นวนิยายแฟนตาซีอวกาศเรื่องยาว

วีรบุรุษทางช้างเผือก銀河英雄伝説

เรื่อง โดย ทะนะกะ โยะชิกิ (田中芳樹) แปลโดย Pae

บทที่ 8 สมรภูมิเดือด
-2-


ทางด้านเมืองหลวงไฮเนสเซนนั้น ฝ่ายที่เห็นด้วยและคัดค้านต่อการร้องขอสิ่งของปริมาณมหาศาลจากทางกองทัพออกรบ ก็กำลังถกเถียงกันหน้าดำหน้าแดงเลยทีเดียว

ฝ่ายสนับสนุนก็อ้างว่า แต่เดิมการบุกโจมตีจักรวรรดิครั้งนี้ ก็มีจุดประสงค์เพื่อช่วยปลดปล่อยประชาชนที่ตกทุกข์ได้ยากอยู่ภายใต้การปกครองอันกดขี่ของจักรวรรดิออกมา อีกทั้งการช่วยเหลือผู้คนจำนวน 50 ล้านคนให้พ้นจากสภาพอดตาย ก็เป็นสิ่งที่ควรต้องกระทำโดยมนุษยธรรมอยู่แล้ว ยิ่งกว่านั้น ถ้าพวกเราช่วยเหลือเขาในนามของสมาพันธ์แล้วละก็ ย่อมทำให้ประชาชนพวกนั้นเอาใจออกห่างจากจักรวรรดิ และหันมาเข้าพวกกับสมาพันธ์อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะมองจากเหตุผลด้านการทหารก็ตาม เหตุผลด้านรัฐศาสตร์และมนุษยธรรมก็ตาม ควรจะอนุมัติส่งอาหารไปแจกจ่ายให้กับประชาชนในแดนที่ได้รับการปลดแอกตามที่กองทัพออกรบได้ร้องขอมา

แต่เสียงคัดค้านก็คือ แต่เดิมแผนปฏิบัติการบุกโจมตีครั้งนี้มันเป็นการทำการเกินตัวตั้งแต่ต้นแล้ว เพียงแค่งบประมาณในขั้นแรก ก็ปาเข้าไปถึง 2 แสนล้านดินาร์ ซึ่งคิดเป็น 5.4% ของงบประมาณการบริหารแผ่นดินของปีนี้ และคิดเป็นงบเกินกว่า 10% ของงบประมาณทางการทหารทั้งหมด เพียงเท่านี้ ก็เห็น ๆ อยู่แล้วว่า ผลการปิดงบปีนี้จะขาดดุลงบประมาณอย่างใหญ่หลวงเพียงใด ถ้ายังคิดจะปลดแอกดินแดนจักรวรรดิ แล้วก็พ่วงภาระเลี้ยงดูคนเหล่านั้นเพิ่มเข้ามาอีกละก็ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ความล่มสลายทางเศรษฐกิจจะต้องเกิดขึ้นตรงหน้าอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้น ในทางกลับกัน ควรจะรีบสั่งยกเลิกการโจมตีครั้งนี้โดยฉับพลัน แล้วสละดินแดนที่ยึดครองได้ทั้งหมด ยกพลกลับมาป้อมอิเซลโลนโดยเร็ว ขอเพียงป้อมอิเซลโลนยังเป็นของเรา ก็ไม่ต้องห่วงว่าทัพจักรวรรดิจะยกทัพล่วงเข้ามาโจมตีเราได้ เราสามารถยันทัพพวกนั้นด้วยป้อมปราการอิเซลโลนได้อยู่แล้ว...

การถกเถียงของทั้งสองฝ่ายทวีความรุนแรงไปเรื่อย ๆ ตามข้อมูลตัวเลขที่ยกมาประชันกัน แถมพกด้วยอารมณ์ที่เริ่มเดือดขึ้นทั้งสองฝ่าย จนดูท่าจะไม่มีที่สิ้นสุด หากไม่เพราะ...

“กรุณามอบโอกาสในการตายในหน้าที่ให้นายทหารน้อยใหญ่ของกองทัพเราด้วย หากพวกท่านยังคงถ่วงเวลาอยู่เช่นนี้ พวกเราจะได้มีโอกาสอดตายในหน้าที่อย่างมีเกียรติแทนเป็นแน่!”

รายงานดังกล่าว- หรือพูดให้ถูกเรียกว่าเป็น เสียงคร่ำครวญมากกว่า- ที่ส่งตรงมาจากอิเซลโลน ทำให้การโต้เถียงหยุดยั้งลงไปชั่วขณะ สิ่งของต่าง ๆ ที่ได้รับการร้องขอมา ถูกจัดหารวบรวมอย่างรีบเร่ง แล้วก็ทยอยขนส่งออกไปยังแนวหน้า แต่ยังไม่ทันไร คราวนี้ก็มีคำร้องขอครั้งใหม่มาอีกแล้ว ด้วยปริมาณที่พอ ๆ กับของเดิมที่เคยขอมา นั่นคือ อาณาบริเวณที่ยึดครองได้เพิ่มขึ้นไปอีก จำนวนประชากรในดินแดนที่รับการปลดแอก มีเกินกว่า 100 ล้านคน และแน่นอน ปริมาณอาหารที่ต้องการก็เพิ่มตามไปเป็นเงาตามตัว...

คราวนี้ แม้แต่ฝ่ายสนับสนุนเองก็ถึงกับหน้าถอดสี ส่วนฝ่ายคัดค้านก็ได้ที กล่าวว่า- เห็นไหมล่ะ ขอกันมามีที่สิ้นสุดซะเมื่อไหร่ ตอนแรกก็ว่า 50 ล้านคน ตอนนี้กลายเป็น 100 ล้านคนแล้ว ประเดี๋ยวเถิดได้กลายเป็น 200 ล้านคนแน่ พวกจักรวรรดิมันกำลังมุ่งหมายที่จะทำลายคลังของเราให้ล้มละลายนั่นเอง และรัฐบาลกับกองทัพที่ไปหลงกลจักรวรรดิอย่างง่ายดายเช่นนี้หนีไม่พ้นความรับผิดชอบเป็นแน่ ตอนนี้คงไม่มีทางเลือกอื่นเหลืออีกแล้ว ให้รีบสั่งถอนทัพกลับมาเดี๋ยวนี้...

“พวกจักรวรรดิใช้ประชาชนตาดำ ๆ พวกนั้นนั่นแหละ เป็นอาวุธในการต่อต้านการบุกรุกของพวกเรา มันเป็นกลยุทธที่สกปรกสิ้นดี แต่ตราบใดที่พวกเรายังคงอ้างตัวเองว่า เป็นทัพปลดแอกเอย ทัพผู้ผดุงความยุติธรรมเอย ละก็ พวกเราก็คงต้องยอมรับล่ะว่า กลยุทธของจักรวรรดิในครั้งนี้เป็นวิธีที่ได้ผลที่สุดในการจัดการกับพวกเราแล้ว จนขั้นนี้แล้วคงต้องถอนทัพสถานเดียวแล้วครับ มิฉะนั้น จะกลายเป็นเตี้ยอุ้มค่อม ทัพที่อดอยากของเราแบกภาระประชาชนผู้ยากไร้เหล่านั้นไว้จนท้องกิ่ว แล้วเมื่อถึงจังหวะที่ทัพเราอ่อนเปลี้ยหมดเรี่ยวแรง พวกทัพจักรวรรดิก็จะออกมาไล่ทุบเราจนเละแน่”

กรรมาธิการคลัง นายโจอัน ลิเบอโร กล่าวเช่นนั้นต่อที่ประชุมคณะกรรมาธิการสูงสุด

ประธานกรรมาธิการที่เคยออกเสียงสนับสนุนแผนออกรบ ต่างพากันนั่งเฉย ๆ อยู่กับที่ เอาแต่นิ่งอึ้งหรือไม่ก็เหม่อลอยไปตาม ๆ กัน ประธานกรรมาธิการสื่อสารและคมนาคม นางวินเธอร์เองก็เช่นกัน หล่อนได้แต่นั่งจ้องจอภาพสีเทาที่ไม่มีภาพใด ๆ เลย อยู่อย่างนั้น ใบหน้างามของหล่อนบัดนี้เต็มไปด้วยความอึดอัดคับแค้นใจ

นางวินเธอร์เองก็เข้าใจดีว่า เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็คงมีแต่จะต้องถอนทัพเพียงทางเดียวเท่านั้น ถือเสียว่า งบประมาณที่ถูกผลาญมาอย่างสูญเปล่าจนถึงบัดนี้เป็นสิ่งที่เสียไปแล้วอย่างช่วยไม่ได้ สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือ การป้องกันมิให้มีการล้างผลาญงบประมาณในคลังจนกระทั่งคลังของสมาพันธ์ล้มละลายไปมากกว่านี้

แต่ ถ้าให้กองทัพถอนตัวกลับมาโดยไม่มีผลการปฏิบัติการรบเป็นชิ้นเป็นอันอย่างนี้ละก็ ในฐานะที่เป็นคนสนับสนุนแผนออกรบ หล่อนจะต้องตกที่นั่งลำบากอย่างแน่นอน พวกที่คัดค้านแผนออกรบครั้งนี้แต่แรกแล้วนั้นไม่ต้องสงสัยล่ะ แม้แต่พวกใฝ่สงครามที่เคยสนับสนุนหล่อน ก็คงหันมาเรียกร้องความรับผิดชอบจากหล่อนแน่นอน ทีนี้ เก้าอี้ของประธานกรรมาธิการซึ่งเคยใฝ่ฝันจะได้นั่งมาตั้งแต่เริ่มเล่นการเมือง ก็คงจะมีอันหลุดมือไปอย่างกู่ไม่กลับคราวนี้เอง

ไอ้พวกไม่ได้เรื่องที่อิเซลโลน (กองบัญชาการรบสูงสุดในการโจมตีจักรวรรดิ) มัวแต่ทำอะไรกันอยู่?!!! นางวินเธอร์อดคิดเคียดแค้นเช่นนั้นในใจไม่ได้ หล่อนกัดฟันกรอด ๆ พลางกำหมัดแน่นจนเล็บมือที่แต่งมาอย่างสวยงามจิกเข้าไปในเนื้อของตนก็ยังไม่รู้ตัว

ก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องถอนทัพล่ะ แต่อย่างน้อยที่สุด ก่อนจะถึงตอนนั้น ช่วยรบชนะพวกจักรวรรดิให้เห็นสักครั้งหนึ่งไม่ได้เชียวรึ? ถ้าได้อย่างนั้นละก็ หล่อนก็ยังจะพอรักษาหน้าของตนไว้ได้ อีกทั้งยุทธการบุกจักรวรรดิครั้งนี้จะได้รอดพ้นจากการถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ให้ชนรุ่นหลังประณามว่าเป็นยุทธการเหลวไหลที่ล้างผลาญงบประมาณและกำลังคนไปโดยไม่ได้อะไรขึ้นมาเลย

หล่อนเหลือบมองไปทางประธานคณะกรรมาธิการสูงสุดแวบหนึ่ง ชายแก่เฉื่อยชา สมองช้าที่ครองตำแหน่งสูงสุดทางการเมืองผู้นั้น นายกรัฐมนตรีของประเทศผู้ได้รับสมญาว่า “คนที่ไม่มีใครเลือก” ‘ตาอยู่’ ที่จู่ ๆ ก็ได้รับส้มหล่นจากเกมการงัดข้อทางการเมืองในสภาจนจับพลัดจับผลูได้ตำแหน่งนี้มา เพราะอีตานี่แท้ ๆ เชียวที่พูดเรื่องเสียงสนับสนุนและการเลือกตั้งครั้งต่อไปขึ้นมา หล่อนถึงได้หลงผิดเห็นดีเห็นงามไปด้วยขนาดนี้ไงล่ะ ถึงตอนนี้ หล่อนได้แต่นึกพยาบาทชายผู้นี้อยู่ในใจ

อีกทางหนึ่ง ประธานกรรมาธิการกลาโหม นายทริวนิชท์ก็กำลังพออกพอใจกับการมองการณ์ไกลของตนอยู่อย่างเห็นได้ชัด

กะอยู่แล้วว่าจะต้องออกมาเป็นแบบนี้ ด้วยกำลังทางเศรษฐกิจและการทหารของสมาพันธ์ในตอนนี้ ไม่มีทางเสียล่ะที่การบุกโจมตีจักรวรรดิจะสำเร็จไปได้ อีกไม่ช้า ทัพโจมตีก็จะประสบความปราชัยอย่างใหญ่หลวงกลับมา และรัฐบาลนี้ก็จะถึงจุดอวสานกันเมื่อประชาชนเสื่อมศรัทธาถึงขีดสุด แต่ตัวเขาเอง นายทริวนิชท์ผู้นี้ แทนที่จะเสียคะแนนไปด้วย กลับมีแต่จะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ในฐานะที่เป็นผู้ที่คัดค้านการออกรบครั้งนี้ไว้แล้ว ด้วยความกล้าหาญและการมองการณ์ไกลอันน่าชื่นชม คู่แข่งที่เหลือในการเลือกตั้งคราวหน้าของเขาก็คือ ริเบอโรกับฮวนนั่นเอง แต่สองคนนี้ ไม่ได้รับเสียงสนับสนุนจากพวกทหารและพวกอุตสาหกรรมอาวุธสงครามดั่งเช่นที่เขาได้รับอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ไม่มีปัญหาใด ๆ ในที่สุด เขาก็จะขึ้นไปถึงตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการสูงสุดอย่างแน่นอนในคราวนี้เอง

เป็นอย่างนี้ดีแล้ว เขาแอบยิ้มกว้างที่สุดอยู่ในใจ สมญานาม “นายกรัฐมนตรีผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของสมาพันธ์ ผู้ล้มล้างจักรวรรดิทางช้างเผือกได้สำเร็จ” เป็นสมญานามที่เหมาะสมกับเขาเพียงผู้เดียว ไม่มีใครจะทำได้อย่างที่เขาจะทำอีกแล้ว...

สุดท้าย ข้อเสนอให้ถอนทัพก็ถูกยับยั้งเอาไว้ก่อน

“เราไม่ควรจะไปจำกัดกรอบการปฏิบัติการของกองทัพ จนกว่าจะเห็นผลลัพธ์เป็นชิ้นเป็นอันไม่ทางใดก็ทางหนึ่งที่แนวหน้า”

นี่เป็นข้ออ้างของฝ่ายสนับสนุนสงคราม ซึ่งก็เริ่มเสียงอ่อย ๆ ลงมาบ้างแล้ว (เพียงเล็กน้อย) ซึ่งทริวนิชท์ก็ไม่แคร์กับคำว่า “ผลงาน” ที่ว่าสักเท่าไร เพราะถึงอย่างไร “ผลงาน” ที่พวกสนับสนุนสงครามหวังให้เกิด กับที่เขาหวัง ย่อมมีเนื้อหาต่างกันเป็นตรงกันข้ามอย่างแน่นอน...

(อ่านตอนต่อไป)


กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป 1