาณสื่อสารของกองทัพจักรวรรดิ เต็มไปด้วยเสียงร้องตะโกนด้วยความตื่นตระหนกทันที จากบรรดาผู้ที่รอดตายจากการโจมตีครั้งแรกนั้น

“ทำไมมายิงพวกเดียวกันเล่า?!!!”

“ไม่ใช่... นี่สงสัยต้องเป็นฝีมือของไอ้พวกที่ก่อความไม่สงบเป็นแน่...”

“จะทำอย่างไรกันดี พวกเราหลบไม่พ้นปืนใหญ่นั่นหรอกนะ!”

ส่วนภายในป้อมปราการเองนั้น บรรดานายทหารน้อยใหญ่ของสมาพันธ์ต่างก็กำลังกลั้นลมหายใจและน้ำเสียงของตน จ้องมองผลจากการโจมตีด้วยปืนใหญ่ประจำป้อมอย่างตกตะลึง พวกเขาเอง ก็เพิ่งได้ประจักษ์ชัดกับตัวเองในระยะใกล้ ๆ ขนาดนี้ ถึงอานุภาพอันร้ายแรงของปืนใหญ่อันมีสมญานามว่า ‘ฆ้อนแห่งทรูล’ ก็คราวนี้เอง

ทางด้านทัพจักรวรรดินั้นเล่า บัดนี้ล้วนตกอยู่ในความสะพรึงกลัวโดยแท้ อาวุธร้ายแรงคือ ปืนใหญ่ประจำป้อมแห่งนี้ซึ่งเดิมเป็นเสมือนเทพพิทักษ์อันทรงพลานุภาพไร้เทียมทานของพวกเขามาโดยตลอด บัดนี้ ได้กลายสภาพเป็นซาตานที่กำลังยื่นคมดาบจ่อคอหอยของพวกเขาอยู่อย่างเลือดเย็น

“ตอบโต้พวกมันเข้าไปสิ ปืนใหญ่ของเรือรบทุกลำ ระดมยิง!”

เสียงตะโกนสั่งการของพลเอกเซกต์ดังลั่นขึ้น

เสียงตะโกนสั่งการนั้นมีผลเรียกสติของนายทหารน้อยใหญ่ที่กำลังแตกตื่นให้กลับคืนมาได้ในระดับหนึ่ง บรรดาพลปืนประจำเรือรบต่าง ๆ พากันยื่นมือไปยังแผงควบคุมตรงหน้าตน ทั้งที่สีหน้ายังคงซีดเผือดอยู่ พวกเขาบังคับโฟกัสยิงด้วยระบบกึ่งอัตโนมัติ แล้วก็กดปุ่มยิงลงไป ลำแสงสีขาวจำนวนหลายร้อยลำวาดเส้นตรงแบบเรขาคณิตผ่านห้วงอวกาศอันมืดมิดตรงไปยังป้อมปราการทันที

แต่ระดับความเข้มของพลังงานที่ออกจากปืนใหญ่ของเรือรบอวกาศนั้น หามีอานุภาพสูงพอที่จะเจาะทำลายเกราะด้านนอกของป้อมปราการอิเซลโลนได้ไม่ ลำแสงที่ตกกระทบกำแพงของป้อม ล้วนถูกสะท้อนกลับแล้วสุดท้ายก็สูญสลายความเข้มไปโดยทั่วหน้า

ใช่แล้ว ความรู้สึกเป็นรอง, ความรู้สึกหวาดกลัวและความรู้สึกที่ต้องยอมรับความพ่ายแพ้ซึ่งในอดีตมีแต่ทหารของฝ่ายสมาพันธ์เท่านั้นที่เป็นผู้ลิ้มรส บัดนี้ มันกำลังย้อนกลับไปเป็นรสชาติสุดบรรยายให้ทหารฝ่ายจักรวรรดิได้ลิ้มรสบ้างแล้ว... ด้วยความรู้สึกที่รุนแรงกว่าหลายเท่านัก

ลำแสงขนาดใหญ่นับสิบเท่าจากปืนประจำเรือรบอวกาศถูกสาดยิงออกมาจากป้อมอีกครั้งหนึ่ง และก็ก่อให้เกิดความตายและความหายนะครั้งใหญ่ขึ้นอีกคราในหมู่กองเรือรบของจักรวรรดิ รูโหว่รูมหึมา เกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจนในกองเรือรบนี้ พร้อมกับที่รอบ ๆ รูโหว่ขนาดใหญ่นั้นยังเต็มไปด้วยเรือรบที่ได้รับความเสียหาย รวมทั้งเศษซากเรือรบที่เหลือจากการระเบิด

เพียงแค่การโจมตีด้วยปืนใหญ่ประจำป้อมสองครั้งเท่านั้น กองทัพเรือรบอวกาศของจักรวรรดิก็ตกอยู่ในสภาพตายไปครึ่งตัวเสียแล้ว บรรดานายทหารน้อยใหญ่ที่เหลือรอดชีวิตอยู่ ก็ล้วนแต่สูญเสียขวัญและกำลังใจ หมดความคิดที่จะต่อสู้โดยสิ้นเชิง เท่าที่พวกเขายังคงหยุดยืนอยู่ ณ ที่นั้นได้ ก็นับได้ว่าเต็มกลืนแล้ว

หยางเบนสายตาออกจากจอภาพพลางเอามือลูบเค้นบริเวณกระเพาะอาหารของตน มีความรู้สึกว่า ต้องให้ทำกันถึงขนาดนี้ ถึงจะชนะได้หรือนี่

ที่ข้าง ๆ หยาง พันเอกเชนค็อปที่จ้องมองภาพบนจอเขม็งอยู่เช่นกัน แสร้งไอขึ้นดัง ๆ สองสามครั้งก่อนจะเปรยว่า

“นี่มันไม่เรียกว่าเป็นสงครามแล้วนะครับ ท่าน... มันเป็นการฆาตกรรมหมู่กันฝ่ายเดียวซะมากกว่า”

หยางหันไปมองคนพูด ด้วยสีหน้าที่ไม่แสดงอาการโกรธแม้แต่น้อย

“.... นั่นสิ ถูกของคุณ พฤติกรรมชั่ว ๆ แบบนี้ของจักรวรรดิไม่ใช่สิ่งที่เราควรจะเลียนแบบเลยนะ ถ้างั้น คุณพันเอกช่วยส่งสารบอกให้พวกนั้นยอมจำนนทีสิ ถ้าไม่ยอมจำนนละก็ ให้หนีไปได้เลย ทางเราจะไม่ออกไปไล่ตีเด็ดขาด”

“ครับผม”

เชนค็อปรับคำแล้วก็จ้องมองเจ้านายของตนด้วยสายตาแสดงความสนใจอย่างยิ่งยวด หากเพียงแค่การประกาศให้อีกฝ่ายยอมจำนนละก็ แม่ทัพที่ไหน ๆ ก็ทำกันทั้งนั้น แต่นี่ถึงกับบอกกับข้าศึกกับโต้ง ๆ เลยว่า ให้หนีไปนี่นะ... คงไม่มีใครที่ไหนอีกแล้ว และนี่ จะเป็นข้อดีหรือข้อเสียของนายทหาร หยางเหวินหลี่ ยอดแม่ทัพผู้เชี่ยวชาญกลศึกอย่างหาตัวจับยากผู้นี้กันล่ะ?


“ท่านผู้บัญชาการครับ มีสารจากป้อมอิเซลโลนขอรับ!”

บนสะพานเรือของเรือธง นายทหารสื่อสารผู้หนึ่งร้องรายงานด้วยเสียงแหบแห้ง เมื่อสบตากับเซกต์ซึ่งบัดนี้ดวงตาแดงก่ำเสียแล้ว เขาก็รายงานต่อว่า

“ป้อมปราการอิเซลโลนบัดนี้ถูกกองทัพสมาพันธ์... อ้า กองทัพกบฏยึดครองไว้แล้วจริง ๆ ด้วยขอรับ และแม่ทัพฝ่ายนั้น พลตรีหยาง ได้ส่งสารมาว่า ไม่มีประโยชน์ที่จะสู้ให้สูญเสียเลือดเนื้อกันมากกว่านี้อีกต่อไป ให้พวกเรายอมจำนนเสียขอรับ”

“ให้ยอมจำนนรึ?”

“ขอรับ ทางนั้นยังบอกอีกว่า หากไม่ต้องการที่จะยอมจำนนละก็ ให้หนีไปเสีย พวกเขาจะไม่ไล่ตามขอรับ”

แวบหนึ่งที่บรรยากาศในห้องบัญชาการนั้นมีชีวิตชีวาขึ้น จริงสิ เรายังเหลือทางเลือกที่จะหนีได้อีกนี่นา หากแต่บรรยากาศที่ว่า ก็ถูกทำลายลงทันทีด้วยเสียงตะคอกดังลั่นของท่านผู้บัญชาการกองเรือรบ

“ใครจะยอมจำนนให้กองทัพกบฏได้เล่า?!!!”

เซกต์กระทืบเท้าที่สวมรองเท้าบู้ตทหารลงบนพื้นโดยแรง นี่จะให้เขาซึ่งสูญเสียป้อมปราการอิเซลโลนให้แก่ข้าศึก แถมยังสูญเสียเรือรบและไพร่พลไปกว่าครึ่ง เดินทางไปถวายรายงานกับจักรพรรดิในฐานะแม่ทัพที่พ่ายศึกอย่างหมดรูปกระนั้นหรือ? เขาทำไม่ได้อย่างแน่นอน และสำหรับเซกต์แล้ว ตอนนี้ก็ดูเหมือนจะเหลือหนทางที่จะรักษาเกียรติยศของตนเพียงหนทางเดียวเท่านั้น คือ พลีชีพในสนามรบ

“พลสื่อสาร ส่งสารไปยังป้อมปราการเดี๋ยวนี้ ข้อความก็คือ...”

เมื่อได้ฟังข้อความดังกล่าว บรรดานายทหารน้อยใหญ่รอบข้างก็ล้วนแต่หน้าถอดสีกันถ้วนหน้า สายตาอันกร้าวแกร่งของผู้บังคับบัญชากวาดมองพวกเขาไปทีละคน พลางกล่าวสำทับว่า

“กองเรือรบของเราจะพุ่งเข้าโจมตีป้อมปราการอิเซลโลน ณ บัดนี้ พวกเจ้า... จนถึงขั้นนี้แล้วคงไม่มีใครเสียดายชีวิตแล้วกระมังนะ”

“...”

ไม่มีคำตอบ


“มีคำตอบจากทัพจักรวรรดิแล้วครับผม!”

อีกด้านหนึ่ง ในป้อมปราการอิเซลโลน เชนค็อปก็กำลังรายงานให้หยางฟังด้วยสีหน้าปั้นยาก

“ท่านหาได้เข้าใจถึงจิตวิญญาณของนักรบไม่ ข้าพเจ้าเหลือทางเลือกเดียวเท่านั้น คือต้องสละชีพเพื่อรักษาเกียรติไว้ ข้าพเจ้าจักไม่ยอมมีชีวิตรอดด้วยความอัปยศอย่างเด็ดขาด”

“...”

“เพราะฉะนั้น กองทัพเรือรบของข้าพเจ้าจักพุ่งเข้าโจมตีป้อมเป็นครั้งสุดท้าย ข้าพเจ้าขอเลือกการตายอย่างมีเกียรติในสนามรบ เพื่อเป็นเครื่องแสดงความความจงรักภักดีต่อจักรพรรดิ-... เขาบอกมาเช่นนี้ครับผม”

“จิตวิญญาณของนักรบหรือ...”

ร้อยโทเฟรดเดอริกาสัมผัสได้ถึงความโกรธแกมขมขื่นที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงของนายทหารหนุ่ม และที่จริง หยางก็กำลังโกรธอยู่จริง ๆ หากคิดจะตายเพื่อลบล้างความผิดในการรบพ่ายละก็... นั่นก็เป็นสิ่งที่ทำได้ แต่ทำไมไม่ตายคนเดียวเล่า? ทำไมต้องพาลูกน้อง- ทหารใต้สังกัดของตน- มาตายกันหมดด้วย?!!!

ก็เพราะมีคนบ้า ๆ อย่างนี้อยู่นะสิ สงครามถึงได้ไม่จบสิ้นสักที- หยางอดคิดเช่นนี้ไม่ได้ พอกันที เซ็งและน่ารังเกียจที่สุด ไม่อยากยุ่งด้วยแล้ว คนจำพวกนี้!

“ข้าศึก บุกเข้ามาหาแล้วครับผม!”

เสียงของโอเปอเรเตอร์รายงานขึ้น

“พลปืนใหญ่ แยกแยะเรือธงของพวกมันได้ไหม? เล็งไปที่เรือธงที่เดียวพอ!”

น้ำเสียงของหยางแหลมดังอย่างที่ไม่เคยใช้มาก่อน เฟรดเดอริกาและเชนค็อปได้แต่เฝ้ามองผู้บัญชาการหนุ่มอยู่เงียบ ๆ ด้วยสีหน้าที่แตกต่างกันไป

“นี่เป็นการยิงครั้งสุดท้ายของเราล่ะ ถ้าเรือธงของพวกมันล่มแล้ว ที่เหลือก็คงจะหนีกันไปเองแน่นอน”

บรรดาพลประจำปืนใหญ่พากันเล็งปรับโฟกัสของปืนของตนอย่างขมักเขม้น ระหว่างนั้น ลำแสงนับหลายร้อยสายก็ถูกสาดลงมาจากกลุ่มแสงสว่างนอกป้อม แต่ลำแสงเหล่านี้ ไม่มีลำไหนเลยที่มีผลกระทบกระเทือนต่อป้อมปราการนี้ได้

ในที่สุด โฟกัสทั้งหมดของปืนใหญ่ประจำป้อมก็ถูกปรับไปที่เป้าหมายอย่างสมบูรณ์

และจังหวะนั้นเอง จากท้ายเรือธง ก็ปรากฏมีเรือชูชีพแบบชัทเติล (กระสวยอวกาศ) ลำเล็กลำหนึ่งถูกดีดตัวออกมา ชัทเติลเล็กลำนั้นมองดูคล้ายเป็นจุดสว่างเล็ก ๆ ที่วิ่งออกจากจากเรือแม่ของตนแล้วละลายหายไปกับความมืดของห้วงอวกาศในที่สุด

แต่ไม่ว่าจะมีใครสังเกตเห็นยานชัทเติลนั้นหรือไม่ก็ตาม อีกสองสามพริบตาถัดมา ลำแสงลำใหญ่ประดุจท่อนเสามหึมาก็ถูกยิงออกจากป้อมเป็นคำรบสาม

แสงลำใหญ่นั้นยิงผ่านเข้าไปในหมู่เรือรบของจักรวรรดิ โดยพุ่งเข้าหาเรือธงเป็นจุดเดียว และเมื่อแสงนั้นหายไป ก็ทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่าที่ก่อตัวเป็นอุโมงค์ขนาดใหญ่ในกองเรือรบนั้นเอง ร่างอันใหญ่โตบึกบึนและน้ำเสียงอันห้าวหาญของเซกต์ บัดนี้คงเหลือเพียงฝุ่นละเอียดขนาดไมครอน ไปพร้อม ๆ กับบรรดานายทหารโชคร้ายที่ร่วมเป็นกองเสนาธิการให้กับเขา

เมื่อบรรดาผู้รอดตายบนเรือรบที่เหลือตระหนักถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นดีแล้ว พวกเขาต่างก็หันหัวเรือ วิ่งหนีออกพ้นรัศมียิงของปืนใหญ่ประจำป้อมอย่างรวดเร็ว ก็ในเมื่อท่านผู้บัญชาการซึ่งตะโกนนำว่า จักสู้ตายถวายชีวิต บัดนี้ได้ถวายชีวิตไปจริง ๆ แล้ว ที่เหลือก็ไม่มีเหตุผลใด ๆ สำหรับพวกเขาที่จะต่อสู้- หรือเรียกให้ถูกก็คือ โดนฆ่าแต่ฝ่ายเดียว- อีกต่อไป

ในบรรดาขบวนเรือรบพ่ายศึกนั้น ก็มีชัทเติลลำเล็กที่พันเอกโอแบร์สไตน์โดยสารอยู่รวมอยู่ด้วย เขาหันไปจ้องมองสิ่งก่อสร้างรูปทรงกลมที่กำลังถอยห่างออกไปทุกทีเบื้องหลัง พลางก็ปล่อยให้ระบบขับเคลื่อนยานแบบกึ่งอัตโนมัติทำงานของมันไป

พลเอกเซกต์ จะได้มีโอกาสร้องตะโกน “จักรพรรดิจงเจริญ ไชโย” ก่อนตายหรือไม่หนอ? ช่างไร้สาระสิ้นดี หากยังมีชีวิตอยู่ ก็ยังมีโอกาสที่จะกลับมาล้างแค้นได้แท้ ๆ

หึ ช่างมันเถิด-- โอแบร์สไตน์พึมพำอยู่ในใจ อาศัยมันสมองทางยุทธศาสตร์ของเขา ประกอบกับอำนาจสั่งการและอำนาจการบังคับบัญชาอันสมบูรณ์แล้วละก็ กะอีแค่ป้อมอิเซลโลนแค่นี้ เขาจะยึดคืนเมื่อไรก็ได้ หรืออาจจะไม่ยึดคืนก็ได้ ถ้าหากว่าผู้ที่ยึดครองป้อมตอนนี้อยู่คือ สมาพันธ์ดาวเคราะห์เสรีเกิดล่มสลายไปเสียเอง ป้อมนี้ก็หามีความหมายอันใดไม่

ว่าแต่จะเลือกใครดีล่ะ? ดูท่า ในบรรดาขุนนางฐานันดรจะไม่มีใครที่มีแววแล้วกระมัง เห็นทีจะเหลือตัวเลือกเพียงตัวเดียว- เจ้าหนุ่มผมทองคนนั้นนั่นเอง- เคานท์ ไรน์ฮาร์ด ฟอน โรเอนกรัม ท่าทางจะไม่มีคนอื่นอีกแล้วสินะ

เรือชัทเติลลำเล็กนั้นวิ่งปะปนไปอย่างกลมกลืนในขบวนเรือรบพ่ายศึก ท่ามกลางความมืดมิดของรัตติกาล...


ภายในป้อมปราการอิเซลโลน บัดนี้ภูเขาไฟของความปิติลิงโลดและความตื่นเต้นได้ระเบิดออกแล้ว เสียงหัวเราะ เสียงร้องเพลง ดังลั่นไปทั่วทุกพื้นที่ มีเพียงแต่บรรดาเชลยศึกที่บัดนี้รับทราบสถานการณ์ทั้งหมดแล้ว กับเจ้าตัวผู้กำกับการแสดงคนเดียว ที่ยังคงเงียบงันอยู่

“ร้อยโทกรีนฮิลล์”

เฟรดเดอริกาขานรับคำเรียกนั้นทันที เมื่อหันไปก็พบว่า ผู้การหนุ่มผมดำกำลังเลื่อนตัวเองลงจากโต๊ะบัญชาการลงมายืนที่พื้นอยู่พอดี

“ติดต่อกลับไปที่เมืองหลวงที บอกว่า ภารกิจสำเร็จจนได้อย่างหวุดหวิดเต็มที และไม่รับรองว่าหากให้ทำอีกครั้งจะสำเร็จอีกรึเปล่า...นะ ที่เหลือฝากคุณจัดการต่อด้วย ผมขอตัวไปนอนในห้องว่าง ๆ ก่อนล่ะ เหนื่อย!”


“หยาง เดอะ เมจิกเชียน!”

“มิราเคิล หยาง!”

เมื่อหยางเดินทางกลับมาถึงเมืองหลวงบนดาวไฮเนสเซน เขาก็พบกับมรสุมของการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่

ความพ่ายแพ้อันใหญ่หลวงในศึกแอสทาเทซึ่งเพิ่งผ่านมาหมาด ๆ ถูกลืมเลือนไปโดยสิ้นเชิง สิ่งที่เข้ามาแทนคือ น้ำคำหรูหราเท่าที่มนุษย์จะเสกสรรขึ้นได้ที่ถูกจัดสรรมาพร่ำสรรเสริญสติปัญญาของหยาง และสายตาอันแหลมคมของผบ.สูงสุด จอมพลซิทเลย์ที่เลือกหยางมาปฏิบัติภารกิจนี้ ระหว่างที่ตนเองร่วมอยู่ในงานพิธีประกาศวีรกรรมซึ่งจัดอย่างตระการตา ตามมาด้วยงานเลี้ยงฉลองอันหรูหรา หยางก็ได้แต่มองภาพของตัวเองที่ถูกเสกสร้างขึ้นจนรู้สึกเอียนเต็มที

ในที่สุด หยางก็กลับมาถึงบ้านพักของเขาจนได้ หลังจากหลุดพ้นจากงานพิธีข้างตนได้แล้ว เขาจัดแจงรินบรั่นดีเติมลงไปในน้ำชาที่เด็กชายจูเลียนยกมาเสริฟให้ทันที ปริมาณของบรั่นดีนั้น มากกว่าปกติที่เคยเติมจนเด็กชายสังเกตได้

“ไม่ไหว ๆ ไม่มีใครพูดรู้เรื่องสักคนเลย ให้ตายสิ”

‘วีรบุรุษแห่งอิเซลโลน’ ถอดรองเท้า แล้วขึ้นไปนั่งเอกเขนกบนโซฟา ยก ‘บรั่นดีผสมน้ำชา’ ขึ้นซด จากนั้นก็บ่นออกมา

“บอกว่าเป็นเวทย์มนต์บ้างล่ะ ปาฏิหารย์บ้างล่ะ ไม่ได้รับรู้ถึงความยากลำบากของคนทำงานเล้ยยย นี่มันเป็นการประยุกต์เอากลศึกที่เคยมีมาแต่สมัยโบราณมาใช้เท่านั้นเอง กลยุทธแยกกองกำลังหลักของข้าศึกออกจากตัวฐานที่มั่น แล้วก็ตีทีละส่วนนะ ที่ฉันทำก็แค่เติมผงชูรสลงไปอีกนิดหน่อยเท่านั้นเอง ไม่ได้ใช้เวทย์มนต์อะไรทั้งนั้น เฮ้อ ถ้าเผลอใจไปกับคำป้อยอพวกนั้นละก็ อีกหน่อยเหอะ เป็นได้สั่งให้เราไปยึดเมืองหลวงโอดีนมาด้วยมือเปล่าคนเดียวซะละมั้ง”

แต่ก่อนจะถึงตอนนั้น จะชิงลาออกให้ดู-- ข้อความหลังสุดนี้หยางไม่ได้พูดออกมา

“ครับ แต่แหม... ทุกคนอุตส่าห์พร้อมใจกันชมทั้งที...”

จูเลียนท้วงขึ้น พลางก็เอามือเลื่อนขวดบรั่นดีให้ไปพ้น ๆ มือหยางอย่างแนบเนียน กะว่าอีกฝ่ายจะไม่ทันรู้ตัว

“...ก็รับคำชมไว้โดยไม่ต้องคิดมาก ก็ไม่เห็นเสียหายอะไรนี่ครับ”

“ฮึ ตอนที่ยังรบชนะก็คงชมอยู่หรอก”

หยางแย้งด้วยน้ำเสียงเขิน ๆ

“แต่ถ้ารบต่อ ๆ ไปเรื่อย ๆ ละก็ มันก็ต้องแพ้เข้าสักวันแหละนะ ถึงตอนนั้น อยากรู้จริงว่าคำพูดชมพวกนี้จะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือกันได้ขนาดไหน ถ้าเป็นเรื่องของคนอื่นละก็ ก็อาจจะพอมองเป็นเรื่องตลกได้อยู่หรอกนะ .... ว่าแต่ จูเลียน ขอฉันดื่มบรั่นดีให้จุใจหน่อยไม่ได้เชียวเหรอ?”
(อ่านตอนต่อไป)

หมายเหตุ

ฆ้อนแห่งทรูล นี่เอง คือสาเหตุแห่งความพ่ายแพ้ของทัพสมาพันธ์ในหกครั้งที่ผ่านมา... สำหรับตอนนี้คงไม่มีคอมเมนต์ใด ๆ ครับ

(ตกใจกับ ขนาดของเรือธงนิดหน่อย...... ตึกหกสิบชั้นนี่นะ...)


กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป 1