นวนิยายแฟนตาซีอวกาศเรื่องยาว

วีรบุรุษทางช้างเผือก銀河英雄伝説

เรื่อง โดย ทะนะกะ โยะชิกิ (田中芳樹) แปลโดย Pae

บทที่ 8 สมรภูมิเดือด
-1-


ในช่วงเดือนแรก ยานรบอวกาศทุกลำของทัพสมาพันธ์ล้วนมีเพื่อนสนิทเป็นความตื่นเต้นกันถ้วนหน้า แต่หลังจากเพื่อนผู้นี้ได้ตีจากไปแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่แทนก็คือ อาการหายเห่อ และความรู้สึกที่เลวร้ายที่สุด-- นั่นคือ ความกังวลใจและความกระวนกระวาย บรรดานายทหารต่างก็พากันปรับทุกข์กันในที่ที่ไม่มีพวกพลทหารอยู่ด้วย ในขณะที่พวกพลทหารก็ทำเช่นเดียวกันในที่ที่ไม่มีนายทหารอยู่ด้วย หัวข้อการปรับทุกข์คือ

-- ทำไม พวกข้าศึกไม่ปรากฏตัวออกมาสักที?--

ทัพสมาพันธ์โดยกองหน้าคือ กองยานรบที่ 10 ของผู้การอุลัมฟ์ ได้บุกลึกเข้าไปในแดนจักรวรรดิเป็นระยะทางถึง 500 ปีแสงเข้าให้แล้ว ระบบดาวฤกษ์จำนวนกว่า 200 ระบบได้ตกอยู่ภายใต้การยึดครองของทัพสมาพันธ์เป็นที่เรียบร้อย ในจำนวนนี้ มีอยู่ประมาณ 30 หมู่ดาวที่มีคนอาศัยอยู่ แม้ว่าจะเป็นหมู่ดาวที่ห่างไกลความเจริญก็เถิด รวมความแล้ว ในบรรดาหมู่ดาวเหล่านี้ มีประชากรอาศัยอยู่รวมทั้งสิ้น 50 ล้านคน หากแต่บรรดาผู้ปกครองทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น ผู้ดูแลดวงดาว, ลอร์ดต่าง ๆ, เจ้าหน้าที่เก็บภาษีและกองทหาร ล้วนแล้วแต่พากันทิ้งดาวหนีไปล่วงหน้าแล้วจนหมดสิ้น การยึดครองดาวเหล่านี้ ไม่มีการต่อต้านขัดขืนเลยแม้แต่น้อย

“พวกเราคือ กองทัพปลดแอก!”

นายทหารมวลชนสัมพันธ์ของทัพสมาพันธ์ได้ป่าวประกาศเช่นนั้น กับบรรดาเกษตรกรและคนงานเหมืองแร่ที่มาจับกลุ่มกัน

“พวกเราให้สัญญาว่า จะมอบเสรีภาพและความเสมอภาคแก่พวกท่าน พวกท่านได้หลุดพ้นจากการกดขี่ของทรราชแล้ว จากนี้ไป พวกท่านจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างเสรีชน และเปี่ยมพร้อมไปด้วยสิทธิต่าง ๆ ทางการเมืองการปกครองตนเองอย่างสมบูรณ์...”

แต่นายทหารมวลชนสัมพันธ์ก็ต้องผิดคาดไปตาม ๆ กัน สิ่งที่พวกเขาได้รับ หาใช่การต้อนรับด้วยเสียงปรบมือหรือเสียงเปล่งร้องไชโยอย่างที่คาดหวังไว้ไม่ หลังจากยืนฟังถ้อยคำหรูหราของฝ่ายนายทหารเหล่านั้นอย่างผ่าน ๆ เข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวาไปแล้ว ตัวแทนของชาวนาคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นว่า

“ก่อนที่จะให้สิทธิเสรีภาพทางการเมืองอะไรที่ว่านั่น กรุณาให้สิทธิในการมีชีวิตอยู่ต่อแก่พวกเราได้ไหม พ่อหนุ่ม ตอนนี้พวกเราไม่มีอาหารเลย แม้แต่นมที่จะใช้เลี้ยงทารกก็ไม่มี พวกทหารจักรวรรดิริบไปหมดเลย เพราะฉะนั้นก่อนที่จะพูดถึงเสรีภาพหรือความเสมอภาคอะไรที่ว่านั่น ช่วยให้ขนมปังกับนมแก่พวกเราก่อนเถิด?”

“อ๋อ แน่นอนครับ”

บรรดานายทหารมวลชนสัมพันธ์ได้แต่ตอบไปเช่นนั้น แม้ว่าในใจจะผิดหวังกับข้อเรียกร้องที่ไม่มีวี่แววของอุดมการณ์ใด ๆ อยู่เลยของพลเมืองเหล่านั้นก็ตาม เพราะถึงอย่างไร พวกตนก็คือ กองทัพปลดแอก การที่จะช่วยปลดปล่อยชีวิตประจำวันของคนที่ตกทุกข์ได้ยากอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิเหล่านี้ให้พ้นจากอันตรายจากการ ‘อดตาย’ ย่อมเป็นภารกิจที่สำคัญพอ ๆ กับการทำสงครามกับพวกทหารจักรวรรดิเลยทีเดียวไม่ใช่หรือ

พวกเขาได้เบิกเสบียงจากยานลำเลียงของกองยานรบแต่ละกอง เพื่อนำมาแจกจ่ายให้กับพลเมืองเหล่านั้น พร้อมกับส่งสารขอความสนับสนุนไปยังกองบัญชาการสูงสุดซึ่งตั้งอยู่ที่ป้อมอิเซลโลนดังนี้

-- อาหารปริมาณที่เพียงพอสำหรับคน 50 ล้านคนนใช้บริโภคในระยะเวลา 180 วัน, เมล็ดพันธุ์ธัญญาหารจำนวนกว่า 200 ชนิด, โรงงาน (แบบเคลื่อนที่) ผลิตโปรตีนสังเคราะห์จำนวน 40 โรง, โรงผลิตน้ำประปาจำนวน 60 โรง พร้อมด้วย ยานขนส่งสำหรับขนสิ่งที่ว่ามาทั้งหมด--

“การที่จะช่วยเหลือพลเมืองของดินแดนที่เพิ่งได้รับการปลดแอกให้พ้นจากสภาพอดอยากอย่างถาวรนั้น อย่างน้อยที่สุด จำเป็นต้องใช้ของต่าง ๆ ดังรายการข้างต้น อนึ่ง หากอาณาเขตของการปลดแอกขยายวงกว้างออกไปอีก มีความเป็นไปได้ที่จะต้องเพิ่มปริมาณของสิ่งเหล่านี้ตามไปเป็นเงาตามตัวอีกด้วย”

ทันทีที่อ่านสารขอความสนับสนุนซึ่งลงท้ายด้วยหมายเหตุข้างต้นจบลง หัวหน้าเสนาธิการฝ่ายสนับสนุนการรบของกองทัพออกรบในครั้งนี้- พลตรีแคสเซิร์นถึงกับสะดุ้งโหยง

ถ้าพูดถึงปริมาณอาหารสำหรับคน 50 ล้านคนบริโภคในเวลา 180 วันละก็ เฉพาะพวกธัญพืชก็ปาเข้าไป 10 ล้านตันแล้ว ต้องใช้ยานลำเลียงขนาด 2 แสนตันถึง 50 ลำถึงจะพอขน อย่าว่าแต่... ปริมาณที่ว่านี้มันเกินความสามารถในการผลิตและปริมาณในสต็อกของป้อมปราการอิเซลโลนมากโขอยู่

“ต่อให้ขนธัญพืชออกมาจนเกลี้ยงยุ้งของป้อมอิเซลโลน ก็มีเพียงแค่ 7 ล้านตันเท่านั้นเองครับ แล้วต่อให้เดินเครื่องโรงงานผลิตโปรตีนกับน้ำประปาเต็มกำลังผลิตก็...”

“พอแล้ว ไม่ต้องพูด ผมรู้ว่ายังไง มันก็ไม่พอ”

แคสเซิร์นยกมือห้ามลูกน้องที่กำลังอ้าปากจะรายงานต่ออย่างตื่นตระหนก ถ้าเป็นเฉพาะแผนการส่งกำลังบำรุงให้กับนายทหารน้อยใหญ่จำนวน 30 ล้านคนของกองทัพสมาพันธ์ที่ออกรบในคราวนี้ละก็ แคสเซิร์นเป็นคนจัดการวางแผนและเตรียมการทุกอย่างด้วยตนเอง และเขามีความมั่นใจในความพร้อมของงานนี้อย่างเต็มเปี่ยม

แต่ถ้าจะต้องแบกรับภาระเลี้ยงดูพลเรือนอีกจำนวนเกือบสองเท่าของทหารแล้วละก็ นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ต้องแก้ไขแผนปฏิบัติการทั้งหมดให้เพิ่มสเกลไปเป็นสามเท่าเลยทีเดียว และที่สำคัญ นี่เป็นเรื่องด่วนเสียด้วยสิ แคสเซิร์นจินตนาการได้อย่างชัดเจนเลยว่า ขืนเขาช้า ทางกองยานรบแต่ละกองจะต้องร้องโอดครวญมาเป็นแถว ๆ แน่ ถึงการรับภาระเกินตัวของกองเสบียงของแต่ละกองยาน

“ยังไงก็ตาม ไอ้พวกทหารมวลชนฯ นี่ มีแต่พวกงี่เง่าทั้งนั้นเลยรึเนี่ย?”

เขาอดคิดเช่นนี้ไม่ได้ สาเหตุก็มาจากหมายเหตุท้ายสารนั้นนั่นเอง

“หากอาณาเขตของการปลดแอกขยายวงกว้างออกไปอีก มีความเป็นไปได้ที่จะต้องเพิ่มปริมาณของสิ่งเหล่านี้ตามไปเป็นเงาตามตัวอีกด้วย”-- ซึ่งก็หมายความว่า ภาระของฝ่ายส่งกำลังบำรุงมีแต่จะหนักขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ใช่หรืออย่างไร? นี่ไม่ใช่เวลาจะมาดีใจแบบตื้น ๆ กับการขยายอาณาเขตที่ยึดครองแล้ว อีกทั้ง... ลึก ๆ ลงไปแล้ว นี่เรื่องนี้ยังมีความหมายแฝงที่น่าสะพรึงกลัวอยู่อีกด้วย...

แคสเซิร์นติดต่อขอเข้าพบท่านแม่ทัพใหญ่กองทัพบุกโจมตีครั้งนี้ทันที ในห้องทำงานของแม่ทัพใหญ่นี้ เสนาธิการฝ่ายแผนการรบ พลจัตวาโฟ้กก็อยู่ด้วย ซึ่งนี่ก็เป็นเรื่องที่อยู่ในความคาดหมายอยู่แล้ว ชายคนนี้เป็นที่โปรดปรานของแม่ทัพใหญ่มากกว่าตัวของหัวหน้าเสนาธิการ- พลเอกกรีนฮิลล์เสียอีก ดังนั้นจึงคอยยืนทำตาวาวอยู่ข้าง ๆ เจ้านายใหญ่ของตนตลอดเวลา จนเกิดเสียงนินทากันให้แซดในระยะนี้ว่า “แม่ทัพใหญ่ที่จริงเป็นแค่ไมโครโฟนของเสนาธิการฝ่ายแผนการรบเท่านั้นเอง เพราะคนที่กำลังพูดอยู่จริง ๆ คือพลจัตวาโฟ้กต่างหาก”

“เห็นว่า มีเรื่องจะปรึกษาเกี่ยวกับสารขอความสนับสนุนจากพวกหน่วยมวลชนสัมพันธ์ที่แนวหน้าหรือ...”

จอมพลโรบอสลูบคางซึ่งมีเนื้อส่วนเกินพอสมควรพลางกล่าวขึ้น

“เรื่องอะไรกันนักหนา ยังไงก็ช่วยคุยสั้น ๆ พอนะ ผมกำลังยุ่ง”

ไม่มีทางที่ชายไร้สมองคนหนึ่งจะก้าวขึ้นไปเป็นจอมพลได้หรอก โรบอสผู้นี้เคยสร้างวีรกรรมไว้มากมายในแนวหน้า อีกทั้งยังมีความสามารถในด้านการจัดการในแนวหลังด้วย เขาเป็นบุรุษที่สามารถนำทัพใหญ่ได้ และสามารถบริหารจัดการทีมเสนาธิการได้เป็นอย่างดี อย่างน้อยที่สุด ก็จนถึงตอนที่เขาอายุอยู่ในช่วงสี่สิบนะแหละ แต่ในปัจจุบันนี้ มีแต่ความเสื่อมเท่านั้นที่ปรากฏอยู่ในตัวเขา ดูเป็นคนเนือยต่อเรื่องทุกอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เห็นได้ชัดคือ เขาขาดพลังงานในการวิเคราะห์, ตัดสินและสั่งการในเรื่องใด ๆ ไปเสียหมด และนี่ก็คงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้โฟ้กได้โอกาสเชิดหน้าหยิ่งผยองอยู่เช่นนี้

แล้วทำไม วีรบุรุษเมื่อวานนี้ ถึงได้กลายมาเป็นเช่นนี้ได้ล่ะ? มีคนตั้งสมมติฐานไว้มากมาย บ้างก็ว่า การหักโหมใช้กำลังสมองและกำลังกายอย่างหนักหนาสาหัสเมื่อสมัยหนุ่มทำให้เขาเกิดอาการสมองเสื่อมก่อนวัยอย่างนี้, บ้างก็ว่า เป็นมะเร็งหัวใจชนิดที่รักษาไม่หายขาด, บ้างก็ว่า เป็นอาการเซื่องซึมหลังจากชิงเก้าอี้ผู้บัญชาการทหารสูงสุดแพ้ซิทเลย์ไป เป็นต้น เรียกได้ว่า บรรดานายทหารของสมาพันธ์พากันสยายปีกแห่งจินตนาการของตนกันตามอำเภอใจ ในการตั้งสมมติฐานมาอธิบายอาการของจอมพลโรบอสผู้นี้

เมื่อปีกแห่งจินตนาการที่ว่าสยายออกไปจนเกินขอบเขต ก็เกิดสมมติฐานที่ว่า ที่จอมพลโรบอสกลายเป็นเช่นนี้เพราะติดโรคมาจากสตรีนางหนึ่งที่เขานอนด้วยในคืนหนึ่ง โดยที่โรบอสเองเดิมก็เป็นพวกหัวงูเห็นผู้หญิงเป็นไม่ได้อยู่แล้ว พอเป็นโรคที่ว่านี้เข้าก็เลยทำให้สมองฝ่อ สมมติฐานนี้ ยังมีของแถมอีกว่า สตรีต้นเหตุนางนั้นเป็นสายลับจากจักรวรรดิทางช้างเผือก... ว่ากันเข้าไปนั่น คนที่ได้ฟังสมมติฐานนี้แล้ว ต่างพากันหัวเราะน้ำหูน้ำตาไหลกันทุกคน แต่หลังจากหยุดหัวเราะ ก็อดไม่ได้ที่จะต้องสยิวกายอย่างหนาวเหน็บ พร้อมพยายามย้ำกับตัวเองว่า นี่เป็นแค่เรื่องสนุก ๆ ที่แต่งขึ้นมาอธิบายกันเล่น ๆ เท่านั้น

ย้อนกลับมาที่เรื่องราวของแคสเซิร์น

“ถ้างั้น ผมจะพูดรวบรัดเลยนะครับ คือ ท่านครับ ตอนนี้กองทัพของเรากำลังเผชิญกับวิกฤติการณ์อันใหญ่หลวงอยู่ครับผม”

แคสเซิร์นตัดสินใจลองปล่อยหมัดฮุคเข้าใส่อีกฝ่ายเลย ดูสิว่าจะมีปฏิกิริยาอย่างไรบ้าง ปรากฏว่า จอมพลโรบอสหยุดความเคลื่อนไหวของมือที่ลูบคางลงไปชั่วขณะ แล้วส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยมายังหัวหน้าเสนาธิการฝ่ายสนับสนุนการรบ ส่วนพลจัตวาโฟ้กก็เหยียดริมฝีปากจนเบี้ยวไปข้างหนึ่ง แต่นี่คงเป็นนิสัยส่วนตัวของหมอนี่เองไม่เกี่ยวกับคำพูดของแคสเซิร์นแต่อย่างไร

“อะไรอีกล่ะ จู่ ๆ ก็...”

น้ำเสียงของจอมพลไม่มีแววตระหนกอยู่เลย แคสเซิร์นคิดว่า นี่คงเป็นเพราะความรู้สึกของแกตายด้านไปหมดแล้วกระมัง ไม่ใช่เพราะใจเย็นหรอก

“คำร้องขอจากหน่วยมวลชนฯ นั่น ท่านก็ทราบดีแก่ใจใช่ไหมครับ?”

แคสเซิร์นถาม ซึ่งเป็นคำถามที่ค่อนข้างจะล่อแหลมต่อการถูกกล่าวหาว่า เสียมารยาทต่อผู้ใหญ่อยู่ทีเดียว และโฟ้กก็คงกำลังคิดเช่นนั้นด้วย ดูจากที่ริมฝีปากของเขาเบี้ยวมากขึ้นอีกจนไม่รู้จะเบี้ยวยังไงอีก แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้ทักท้วงอะไรออกมา บางทีอาจจะเก็บเรื่องนี้ไว้เอาความกันในวันหลังกระมัง

“รู้แล้ว อาจจะเป็นคำร้องขอที่มากเกินไปสักหน่อย แต่ในเมื่อภารกิจนี้มีแนวนโยบายเพื่อการปลดแอก ก็ช่วยไม่ได้นี่”

“ในอิเซลโลนไม่มีของมากขนาดนั้นนะครับผม”

“คุณก็ขอความสนับสนุนกลับไปที่เมืองหลวงเราสิ พวกเจ้าหน้าที่เศรษฐกิจเห็นเข้าอาจจะช็อคก็ได้ แต่พวกนั้นก็ต้องส่งของมาให้อยู่ดี”

“ครับ ใช่ พวกเขาต้องส่งมา แล้วหลังจากนั้นละครับ พอของพวกนั้นมาถึงอิเซลโลนนี่แล้วจะทำยังไงต่อ?”

จอมพลเริ่มลูบคางอีกครั้งหนึ่ง ทำเอาแคสเซิร์นแอบค่อนแคะในใจว่า ลูบเข้าไปเหอะ ลูบเข้าไป ยังไงก็ไม่ทำให้เนื้อส่วนเกินพร้อมไขมันนั้นหายไปได้หรอก

“หมายความว่ายังไง พลตรี?”

“หมายความว่า แผนการของข้าศึกก็คือ ต้องการให้ฝ่ายส่งกำลังบำรุงของทัพเราแบกภาระที่หนักเกินตัวนะสิครับ ท่าน!”

น้ำเสียงที่ตอบออกจะกระชากนิด ๆ ถ้าคุมสติไม่อยู่ละก็ แคสเซิร์นอยากจะตะคอกถามให้รู้แล้วรู้รอดเลยด้วยซ้ำว่า เรื่องแค่นี้ยังไม่เข้าใจอีกรึ?!!!

“กล่าวคือ ข้าศึกกำลังวางแผนจะบุกโจมตีทำลายกองยานลำเลียงของเรา เพื่อตัดเส้นทางส่งกำลังบำรุงของกองทัพเรา ใช่ไหมครับ ท่านหัวหน้าเสนาธิการฝ่ายสนับสนุนการรบ?”

โฟ้กพูดสอดเข้ามา แคสเซิร์นได้แต่พยักหน้าตอบรับ ทั้งที่ในใจไม่ค่อยพอใจเท่าไรที่ฝ่ายแรกแทรกเข้ามาในการสนทนานี้

“แต่ห้วงอวกาศตั้งแต่กองบัญชาการนี้ไปจนถึงแนวหน้า ล้วนตกอยู่ในความครอบครองของกองทัพเราทั้งหมดนะครับ ไม่ต้องห่วงเรื่องการถูกโจมตีหรอก เอ่อ อ้า แต่แน่นอนครับ เพื่อความไม่ประมาท ทางเราจะจัดกองยานรบคุ้มกันไปกับกองยานลำเลียงเผื่อเอาไว้ด้วย”

“ครับ ๆ เผื่อเอาไว้ก่อนดีแล้วครับ...”

แคสเซิร์นตอบแบบประชดประชันอย่างโจ่งแจ้ง ไม่สนใจแล้วว่าเจ้าโฟ้กมันจะคิดยังไง

หยางเอ๊ย ขอร้องเถอะวะ นายต้องมีชีวิตรอดกลับมาให้ได้นะ- แคสเซิร์นอดนึกในใจถึงเพื่อนรุ่นน้องของตนไม่ได้ การศึกครั้งนี้ มันงี่เง่าไร้เหตุผลเกินกว่าที่จะมาจริงจังด้วย อย่าว่าแต่จะต้องเสี่ยงชีวิตเลย

(อ่านตอนต่อไป)


กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป 1