นวนิยายแฟนตาซีอวกาศเรื่องยาว

วีรบุรุษทางช้างเผือก銀河英雄伝説

เรื่อง โดย ทะนะกะ โยะชิกิ (田中芳樹) แปลโดย Pae

บทที่ 6 หลากวิถีหลากดวงดาว
-3-


เสนาบดีกลาโหม, ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และ ผู้บัญชาการสูงสุดกองเรือรบอวกาศ ทั้งสามตำแหน่งนี้ คือ สามตำแหน่งสูงสุดแห่งทัพจักรวรรดิ ซึ่งผู้ที่ดำรงตำแหน่งทั้งสามนี้ควบกันในคราวเดียวรายล่าสุด ก็คงจะต้องย้อนกลับขึ้นไปราวหนึ่งศตวรรษก่อน คือ มกุฎราชกุมารในตอนนั้น นามว่า ออโต้ฟรีด

ซึ่งนอกจากสามตำแหน่งนี้ออโต้ฟรีดยังดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแผ่นดินด้วย หากแต่ภายหลังเมื่อพระองค์ขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิแล้ว ก็หาได้มีการแต่งตั้งขุนนางผู้ใดดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแผ่นดินต่อไปไม่ คงให้เสนาบดีปกครอง ดำรงตำแหน่งรักษาการผู้สำเร็จราชการแผ่นดินต่อมา จนเป็นธรรมเนียมปฏิบัติถึงปัจจุบัน ทั้งนี้เนื่องเพราะ ในฐานะขุนนางแล้วย่อมมิบังอาจเจริญรอย (เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน) ตามจักรพรรดิองค์ก่อนหน้าได้นั่นเอง

กล่าวฝ่ายตัวของออโต้ฟรีดนั้น สมัยที่พระองค์ทรงดำรงยศเป็นมกุฎราชกุมารนั้น ทรงพระปรีชาสามารถและเป็นมิ่งขวัญของข้าราชบริพารทั้งปวง แต่น่าเสียดายว่า หลังจากขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิออโต้ฟรีดที่สามแล้ว ก็ตกอยู่ในกระแสการแก่งแย่งชิงอำนาจในวังหลวง จนกระทั่งพระองค์กลายเป็นคนที่ขี้ระแวง ไม่ไว้ใจใครแม้แต่คนเดียว หลังจากเคยทรงเปลี่ยนตัวจักรพรรดินีถึงสี่ครั้ง และเปลี่ยนตัวผู้ดำรงตำแหน่งมกุฎราชกุมารของพระองค์เองถึงห้าครั้ง ท้ายสุด ก็ทรงสิ้นพระชนม์ด้วยอาการพระวรกายเสื่อมโทรมด้วยสิริมายุเพียงสี่สิบชันษาเศษเท่านั้น อันเนื่องจากทรงบริโภคพระกระยาหารได้น้อย เพราะหวาดระแวงต่อการถูกวางยาพิษ ...

ย้อนกลับมาปัจจุบัน บัดนี้ สามบิ๊กแห่งทัพจักรวรรดิ กล่าวคือ เสนาบดีกลาโหม- เอเลนแบร์ก ผู้บัญชาการทหารสูงสุด- สไตน์ฮอฟ และ ผู้บัญชาการสูงสุดกองเรือรบอวกาศ- มิวเคนแบร์แกร์ ได้พร้อมใจกันยื่นใบลาออก ต่อท่านเสนาบดีปกครอง- มาร์ควิส ฟอน ลิชเทนลาเด้ในฐานะที่ฝ่ายหลังดำรงตำแหน่งรักษาการผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน และนี่ เป็นการขอแสดงความรับผิดชอบต่อการพ่ายแพ้จนเสียป้อมปราการอิเซลโลนของพวกเขานั่นเอง

“พวกท่านทั้งสามได้แสดงสปิริตลาออกจากตำแหน่งโดยไม่อิดเอื้อนแม้แต่น้อย นับเป็นการแสดงความรับผิดชอบที่ควรค่าแก่การยกย่องเป็นอย่างยิ่ง เพียงแต่ว่า การที่จะปล่อยให้ตำแหน่งสูงสุดทั้งสามตำแหน่งของกองทัพว่างลงพร้อมกันในคราวเดียวเช่นนี้แล้วไซร้ อย่างน้อยหนึ่งตำแหน่งก็คงจะต้องตกเป็นของเคานท์ฟอนโรเอนกรัมผู้นั้นโดยไม่ต้องสงสัย พวกท่านหามีความจำเป็นที่จะต้องไปช่วยให้เขาได้ตำแหน่งสูงขึ้นเช่นนี้ไม่ เอาเช่นนี้เถิด พวกท่านเองก็หาได้มีความอัตคัตด้านการเงินไม่ ลองพิจารณาการรับผิดด้วยการงดเงินเดือนเป็นเวลาหนึ่งปีส่งคืนท้องพระคลังหลวงจะเป็นอย่างไร?”

เสนาบดีปกครองกล่าวเช่นนั้น แล้วจอมพลสไตน์ฮอฟก็ตอบด้วยสีหน้าปั้นยากว่า

“พวกข้าพเจ้าเองก็มิใช่ว่าจะไม่ได้พิจารณาถึงวิธีนั้นมาก่อน ท่านมาร์ควิส ... แต่ในฐานะของชายชาติทหารแล้ว พวกข้าพเจ้าทนไม่ได้ที่จะถูกวิจารณ์ภายหลังว่า ติดยึดมั่นถือมั่นกับตำแหน่งโดยที่ไม่ยอมรับผิดต่อการดำเนินงานที่ผิดพลาดของพวกตน เพราะฉะนั้น ได้โปรดรับใบลาออกของพวกข้าพเจ้าด้วยเถิด”

มาร์ควิส ฟอน ลิชเทนลาเด้จึงจำต้องยอมรับใบลาทั้งสามใบนั้น แล้วเดินทางเข้าเฝ้าจักรพรรดิฟรีดลิชที่ 4 เพื่อกราบทูลรายงานเรื่องดังกล่าว

จักรพรรดิซึ่งทรงสดับฟังรายงานของเสนาบดีปกครองด้วยทีท่าที่เฉื่อยชาเหมือนเช่นเคย ก็ได้ทรงมีรับสั่งให้มหาดเล็กไปตามตัวไรน์ฮาร์ดจากจวนจอมพลของฝ่ายหลังมาเข้าเฝ้าโดยทันที ที่จริง หากติดต่อด้วยโทรศัพท์ภาพ (วิสิโฟน) ก็ได้อยู่ แต่การที่อุตส่าห์เรียกตัวมาพบโดยตรง ก็ย่อมเป็นส่วนหนึ่งที่ขาดเสียมิได้ในการแสดงพระราชอำนาจอันล้นฟ้าของเจ้าแผ่นดินนั่นเอง

เมื่อไรน์ฮาร์ดมาเข้าเฝ้าแล้ว จักรพรรดิก็ทรงยื่นซองใบลาออกทั้งสามซองให้ชายหนุ่มดู จากนั้นมีรับสั่งว่า เจ้าอยากได้ตำแหน่งใดบ้าง... รับสั่งราวกับว่ากำลังทรงให้เด็กตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งเลือกของเล่นกระนั้นแหละ ไรน์ฮาร์ดเหลือบตามองเสนาบดีปกครองลิชเทนลาเด้ซึ่งยืนกลั้นใจอยู่ข้าง ๆ แวบหนึ่ง ก่อนจะกราบทูลตอบว่า

“ขอเดชะ ในเมื่อข้าพระองค์มิได้กระทำความดีความชอบใด ๆ เลยจะให้ข้าพระองค์มาแย่งตำแหน่งของบุคคลอื่นได้อย่างไรกันพะยะคะ การสูญเสียป้อมปราการอิเซลโลนนั้นย่อมเป็นความผิดของเซกต์และสต็อกเฮาเซนทั้งสองคน ซึ่งผู้การเซกต์ก็ได้สละชีพเพื่อชดเชยความผิดไปแล้ว ส่วนอีกผู้หนึ่งบัดนี้ก็คงตกเป็นเชลยของข้าศึกอยู่ ข้าพระองค์เห็นว่า ไม่สมควรมีผู้ใดที่จะต้องมารับโทษอันเนื่องจากการนี้อีกแล้ว ขอพระองค์ได้โปรดทรงพิจารณา และกรุณาละเว้นโทษทัณฑ์ใด ๆ ต่อท่านผู้ใหญ่ทั้งสามแห่งกองทัพด้วยเถิด พะยะคะ”

“อืม เจ้านี่ไม่โลภเลยหนอ”

คราวนี้จักรพรรดิหันไปรับสั่งกับเสนาบดีปกครองซึ่งกำลังยืนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า

“กราฟ (เคานท์) ได้พูดเช่นนี้แล้ว เจ้าเล่า? มีความเห็นอย่างไร?”

“... ข้าพระองค์รู้สึกซาบซึ้งในความเห็นอันสูงส่งเกินวัยของท่านกราฟพะยะคะ และข้าพระองค์ก็เช่นกัน อยากจะขอพระมหากรุณาธิคุณ ได้โปรดพิจารณากรณีของท่านผู้ใหญ่ทั้งสามแห่งกองทัพให้สมควรด้วยเถิดพะยะคะ”

“ในเมื่อเจ้าทั้งสองเห็นพร้องต้องกันเช่นนี้ เราเองก็ไม่คิดจะลงโทษพวกเขาทั้งสามคนอย่างหนักหรอกนะ แต่จะงดโทษเลยก็ไม่ได้การ...”

“ถ้าเช่นนั้น ข้าพระองค์เสนอว่า ให้ตัดเงินเดือนของพวกเขาทั้งสามเป็นเวลาหนึ่งปี แล้วนำมาเป็นกองทุนสำหรับช่วยเหลือครอบครัวของทหารที่เสียชีวิตจากสงคราม จะดีไหมพะยะคะ?”

“ดีเหมือนกัน ก็คงประมาณนั้นแหละนะ ธุระของเจ้ามีเพียงเท่านี้ใช่ไหม?”

“พะยะคะ”

“ถ้าเช่นนั้น เจ้าทั้งสองกลับไปได้แล้ว อีกประเดี๋ยวเราต้องไปดูกอกุหลาบที่ปลูกในห้องกระจกเสียหน่อย”

ข้าราชการทั้งสองคนถวายบังคมลาตามพระราชดำรัสทันที

แต่หลังจากนั้นไม่ถึงห้านาที หนึ่งในสองนั้นก็แอบกลับมาอีกเงียบ ๆ ด้วยอาการที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งกลับมาอย่างรวดเร็วนั่นเอง ท่านมาร์ควิสลิชเทนลาเด้ซึ่งมีวัยถึง 75 ปีแล้วจึงต้องหอบหายใจอย่างแรงให้หายเหนื่อย แต่กว่าที่เขาจะบรรลุถึงสวนกุหลาบที่จักรพรรดิกำลังประทับอยู่ เขาก็ไม่แสดงอาการหอบแล้ว

จักรพรรดิกำลังทรงประทับยืน- ประดุจไม้แห้งตายซาก ท่ามกลางดงกุหลาบสวยงามหลากสีหลากพันธุ์ที่แข่งกันส่งกลิ่นหอมรวยริน ขุนนางฐานันดรผู้สูงอายุตรงเข้าไปใกล้แล้วก็คุกเข่าลงอย่างสำรวม

“ขอเดชะฝ่าบาทฯ พระอาญามิพ้นเกล้าฯ คือ...”

“มีเรื่องอันใดอีก?”

“ข้าพระองค์ขอบังอาจถวายความเห็นอันอาจจะเป็นที่เคืองพระราชหฤทัยพะยะคะ...”

“เรื่องกราฟ ฟอน โรเอนกรัมละสิ?”

น้ำเสียงของจักรพรรดิ มิได้มีทั้งความเฉียบขาด ความร้อนแรง หรือแม้แต่พลังอำนาจใด ๆ แฝงอยู่เลย ชวนให้นึกถึงน้ำเสียงแหบพร่าของคนชราไร้อำนาจ เสียงเหมือนดั่งเม็ดทรายที่ถูกลมพัดจนปลิวคลุ้ง

“เจ้ากำลังจะบอกว่า เราได้ให้อำนาจและยศตำแหน่งแก่น้องชายของอันเนโรเซ่มากจนเกินไปแล้วกระมัง?”

“พระองค์ก็ทรงดำริเช่นนั้นหรือพะยะคะ...”

สิ่งที่เสนาบดีปกครองกำลังประหลาดใจก็คือ น้ำเสียงที่จักรพรรดิใช้ตรัสกับเขาในเรื่องนี้ช่างชัดเจนเหลือเกินนั่นเอง

“เจ้ากำลังคิดว่า ด้วยความเป็นหนุ่มคะนองของเขา จะทำให้เขาไม่หยุดเพียงอำนาจหน้าที่ในฐานะข้าราชบริพารคนสำคัญที่ได้รับมอบหมายไป แต่เกรงว่าเขาจะใช้อำนาจนั้น เพื่อคิดการใหญ่ขึ้น ทำนองนั้นสินะ?”

“เริ่มมีเสียงร่ำลือถึงความเป็นไปได้นั้นหนาแน่นขึ้นทุกขณะแล้วพะยะคะ...”

“ปล่อยเขาไปเถิด...”

“ฝ่าบาท?!!!”

“ราชวงศ์โกลเดนบาวม์เองก็หาได้มีมาพร้อมกับกำเนิดของมนุษยชาติแต่อย่างไรไม่ เช่นเดียวกับที่ไม่มีมนุษย์ที่เป็นอมตะ ประเทศที่คงอยู่ชั่วฟ้าดินสลายก็หามีไม่เช่นกัน เพราะฉะนั้น ไม่มีเหตุผลใด ที่จะห้ามไม่ให้ราชวงศ์โกลเดนบาวม์มาสิ้นสุดในรัชสมัยของเรานี่ จริงไหม?”

เสียงหัวเราะแหบ ๆ นั้นพาให้ร่างของเสนาบดีปกครองสั่นเทิ้มด้วยความตระหนก เขารู้สึกเหมือนกำลังยืนอยู่ริมหน้าผาลึกที่มองลงไปไม่เห็นก้นเหว พาให้ร่างทั้งร่างเย็นยะเยือก

“ไหน ๆ ก็จะต้องล่มสลายแล้ว...”

น้ำเสียงของจักรพรรดิยังคงดังต่อมา เหมือนกับดาวหางที่เป็นสัญลักษณ์แห่งกาลวิบัติกระนั้น

“ก็ให้มันล่มสลายอย่างโอ่อ่าตระการตาไปเลยไม่ดีกว่ารึ?”
(อ่านตอนต่อไป)

กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป 1