นวนิยายแฟนตาซีอวกาศเรื่องยาว

วีรบุรุษทางช้างเผือก銀河英雄伝説

เรื่อง โดย ทะนะกะ โยะชิกิ (田中芳樹) แปลโดย Pae

บทที่ 6 หลากวิถีหลากดวงดาว
-9-


ระหว่างทางกลับบ้าน ขณะที่หยางนั่งอยู่ในแทกซี่อัตโนมัติซึ่งควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์และไม่ต้องอาศัยคนขับนั้น เขาก็คิดถึงเรื่องราวของหญิงสาวนามเจสสิก้า เอ็ดเวิร์ดผู้นั้นมาตลอดทาง

“ข้าพเจ้าอยากจะเรียกร้องหาคำตอบจากบรรดาท่านผู้มีอำนาจทั้งหลายอย่างไม่ลดละค่ะ ข้าพเจ้าอยากจะถามว่า ขณะที่พวกท่านส่งทหารไปตายนับจำนวนไม่ถ้วนนั้น พวกท่านกำลังอยู่ที่ใด...”

ได้ยินมาว่า นั่นคือไคลแมกซ์ของการปราศรัยของเจสสิก้า ที่ทำให้หล่อนได้รับเลือกตั้ง หยางอดไม่ได้ที่จะต้องนึกถึงเหตุการณ์ในงานพิธีไว้อาลัยดวงวิญญาณของวีรชนที่เสียชีวิตในศึกแอสทาเทขึ้นมา แม้แต่นายทริวนิชท์ซึ่งถือตัวว่าเป็นนักพูดฝีปากเอก ก็ยังต้องแพ้อย่างหมดรูปต่อการรุกไล่ของหล่อน และนั่นก็ย่อมหมายความว่า หล่อนคงต้องตกเป็นเป้าความเกลียดชังและการโจมตีของพวกสนับสนุนสงครามอย่างแน่นอน ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เส้นทางชีวิตที่หล่อนเลือกเดินนี้ คงจะลำบากยิ่งกว่าเส้นทางสายอิเซลโลนที่หยางเดินมาแล้วเสียอีก

แทกซี่ไร้คนขับนั้นหยุดลงอย่างกระทันหัน นี่เป็นเรื่องที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นเลยตราบใดที่ระบบควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ยังคงทำงานดีอยู่ รถยนต์โดยสารเหล่านี้จะไม่มีทางหยุดจนผู้โดยสารหัวคะมำเช่นนี้แน่ ต้องมีเหตุผิดปกติอะไรสักอย่างเกิดขึ้นนั่นเอง

หยางเอื้อมมือไปเปิดประตูรถออก แล้วลงไปยืนบนถนน นายตำรวจร่างใหญ่ในชุดเครื่องแบบสีน้ำเงินคนหนึ่ง วิ่งส่ายร่างอาด ๆ ตรงเข้ามา เขาจำหยางได้ในทันที และหลังจากกล่าวคำพูดสั้น ๆ แสดงความชื่นชมที่ได้มีโอกาสพบตัวจริงของวีรบุรุษระดับชาติแล้ว เขาก็อธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟัง

กล่าวคือ ขณะนี้ได้เกิดสิ่งผิดปกติขึ้นกับคอมพิวเตอร์ควบคุมของศูนย์ควบคุมการจราจรประจำนครหลวงนั่นเอง

“อะไรคือสิ่งผิดปกติที่คุณว่าหรือ?”

“ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ แต่รู้สึกว่าจะเป็นความผิดพลาดง่าย ๆ ที่เกิดจากมนุษย์ (ฮิวแมนเออร์เรอร์) ในการอินพุท (ป้อน) ข้อมูลให้ระบบคอมพิวเตอร์น่ะครับ ช่วยไม่ได้ ระยะหลังนี่ไม่ว่าจะที่ไหน ๆ ก็ขาดคนชำนาญงานทั้งนั้นแหละครับ ความผิดพลาดแบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยครับ”

ตำรวจผู้นั้นหัวเราะออกมา แต่แล้วก็ต้องรีบหุบปากลงเมื่อพบว่าจูเลียนกำลังมองเขาอย่างตำหนิ เขารีบปั้นสีหน้าเคร่งขรึมทันที

“อ้า... ฮะแอ้ม นี่ไม่ใช่เวลามาหัวเราะสินะ... ครับ ด้วยเหตุผลที่กล่าวมา สรุปว่า ระบบจราจรรอบบริเวณนี้คงจะต้องหยุดชะงักไปอีกอย่างน้อยก็สี่ชั่วโมงเลยล่ะครับ ทั้งเบลท์เวย์ (ทางเลื่อนสายพาน) และ ลิเนียร์เวย์ (ทางลอยตัวพลังแม่เหล็ก) หยุดหมดทุกอย่าง”

“ทุกอย่าง?”

“ใช่ครับ ทุกอย่าง”

เป็นคำตอบที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ หยางรู้สึกขันปนฉิว แต่ก็ตระหนักได้ในทันทีว่านี่ไม่ใช่เรื่องตลกเล็กน้อยเสียแล้ว เพราะเท่าที่ประมวลจากภาพเหตุการณ์ระบบจราจรที่หยุดชะงักอยู่ตรงหน้ากับคำบอกเล่าของตำรวจผู้นี้แล้ว ข้อสรุปของมันเพียงพอที่จะทำให้เขาหนาวยะเยือกไปถึงขั้วหัวใจเลยทีเดียว นั่นคือ ระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานต่าง ๆ ที่จะขับเคลื่อนให้สังคมอยู่ต่อไปได้นั้น กำลังเสื่อมสภาพลงไปทุกขณะนั่นเอง ผลร้ายของสงครามกำลังคืบคลานอย่างช้า ๆ แต่ให้ผลแน่นอนในการที่จะเข้ากัดกร่อนทำลายสังคมแห่งนี้ ราวกับน้ำมือของซาตานชั่วร้ายที่กำลังจะขยุ้มเข้ามาทุกขณะ

จูเลียนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขาเงยหน้าขึ้นถาม

“ผู้การครับ ทำยังไงดีครับ?”

“ช่วยไม่ได้ เดินไปละกัน”

หยางตัดสินใจง่าย ๆ ทันที

“นาน ๆ ทีก็ดีเหมือนกัน เดินสักชั่วโมงก็ถึงเองแหละ ถือว่าออกกำลังกายไปในตัว”

“ครับ”

แต่นายตำรวจถึงกับตาเหลือก

“โอ๊ะ ไม่ได้หรอกครับ จะยอมให้ท่านวีรบุรุษแห่งอิเซลโลนเดินไปเองด้วยขาสองข้างของท่านได้ยังไง เดี๋ยวทางนี้จะเตรียมแลนด์คาร์ (รถขับด้วยล้อ-วิ่งบนพื้น) ไม่ก็แอร์คาร์ (รถขับเคลื่อนกลางอากาศ) ให้ ขอเชิญท่านใช้ตามสบายเถิดครับ”

“ไม่ต้องหรอก ผมไม่ชอบอภิสิทธิ์”

“แหม ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับท่าน”

“ไม่เอาล่ะ ขอเกรงใจดีกว่า”

หยางต้องพยายามควบคุมไม่ให้ความรู้สึกหงุดหงิดแสดงออกทางสีหน้าและน้ำเสียง

“ไป! จูเลียน”

“ไอไอเซอร์!”

เด็กชายตอบอย่างร่าเริง แล้วก็ทำท่าจะก้าวเดินออกไปอย่างกระฉับกระเฉง แต่แล้วก็ชะงักเท้าไว้ หยางต้องหันกลับมามองอย่างแปลกใจ

“อ้าว จูเลียน เปลี่ยนใจไม่อยากเดินแล้วรึ?”

ด้วยความหงุดหงิดที่สะสมมาตั้งแต่เมื่อกี้ เขาเองก็รู้สึกตัวเลยว่าน้ำเสียงออกจะแหลมผิดปกติไปนิดหนึ่ง

“ไม่ใช่ครับ”

“แล้วทำไมไม่ตามมา?”

“ทางนั้น... มันทิศตรงข้ามกับบ้านเรานะครับ”

“...” แป่ว ^^'

หยางกลับหลังหันทันที พลางนึกห้ามตัวเองในใจไม่ให้เผลอปากไปแก้ตัวว่า ‘ผู้บัญชาการกองยานรบนี่ขอให้ไม่จำทิศทางการเดินกองยานในอวกาศผิดก็พอแล้ว (เวลาเดินในเมืองนี่ด้วยเท้าของตัวเอง จะเดินหลงบ้างก็ไม่เป็นไร)’ เด็ดขาด เพราะที่จริง เขาเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจด้วยซ้ำว่า คำแก้ตัวของเขาจะฟังขึ้นหรือไม่ ในเมื่อบางครั้งตอนนำกองยานรบโลดแล่นไปในห้วงอวกาศเขาก็ไม่แน่ใจในทิศทางขึ้นมาดื้อ ๆ เหมือนกัน ก็เล่นฝากความรับผิดชอบในการควบคุมการเดินกองยานอวกาศไว้กับรองผู้บัญชาการกองยานรบ- ฟิชเชอร์ไว้ซะหมดนี่นะ แถมอีกฝ่ายก็มีความสามารถสูงไร้เทียมทาน สมควรให้ฝากซะด้วยสิ

บรรดาลิเนียร์คาร์ (รถที่ลอยตัวด้วยสนามแม่เหล็ก) ที่เคลื่อนที่ต่อไปไม่ได้จอดเรียงรายเป็นแถวในถนน ก่อให้เกิดภาพคล้ายกำแพงยาวเหยียด ผู้คนที่ไร้ทางเลือกกำลังพากันเดินขวักไขว่ และทั้งสองคนก็เดินฝ่าเข้าไปในฝูงชนเหล่านั้นเงียบ ๆ

“ผู้การครับ ดูดาวข้างบนสิครับ สวยมากเลย”

จูเลียนเอ่ยขึ้นขณะที่กำลังแหงนหน้าขึ้นมองฟ้าอันเต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ แสงสลัว ๆ ที่ดาวจำนวนนับไม่ถ้วนเหล่านั้นส่องลงมาไม่ถึงพื้นดิน เป็นหลักฐานอย่างดีที่แสดงว่าดาวเคราะห์ดวงนี้มีบรรยากาศห่อหุ้มอยู่นั่นเอง

แต่หยางไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะปล่อยใจสบาย ๆ ได้

ไม่ว่าใครก็ตาม ต่างก็ต้องเคยที่จะแหงนหน้ามองขึ้นไปบนฟ้า แล้วยื่นมือออกไปหมายจะไขว่คว้าดวงดาวที่เป็นของตนเองไว้ให้อยู่ในกำมือ แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่า ดาวของตนอยู่ที่ไหน แล้วเขาล่ะ หยางเหวินหลี่ผู้นี้ล่ะ ไขว่คว้าหาดาวของตนเองเจอแล้วหรือยัง? ไม่ใช่ว่ากำลังถูกสถานการณ์พาไป จนกระทั่งเขาพลัดหลงกับดาวของตัวเองอยู่หรอกนะ หรือไม่ก็กำลังเข้าใจผิด คิดว่าหาดาวของตนเจอแล้ว...

“ผู้การครับ!”

จูเลียนพูดขึ้นอีกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“อะไรหรือ?”

“เมื่อกี้ ผู้การกับผมจ้องมองดาวดวงเดียวกันแน่เลยครับ นั่นไง ๆ ดาวดวงสีฟ้าสวย ๆ ดวงใหญ่ ๆ ดวงนั้นน่ะครับ”

“อ๋อ นั่นมัน...”

“ดาวอะไรเหรอครับ?”

“เอ เขาเรียกดาวอะไรนะ คลับคล้ายคลับคลา”

หากค่อย ๆ ไล่เลียงความจำไปล่ะก็ หยางเชื่อว่าตนเองจะต้องนึกออกจนได้อย่างแน่นอนว่าดาวนั้นชื่ออะไร แต่เขากลับไม่คิดที่จะทำเช่นนั้น เขาเชื่อว่า ไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่เด็กชายที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขาคนนี้จะต้องมองดาวดวงเดียวกับเขาด้วย นั่นเอง

ใช่ มนุษย์แต่ละคนมีหน้าที่จะต้องค้นหาดวงดาวประจำตัวของตนให้พบด้วยตัวเอง ไม่ว่าดาวนั้น จะเป็นดาวนำโชค หรือดาวนำเคราะห์ก็ตาม...

(อ่านตอนต่อไป)


กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป 1