นวนิยายแฟนตาซีอวกาศเรื่องยาว

วีรบุรุษทางช้างเผือก銀河英雄伝説

เรื่อง โดย ทะนะกะ โยะชิกิ (田中芳樹) แปลโดย Pae

บทที่ 7 ชูแต่หางเองอ้า อวดอ้าง ฤทธี
-2-


ในคืนนั้น มาร์ควิส ฟอน ลิชเทนลาเด้ ผู้รักษาการผู้สำเร็จราชการและดำรงตำแหน่งเสนาบดีปกครองแห่งจักรวรรดิทางช้างเผือก ก็ได้รับการมาเยือนของไวส์เคานท์ ฟอน แกร์รัค เสนาบดีการคลัง ณ คฤหาสน์ของฝ่ายแรก

จุดประสงค์ในการมาเยือนของเสนาบดีการคลังก็คือ เพื่อที่จะรายงานผลสรุปการปิดคดีการก่อความไม่สงบที่คัสตรอป (และผลการยึดทรัพย์) นั่นเอง ในดินแดนแห่งจักรวรรดินี้ ไม่มีธรรมเนียมที่ผู้น้อยจะใช้การติดต่อทางโทรศัพท์ภาพ (วิสิโฟน) เพื่อรายงานเรื่องราวต่าง ๆ ให้ผู้ใหญ่ได้

“ผลการสำรวจทรัพย์สินของดยุคฟอนคัสตรอปที่เรายึดคืนเข้าหลวงได้เสร็จสิ้นแล้วขอรับ คำนวณเป็นตัวเงินคร่าว ๆ ก็ประมาณห้าแสนล้านมาร์คจักรวรรดิขอรับ”

“กอบโกยไว้มหาศาลเอาการอยู่นะ”

“นั่นสิขอรับ แต่พอนึกว่า เขากอบโกยเอาไว้ให้เราเก็บยึดกลับเข้าคลังนี่ก็... ออกจะน่าสมเพชอยู่นะขอรับ...”

เสนาบดีการคลังยกแก้วไวน์ขึ้นชื่นชมกลิ่นหอมของมันก่อน แล้วจึงรินเข้าปาก ขณะที่เสนาบดีปกครองวางแก้วไวน์ลง แล้วเปลี่ยนสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น ก่อนจะกล่าวว่า

“ท่านมาก็ดีแล้ว... ข้าพเจ้ามีเรื่องอยากปรึกษาท่านสักหน่อย”

“มีเรื่องอะไรหรือขอรับ?”

“เมื่อสักครู่ก่อน มีรายงานมาจากเคานท์เลมไชด์ที่เฟซานว่า พวกทัพกบฏกำลังเตรียมการยกทัพใหญ่เข้ามารุกแดนจักรวรรดิของเรา!”

“พวกทัพกบฏนะหรือขอรับ?!!!”

เสนาบดีปกครองตอบโดยการพยักหน้า เสนาบดีการคลังจึงวางแก้วไวน์ของตนลงบนโต๊ะบ้าง ทำให้ไวน์ที่เหลืออีกครึ่งแก้วกระเพื่อมเป็นระลอกใหญ่

“เรื่องใหญ่ทีเดียวนะขอรับ”

“ใช่ แต่จะว่าไปก็เรียกว่าเป็นโอกาสอันดีก็ได้อยู่”

เสนาบดีกลาโหมยกแขนขึ้นกอดอกแล้วกล่าวต่อ

“พวกเราต้องรบชนะครั้งนี้ให้ได้ จากรายงานของเสนาบดีมหาดไทย ระยะหลังนี้เริ่มมีกระแสความคิดจะปฏิรูปการปกครองขึ้นมาคุกรุ่นอยู่ในหมู่พวกประชาชนแล้ว ดูท่า พวกมันคงเริ่มระแคะระคายถึงเรื่องการสูญเสียป้อมปราการอิเซลโลนของพวกเราไปแล้วกระมัง เพื่อที่จะขจัดกระแสความคิดที่อันตรายเหล่านี้ พวกเราต้องขับไล่เจ้าพวกทัพกบฏให้กระเจิงไป เพื่อแสดงให้เห็นถึงพระบารมีขององค์จักรพรรดิ พร้อมกันนั้นก็คงต้องเอาขนมมาล่อพวกคนของเราที่เริ่มมีใจออกห่างด้วย อย่างเช่น ลดโทษให้พวกนักโทษการเมืองเอย ลดภาษีเอย หรือลดราคาเหล้า อะไรเทือกนี้”

“ฮึ ไปเอาใจพวกมันมากเดี๋ยวพวกราษฎรก็ได้ใจใหญ่หรอกท่าน ข้าพเจ้าเคยอ่านหนังสือใต้ดินของพวกหัวก้าวหน้ามาแล้ว ในนั้นเขียนไว้ว่า มนุษย์เราก่อนที่จะพูดถึงว่ามีหน้าที่ที่ต้องกระทำ ล้วนมีสิทธิมนุษยชนอยู่ ช่างบ้าดีแท้ ๆ หากขืนท่านลองไปขอพระราชทานอภัยโทษให้พวกนักโทษการเมืองพวกนี้เข้าดูสิ มันจะยิ่งเหิมกริมกันใหญ่นะขอรับ”

“พูดอย่างนั้นก็เถิด แต่จะให้บีบคั้นพวกมันอย่างเดียวก็ไม่สามารถปกครองได้ราบรื่นหนา”

เสนาบดีกลาโหมพูดแบ่งรับแบ่งสู้

“ที่ท่านพูดก็ถูก แต่หากเอาใจราษฎรมากเกินไปก็... เอ่อ เอาเถิด เรื่องนี้ไว้เราพูดกันในโอกาสหน้าก็แล้วกัน ว่าแต่... ข่าวเรื่องการยกทัพมาของพวกกบฏนี่ ต้นข่าวคือ เจ้าลูวินสกี้นั่นใช่ไหมท่าน?”

เสนาบดีกลาโหมพยักหน้ารับ

“เจ้าหมาจิ้งจอกดำแห่งเฟซาน!”

เสนาบดีการคลังทำเสียงจึกปากอย่างไม่สบอารมณ์

“พูดตามตรง ระยะหลังนี่ ข้าพเจ้าเริ่มรู้สึกว่า ไอ้พวกพ่อค้าหน้าเลือดที่อยู่เฟซานนี่ดูท่าจะเป็นภัยกับจักรวรรดิของเรายิ่งกว่าพวกทัพกบฏอีกนะขอรับ พวกมันกำลังคิดอะไรอยู่ เราอ่านไม่ออกเลยจริง ๆ”

“นั่นข้าพเจ้าก็เห็นด้วยเช่นกัน แต่... ในตอนนี้ เราต้องเตรียมรับมือกับพวกทัพกบฏก่อนล่ะ ปัญหาก็คือ จะให้ใครรับหน้าที่ป้องกันราชอาณาจักรในคราวนี้ดี?”

“เจ้าเด็กผมทองนั่นคงอยากรับงานนี้จนตัวสั่นเป็นแน่ ปล่อยให้มันรับไปสิขอรับ”

“คิดดี ๆ หน่อยท่าน สมมติเราให้มันรับงานนี้ไปจริง ๆ นะ แล้วสมมติว่ามันชนะขึ้นมาเล่า? เกียรติภูมิของมันมิยิ่งเลื่องลือไปดอกรึ? เอาแค่ตอนนี้ พวกเราก็เริ่มจะไม่อยู่ในสายตาของมันแล้ว... หรือในกรณีที่มันพลาดขึ้นมาก็ตาม พวกเราก็จะตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤติทีเดียวนะท่าน เพราะเราต้องรับมือกับทัพกบฏที่เพิ่งรบชนะและกำลังฮึกเหิมอย่างสุดขีด ในใจกลางแดนของจักรวรรดิของเราเองด้วย” ใจกลางแดน... หมายถึง ห่างจากเมืองหลวงไม่มากนั่นเอง

“ใต้เท้าก็มองโลกในแง่ร้ายเกินไปนะขอรับ”

เสนาบดีการคลังแย้ง แล้วก็ชะโงกตัวไปข้างหน้าก่อนจะลงมืออธิบายรายละเอียดตามความคิดของเขา

กล่าวคือ ต่อให้ทัพกบฏสามารถรบชนะได้ก็เถิด การที่พวกเขารบชนะเคานท์โรเอนกรัมนั้น เชื่อได้เลยว่า ฝ่ายชนะก็จะต้องประสบความสูญเสียไปไม่น้อยเช่นกัน เพราะเคานท์โรเอนกรัมเองก็เป็นผู้ที่มีความสามารถในทางการรบคนหนึ่ง คงไม่มีทางโดนต้อนแต่ฝ่ายเดียวเป็นแน่ และยิ่งกว่านั้น ถึงตอนนั้น แปลว่า ทัพกบฏก็ได้ล่วงล้ำลึกเข้ามาในแดนจักรวรรดิแล้ว และย่อมต้องออกห่างจากฐานที่มั่นของตนมากขึ้น การลำเลียงยุทโธปกรณ์และเสบียงก็ย่อมเป็นไปด้วยความยากลำบาก อีกทั้งพวกมันยังไม่ชำนาญภูมิประเทศอีกด้วย

พวกเราต่างหากที่จะสามารถเตรียมทัพรับมือพวกข้าศึกที่รบจนเหนื่อยล้าแล้ว ได้อย่างสบาย ๆ หรือถึงตอนนั้น พวกเราอาจจะไม่ต้องรบกับพวกมันเลยด้วยซ้ำ เพียงแต่ตั้งรับให้เหนียวแน่น ดึงเวลาไว้ก็พอ พวกข้าศึกย่อมต้องขัดสนเสบียงและยุทโธปกรณ์จนต้องถอนทัพกลับไปเอง และท้ายสุดเราก็ยังมีสิทธิเลือกอีกด้วยว่าจะจัดทัพไล่ตีพวกมันที่กำลังถอนตัวหรือไม่ ซึ่งก็ควรทำเพราะย่อมได้ชัยชนะโดยง่ายดุจพลิกฝ่ามือ.... ทั้งหมดนี้ คือ ความเห็นของเสนาบดีการคลัง

“เข้าใจแล้ว ถ้าเด็กเมื่อวานซืนนั่นแพ้ ก็เอาตามที่ท่านว่ามาก็ได้ แต่หากมันชนะเล่า? ตอนนี้พวกเราก็ไม่มีใครจะเอามันอยู่แล้วนะ มันเล่นซ่อนตัวเองอยู่ภายใต้เกราะกำบังของความโปรดปรานจากจักรพรรดิ และผลงานของตัวมันเอง แล้วก็กำแหงมากขึ้นทุกที ๆ”

“ก็ปล่อยให้มันกำแหงไปก่อนก็ไม่เป็นไรนี่ขอรับใต้เท้า กะอีแค่เด็กหนุ่มที่จับพลัดจับผลูได้เป็นใหญ่ขึ้นมาแค่คนเดียว เราจะกำจัดเสียเมื่อไรก็ได้ ใช่ว่าเขาจะอยู่กับกองทหารของตัวเองตลอดเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงนี่ขอรับ”

“อืม”

“ทันทีที่กองทัพกบฏล่มสลายไปแล้ว เจ้าเด็กผมทองก็หมดความจำเป็นกับเราอีกต่อไปเช่นกัน แต่ในตอนนี้ เรายืมมือและความสามารถของมันมาใช้ประโยชน์ก่อนไม่ดีกว่าหรือขอรับ”

เสนาบดีการคลังกล่าวทิ้งท้ายไว้ด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยียบ

(อ่านตอนต่อไป)


กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป 1