นวนิยายแฟนตาซีอวกาศเรื่องยาว

วีรบุรุษทางช้างเผือก銀河英雄伝説

เรื่อง โดย ทะนะกะ โยะชิกิ (田中芳樹) แปลโดย Pae

บทที่ 6 หลากวิถีหลากดวงดาว
-7-


หลังจากรับประทานอาหารกลางวันแล้ว การประชุมก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง

คราวนี้ คนที่ยึดหัวหาดอภิปรายคือ นายฮวน รุย ซึ่งเป็นประธานกรรมาธิการทรัพยากรมนุษย์ รับผิดชอบดำเนินนโยบายเกี่ยวกับระบบการศึกษา, การจ้างงาน, ปัญหาแรงงานและระบบสวัสดิการสังคม เขาก็เป็นพวกที่ไม่เห็นด้วยกับแผนการออกรบครั้งนี้เช่นกัน

“ในฐานะของประธานกรรมาธิการทรัพยากรมนุษย์แล้ว...”

ฮวนเป็นชายร่างเล็กก็จริง แต่เสียงดังฟังชัด ผิวมีเลือดฝาดสมบูรณ์และมือเท้าที่ดูคล่องแคล่วว่องไว ยังความประทับใจให้ผู้พบเห็นว่า เป็นผู้ที่เปี่ยมแน่นไปด้วยพลังมีชีวิตชีวา

“คงไม่สามารถที่จะหยุดความวิตกต่อการที่ทรัพยากรมนุษย์จำนวนมหาศาลซึ่งเดิมที ควรจะได้ถูกใช้ไปในการก่อสร้างเศรษฐกิจหรือการพัฒนาสังคม ต้องถูกโอนย้ายมาอยู่ในกองทัพเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ การที่รัฐบาลตัดงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาและการฝึกงานก็เป็นสิ่งที่กำลังเป็นปัญหาอย่างใหญ่หลวง ผมขอยกตัวอย่างที่แสดงถึงระดับขีดความสามารถของเจ้าพนักงานที่ลดต่ำลงอย่างมากให้เห็นชัด ๆ สักตัวอย่างนะครับ อัตราการเกิดอุบัติเหตุระหว่างการทำงานในช่วงหกเดือนนี้ เพิ่มขึ้นถึง 30 เปอร์เซนต์เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน อย่างเช่น อุบัติเหตุที่เกิดกับกองยานอวกาศขนส่งที่หมู่ดาวลุนบีนินั้น ทำให้เราสูญเสียชีวิตคนไปถึงกว่าสี่ร้อยคน และโลหะเรเดียมอีก 50 ตัน ซึ่งคาดว่านี่เป็นผลมาจากการที่ระยะเวลาฝึกอบรมพนักงานต้นหนของยานอวกาศเอกชนถูกบีบให้เหลือระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้นนั่นเอง และยิ่งกว่านั้น บรรดาต้นหนเหล่านี้ก็ยังต้องทำงานหนักมากด้วย อันเนื่องจากการขาดแคลนบุคลากรนะครับ”

ช่างเป็นวิธีการอภิปรายที่ชัดเจนเหลือเกิน

“ตรงประเด็นนี้ ผมอยากจะขอเสนอความเห็นว่า ให้ปลดทหารที่ทำงานด้านเทคนิค การขนส่งและการสื่อสารจำนวนอย่างน้อยสี่ล้านคนให้กลับไปสู่ภาคเอกชนเถิดครับ นี่เป็นตัวเลขที่ต่ำที่สุดที่เรากำลังต้องการแล้วด้วย”

สายตาของฮวนซึ่งกวาดมองไปตามใบหน้าของผู้เข้าร่วมประชุม ไปหยุดอยู่ที่หน้าของประธานกรรมาธิการกลาโหม ฝ่ายนั้นตอบกลับมาด้วยอาการที่คิ้วขมวดอยู่

“อย่าพูดอะไรที่เป็นไปไม่ได้สิครับ หากให้ปลดทหารสนับสนุนออกไปมากขนาดนั้นละก็ มีหวังโครงสร้างของกองทัพต้องพังครืนลงมาแน่”

“ท่านประธานกรรมาธิการกลาโหมพูดอย่างนั้นก็จริง แต่ถ้าปล่อยให้สภาพเป็นไปอย่างนี้ละก็ มีหวังระบบเศรษฐกิจและสังคมของเราจะพังก่อนกองทัพซะอีกนะสิครับ คุณทราบหรือเปล่าว่า ตอนนี้ อายุเฉลี่ยของโอเปอเรเตอร์ที่ทำงานอยู่ในศูนย์ควบคุมการจราจรของเมืองหลวงเรานี่เป็นเท่าไร?”

“... ไม่ทราบสิครับ”

“สี่สิบสองปีครับ”

“ก็ไม่เห็นว่ามันจะเป็นตัวเลขที่ผิดปกตินี่ครับ”

ฮวนตบโต๊ะอย่างแรง กล่าวว่า

“นี่มันเป็นภาพลวงตาที่เกิดจากตัวเลข! ตอนนี้ 80 เปอร์เซนต์ของโอเปอเรเตอร์ที่ว่า คือคนที่อายุต่ำกว่า 20 ปี กับคนสูงอายุที่เกิน 70 ปีนะครับ เอามาเฉลี่ยกันละก็ มันออกมาเป็น 42 ปีก็ไม่แปลก แต่ว่าในความเป็นจริงแล้ว พนักงานเทคนิคที่มีประสบการณ์ระดับกลางซึ่งก็คงอายุราว 30-40 ปีนั้นมีน้อยมาก นอกจากนี้ ไม่ว่าจะเป็นระบบควบคุมที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตประจำวันระบบไหน ๆ ก็ตาม ตัวซอฟต์แวร์ควบคุมก็เริ่มจะมีจุดอ่อนมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว นี่เป็นเรื่องที่น่ากลัวเพียงใด คงไม่ต้องให้ผมอธิบายนะครับ หวังว่าท่านประธานกรรมาธิการผู้ทรงคุณวุฒิทุกท่านคงจะจินตนาการเองได้”

ฮวนพูดจบก็เม้มปากแน่น พลางกวาดสายตามองไปรอบที่ประชุมอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ นอกจากริเบอโรแล้ว ไม่มีใครกล้าสบตาเขาตรง ๆ เลยแม้แต่คนเดียว บางคนก็กำลังก้มมองพื้นบ้าง บางคนก็เสหลบสายตาไปทางอื่นบ้าง และบางคนก็เหม่อมองขึ้นเพดานไปเลย

ริเบอโรเข้าไปรับบทต่อจากฮวน

“สรุปก็คือ นี่เป็นโอกาสอันดีที่จะให้พลเมืองของเราได้พักเหนื่อยจากการรบมาอย่างยาวนานเสียที ในเมื่อเรายึดป้อมอิเซลโลนมาไว้ในครอบครองได้แล้ว ก็ย่อมป้องกันการโจมตีของจักรวรรดิได้ไม่ยากเย็นนัก และน่าจะเป็นเช่นนี้ไปอีกนานพอสมควรด้วย เพราะฉะนั้น ไม่เห็นมีความจำเป็นที่เราจะต้องเป็นฝ่ายยกทัพไปบุกทางนั้นเลยไม่ใช่หรือครับทุกท่าน?”

ริเบอโรอภิปรายอย่างเอาจริงเอาจัง

“การที่จะสร้างภาระให้ประชาชนแบกรับหนักไปกว่านี้ย่อมผิดต่อหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตยเป็นแน่ ตอนนี้พวกเขาเองก็เริ่มที่จะรับภาระไม่ไหวแล้วด้วยครับ”

มีเสียงคัดค้านดังขึ้นมาทันที คราวนี้มาจากสมาชิกสตรีเพียงคนเดียวของที่ประชุมนี้ ประธานกรรมาธิการสื่อสารและคมนาคม นางคอนเนเรีย วินเธอร์ ผู้ซึ่งเพิ่งจะรับตำแหน่งเพียงหนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้านี้เท่านั้น

“ไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่เราจะต้องรับฟังความคิดเอาแต่ได้ของพวกประชาชนที่ไม่ยอมเข้าใจอะไรเลยนี่คะ! ถามหน่อยเถอะค่ะ เคยมีตัวอย่างบ้างไหมคะที่ว่าสามารถทำภารกิจใหญ่หลวงให้สำเร็จได้โดยไม่ต้องมีการเสียสละน่ะ”

“ก็ไอ้ที่ว่าการเสียสละนั่นแหละครับ ประชาชนของเรากำลังคิดกันว่า มันมากเกินไปหรือไม่ คุณวินเธอร์”

ริเบอโรกล่าวเพื่อแจงความผิดพลาดในการอ้างทฤษฎีของหล่อน แต่ดูเหมือนว่าจะไร้ผล

“ไม่ว่าจะต้องเสียสละเพียงใดก็ตาม ต่อให้ต้องส่งประชาชนไปตายจนหมดก็ตาม สิ่งที่ต้องทำก็หมายความว่าเราต้องทำค่ะ”

“นะ... นั่นมันไม่ใช่วิธีคิดของผู้ทำงานรัฐศาสตร์แล้ว!”

แต่นางวินเธอร์ไม่สนใจคำปรามเสียงหลงของริเบอโร หล่อนหันกายเข้าหาบรรดาผู้เข้าร่วมประชุมแล้วเริ่มกล่าวอภิปรายด้วยน้ำเสียงสดใสกังวานของหล่อน

“พวกเรา ณ ประเทศนี้ ล้วนมีพันธกิจอันยิ่งใหญ่ที่จะต้องกระทำให้สำเร็จ นั่นก็คือ ภารกิจที่จะต้องล้มล้างจักรวรรดิทางช้างเผือก และปลดแอกให้แก่ประชาชนผู้กำลังตกอยู่ในความทุกข์ยากเหล่านั้นให้จงได้ การที่ใครบางคนจะมาหลงอยู่กับฮิวแมนนิสซึมต่ำ ๆ แล้วลืมภารกิจอันใหญ่หลวงนี้ ดิฉันขอถามหน่อยเถิดค่ะ ยังสมควรที่จะมาทำงานเพื่อประชาชนได้อีกหรือคะ?”

สตรีผู้นี้อายุราวสี่สิบต้น ๆ เต็มไปด้วยความฉลาดสวยงามและมีเสน่ห์ดึงดูด น้ำเสียงของหล่อนก็ไพเราะประดุจเสียงดนตรี และนั่นยิ่งทำให้ริเบอโรรู้สึกถึงอันตรายในตัวหล่อนผู้นี้ ก็หล่อนต่างหากเล่าที่ตอนนี้กำลังหลงอยู่กับฮิวแมนนิสซึมต่ำ ๆ ที่หล่อนว่าไม่ใช่หรือ?

ขณะที่ริเบอโรกำลังจะเอ่ยปากโต้กลับนั่นเอง ประธานกรรมาธิการสูงสุด นายซันฟอร์ดซึ่งนั่งเงียบมาโดยตลอด ก็ได้เอ่ยขึ้น

“เอ่อ... ผมมีข้อมูลบางอย่างที่อยากให้ดูครับ ทุกคนช่วยดูที่จอภาพของเทอร์มินัลก่อนได้ไหมครับ?”

คราวนี้ทุกคนพากันประหลาดใจกับการออกโรงของประธานซึ่งแทบจะไม่เคยมีบทบาทเลยผู้นี้กันถ้วนหน้า ทุกคนหันไปมองเขาเป็นตาเดียว แล้วก็เลยมองไปยังจอภาพตามที่เขาบอกด้วย

“นี่เป็นอัตราส่วนผู้ให้การสนับสนุนคณะกรรมาธิการสูงสุดของเราครับ จะเห็นได้ว่า ไม่ดีนัก”

ตัวเลข 31.9 เปอร์เซนต์นั้น ที่จริงก็ไม่แตกต่างจากความคาดหมายของบรรดาผู้เข้าร่วมประชุมนี้มากนักอยู่แล้ว ทั้งนี้เพราะผู้ดำรงตำแหน่งคนก่อนหน้าของนางวินเธอร์เพิ่งจะถูกจับกุมดำเนินคดีในข้อหารับสินบนไปเมื่อไม่กี่วันก่อนนี่เอง อีกทั้งเศรษฐกิจยังฝืดเคือง สังคมทรุดโทรมอย่างที่ทั้งริเบอโรและฮวนได้ชี้ให้เห็นก่อนหน้านี้แล้วด้วย

“ส่วนนี่ เป็นตัวเลขอัตราส่วนผู้ไม่สนับสนุนเราครับ”

คราวนี้ ตัวเลข 56.2 เปอร์เซนต์ ทำให้หลายคนถอนหายใจออกมา นี่ก็ไม่ใช่เรื่องนอกเหนือความคาดหมายแต่อย่างไร แต่ถึงกระนั้นก็เถิด เห็นแล้วอดท้อแท้ไม่ได้

ประธานมองปฏิกิริยาของทุกคนแล้วค่อยพูดต่อ

“ถ้าขืนเป็นเช่นนี้ต่อไปละก็ การเลือกตั้งต้นปีหน้านี่ก็เห็นทีจะแย่แน่ พวกเราจะต้องถูกทั้งพวกใฝ่สันติ และพวกหัวรุนแรงสุดขั้วตีกระหนาบทั้งสองด้าน สุดท้ายก็คงไม่พ้นที่จะกลายเป็นเสียงข้างน้อยอย่างแน่นอน เว้นแต่ว่า...”

ประธานกรรมาธิการสูงสุดพูดด้วยน้ำเสียงเบาลงทุกที จะจงใจหรือไม่จงใจก็ตาม แต่มันก็มีผลเรียกร้องความสนใจผู้ฟังได้เป็นอย่างดี

“ผมได้ลองให้คอมพิวเตอร์ลองซิมูเลชันดูแล้ว หากภายในร้อยวันนี้ ทางรัฐบาลเราสามารถมีชัยชนะทางการทหารเหนือทัพจักรวรรดิได้อย่างงดงามละก็ อัตราส่วนเสียงสนับสนุนเราจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 15 เปอร์เซนต์เลยทีเดียว!”

มีเสียงพึมพำตอบรับคำพูดนี้ทันที

“เรามาโหวตลงความเห็นประเด็นแผนออกรบที่ส่งมาจากกองทัพกันเถอะค่ะ”

นางวินเธอร์กล่าวนำขึ้น แล้วภายในไม่กี่วินาทีถัดมาก็มีเสียงสนับสนุนดังท่วมท้น ช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ทุกคนเงียบไปนั้น กล่าวคือ ต่างคนต่างกำลังชั่งน้ำหนักระหว่างการรักษาสถานภาพของตนเอง กับการที่จะต้องพ่ายแพ้เลือกตั้งแล้วกลายเป็นฝ่ายค้านเสียงข้างน้อยนั่นเอง

“เดี๋ยวก่อน!”

ริเบอโรร้องเสียงหลงพลางทำท่าจะลุกขึ้นจากที่นั่ง แก้มของเขาดูมีสีซีดไปถนัดใจทั้ง ๆ ที่อยู่ใต้แสงโคมไฟแท้ ๆ

“พวกเราไม่มีสิทธิที่จะทำอย่างนั้นนะครับ พวกเราไม่ได้มีอำนาจที่จะส่งทหารไปรบเพียงเพื่อจะรักษาอำนาจการเมืองเอาไว้...”

น้ำเสียงของเขาสั่นพร่า

“แหม ทำเป็นพูดดีไปได้...”

เสียงเย้ยหยันของนางวินเธอร์ ฟังดูก้องกังวานอย่างฮึกเหิม ริเบอโรพูดอะไรไม่ออกทันที ได้แต่ยืนเหม่อมองภาพของนักการเมืองทั้งหลายที่กำลังจะทำลายจิตวิญญาณของการปกครองระบอบประชาธิปไตยด้วยน้ำมือตนเองเหล่านี้อย่างหดหู่

ห่างออกไป ฮวนก็กำลังนั่งมองร่างที่กำลังตกอยู่ในความทุกข์อย่างใหญ่หลวงของริเบอโรจากที่นั่งของตนเอง

“ขอร้องล่ะ อย่าใจเร็วด่วนได้กันเล้ย...”

เขาพึมพำออกมาเบา ๆ พลางยื่นมือไปกดปุ่มโหวต

เสียงสนับสนุน 6, เสียงคัดค้าน 3 และงดออกเสียง 2 สรุปก็คือ เสียงสนับสนุนมีถึงสองในสามของบรรดาผู้ออกเสียงทั้งหมด นั่นหมายความว่า แผนการส่งทหารไปรุกรานแดนจักรวรรดิ ได้ถูกอนุมัติแล้ว ณ บัดนั้นเอง!

แต่ผลการโหวตครั้งนี้ กลับทำให้บรรดาสมาชิกคณะกรรมาธิการสูงสุดนี้ตกตะลึงไปตาม ๆ กัน ไม่ใช่เพราะผลที่ออกมานั้นหรอก แต่เพราะว่า หนึ่งในสามเสียงที่เป็นเสียงคัดค้านนั้น มาจากประธานกรรมาธิการกลาโหม นายทริวนิชท์ต่างหาก

อีกสองเสียงนั้น เป็นของประธานกรรมาธิการทรัพยากรมนุษย์ นายฮวน และประธานกรรมาธิการการคลัง นายริเบอโร ซึ่งก็เป็นไปตามคาดหมายอยู่แล้ว แต่นายทริวนิชท์ล่ะ? ทุกคนล้วนรู้จักกันดีทั่วหน้าว่าเขาเป็นพวกหัวรุนแรงที่สนับสนุนสงคราม

“กระผมเป็นคนรักชาติครับ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า กระผมจะต้องสนับสนุนการทำสงครามเสมอไป ขอให้บันทึกผลการประชุมในครั้งนี้ให้ชัดเจนด้วย ว่ากระผมคัดค้านในการออกรบครั้งนี้!”

และนี่คือคำตอบของเขา เมื่อถูกถามอย่างประหลาดใจถึงเหตุผลที่โหวตไปเช่นนั้น

อีกทางหนึ่ง ในวันเดียวกันนั้นเอง ทางกองบัญชาการทหารสูงสุดก็ได้ปฏิเสธใบลาออกของพลตรีหยางเหวินหลี่อย่างเป็นทางการ แล้วกลับออกคำสั่งแต่งตั้งให้เขาเลื่อนยศขึ้นเป็นพลโทแทน
(อ่านตอนต่อไป)


กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป 1