นวนิยายแฟนตาซีอวกาศเรื่องยาว

วีรบุรุษทางช้างเผือก銀河英雄伝説

เรื่อง โดย ทะนะกะ โยะชิกิ (田中芳樹) แปลโดย Pae

บทที่ 7 ชูแต่หางเองอ้า อวดอ้าง ฤทธี
-4-


สำหรับหยางแล้ว การประชุมที่ไม่มีผลลัพธ์เป็นแก่นสารอันใดก็ได้สิ้นสุดลง ขณะที่เขากำลังจะกลับนั่นเอง ผู้บัญชาการทหารสูงสุด จอมพลซิทเลย์ก็รั้งตัวเขาไว้ให้อยู่ก่อน ร่องรอยของพลังงานที่สูญเสียไปในวันนี้อย่างไร้ค่าล่องลอยอบอวลแทรกอยู่เต็มบรรยากาศในห้อง

“สีหน้าบอกว่า รู้อย่างนี้ดึงดันขอลาออกให้ได้เสียก่อนก็ดีแล้ว ล่ะสิท่า”

จอมพลเอ่ย น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยหน่ายเหมือนกัน

“ผมเองพลาดไปเหมือนกันแหละ ที่คิดว่าเมื่อได้ป้อมปราการอิเซลโลนมาอยู่ในครอบครองของฝ่ายเราแล้ว สงครามก็จะไม่เกิดอีกสักระยะ แล้วเป็นไงล่ะ ผลที่เกิดขึ้นจริงก็อย่างที่เห็น ๆ กันนี่แหละ”

หยางได้แต่นิ่งเงียบ ไม่รู้จะพูดอะไรดี แน่นอนว่า สำหรับจอมพลซิทเลย์แล้ว ฝ่ายนั้นก็คงเพียงหวังว่า สันติภาพที่เกิดขึ้น (นับเป็นผลงานของเขา) จะช่วยทำให้เก้าอี้ของเขามั่นคงขึ้น และขยายฐานเสียงกับอิทธิพลของตนได้กว้างขวางขึ้น ก็เท่านั้นเอง ซึ่งยังเป็นแนวคิดที่หยางทำความเข้าใจและยอมรับได้ง่ายกว่า แนวคิดขยายสงครามอย่างไม่เจียมตัวของพวกใฝ่สงครามรวมทั้งความคิดของพวกนักการเมืองเลว ๆ พวกนั้นหลายเท่านัก

“ผลสุดท้าย ผมก็โดนแผนที่ตัวเองวาดไว้ ขัดขาตัวเองเข้าให้โครมใหญ่ นี่ถ้าเราตีป้อมปราการอิเซลโลนไม่แตกละก็ พวกใฝ่สงครามอาจจะไม่กล้าเสนอแนวคิดบ้าเลือดขนาดนี้ก็ได้ ฮึ สำหรับตัวผมเอง นี่ก็เรียกได้ว่า สมน้ำหน้าแล้วล่ะ แต่สำหรับพวกคุณ... คงเป็นความเดือดร้อนครั้งใหญ่ที่ไม่อยากจะรับเลยมั้ง?”

“... ท่านจะลาออกหรือครับ?”

“ตอนนี้ยังลาออกไม่ได้หรอก แต่อีกประเดี๋ยว ถ้ายุทธการตีจักรวรรดิเสร็จสิ้นลงละก็ ผมต้องลาออกแน่ ไม่ว่าเราจะแพ้หรือชนะกลับมาก็ตาม”

ใช่ หากการตีจักรวรรดิประสบความล้มเหลวละก็ ผู้นำสูงสุดของวงการเครื่องแบบทหารก็คงหนีไม่พ้นถูกเรียกร้องให้ลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบเป็นแน่ แต่ ต่อให้ชนะกลับมา เพื่อที่จะตอบแทนความดีความชอบของแม่ทัพใหญ่ยุทธการโจมตีครั้งนี้ซึ่งได้แก่ จอมพลโรบอสนั้น มีแต่จะต้องมอบตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดให้เท่านั้น อีกทั้งจอมพลซิทเลย์เองยังคัดค้านแผนยุทธการครั้งนี้ตั้งแต่แรกด้วย ย่อมเป็นข้อเสียเปรียบและย่อมถูกบังคับให้ลาออกก่อนหมดวาระเป็นแน่ สรุปก็คือ ไม่ว่าผลออกมาแบบไหน อนาคตของซิทเลย์ก็ถูกกำหนดไว้เรียบร้อยแล้วอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้นั่นเอง สำหรับเขาแล้ว คงไม่มีอะไรที่จะทำได้มากไปกว่า นั่งทำใจให้ได้ก่อนถึงเวลานั้นจริง ๆ เท่านั้นเอง

“ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ผมจะขอบอกกับคุณตามตรงเลยละกัน ตอนนี้ผมได้แต่หวังว่า การบุกโจมตีครั้งนี้จะจบลงด้วยความสูญเสียของฝ่ายเราให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”

“...”

“ถ้าแพ้ยับกลับมาละก็ แน่นอนว่า นั่นคือเลือดเนื้อจำนวนมหาศาลที่จะต้องเสียไป แต่กลับกัน ผมก็ไม่คิดอยากให้พวกเราชนะ เพราะนั่นจะยิ่งทำให้พวกใฝ่สงครามยิ่งฮึกเหิมได้ใจกันใหญ่โต คราวนี้ ต่อให้รัฐบาลหรือแม้แต่ประชาชนก็ไม่สามารถเอาพวกนี้อยู่ ไม่ว่าจะใช้เหตุผลหรือใช้แนวรัฐศาสตร์เข้าจัดการก็ตาม พวกนี้มีหวังเตลิดไปอย่างกู่ไม่กลับ แล้วพาประเทศเราไปสู่ความฉิบหายเป็นแน่ ในประวัติศาสตร์มนุษย์ ก็เคยมีประเทศจำนวนไม่น้อย ที่ดันไปชนะสงครามในเวลาที่ไม่สมควรชนะขึ้นมา แล้วสุดท้ายก็ถูกต้อนจนมุม สูญสิ้นเอกราชไปโดยแพ้ศึกต่อๆ มาย่อยยับ เรื่องพวกนี้ คุณคงรู้ดีอยู่แล้วสินะ”

“ครับ...”

“ที่ผมยับยั้งใบลาออกของคุณไว้ ถึงตอนนี้คุณพอมองออกแล้วสินะว่าทำไม ที่จริงแล้ว ผมก็ไม่ได้ถึงกับหยั่งรู้เหตุการณ์ที่จะเกิดในวันนี้หรอก แต่สุดท้ายก็คือ ความสำคัญของคุณที่มีต่อกองทัพเรามันยิ่งใหญ่จนถึงจุดหนึ่งแล้ว และมีแต่จะทวีความสำคัญขึ้นเรื่อย ๆ”

“...”

“คุณน่ะ รู้ประวัติศาสตร์เป็นอย่างดี แต่นั่นแหละ มันกลับทำให้คุณมองข้ามความสำคัญของอำนาจหรือกำลังทหารไปในบางครั้ง ซึ่งก็ช่วยไม่ได้ แต่อย่าลืมว่า ไม่ว่าจะเป็นประเทศไหน ๆ ก็ตาม ย่อมหลีกหนีสองสิ่งนี้ไปไม่พ้น เพราะฉะนั้น แทนที่จะปล่อยให้คนที่ชั่วร้ายหรือไร้ความสามารถได้พวกมันไปไว้ในมือ เราต้องพยายามจัดการให้คนดีมีความสามารถได้อำนาจและกำลังทหารไว้แทน และนำมันมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมจึงจะถูกต้อง ในฐานะที่ผมเป็นทหาร ผมจะไม่พูดเลยไปถึงเรื่องการเมืองล่ะ เอาแค่เรื่องในกองทัพของเราก็พอ สรุปก็คือ เจ้าพลจัตวาโฟ้กคนนั้นนั่น... เลวร้ายที่สุด”

หางเสียงของจอมพลที่เน้นหนัก ทำเอาหยางประหลาดใจ

“หมอนั่นใช้เส้นทางซิกแซกส่วนตัวนำแผนการครั้งนี้ไปเสนอให้เลขาฯ ของประธานคณะกรรมาธิการสูงสุดโดยตรง ผมมองออกเป็นฉาก ๆ ได้เลยทั้งเรื่องที่เขาคงอธิบายกับนักการเมืองว่า นี่เป็นกลยุทธในการสร้างฐานคะแนนเสียงให้พวกนั้นได้ ในขณะที่ ที่มาที่แท้จริงของแผนนี้ ก็คงมาจากความมักใหญ่ของนายโฟ้กเองนั่นแหละ เห็น ๆ กันอยู่ นายคนนี้กำลังมุ่งหวังจะได้ตำแหน่งสูงสุดในกองทัพอยู่อย่างกระเหี้ยนกระหือ แต่ตอนนี้ เขามีคู่แข่งที่น่ากลัวอยู่คนหนึ่ง ทำให้เขาอยากจะสร้างผลงานที่เหนือกว่าคู่แข่งให้ได้ อย่าว่าแต่ หมอนี่มันถือตัวว่าเป็นนักเรียนเก่งสมัยอยู่โรงเรียนเตรียมทหาร จะยอมแพ้ต่อคนที่เรียนไม่ได้เรื่องไม่ได้เด็ดขาด”

“อย่างนั้นหรือครับ”

หยางตอบเนือย ๆ ทำเอาท่านจอมพลซิทเลย์ยิ้มออกมาเป็นครั้งแรก

“หึ คุณนี่ บางทีก็ซื่อบื้อเอาดื้อ ๆ เหมือนกันนะ พูดมาขนาดนี้แล้วยังไม่รู้ตัวอีก ที่ว่าคู่แข่งที่น่ากลัวของเจ้าโฟ้กนั่นไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก คุณนั่นแหละ!”

“ผม... เนี่ยนะครับ?”

“ใช่แล้ว คุณนั่นแหละ”

“แต่... ท่านผบ. สูงสุดครับ ผมไม่ได้...”

“ในที่นี้ คุณจะคิดว่าตัวคุณเป็นยังไง มันไม่ใช่เรื่องสำคัญเลย ประเด็นก็คือ สิ่งที่นายโฟ้กคิดอยู่ และวิธีที่จะไปสู่เป้าหมายของเขาต่างหากที่สำคัญกว่า อย่าว่าผมด่ามันเลยนะ การยืมมือนักการเมืองมาใช้แบบนี้นี่ มัน... ระยำที่สุด หรือต่อให้เขาไม่ใช้วิธีสกปรกแบบนี้ก็ตามเถอะ...”

จอมพลถอนหายใจก่อนจะกล่าวต่อ

“... จากการประชุมในวันนี้ คุณก็คงเห็นแล้วใช่ไหม ว่าเขาเป็นคนยังไง? แทนที่จะแสดงความสามารถของตนให้ประจักษ์ด้วยผลงาน หมอนี่กลับเอาแต่ใช้ความปลิ้นปล้อน ใช้แต่คำพูดเป็นหลัก ยิ่งกว่านั้น ยังเอาแต่ยกตนข่มท่าน ดีเข้าตัว ชั่วให้คนอื่น ทั้ง ๆ ที่... จะว่าไปแล้วมันก็ไม่ได้เก่งอย่างที่ตัวมันเองกำลังหลงคิดหรอก คนแบบนี้ เราจะกล้าปล่อยให้มันรับผิดชอบชีวิตของคนอื่นอีกเป็นแสนเป็นล้านอย่างนั้นหรือ? อันตรายมาก ๆ”

“เมื่อกี้ ท่านบอกว่า ความสำคัญของกระผมจะยิ่งเพิ่มขึ้นต่อจากนี้ไปนี่...”

หยางเอ่ยปากพลางครุ่นคิดไปด้วย

“... หมายความว่า ให้ผมคอยขัดขวางเขาไว้ อย่างนั้นหรือครับ”

“ไม่จำกัดเฉพาะโฟ้กหรอกนะ ถ้าคุณได้ขึ้นถึงตำแหน่งสูงสุดของกองทัพละก็ จะจัดการกับพวกคนอย่างเจ้าโฟ้กนี่ยังไงก็ได้ ไม่ว่าจะดองเข้ากรุ หรือจะไล่ออก ผมหวังว่าอย่างนั้นนะ แต่คุณคงไม่เต็มใจรับทำเท่าไรกระมัง”

ภวังค์แห่งความเงียบตรงเข้าปกคลุมทั้งสองคน ประดุจผ้าอุ้มน้ำจนหนักแล้วพันแน่นลงบนร่างกาย หยางต้องออกแรงส่ายศีรษะไปมา เพื่อที่จะทำลายผ้าแห่งความเงียบที่พันธนาการตัวเองอยู่นั้นให้สลายไป

“เฮ้อ ท่านผบ. สูงสุดนี่ชอบมอบภารกิจที่ยากลำบากให้ผมเรื่อยเลยนะครับ อย่างคราวอิเซลโลนก็ทีหนึ่งแล้ว...”

“แต่คุณก็ทำสำเร็จนี่”

“ครั้งก่อนน่ะใช่ครับ... แต่...”

หยางทำท่าจะพูดอะไรต่อไป แล้วก็กลับเงียบ แต่ในที่สุดก็พูดว่า

“ที่จริงผมไม่ได้มองข้ามความสำคัญของอำนาจและกำลังทหารหรอกครับ ผมกลัวมันต่างหาก ผมเห็นมามากต่อมากแล้ว คนส่วนใหญ่น่ะทันทีที่มีอำนาจหรืออาวุธอยู่ในมือ ก็มักจะเปลี่ยนไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือทีเดียว และผมก็ไม่มั่นใจซะด้วยว่าผมจะไม่เปลี่ยนไปอย่างนั้นบ้าง”

“คุณบอกว่า คนส่วนใหญ่ใช่ไหมล่ะ นั่นก็แปลว่า ไม่ใช่ทั้งหมดที่จะเปลี่ยนไปจริงไหม?”

“ยังไงก็ตาม เห็นผมอย่างนี้ก็เถอะครับ ผมก็เป็นคนรักสบายคนหนึ่งเหมือนกัน ไม่อยากจะแกว่งเท้าหาเสี้ยนหรอกครับ หลังจากที่ได้ทำงานอะไรบางอย่างสำเร็จแล้ว ผมอยากจะพักผ่อนใช้ชีวิตให้สบาย ๆ มากกว่า... นี่เรียกว่า ขี้เกียจโดยสันดานรึเปล่าครับนี่”

“ใช่แล้ว ขี้เกียจโดยสันดานเลยล่ะ”

จอมพลซิทเลย์มองหน้าหยางที่อ้าปากค้าง แล้วก็ยิ้มออกมาอย่างขัน ๆ

“เห็นผมอย่างนี้ก็เถอะ ผมก็ผ่านความยากลำบากมามากมายเกินกว่าคุณจะคาดคิดนัก หยางเอ๋ย และผมก็คงจะรู้สึกไม่ค่อยชอบใจนักหรอกที่ตัวเองต้องลำบากอยู่ฝ่ายเดียว ขณะที่ใครบางคนเอาแต่ใช้ชีวิตสบาย ๆ น่ะ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ให้คุณทำงานให้คุ้มค่ากับความสามารถของคุณเสียบ้าง มันก็ไม่ยุติธรรมสิ ใช่ไหม?”

“... ไม่ยุติธรรม...หรือครับ?”

หยางไม่รู้จะแสดงสีหน้าอย่างไร นอกจากแค่นหัวเราะขื่น ๆ เขาอดคิดไม่ได้ว่า กรณีของซิทเลย์นั้นเป็นความยากลำบากที่เขาหาเรื่องมาใส่ตัวเองแท้ ๆ ก็เป็นเรื่องของเขาสิ แต่ตัวเองนั้นไม่ได้อยากลำบากเสียหน่อยก็มีคนเอางานมาให้นี่... แต่อย่างไรก็ตาม สรุปก็คือ เขาพลาดโอกาสที่จะลาออกไปแล้วอย่างแน่นอนที่สุดนั่นเอง

(อ่านตอนต่อไป)


กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป 1