ท่านผู้ใหญ่ทั้งสามแห่งกองทัพจักรวรรดิ จำต้องฝืนรับความจริงว่า พวกเขาตกเป็นหนี้บุญคุณไรน์ฮาร์ดอย่างช่วยไม่ได้แล้ว ทั้งที่ไม่เต็มใจและรู้สึกไม่พอใจก็ตาม ดังนั้น เมื่อวันรุ่งขึ้น ไรน์ฮาร์ดได้เสนอขอดำเนินการอภัยโทษ- จากโทษอันเนื่องจากกรณีสูญเสียป้อมปราการอิเซลโลน- ของพันเอกพอล ฟอน โอแบร์สไตน์ อีกทั้งยังขอโอนย้ายฝ่ายหลังไปสังกัดอยู่กับจวนจอมพลของเขานั้น ทั้งสามท่านจึงมิอาจจะปฏิเสธได้ ทั้งนี้ ด้วยตนเองได้รับ พระมหากรุณาธิคุณ จากจักรพรรดิแล้ว ในการที่ไม่ติดพระราชหฤทัยในการสืบสาวความผิดกับพวกเขาอีกต่อไป จะให้พวกเขามีหน้ามาสืบสาวไล่เลียงความผิดกับผู้อื่นอย่างเข้มงวดได้อย่างไรเล่า? อีกทั้ง... เพียงแค่ตำแหน่งพันเอกเล็ก ๆ เพียงคนเดียว จะย้ายสังกัดไปที่ไหนอย่างไรก็หาใช่เรื่องใหญ่โตไม่ สรุปก็คือ เรื่องราวเป็นไปในทางที่ดีสำหรับโอแบร์สไตน์นั่นเอง
และเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ไรน์ฮาร์ดละทิ้งโอกาสอันดีที่ตนจะได้ขึ้นไปรับตำแหน่งใหญ่สามตำแหน่งนั้น คนที่มองในแง่ดีก็กล่าวว่า
ดูท่าไม่มักใหญ่อย่างที่กลัวกันนี่
ขณะที่คนที่ถึงยังไงก็เกลียดเขา ก็วิจารณ์ว่า
มันแกล้งวางท่าไปเช่นนั้นเองแหละ
และน้ำเสียงของทั้งสองฝ่ายก็มีสูสีกัน
แต่ไม่ว่ากับเสียงวิจารณ์แบบใดก็ตาม ไรน์ฮาร์ดก็มิได้ใส่ใจแม้แต่น้อย กับเพียงแค่สามตำแหน่ง กระจอก ๆ เท่านี้ เขาจะรวบมาเสียเมื่อไรก็ได้ เพียงแต่ตอนนี้ ก็ให้พวกทหารแก่เหล่านั้นยืมไปใช้ก่อนก็เท่านั้นเอง และถึงอย่างไรก็ตาม ตำแหน่งพวกนั้น สำหรับไรน์ฮาร์ดแล้วก็เป็นเพียงทางผ่านเท่านั้น หาใช่จุดมุ่งหมายสุดท้ายของเขาไม่
...
สีหน้าของบุรุษหนุ่มผู้ซึ่งในอนาคตจะเป็นผู้รวบตำแหน่งสามผู้ใหญ่แห่งกองทัพจักรวรรดิไว้เพียงคนเดียว เมื่อถึงเวลาที่ไรน์ฮาร์ดบรรลุเป้าหมายสูงสุดของตนแล้ว ดูมีแววกังวล และไม่สบายใจนัก
เป็นอะไรไป เคียร์ชไอซ์ ท่าทางเหมือนมีอะไรอยากพูดกับฉันอย่างนั้นแหละ
ก็รู้อยู่แก่ใจดีแล้วนี่ขอรับ ยังมาทำไก๋อีก
อย่าโกรธไปเลย เรื่องของโอแบร์สไตน์สิท่า ฉันเองก็เคยนึกสงสัยเหมือนกันว่า เจ้าโอแบร์สไตน์นี่จะเป็นคนที่พวกขุนนางชั้นสูงส่งมาเพื่อทำลายเรารึเปล่า? แต่คิด ๆ ดูแล้ว หมอนั่นไม่ใช่คนที่พวกขุนนางจะ เอาอยู่ นะ สมองมันเฉียบแหลมมากก็จริง แต่นิสัยก็...
แล้วคุณไรน์ฮาร์ดล่ะ เอาเขาอยู่หรือขอรับ?
ไรน์ฮาร์ดเอียงคอเล็กน้อย ทำให้ผมทองยาวสลวยของเขาไหลไปอีกทางหนึ่งอย่างสวยงาม
นั่นสินะ... ฉันเอง ก็ไม่ได้หวังมิตรภาพหรือความจงรักภักดีจากชายคนนั้นหรอก เจ้าหมอนั่นมันเพียงแต่ยืมมือฉันเท่านั้นเอง เพื่อที่จะทำให้วัตถุประสงค์ของมันเป็นจริงขึ้นมา
นิ้วเรียวยาวของไรน์ฮาร์ดยื่นไปดึงผมสีแดงประดุจย้อมด้วยน้ำที่ละลายมาจากทับทิมแดงสดเล่น ในยามที่ไม่มีบุคคลอื่นอยู่ด้วย บางครั้งไรน์ฮาร์ดก็ชอบเล่นแบบนี้ ตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ แล้วทั้งสองคนไม่เคยทะเลาะกันนาน ๆ ก็จริง แต่ในช่วงที่ทะเลาะกันอยู่นั้น ไรน์ฮาร์ดมักจะแดกดันสีผมของสหายรักว่า อะไรกัน ผมแดงอย่างกะสีเลือด! แต่พอดีกันแล้ว ก็กลับชมว่า ผมสีแดงของนายนี่สวยดีนะ เหมือนเพลิงที่กำลังโหมกระหน่ำเลย ... ใช่ เขาเป็นเด็กเอาแต่ใจตัวเองแบบนี้ล่ะ
... เพราะฉะนั้น ฉันก็จะยืมใช้หัวสมองของเจ้าหมอนั่นเหมือนกัน โดยไม่สนใจว่าหมอนั่นจะมีแรงจูงใจในการมาสวามิภักดิ์กับเราอย่างไรล่ะ จะว่าไป นายลองคิดดูสิ ถ้ากะอีแค่คนคนเดียวนี่ฉันยังเอาไม่อยู่ แล้วฉันจะเป็นเจ้าจักรวาลทั้งหมดได้อย่างไร จริงไหม?
สำหรับไรน์ฮาร์ดแล้ว การเมืองนั้น สำคัญที่ผลลัพธ์ หาใช่วิธีการหรือตัวระบบเองไม่
ที่เขารู้สึกว่ามหาจักรพรรดิลูดอร์ฟทำผิดอย่างมหันต์เกินว่าจะอภัยให้ได้นั้น มิใช่เพราะเหตุจากที่ลูดอร์ฟยึดเอาสหพันธ์ทางช้างเผือก (USG) มาเป็นของตนแต่อย่างไร และก็มิใช่เพราะการที่ลูดอร์ฟขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิด้วย แต่เป็นเพราะชายผู้นั้นใช้อำนาจล้นฟ้าที่ตนได้มาไปในทางที่น่าละอายมากที่สุดคือ นำมาทำให้ตนเองกลายเป็นบุคคลสูงส่งที่ใครจะแตะต้องมิได้ต่างหากเล่า หากเขาใช้อำนาจอันสูงสุดไปในทางที่ช่วยส่งเสริมและพัฒนาอารยธรรมของมนุษย์แล้วไซร้ ใครเลยจะจินตนาการได้ว่า ผลของมันจะยิ่งใหญ่เพียงใด อาจจะทำให้ -ป่านนี้- มวลมนุษยชาติอาจจะไปเดินเล่นอยู่ทั่วห้วงอวกาศอันกว้างใหญ่ไปแล้วก็ได้โดยไม่ต้องมาคอยสูญเสียพลังงานกับการทำสงครามอันเนื่องจากแนวความคิดทางการเมืองที่แตกต่างกันอยู่เช่นนี้ ดูเอาเถิดในสภาพปัจจุบัน แม้นจะรวมดินแดนของจักรวรรดิและสมาพันธ์เข้าด้วยกันแล้วก็ตาม มนุษย์ก็ครอบครองดินแดนในห้วงอวกาศ ดินแดนของระบบดวงฤกษ์ใหญ่น้อยได้เพียงไม่ถึงหนึ่งในห้าเท่านั้นเอง!
กล่าวโดยสรุปก็คือ ลูดอร์ฟต้องรับผิดชอบแต่ผู้เดียวในความคิดอันฟั่นเฟือนของเขาที่เป็นตัวขัดขวางทำลายอารยธรรมของมนุษย์ไปอย่างน่าเสียดาย อ้างว่าตนเป็นสมมติเทพรึ? น่าขันสิ้นดี เป็นเจ้าแห่งโรคร้ายที่เกาะกินสังคมมนุษย์สิไม่ว่า!
แน่นอนว่า ในการที่จะทำลายล้างระบบการปกครองเก่านั้น จำเป็นต้องอาศัยอำนาจและกำลังยุทธอันมหาศาล แต่ตัวเขาเองจะไม่ยอมเจริญรอยตามลูดอร์ฟผู้นั้นอย่างเด็ดขาด แม้เขาจะคิดว่า สุดท้ายแล้ว ตนคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องขึ้นเป็นจักรพรรดิก็เถิด แต่เขาจะไม่กำหนดให้ผู้สืบทอดของเขาจะต้องจำกัดอยู่แต่เพียงลูกหลานหรือผู้ที่สืบสายเลือดของตนเท่านั้น
ลูดอร์ฟนั้นเป็นคนที่หลงงมงายอย่างที่สุดในเรื่องของสายโลหิต และเรื่องของดีเอ็นเอ (พันธุกรรม) แต่ในความจริงแล้ว พันธุกรรมนั้นหาได้เป็นสิ่งที่แน่นอนและเชื่อถือได้ไม่ ดูอย่างบิดาของไรน์ฮาร์ดเองเถิด มิได้เป็นทั้งผู้เก่งกล้าสามารถหรือมีพรสวรรค์แต่ประการใดเลย กลับเป็นเพียงแค่คนแก่ ๆ คนหนึ่งที่แม้แต่ความสามารถในการเลี้ยงชีพ-ดำรงชีพด้วยตนเองก็ยังไม่มี ทำเป็นแค่ ขาย บุตรีแสนงามของตนให้กับผู้มีอำนาจ แล้วก็อาศัยเงินที่ได้นั้นดำรงชีวิตอย่างเสเพลไร้สาระไปวัน ๆ เมื่อเจ็ดปีก่อนตอนที่เขาเสียชีวิตด้วยสาเหตุจากโรคพิษสุราเรื้อรังและร่างกายทรุดโทรมอันเนื่องจากการเป็นชายเจ้าสำราญแวดล้อมด้วยสาว ๆ ที่สรรหามาบำเรอสวาทนั้น ไรน์ฮาร์ดไม่มีน้ำตาแม้แต่หยดเดียวที่จะหลั่งให้กับคนผู้นั้น เขารู้สึกขมขื่นในอกเมื่อมองเห็นน้ำตาที่ไหลอาบแก้มขาวผุดผ่องประดุจทำจากเนื้อเซรามิกส์ชั้นดีของพี่สาวก็จริง แต่นั่นเป็นความรู้สึกเสียใจและเห็นใจที่มีให้พี่สาว หาใช่ให้บิดาผู้ล่วงลับไม่
หากต้องการหาตัวอย่างที่ชัดเจนของการที่พันธุกรรมไม่ใช่เรื่องที่น่าเชื่อถือละก็ ไม่ต้องดูอื่นไกล ดูพวกเชื้อพระวงศ์ของราชวงศ์โกลเดนบาวม์ในปัจจุบันนี้เถิด ใครเลยจักเชื่อได้ว่า ในร่างของจักรพรรดิฟรีดลิชที่สี่ จะมีเลือดของลูดอร์ฟผู้ยิ่งใหญ่ห้าวหาญไหลอยู่ถึงสักหนึ่งมิลลิลิตรเล่า ในเมื่อจักรพรรดิองค์ปัจจุบันช่างมีวรกายเสื่อมโทรมปานนั้น สายโลหิตของโกลเดนบาวม์นั้น ถึงป่านนี้คงจะขุ่นมัวแตกต่างไปจากต้นตระกูลโดยสิ้นเชิงไปแล้วกระมัง?
บรรดาพี่น้องชายหญิงของจักรพรรดิฟรีดลิชที่สี่ล้วนแต่มีเหตุให้สิ้นชีพไปแล้วถ้วนหน้า ตัวจักรพรรดิฟรีดลิชเอง ก็เคยทำให้จักรพรรดินี และนางสนมคนอื่น ๆ รวมทั้งสิ้น 6 คนตั้งครรภ์รวมกันแล้ว 28 ครั้ง หากแต่ปรากฏว่า บรรดาสตรีเหล่านั้น แท้งบุตรถึง 6 ครั้ง แล้วยังประสบเหตุที่บุตรเสียชีวิตขณะคลอดอีก 9 ครั้ง รวมความแล้ว ทารกที่รอดชีวิตมาได้มีเพียง 13 คน ซึ่งในบรรดานี้ 4 คนก็ตายด้วยอายุไม่ถึง 1 ขวบ ส่วนอีก 5 คนก็ตายก่อนที่จะบรรลุนิติภาวะ และที่มาเสียชีวิตหลังเป็นผู้ใหญ่แล้วอีก 2 คน ทายาทของจักรพรรดิฟรีดลิชที่สี่ที่ปัจจุบันยังคงมีชีวิตอยู่ มีเพียงท่านผู้หญิงดัชเชส อามาริเย ฟอน เบราสไวก์ กับ ท่านผู้หญิง มาร์ชันเนส คริสติเน ฟอน ลิตเทนไฮม์ สองพระองค์เท่านั้น (ดัชเชส- ภรรยาของดยุค, มาร์ชันเนส- ภรรยาของมาร์ควิส) จากพระนามของธิดาทั้งสองก็ทำให้ทราบได้ว่า ได้แต่งออกไปอยู่กับขุนนางฐานันดรชั้นสูงทั้งคู่แล้ว และต่างก็ให้กำเนิดทายาทเป็นบุตรีครอบครัวละหนึ่งนางทั้งคู่เช่นกัน นอกจากนี้ อดีตมกุฎราชกุมารรู้ดวิชซึ่งสิ้นพระชนม์หลังจากเป็นผู้ใหญ่แล้ว ก็ได้ทิ้งบุตรชายไว้คนหนึ่ง และนี่คือ ทายาทที่เป็นชายเพียงคนเดียวของราชวงศ์ นามว่า เอลวิน โจเซฟ หากแต่เด็กผู้นี้เพิ่งอายุได้ห้าขวบ และยังไม่ได้รับการแต่งตั้งให้มีฐานะใด ๆ ในราชวงศ์
จักรพรรดิฟรีดลิชที่สี่ที่ไรน์ฮาร์ดเกลียดชังและดูถูกเป็นหนักหนา ด้วยราวกับรวมความเสื่อมต่าง ๆ ในวังหลวงเข้ารวมไว้ในตัวเพียงคนเดียว ก็ยังมีประเด็นที่ไรน์ฮาร์ดรู้สึกขอบคุณอยู่สองประการ
ประการแรกคือ ด้วยเหตุที่เคยมีประสบการณ์ที่ทำให้สนมคนโปรดหลายพระองค์เสียชีวิตระหว่างการคลอดบุตรมาแล้ว ดังนั้น จักรพรรดิจึงกลัวที่จะสูญเสียอันเนโรเซไปอีกคน และทำให้พระองค์หลีกเลี่ยงไม่ยอมให้อันเนโรเซตั้งครรภ์กับตน ซึ่งการนี้ อาจจะมีแรงกดดันมาจากบรรดาขุนนางฐานันดรที่ไม่ต้องการเพิ่มตัวแย่งสิทธิ์ในราชบัลลังก์ในกรณีที่อันเนโรเซให้กำเนิดทายาทขึ้นมาด้วย แต่อย่างไรก็ตาม เพียงแค่จินตนาการว่า พี่สาวจะต้องตั้งครรภ์กับจักรพรรดิ ก็เป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวเหลือเกินแล้วสำหรับไรน์ฮาร์ด
ประการถัดไป คือ การที่ผู้ที่อยู่ในข่ายเป็นรัชทายาทสืบทอดราชบัลลังก์นั้นมีจำนวนน้อยมาก กล่าวคือ พระราชนัดดา (หลาน) ทั้งสามคนเท่านั้นเอง ดังนั้นเพียงกำจัดทั้งสามคนให้หมดไปก็ใช้ได้แล้ว หรือจะใช้วิธีแต่งงานกับหนึ่งในสองทายาทสตรีก็ยังได้ แน่นอน คงเป็นการแต่งแต่ในนามเท่านั้น
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม โอแบร์สไตน์จักเป็นประโยชน์แก่เขา- ไรน์ฮาร์ด- อย่างแน่นอน หากเป็นเจ้าหมอนี่แล้วไซร้ คงสามารถที่จะสืบข่าวและวางแผนแยบยลในการรับมือกับบรรดาเชื้อพระวงศ์และขุนนางฐานันดรได้แน่ ด้วยจิตใจอันมุ่งมั่นและเลือดเย็นของเขาเอง หากจำเป็นละก็ ท่าทางหมอนี่ก็คงจะฆ่าเด็กหรือสตรีได้โดยไม่ลังเลด้วยกระมัง เคียร์ชไอซ์ก็คงจะสำเหนียกได้ถึงเรื่องพวกนี้ จึ่งได้แสดงท่าทีรังเกียจและไม่เต็มใจให้โอแบร์สไตน์มาอยู่ในสังกัดของไรน์ฮาร์ดด้วยเช่นนั้น แต่... ในตอนนี้ สำหรับไรน์ฮาร์ดแล้วโอแบร์สไตน์เป็นบุคลากรที่จำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
การที่ตนเองต้องยืมมือคนอย่างโอแบร์สไตน์เช่นนี้ ท่านพี่อันเนโรเซและเคียร์ชไอซ์คงจะไม่ยินดีนักกระมัง... แต่นี่เป็นสิ่งที่เขาต้องทำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เสียแล้ว
(อ่านตอนต่อไป)
|