นวนิยายแฟนตาซีอวกาศเรื่องยาว

วีรบุรุษทางช้างเผือก銀河英雄伝説

เรื่อง โดย ทะนะกะ โยะชิกิ (田中芳樹) แปลโดย Pae

บทที่ 6 หลากวิถีหลากดวงดาว
-1-


ป้อมปราการอิเซลโลนแตกแล้ว!

ข่าวร้ายดังสะเทือนไปทั่วดินแดนจักรวรรดิทางช้างเผือก

“ป้อมปราการอิเซลโลนมิได้เป็นป้อมปราการที่ไม่มีวันแตกหรอกหรือ?”

ท่านเสนาบดีกลาโหม จอมพลเอเลนแบร์กพึมพำออกมาด้วยสีหน้าที่ซีดเผือด แล้วก็นั่งนิ่งอยู่หน้าโต๊ะทำงานของตนเอง หาได้ขยับเขยื้อนร่างกายส่วนใดอีกต่อไปไม่

“ไม่น่าเชื่อ... รายงานข่าวผิดพลาดกระมัง?”

ส่วนรายนี้ ท่านผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งกองทัพจักรวรรดิ จอมพลสไตน์ฮอฟย้อนถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่าประดุจเสียงคราง เมื่อได้รับคำยืนยันว่ารายงานไม่ผิดพลาดแน่ เขาก็ปิดกั้นตัวเองไว้ในป้อมของความเงียบขรึมไปอีกคนหนึ่ง

งานนี้ แม้กระทั่งจักรพรรดิฟรีดลิชที่ 4 ซึ่งเป็นที่ทราบกันถ้วนหน้าว่า ทรงเฉื่อยชาและไร้ความสนพระราชหฤทัยในราชกิจทั้งปวงโดยเฉพาะด้านการทหาร ก็ยังถึงกับต้องทรงมีพระราชดำรัสผ่านเสนาบดีการวัง- นอยแคร์น ให้เรียกตัวเสนาบดีปกครอง- มาร์ควิส ฟอน ลิชเทนลาเด้เข้าไปเฝ้า เพื่อถวายคำอธิบายต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

“อันว่าราชอาณาจักรของจักรวรรดิแห่งนี้ย่อมเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์สุดที่อริราชศัตรูจากภายนอกจะล่วงละเมิดมิได้ และในความเป็นจริงก็เป็นเช่นนั้นมาโดยตลอด แต่ในกาลนี้ ข้าพระองค์ทั้งปวงได้ปล่อยให้เกิดเหตุการณ์อันเป็นที่ขัดเคืองต่อเบื้องพระยุคลบาทเยี่ยงนี้ขึ้น ย่อมเป็นความผิดมหันต์ ขอพระองค์โปรดทรงพระกรุณาด้วยเถิด พะยะคะ”

กล่าวกันว่า ท่านมาร์ควิสได้กราบทูลต่อจักรพรรดิด้วยความเกรงพระอาญาเป็นล้นพ้นด้วยคำพูดข้างต้น


“ประเด็นมันแปลก ๆ นะ ว่าไหม เคียร์ชไอซ์?”

เคานท์ ไรน์ฮาร์ด ฟอน โรเอนกรัมกล่าวกับมือขวาของเขา ในขณะที่อยู่ด้วยกันลำพังในห้องทำงานที่จวนจอมพลของตน

“มันถูกต้องอยู่หรอก ที่ดินแดนของจักรวรรดิเราจะต้องเป็นดินแดนที่ไม่อนุญาตให้ ‘ศัตรูภายนอก’ ล่วงล้ำเข้ามาได้แม้แต่นิ้วเดียว แต่... คิดดี ๆ แล้ว ไอ้พวก ‘ทัพกบฏ’ นั่นถูกยกฐานะขึ้นมาเป็นอริราชศัตรูตั้งแต่เมื่อไรกันนี่? พวกชอบปิดตาไม่มองความจริงภายนอกก็เป็นอย่างนี้แหละ ถึงได้เกิดประเด็นขัดแย้งกันในคำพูดตัวเองขึ้น”

ในช่วงเวลานี้ ไรน์ฮาร์ดได้เปิดจวนจอมพลของตนแล้วและรับเอากองเรือรบจำนวนครึ่งหนึ่งของทัพจักรวรรดิเข้ามาอยู่ใต้บังคับบัญชา เขาใช้เวลาทุกวันหมดไปกับการจัดการกำลังพลในสังกัดของตน

แนวนโยบายพื้นฐานของจอมพลผู้นี้ มีอยู่ประการหนึ่งคือ เลือกบรรจุนายทหารหนุ่ม ๆ ที่มาจากขุนนางระดับล่าง หรือเป็นสามัญชน ด้วยการนี้ ทำให้เขาได้นายทหารฝีมือดีจำนวนมากโดยที่อายุเฉลี่ยของนายทหารในจวนจอมพลลดลงเป็นอันมากด้วยเช่นกัน โวล์ฟกัง มิตเตอร์ไมเยอร์, ออสการ์ ฟอน รอยเอนธาล, คาร์ล กุสทัฟ เคมป์, ฟริทซ์ โจเซฟ บิทเทนเฟลต์ เป็นอาทิ นายทหารวัยหนุ่มฉกรรจ์เหล่านี้ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้การ (ผู้บังคับการกองเรือรบอวกาศ) กันถ้วนหน้า และพาให้บรรยากาศของจวนจอมพลแห่งนี้เต็มไปด้วยความคึกคักและมีชีวิตชีวา

แต่อย่างไรก็ตาม ในระยะสองสามวันมานี้ ไรน์ฮาร์ดก็รู้สึกไม่พอใจอะไรบางอย่าง กล่าวคือ ถึงแม้นเขาจะรวบรวมบรรดานายทหารผู้ห้าวหาญและเชี่ยวชาญกลยุทธได้เพียงพอแล้วก็ตาม แต่ในตำแหน่งที่ปรึกษาของเขานั้น กลับยังหาคนที่เหมาะสมไม่พบเสียที

ไรน์ฮาร์ดไม่เคยคิดฝากความหวังไว้กับบรรดานายทหารที่เป็นเชื้อสายขุนนางชั้นสูงที่จบการศึกษาจากโรงเรียนนายทหารด้วยคะแนนยอดเยี่ยมเลยแม้แต่น้อย เขาย่อมทราบดีว่า ความสามารถในเชิงยุทธการนั้น หาได้เรียนรู้กันได้จากในโรงเรียนไม่ แน่นอน อาจจะมีคนแบบเขาที่มีพรสวรรค์ด้านการทหารมาแต่กำเนิดและก็ยังเรียนได้คะแนนดีในโรงเรียนด้วย แต่ในกรณีกลับกันนั้น (คนที่เรียนเก่งแล้วจบออกมาเป็นทหารที่เก่งด้วย) หายากทีเดียว

ส่วนจะให้เคียร์ชไอซ์ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานั้น ก็หาทำได้ไม่ เพราะตัวเคียร์ชไอซ์เอง เปรียบได้กับเป็นร่างในอีกภาคหนึ่งของไรน์ฮาร์ด ซึ่งในบางโอกาสก็ต้องออกไปทำหน้าที่บังคับบัญชากองเรือรบจำนวนหลาย ๆ กองแทนเขา และในบางโอกาสก็จะต้องอยู่กับไรน์ฮาร์ดเพื่อช่วยกันวิเคราะห์สถานการณ์โดยรวมและร่วมกันตัดสินใจ บทบาทของเคียร์ชไอซ์คือ มือขวาต่างหาก หาใช่ที่ปรึกษาไม่

และเมื่อไม่นานมานี้เอง ไรน์ฮาร์ดก็ได้ประสบผลสำเร็จในการส่งเคียร์ชไอซ์ไปปฏิบัติการในฐานะตัวแทนของเขา เพื่อดำเนินการปราบผู้ก่อความไม่สงบ ณ บริเวณเขตดาวคัสทรอปมาแล้ว ซึ่งนั่นเป็นวิธีที่ไรน์ฮาร์ดใช้เพื่อแสดงให้สาธารณชนได้รับรู้ว่า เคียร์ชไอซ์ผู้นี้แหละ คือ ผู้ที่เหมาะสมจะดำรงตำแหน่ง ‘หมายเลขสอง’ ของกองกำลังของไรน์ฮาร์ดนั่นเอง

ไรน์ฮาร์ดได้เสนอให้มาร์ควิสลิชเทนลาเด้- เสนาบดีปกครองออกคำสั่งมอบหมายให้เคียร์ชไอซ์รับภารกิจปราบผู้ก่อความไม่สงบรายนี้

ในตอนแรก ท่านมาร์ควิสแสดงสีหน้าไม่เห็นด้วย แต่ปรากฏว่า บุคคลผู้มีนามว่า ไวซ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ช่วยราชการของท่านมาร์ควิส ได้แสดงความเห็นว่า

“ตามใจเขาไปเถิดขอรับท่าน พลตรีเคียร์ชไอซ์ผู้นั้นเป็นคนสนิทที่ยิ่งกว่าคนสนิทของเคานท์ฟอนโรเอนกรัมนะขอรับ หากเราให้เคียร์ชไอซ์ปฏิบัติภารกิจนี้ และเขาทำได้สำเร็จ เราก็ให้รางวัลพวกเขาไว้ก่อนเป็นการซื้อใจ เผื่อภายหน้าจะได้ใช้ประโยชน์ได้บ้าง หรือต่อให้ภารกิจนี้ล้มเหลวกลับมาก็ตาม ก็ย่อมเป็นความรับผิดชอบของท่านเคานท์เองที่เสนอชื่อคนสนิทของตนมารับงานนี้ ท่านเคานท์ก็ย่อมต้องออกหน้าแก้ตัว ขอปฏิบัติภารกิจนี้แทนลูกน้องอีกครั้ง ตอนนั้น ท่านก็เพียงแค่ออกคำสั่งใหม่ เปลี่ยนให้ท่านเคานท์ไปแทนก็เท่านั้นเอง จริงไหมขอรับ”

“นั่นสิ เจ้าพูดถูกนะ”

มาร์ควิสเห็นด้วยทันที แล้วก็ดำเนินการตามขั้นตอน เพื่อผลักดันให้มีพระราชโองการให้เคียร์ชไอซ์ไปปราบผู้ก่อความไม่สงบ ณ เขตดาวคัสทรอป หากแต่ มาร์ควิสหาทราบไม่ว่า แท้จริงแล้วไรน์ฮาร์ดเองได้แอบส่งเงินและของขวัญจำนวนมากไปให้กับไวซ์ก่อนแล้ว เพื่อให้เขาช่วยพูดจูงใจท่านมาร์ควิสเช่นนี้

ด้วยเหตุประการฉะนี้ เคียร์ชไอซ์ก็ได้รับพระราชโองการให้ไปปฏิบัติภารกิจดังกล่าว และแน่นอนนั่นหมายถึงเกียรติยศอย่างสูงที่นายทหารผู้หนึ่งจะพึงได้รับ ในความเป็นจริงแล้ว มันก็เป็นการประกาศกลาย ๆ ด้วยว่า ในบรรดานายทหารในจวนจอมพลซึ่งมียศในระดับเดียวกันกับเคียร์ชไอซ์ ตัวเคียร์ชไอซ์คือผู้ที่เป็นหมายเลขสองรองจากตัวจอมพล ซึ่งนั่นย่อมไม่ได้รับการยอมรับกันเพียงแต่การแต่งตั้งโดยพฤตินัยเท่านั้น หากเคียร์ชไอซ์จักต้องแสดงผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ด้วย

ที่มาของการก่อความไม่สงบ ณ เขตดาวคัสทรอปนั้น มีดังต่อไปนี้

ในปีนี้เอง ดยุคแห่งคัสทรอป นามว่า ออยเก้น ได้ถึงแก่กรรมอย่างไม่คาดฝัน ระหว่างที่โดยสารอยู่ในเรืออวกาศส่วนตัว

คนผู้นี้ ในฐานะที่เป็นขุนนางชั้นสูงย่อมมีสิทธิที่จะจัดการเก็บภาษีในดินแดนของตนได้ตามอำเภอใจ และก่อความมั่งคั่งให้แก่ตนเองล้นฟ้า แต่นอกจากนี้ เขายังเคยดำรงตำแหน่งเสนาบดีการคลังอีกด้วย เป็นระยะเวลาถึงราวสิบห้าปี ในระหว่างนั้น เขาก็เฝ้าแต่ใช้อำนาจหน้าที่ของตนกอบโกยผลประโยชน์และทรัพย์สินเข้ากระเป๋าตนเอง แม้แต่คดีที่จะต้องถึงกับถูกจำคุกหากโดนจับได้ เขาก็ทำอย่างไม่เกรงกลัว อาศัยความที่ตนเองเป็นขุนนางชั้นสูงทำให้ลอดพ้นตาข่ายของกฎหมายมาโดยตลอด และกฎหมายของจักรวรรดิก็มีตาที่ห่างเหลือเกินเวลาที่จะเหวี่ยงครอบคลุมมาถึงตัวขุนนางชั้นฐานันดรสูง ๆ เสียด้วยสิ แต่ถึงกระนั้นก็ตาม บางคราที่มีทีท่าว่าจะหนีไม่พ้นตาข่ายของกฎหมายที่หยาบเต็มทีนั้นแล้ว เขาก็อาศัยทั้งอำนาจและทรัพย์สินพาตัวเองให้รอดพ้นโทษมาอย่างฉิวเฉียด

พฤติกรรมของดยุคแห่งคัสทรอป ถึงขนาดที่เสนาบดีธรรมการในสมัยนั้น เคานท์ รูกเก้ถึงกับเอ่ยปากแดกดันว่า เป็น “มายากลอันร้ายกาจ” เลยทีเดียว มองจากสายตาของบรรดาขุนนางฐานันดรด้วยกันก็ยังส่ายหน้าว่า การใช้อำนาจตามอำเภอใจของดยุคผู้นี้ช่างเกินขอบเขตไปมากจริง ๆ ช่างไร้ความรับผิดชอบในฐานะที่เป็นคนของจักรพรรดิเสียจริง ความไม่พอใจของประชาราษฎร์ที่มีต่อข้าราชบริพารเลว ๆ ส่งผลขยายไปถึงความเสื่อมศรัทธาในระบอบการปกครองได้ง่าย ๆ เสียด้วย

บัดนี้ดยุคเจ้าปัญหาก็ได้เสียชีวิตลงแล้ว และกล่าวได้ว่า นี่คือโอกาสอันดีสำหรับสำนักท้องพระคลังหลวงและสำนักธรรมการที่จะถือโอกาสลงแส้ย้อนหลังกับผู้ตาย เพื่อแสดงอำนาจของจักรวรรดิให้เห็นว่า แม้แต่ขุนนางฐานันดรระดับสูงเช่นนี้ หากกระทำผิด ก็อย่าได้หวังว่าจะพ้นเงื้อมมือกฎหมายไปได้เลย เป็นการหมายจะซื้อใจและป้องปรามประชาราษฎร์ด้วยหนึ่ง และเป็นการป้องปรามบรรดาขุนนางที่มีแววจะกลายเป็น ‘ดยุคแห่งคัสทรอปคนที่สองที่สาม ฯลฯ’ อีกด้วยหนึ่ง นอกจากนี้ หากสามารถริบเอาบรรดาทรัพย์สินสกปรกของดยุคผู้นี้ซึ่งส่วนมากเป็นสิ่งที่ยักยอกมา และเป็นสินบนต่าง ๆ กลับคืนสู่ท้องพระคลังได้สำเร็จ คลังหลวงซึ่งกำลังอยู่ในสภาพวิกฤติเต็มที ด้วยภาระจากสงครามอันยาวนานกับพวกทัพกบฏ ก็จะได้มีโอกาสอ้าปากหายใจอีกคำรบหนึ่ง

ในบรรดาข้าราชการของสำนักท้องพระคลังหลวง เคยมีผู้เสนอแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจด้วยการจัดเก็บภาษีจากบรรดาขุนนางฐานันดรเช่นกัน แต่นี่ย่อมหมายถึงการเปลี่ยนแปลงแนวนโยบายเดิมของท่านมหาจักรพรรดิลูดอร์ฟ และย่อมได้รับการคัดค้านจากบรรดาขุนนางผู้จะเสียผลประโยชน์เป็นแน่ อาจส่งผลให้เกิดการก่อความไม่สงบหรือการแตกแยกในวังเลยก็ว่าได้ แต่ถ้าพุ่งเป้าไปที่การยึดทรัพย์ของดยุคคัสทรอปเพียงคนเดียวละก็ ย่อมไม่มีขุนนางชั้นสูงออกมาโวยวายมากนัก

คณะปฏิบัติการของสำนักท้องพระคลังหลวงได้ถูกส่งไปเยือนยังดินแดนของคัสทรอป และนั่นเองคือจุดเริ่มต้นของปัญหาที่ระเบิดออกมา

ดยุคฟอนคัสทรอปนั้น มีบุตรชายอยู่คนหนึ่ง นามว่า แมกซิมิเลียน ซึ่งอยู่ระหว่างรอพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้สืบต่อฐานันดรและทรัพย์สินมรดกของผู้เป็นบิดา แต่ด้วยความเป็นมาดังได้กล่าวแล้ว มาร์ควิส ลิชเทนลาเด้- เสนาบดีปกครองจึงได้ยั้งรอที่จะดำเนินการทูลเสนอพระบรมราชโองการแต่งตั้งนี้ไว้ก่อน จนกว่าคณะปฏิบัติการของสำนักท้องพระคลังหลวงจะได้สำรวจและริบทรัพย์สินส่วนที่ได้มาโดยทุจริตของดยุคฟอนคัสทรอปคนก่อน- ออยเก้นให้เรียบร้อยเสียก่อน แล้วจึงจะแต่งตั้งให้แมกซิมิเลียนรับมรดกในส่วนที่เหลือ

แน่นอนว่า แมกซิมิเลียนต่อต้านแนวคิดนี้ทันที เขาเป็นตัวอย่างอันชัดเจนของบุตรหลานข้าราชการชั้นสูงและขุนนางฐานันดรที่ถูกเลี้ยงให้โตขึ้นมาท่ามกลางอำนาจล้นฟ้าและทรัพย์สินมหาศาล หากแต่ชายหนุ่มผู้เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัวนี้กลับไม่ได้รับสืบทอดความฉลาดในด้านการดำเนินกุศโลบายจากบิดาเลยแม้แต่น้อย เขาใช้สุนัขล่าเนื้อไล่บรรดาคณะปฏิบัติการจากสำนักท้องพระคลังหลวงให้เตลิดเปิดเปิงไปจากคฤหาสน์ของตนอย่างป่าเถื่อน อีกทั้งสุนัขล่าเนื้อที่ว่านี้ เป็นสุนัขดัดแปลงดีเอ็นเอซึ่งมีเขาแหลมงอกอยู่ที่หน้าผากด้วย และจัดเป็นมอนสเตอร์ดุร้ายที่เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของความเสื่อมทรามของสังคมขุนนางฐานันดร

แต่ดูเหมือนว่าชายหนุ่มผู้โง่เขลาผู้นี้จะไม่ได้รู้สำนึกเลยแม้แต่น้อยว่า การกระทำของตนเป็นการตบหน้ารัฐบาลจักรวรรดิเข้าฉาดใหญ่ ด้วยฝ่ายหลังย่อมเคร่งครัดในเรื่องระเบียบพิธีและความจงรักภักดีต่อสถาบันการปกครองเป็นอย่างสูง และแน่นอนย่อมจะไม่ยอมถูกตบหน้าแต่ฝ่ายเดียวแน่

เมื่อคณะสำรวจคณะที่สองที่ส่งไปถูกไล่เตลิดกลับมาอีก เสนาบดีคลัง ไวส์เคานท์แกร์รัคก็เสนอให้ท่านเสนาบดีปกครองเรียกตัวแมกซิมิเลียนมารายงานตัวที่วังหลวง

ตอนที่รับหมายเรียกตัวซึ่งเขียนมาด้วยสำนวนที่แข็งกร้าว แมกซิมิเลียนจึงได้รู้สึกตัวว่า การกระทำของตนเป็นสิ่งที่เป็นปัญหาเพียงใด คราวนี้ ด้วยความที่ขาดสมดุลในทางความคิด เขาก็ตกอยู่ในภาวะหวาดกลัวอย่างหนัก กลัวว่าหากเดินทางไปยังโอดีนตามคำเรียกแล้ว จะไม่ได้มีโอกาสกลับมาอีก

แน่นอนว่า บุคคลระดับดยุคย่อมต้องมีญาติสนิทและญาติห่าง ๆ มากมาย บรรดาญาติ ๆ เหล่านั้นเมื่อทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้น ต่างพากันเสนอตัวมาเกลี้ยกล่อมแมกซิมิเลียน แต่ก็ไม่สำเร็จ รังแต่จะทำให้แมกซิมิเลียนหวาดระแวงยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก

และเมื่อญาติคนหนึ่ง นามว่า เคานท์ ฟรานซ์ ฟอน มารีนดอร์ฟ ซึ่งเป็นบุคคลที่เป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่าน่านับถือและประนีประนอมเก่ง ได้เดินทางไปเยือนแมกซิมิเลียน แล้วถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวตัวเอาไว้ ก็เป็นอันว่า หนทางการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้อย่างสันติได้สิ้นสุดลง แมกซิมิเลียนสั่งรวบรวมกองกำลังส่วนตัวเข้าอารักขาดินแดนของตนอย่างหนาแน่นทันที ขณะที่ทางรัฐบาลจักรวรรดิก็ตัดสินใจที่จะส่งกองทัพมาปราบผู้ก่อความไม่สงบนี้

กองเรือรบภายใต้การนำของผู้การสมู้ดเด้ได้ออกเดินทางออกจากดาวเมืองหลวงโอดีนในเวลาไล่เลี่ยกับที่กองเรือรบอวกาศของจักรวรรดิและสมาพันธ์กำลังประทะกันที่เขตดาวแอสทาเท และกองทัพปราบความไม่สงบที่ส่งมาเป็นทัพแรกนี้ก็แตกพ่ายกลับมา

สาเหตุแห่งความพ่ายแพ้มีอยู่หลายประการ กล่าวคือ การที่แมกซิมิเลียนซึ่งเป็นบุคคลที่ขาดความรู้ทางสังคมแต่กลับมีความสามารถในเชิงทหารอยู่พอตัว ประกอบกับการที่กองทัพปราบความไม่สงบประมาทฝีมือของข้าศึกมากเกินไปจนกระทั่งไม่ได้วางแผนการรบให้ถ้วนถี่ และที่สำคัญ พวกเขาดึงดันนำกองเรือรบลงสู่ภาคบรรยากาศของดาวคัสทรอปทั้งที่ยังไม่พร้อม และก็ถูกซุ่มโจมตี จนกระทั่งผู้การสมู้ดเด้เสียชีวิตในสมรภูมิ

และเมื่อปราบกองทัพปราบจราจลทัพที่สองได้สำเร็จ แมกซิมิเลียนก็ฮึกเหิมถึงขนาดยกทัพไปหมายจะผนวกเอาดินแดนของเคานท์มารีนดอร์ฟซึ่งอยู่ข้าง ๆ เข้าเป็นของตน และวางแผนจะประกาศจัดตั้งราชอาณาจักรอิสระของตนเองขึ้นมาในดินแดนของจักรวรรดิ ซึ่งตัวเจ้าของดินแดนแห่งมารีนดอร์ฟ คือ ฟรานซ์ ฟอน มารีนดอร์ฟนั้น ถูกควบคุมตัวอยู่ในแดนของแมกซิมิเลียนก็จริง แต่บรรดาทหารรักษาการของมารีนดอร์ฟก็ได้ต่อสู้ป้องกันตัวอย่างสุดฤทธิ์ และส่งสารขอความช่วยเหลือด่วนมายังโอดีน

และนี่คือ สถานการณ์ความไม่สงบที่เคียร์ชไอซ์ได้รับมอบหมายให้ไปจัดการให้เรียบร้อย และเขาก็สามารถปฏิบัติภารกิจนี้ให้สำเร็จได้ในเวลาเพียงสิบวันเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ภาวะความไม่สงบนี้ต่อเนื่องมาถึงครึ่งปีแล้วโดยที่ยังไม่มีใครทำอะไรได้

ก่อนอื่น เคียร์ชไอซ์ทำทีว่ากำลังเดินทัพไปช่วยเหลือแดนของมารีนดอร์ฟ แต่แล้วเขาก็กลับทิศมุ่งหน้าตรงไปยังแดนของคัสทรอปเสียกลางคัน แมกซิมิเลียนซึ่งลนลานเป็นอย่างหนัก ได้ถอนทัพของตนที่กำลังปิดล้อมดินแดนของมารีนดอร์ฟทันที แล้วเร่งนำทัพมุ่งหน้ากลับแดนของตน ด้วยความคิดว่าจะยอมให้แดนของตนถูกยึดไม่ได้เป็นอันขาด ด้วยกลยุทธนี้เอง เคียร์ชไอซ์ก็สามารถช่วยกู้วิกฤติให้แก่ดินแดนของมารีนดอร์ฟได้อย่างง่ายดาย อีกทั้ง... กองกำลังของเคียร์ชไอซ์ที่แสดงท่าว่ากำลังมุ่งหน้าไปยึดคัสทรอปนั้น แท้จริงแล้ว กลับเป็นเพียงกลลวงเท่านั้น

แมกซิมิเลียนซึ่งมุ่งแต่จะเร่งกลับแดนของตน จึงเดินทัพโดยไม่ได้ระวังหลังแต่อย่างไร และก็ถูกเคียร์ชไอซ์ซึ่งซุ่มทัพรออยู่บริเวณหมู่ดาวเคราะห์น้อยหมู่หนึ่งอย่างแนบเนียน โจมตีด้านหลังของทัพแมกซิมิเลียนและสร้างความเสียหายให้อย่างรุนแรง

หลังจากที่แมกซิมิเลียนอุตส่าห์หนีรอดจากสมรภูมินั้นไปได้ เขาก็กลับถูกลูกน้องของตนเอง- ที่หวังจะทำให้โทษความผิดของตนเบาลง- ฆ่าตายเสีย จากนั้น บรรดาทหารที่เหลือของทัพแมกซิมิเลียนก็ยอมจำนน

ศึกจราจลที่คัสทรอปก็จบลงอย่างง่ายดายด้วยประการฉะนี้ ช่วงเวลาสิบวันที่เคียร์ชไอซ์ใช้สำหรับภารกิจนี้ ที่จริงแล้ว หกวันใช้สำหรับการเดินทัพจากดาวโอดีนไปยังเขตดาวเป้าหมาย และอีกสองวันเขาใช้สำหรับการจัดการควบคุมดินแดนเป้าหมายภายหลังรบชนะแล้ว ดังนั้น เวลาที่ใช้ในการทำศึกเพียงแค่สองวันเท่านั้น ก็รู้ผลแพ้ชนะแล้ว

ความสามารถในเชิงรบที่เคียร์ชไอซ์ได้แสดงให้ประจักษ์ในภารกิจครั้งนี้ กล่าวได้คำเดียวว่า ‘เหนือชั้น’ และทำให้ไรน์ฮาร์ดพึงพอใจเป็นอย่างมาก ขณะที่บรรดาผู้การในจวนจอมพลของเขาต่างก็พยักหน้ายอมรับกับถ้วนหน้า ส่วนบรรดาขุนนางฐานันดรที่ตั้งแง่รังเกียจไรน์ฮาร์ดนั้นเล่า ก็พากันตื่นตะลึงไปตาม ๆ กัน ลำพังแค่ไรน์ฮาร์ดคนเดียวก็เหลือทนแล้ว นี่คนสนิทของมันยังรบเก่งอีกด้วยเล่า? ช่างเป็นข่าวที่ชวนให้หงุดหงิดใจจริง ๆ

แต่วีรกรรมก็คือวีรกรรม ผลงานครั้งนี้ทำให้เคียร์ชไอซ์ได้รับเลื่อนยศเป็นพลโท และได้รับมอบเครื่องหมายเกียรติยศขั้นสูงสุด “เหรียญตราพญาอินทรีสองหัว” (ไซท์วิง อีเกิ้ล) โดยท่านมาร์ควิส ลิชเทนลาเด้ในฐานะรักษาการผู้สำเร็จราชการแผ่นดินเป็นผู้มอบเหรียญตราเกียรติยศให้ด้วยตนเอง จากนั้นก็กล่าวสดุดีวีรกรรมอย่างยิ่งใหญ่ แล้วตบท้ายด้วยการสำทับให้พลโทคนใหม่จงถวายความจงรักภักดีต่อจักรพรรดิให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก

เคียร์ชไอซ์ได้แต่นึกขำท่าทีประคบประหงมเอาใจ (เอาใจไรน์ฮาร์ดโดยผ่านทางเคียร์ชไอซ์) ของท่านมาร์ควิสฟอนลิชเทนลาเด้ เขาทราบดีว่า ทั้งหมดนี้เป็นฝีมือการเป่าหูของเจ้าไวซ์ผู้นั้นต่างหาก และก็อดนึกสมเพชชายชราผู้นี้ไม่ได้ แต่แน่นอน ทั้งหมดนี้เขาเก็บไว้เพียงในใจ หาได้แสดงออกใด ๆ ไม่

แต่ที่สำคัญ เคียร์ชไอซ์อดคิดไม่ได้ว่า ยังมีหน้าจะมาเรียกร้องให้เขาจงรักภักดีต่อจักรพรรดิอีกหรือ? ก็มันผู้นั้นมิใช่หรือ ที่พรากเอาบุคคลที่เขาถวายความจงรักให้หมดใจไปเป็นของตนเองแต่ผู้เดียวจนถึงขณะนี้เล่า! การต่อสู้ของเขาที่ผ่านมาทั้งหมด หาใช่เพื่อจักรวรรดิ หรือเพื่อราชวงศ์ หรือเพื่อจักรพรรดิแต่อย่างไรไม่

ในความจริง หนุ่มน้อยซี้กฟรีด เคียร์ชไอซ์เจ้าของผมสีแดงและร่างที่สูงโปร่งผู้นี้ เป็นขวัญใจของสาว ๆ ในวังอยู่ไม่น้อยทีเดียว ตั้งแต่ในระดับบนคือบรรดาบุตรีของขุนนางฐานันดรระดับต่าง ๆ เรื่อยลงมาถึงระดับล่างคือ เด็กสาวรับใช้ในวัง แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้เรื่องเหล่านี้ด้วยเลย หรือหากรู้ ก็คงรังแต่จะลำบากใจกระมัง


และ ณ บัดนี้ เมื่อไรน์ฮาร์ดและเคียร์ชไอซ์ ต่างปักรากฐานของฐานะตนเองอย่างมั่นคงแล้ว พันเอกโอแบร์สไตน์เจ้าของศีรษะที่มีผมสีขาวแซมไปกว่าครึ่ง ก็ได้มาปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าของพวกเขา
(อ่านตอนต่อไป)

หมายเหตุ

ขอทวนอีกทีนึง ถึงลำดับของฐานันดรนะครับ ในเรื่องนี้ใช้ดังนี้

ดยุค- มาร์ควิส- เคานท์- ไวส์เคานท์- บารอน

ทั้งหมด 5 ลำดับ (ตอนหลังจะมีอีกลำดับหนึ่งเพิ่มมาคือ แกรนด์ดยุค ซึ่งทั้งเรื่องมีคนเป็นแกรนด์ดยุคแค่คนเดียว)

คำว่า เคานท์ ในภาษาเยอรมันใช้คำว่า กราฟ และเคานท์สตรี ซึ่งคือ เคานท์เตสนั้น ภาษาเยอรมันใช้ เกรฟิน

ในเรื่องนี้ ทางจักรวรรดิปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช โดยมีจักรพรรดิเป็นประมุข แต่ก็มีการตั้งคณะรัฐบาลขึ้นมา โดยที่หัวหน้ารัฐบาล คือ ผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ซึ่งในเนื้อเรื่อง จะมีแต่ผู้รักษาการตำแหน่งนี้ เพราะตำแหน่งนี้เก็บไว้ให้ในกรณีที่จักรพรรดิโดดลงมาบริหารราชการเองโดยตรง

ตำแหน่งรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลของจักรวรรดิ จะใช้คำว่า เสนาบดี และกระทรวงจะใช้คำว่า สำนัก เช่น กระทรวงมหาดไทย จะเป็น สำนักปกครอง และมีเสนาบดีปกครองเป็นเสนาบดีประจำสำนัก (อย่าไปเรียกเจ้าสำนักล่ะ ไม่ใช่นิยายจีนกำลังภายในนะ) และโดยธรรมเนียม เสนาบดีปกครองจะเป็นผู้รักษาการตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแผ่นดินโดยปริยาย (คือเป็นหัวหน้ารัฐบาลนั่นเอง- ในกรณีที่จักรพรรดิไม่ลงมาเล่นเองอย่างที่ได้บอกไปแล้ว)

คงชี้แจงเพิ่มเท่านี้ก่อน.... ไว้เขียนถึงฝ่ายสมาพันธ์คราวหน้า จะยกโขยงโฉมหน้าของรัฐบาลสมาพันธ์มาให้เราเห็นเช่นกัน แล้วจะอธิบายด้านสมาพันธ์อีกที

ข้างล่างเป็นความเห็นจากคุณหลินโหม่วครับ

    แผนของเคียไอซ์นี่มันแผน "ล้อมเว่ยช่วยเจ้า" แบบมาตรฐานเหมือนแผนของเจ้าหญิงเมเฮบีนในเรื่อง "ศึกจอมขมังเวท" ของเราเลยนี่นา ^^''

    นับแค่ 377 ก่อน ค.ศ. ที่ขุนนางใหญ่แห่งแคว้นจิ้น แคว้นมหาอำนาจแห่งยุคชุนชิวของจีนได้สังหารเจ้าครองรัฐและแบ่งเค้กแคว้นจิ้นออกเป็น 3 ส่วนได้แก่ แคว้นเว่ย แคว้นเจ้า แคว้นหาน ขณะที่ ณ แคว้นฉี ฉีคังกง (ดยุคแห่งฉี) เจ้าแห่งแคว้นฉีได้โดนมหาเสนาบดีของตัวเองเถียนเหอแย่งอำนาจจับปลดตำแหน่งแล้วขึ้นเป็นเจ้าแทนที่ ประเทศจีนก็ได้เข้าสู่ยุค "จ้านกว๋อ" อย่างเต็มตัว

    ยุคจ้านกว๋อที่เปลี่ยนจากยุคชุนชิวที่พวกขุนนางบรรดาศักดิ์ซึ่งได้รับแบ่งที่ดินไปครองเรืองอำนาจผนึกดินแดนกันเอง จากร้อยกว่าดินแดนเหลือดินแดนใหญ่ๆ เพียง 7 ดินแดน ได้แก่ ฉิน ฉู่ แ เว่ย เจ้า หาน เยียน 7 ประเทศมหาอำนาจแห่งยุคจ้านกว๋อ

    ในช่วงต้นของยุคจานกว๋อ แคว้นเว่ยเรืองอำนาจสูงสุดเพราะได้ยอดแม่ทัพและเสนาธิการนาม "ผางเจวียน" มาช่วย ฝ่ายทัพฉีเองก็เริ่มตีตื้นเมื่อได้ยอดเสนาธิการอัจฉริยะนาม "ซุนปิ้น" (un bin) ซึ่งเป็นเชื้อสายของ ซุนอู่ (Sun wu) ยอดนักเสนาธิการอัจฉริยะในยุคชุนชิวที่เป็นผู้เขียนตำราพิชัยสงครามเป็นเล่มแรกในประวัติศาสตร์จีน

    ในปี 354 ปีก่อนค.ศ. ทัพเว่ยได้ยกไปล้อมเมือหานตานอันเป็นเมืองหลวงของแคว้นเจ้า แคว้นเจ้าจึงคนไปขอความช่วยเหลือจากแคว้นฉี ยอดเสนาธิการอัจฉริยะซุนปิ้นจึงได้วางแผน "ล้อมเว่ยช่วยเจ้า" ช่วยแคว้นเจ้าจากเงื้อมมือแคว้นเว่ยได้อย่างงดงาม

    ก่อนอื่นขอให้นึกภาพเมืองหลวงของแคว้นที่สามที่ตั้งอยู่ในตำแหน่งจุดทั้งสามของสามเหลี่ยมหน้าจั่ว ปลายยอดแหลมคือเมืองหลวงหลินจือของแคว้นฉี ฐานทั้งสองคือเมืองหลวงหานตานของแคว้นเจ้า และเมืองหลวงต้าเหลียงของแคว้นเว่ย

    แผนนั้นคือ

    1. แคว้นฉียกทัพทำทีว่าจะตรงไปหานตานเพื่อช่วยคลายวงล้อมให้แก่แคว้นเจ้า แต่กลับทิศกลางคัน หันตะบึงไปทางต้าเหลียง เมืองหลวงของแคว้นเว่ยแทน

    ผลคือ แม่ทัพมใหญ่ผางเจวียนตาเหลือก รีบยกทัพผละจากหานตานกลับต้าเหลียงทันที

    2. ก่อนจะถึงต้าเหลียงไม่มาก ทัพฉีได้หยุดซุ่มอยู่กลางทาง เพราะการก็ไม่ได้กะจะไปล้อมต้าเหลียง เพียงต้องการลวงให้ผางเจวียนเข้าใจผิดว่าทัพฉีจะไปล้อมต้าเหลียงเท่านั้น และรอซุ่มตีทัพเว่ยที่ตาลีตาเหลือกยกทัพกลับมาป้องกันต้าเหลียง

    ผลคือ ทันเว่ยที่คิดว่าทัพฉีมุ่งจะไปล้อมต้าเหลียงโดยไม่ทันคิดแม้แต่น้อยว่าทัพฉีจะแค่ทำแผนลวงและดักซุ่มจู่โจมอยู่ระหว่างทาง จึงไม่ทันระวังตัวเลย แถมกำลังเหนื่อยอ่อนจากการเร่งยกทัพกลับ ถูกจู่โจมพ่ายแพ้ยับเยิน แม่ทัพผางเจวียนถูกจับเป็นเชลย (อิอิ แคว้นเว่ยคงเสียเงินค่าไถ่ตัวแม่ทัพไปหลาย)

    จบยุทธการ "ล้อมเว่ยช่วยเจ้า"

กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป 1