นวนิยายแฟนตาซีอวกาศเรื่องยาว

วีรบุรุษทางช้างเผือก銀河英雄伝説

เรื่อง โดย ทะนะกะ โยะชิกิ (田中芳樹) แปลโดย Pae

บทที่ 8 สมรภูมิเดือด
-5-


เวลามาตรฐาน 16 นาฬิกาของวันที่ 10 เดือนตุลาคม

ผู้การอุลัมฟ์ซึ่งได้สั่งพักกองยานรบของตนไว้บนแนวโคจรของดาวบริวารของดาวเคราะห์ริวเกนโดยวิธีเบี่ยงเบนแรงโน้มถ่วง ก็สำเหนียกถึงการโจมตีของข้าศึก ดาวเทียมตรวจการณ์ที่ได้ติดตั้งไว้รอบ ๆ บริเวณกองยานเป็นจำนวนถึง 2 หมื่นดวงนั้น มีอยู่ 100 ดวงทางทิศ 2 นาฬิกาได้ส่งภาพของแสงสว่างกลุ่มใหญ่มาให้ แล้วสัญญาณการติดต่อก็ขาดหายไปในทันที

“ได้เรื่องแล้วสิ”

อุลัมฟ์พึมพำเบา ๆ เขารู้สึกชัดเจนถึงกระแสไฟฟ้าของความตื่นเต้นที่ไหลแผ่ซ่านไปถึงปลายเส้นประสาททุกเส้นเลยทีเดียว

“โอเปอเรเตอร์ เหลือเวลาอีกเท่าไร กว่าข้าศึกจะเคลื่อนที่มาถึงและประทะกับเรา?”

“ 6 หรือ 7 นาทีครับผม!”

“เข้าใจแล้ว ยานรบทั้งหมด เตรียมรบเต็มพิกัด! เจ้าหน้าที่สื่อสาร ติดต่อไปยังกองบัญชาการรบ และกองยานรบที่ 13 เดี๋ยวนี้ บอกว่า เรากำลังจะประทะกับข้าศึกแล้ว”

เสียงสัญญาณเตือนภัยดังลั่นขึ้น ภายในห้องสะพานเรือของเรือธงของเขา เต็มไปด้วยเสียงสั่งการและเสียงตอบรับดังโหวกเหวก

“อีกไม่นาน กองยานรบที่ 13 ก็จะมาช่วยพวกเรา กองยานรบของมิราเคิลหยางนั่นแหละ พอเป็นเช่นนั้น เราก็จะตีขนาบข้าศึกได้ ชัยชนะต้องเป็นของพวกเราอย่างแน่นอน ทุกคน สู้มัน!”

บางครั้ง แม่ทัพก็ต้องทำให้บรรดาพลทหารใต้สังกัดเชื่อในสิ่งที่แม้แต่ตัวแม่ทัพเองก็ยังไม่เชื่อเช่นกัน อุลัมฟ์ตระหนักดีว่า ป่านนี้กองยานรบที่ 13 ของหยางก็คงกำลังถูกโจมตีด้วยกองเรือของข้าศึกที่มีจำนวนพอ ๆ กันกับที่มาโจมตีกองยานของตนนั่นเอง ไม่มีทางที่หยางจะมาช่วยได้หรอก

การโจมตีเต็มรูปแบบของทัพจักรวรรดิได้เริ่มขึ้น ณ บัดนั้น


ร้อยโทเฟรดเดอริกา กรีนฮิลล์เงยหน้าอันซีดเผือดเต็มไปด้วยแววตื่นตระหนกของหล่อนขึ้นมา แล้วรายงานว่า

“ท่านคะ! มีการติดต่อทาง FTL เข้ามาจากผู้การอุลัมฟ์ค่ะ!”

“ข้าศึกโจมตีละสิ”

“ค่ะ พวกเขาเข้าสู่การรบกับข้าศึกแล้วเมื่อเวลา 16 นาฬิกา 7 นาทีค่ะ”

“ในที่สุด ก็เริ่มต้นจนได้...”

ท้ายประโยคของเขาถูกแทรกด้วยเสียงดังกังวานของสัญญาณเตือนภัย อีก 5 นาทีหลังจากนั้นเขาก็เข้าสู่การสู้รบกับกองเรือรบของทัพจักรวรรดิภายใต้การนำของผู้การเคมป์

“ฝูงมิสซายล์ข้าศึกกำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้ทางทิศ 11 นาฬิกาครับผม!”

เสียงตะโกนรายงานของโอเปอเรเตอร์ดังขึ้น ตามด้วยเสียงสั่งการอย่างเด็ดขาดของผู้บังคับเรือธง- พันเอกมาริโน่

“ยิงจรวดล่อเป้าออกไปทางทิศ 9 นาฬิกา!”

ส่วนหยางเพียงแต่นั่งนิ่ง จมกับภวังค์ความคิดของตนในการเตรียมแผนกลยุทธเพื่อรับมือข้าศึกในระดับกองยานรบ อันเป็นหน้าที่ของตน ส่วนการป้องกันและควบคุมการรบในระดับยานรบลำเดียว- ซึ่งในที่นี้คือ เรือธงที่เขานั่งอยู่ด้วย- นั้น เป็นหน้าที่ของผู้บังคับยานรบนั่นเอง หากแม่ทัพขืนไปควบคุมเรือธงด้วยตนเองละก็ มีหวังจะประสาทกินเสียก่อนที่จะได้ทำอะไร

มิสซายล์เลเซอร์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฮโดรเจนพุ่งตรงเข้ามาราวกับสุนัขล่าเนื้อกระหายเลือด อาวุธชนิดนี้ ไม่ได้อาศัยระเบิดปรมาณู หากแต่ใช้แสงเลเซอร์อันร้อนแรงเหนี่ยวนำให้เตาปรมาณูของยานรบเป้าหมายระเบิดออกมาด้วยปฏิกริยาลูกโซ่

และจรวดล่อเป้าก็ถูกยิงออกไปเพื่อรับมือกับฝูงมิสซายล์ฝูงนี้ จรวดเหล่านี้จะปล่อยคลื่นความร้อนและคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอย่างแรง เพื่อล่อระบบนำวิถีของมิสซายล์ให้พามิสซายล์วิ่งเข้าหาพวกมันแทน ซึ่งก็ได้ผล ฝูงมิสซายล์เปลี่ยนทิศทางกระทันหัน พุ่งตรงเข้าไล่กวดจรวดล่อเป้าทันที

พลังงานกับพลังงาน มวลกับมวล กระทบกระแทกเข้าหากันอย่างรุนแรงต่อเนื่อง ก่อให้เกิดกลุ่มไฟดวงสว่างโร่ขึ้นไม่ขาดสาย ในห้วงอวกาศอันมืดมิด

“ฝูงบินสปาร์ตาเนียน เตรียมออกปฏิบัติการ!”

เสียงสั่งการถูกถ่ายทอดออกมา พาให้ใจของบรรดานักบินของฝูงบินเหล่านี้จำนวนหลายพันคนพากันตื่นเต้นคึกคักไปตาม ๆ กัน พวกเขาล้วนเป็นสิงห์นักรบแห่งเทพเจ้าสงคราม เปี่ยมล้นด้วยความมั่นใจในฝีมือและประสาทตอบสนองของตน คำว่า “กลัวตาย” ไม่เคยมีอยู่ในหัวของพวกเขาเลย

“เอาล่ะ ออกไปรบสักตั้งละกันน้อ”

เจ้าของเสียงเปรยอย่างร่าเริงที่ดังก้องอยู่ในเรือธง- ยานรบฮิวเบริออนนี้ คือ ร้อยเอก วอร์เรน ฮิวส์ เจ้าของฉายา เอซ (เจ้าเวหา- หมายถึงนักบินที่สามารถสอยเครื่องบินฝ่ายตรงข้ามร่วงได้เป็นว่าเล่น)

ในยานรบฮิวเบริออนนี้ มีเอซอยู่ถึง 4 คนทีเดียว ซึ่งนอกจากฮิวส์แล้ว ก็ได้แก่ ร้อยเอกซาเล อาซิส เชกลีย์, ร้อยเอกโอลิเวียร์ ปอปแลน และร้อยเอกอิวาน คอเนฟ ทั้งสี่คนนี้ ถึงกับใช้สีพิเศษ ระบายรูป A (เอซ) โพธิ์ดำ, โพธิ์แดง, ข้าวหลามตัดและดอกจิก ลงบนเครื่องบินประจำตัวของแต่ละคนตามลำดับ เพื่อประกาศว่า ตนเองเป็น “เอซ” นั่นเอง บางที การที่พวกเขาใจกล้าถึงขนาดมองว่า การรบด้วยฝูงบินประจันบาญ ก็เป็นแค่กีฬาอย่างหนึ่งเท่านั้น อาจเป็นเคล็ดลับอย่างหนึ่งที่ทำให้พวกเขามีชีวิตรอดมาถึงบัดนี้ก็ได้

“เดี๋ยวจะสอยข้าศึกร่วงกลับมาสัก 5 ลำ เตรียมแช่แชมเปญไว้ละกันเพื่อน!”

ปอปแลนร้องตะโกนกับเทคนิคอลแมน (เจ้าหน้าที่เทคนิค) อย่างร่าเริง ขณะที่ตนเองกำลังกระโดดเข้าไปนั่งประจำเครื่องคู่ชีพของตน แต่เสียงตอบของฝ่ายหลังกลับเย็นชาถึงขนาด

“มีซะที่ไหนเล่า? ถ้าน้ำเปล่าละก็พอมี จะแช่เย็นไว้ให้ละกัน”

“ฮึ ไม่รับมุขเลยเว้ย แกนี่”

ปอปแลนบ่นพึมพำ พลางพาตัวเองดีดทะยานออกสู่ห้วงอวกาศพร้อม ๆ กับเพื่อนเอซทั้งสามคน ปีกของสปาร์ตาเนียมสะท้อนแสงจากกองระเบิดในสมรภูมิมองเห็นเป็นสีรุ้งอย่างสวยงามตระการตา จรวดมิสซายล์และลำแสงถูกสาดเข้ามาอย่างมุ่งร้าย

“จ้างก็ยิงไม่ถูกเว้ย!”

ทั้งสี่คนคำรามเป็นเสียงเดียวกัน การผ่านสนามรบมามากมายหลายต่อหลายครั้งแล้วนั่นเอง ทำให้พวกเขามีขวัญแข็งกล้าเพียงนี้

พวกเขาต่างพากันบังคับเครื่องของตนบินฉวัดเฉวียน ควงสว่านหลบหลีกมิสซายล์อย่างแคล่วคล่อง ประดุจเทพเจ้าร่ายรำ บรรดามิสซายล์ที่พยายามเปลี่ยนทิศทางไล่ตามมา ถึงกับทนทานต่อสนามแรงโน้มถ่วงและความเฉื่อยไม่ได้ หักกลางตรงบริเวณจุดที่เปราะบางที่สุดไปตาม ๆ กัน ขณะที่พวกเขายิ้มเยาะอย่างย่ามใจและบังคับให้ปีกเครื่องบินของตนกระพืออย่างฮึกเหิมนั่นเอง เบื้องหน้า บรรดาฝูงบินวัลคิวเรของทัพจักรวรรดิก็กำลังเคลื่อนใกล้เข้ามา และท้ารบแบบประจัญบาน

ฮิวส์, เชกลีย์และคอเนฟล้วนยิ้มรับข้าศึกตรงหน้าอย่างไม่หวั่นเกรง พวกเขาต่างพากันเปลี่ยนวัลคิวเรให้เป็นกองไฟไป ลำแล้วลำเล่า

มีเพียงปอปแลนเท่านั้น ที่กำลังหน้าแดงก่ำด้วยความฉงนใจและความโกรธอย่างสุดขีด ปืนกลยูเรเนียม 238 ซึ่งยิงใส่ข้าศึกด้วยอัตราเร็วประมาณ 140 นัดต่อวินาทีที่เขายิงออกไปนั้น ล้วนแล้วแต่หายลับไปในห้วงอวกาศโดยไม่ถูกเป้าหมายเลย ทั้งนี้ หากโดนเป้าหมายเข้าอย่างจังละก็ ด้วยความแรงของมันจะทำให้กระสุนเจาะทะลุเกราะเหล็กของยานรบข้าศึกได้ แล้วระเบิดออกด้วยความร้อนสูง

พวกเพื่อนเขาอีกสามคนกำลังละเลงเลือดข้าศึกรวมกันถึง 7 ลำแล้วแท้ ๆ...

“อะไรกันนี่ ดูไม่ได้เลย”

เคมป์เองก็เป็นเอซมาก่อน เขาเคยเป็น “ผู้กล้า” ที่ขับวัลคิวเรทะยานไปด้วยปีกสีเงินของมัน แล้วส่งข้าศึกนับสิบลำเข้าไปสู่อุ้งมือของยมทูตแห่งความตายในคราวเดียวมาแล้ว รูปร่างของเขานั้นสูงเป็นพิเศษก็จริง แต่ก็มีร่างที่ใหญ่ด้วยทำให้ไม่รู้สึกว่าเป็นคนสูงชะลูดแต่อย่างไร ผมสีน้ำชาของเขาตัดสั้นอย่างเรียบร้อย

“กะอีแค่ข้าศึกเพียงเท่านี้ มัวเสียเวลาอะไรกันอยู่เล่า ตั้งขบวนกึ่งโอบล้อม ไล่ข้าศึกจากด้านหลัง ต้อนให้มันเข้าสู่รัศมียิงของเรือรบเราสิ!”

คำสั่งนี้ให้ผลทันตาเห็น วัลคิวเรสามลำร่วมกันไล่ฮิวส์จากด้านหลัง จนกระทั่งเขาหลงบินเข้าไปในรัศมียิงของปืนใหญ่ของเรือรบ ฮิวส์ซึ่งสำเหนียกถึงวิกฤติของตน รีบแก้ไขสถานการณ์ในทันที เขาบังคับเครื่องบินควงสว่านเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว พลางสาดกระสุนยูเรเนียม 238 เข้าใส่ห้องนักบินของวัลคิวเรลำหนึ่งได้สำเร็จ และอาศัยจังหวะที่มันระเบิดนั้น ถีบตัวเองออกจากวงล้อมของฝูงวัลคิวเรรวมทั้งรัศมีปืนใหญ่อย่างรวดเร็ว แต่อนิจจา เขาไม่ได้คำนวณถึงปืนรองของเรือรบนั้นด้วย ลำแสงจากปืนดังกล่าวสว่างวาบขึ้นวูบเดียว ก็ลบร่างของฮิวส์พร้อมกับเครื่องบินของเขาหายไปจากโลกนี้ทันที

และด้วยกลยุทธเดียวกัน เชกลีย์ก็ตกเป็นเหยื่อสังเวยสนามรบนี้ไปด้วยเช่นกัน เอซที่เหลืออีกสองคนบังคับเครื่องของตนหนีการไล่ล่าของฝูงบินข้าศึก และหลบเข้าไปในมุมอับของรัศมียิงจากปืนใหญ่ของเรือรบข้าศึกได้อย่างหวุดหวิด

สำหรับคอเนฟซึ่งยิงข้าศึกร่วงไป 4 ลำนั้นยังดี แต่ปอปแลนนี่สิ เขาได้แต่บินหนีอาวุธข้าศึกอยู่ฝ่ายเดียว โดยที่ไม่สามารถโต้ตอบอะไรได้อย่างเป็นชิ้นเป็นอันเลย ความภูมิใจในศักดิ์ศรีของเขาถูกทำลายลงยับเยินไม่มีชิ้นดีในคราวนี้เอง

และเมื่อเขาทราบสาเหตุที่ปืนกลของตนไม่ถูกเป้าหมายเลยแม้แต่นัดเดียว จิตใจที่เต็มไปด้วยรอยแผลของเขาก็กลายเป็นความโกรธ และระเบิดออกมาในทันทีที่เขาพาเครื่องของตนกลับเข้าสู่ในท้องยานฮิวเบริออน เขากระโจนร่างออกจากห้องนักบินอย่างรวดเร็ว แล้วขยุ้มคอเสื้อของเจ้าหน้าที่ซ่อมบำรุงคนหนึ่ง ตะคอกว่า

“ไอ้หัวหน้าซ่อมบำรุงที่ฆ่าพวกเดียวกันอยู่ไหน ข้าจะฆ่ามัน!”

เมื่อหัวหน้าซ่อมบำรุง ร้อยเอกวิศวกรโทะดะวิ่งมาถึง เสียงด่าของปอปแลนก็ดังลั่นขึ้นทันที

“ศูนย์ของปืนกลเคลื่อนไปตั้ง 9 ถึง 12 องศาแน่ะ นี่แกปรับเครื่องแล้วหรือวะเนี่ย ไอ้พวกโจรปล้นเงินเดือนเอ๊ย!”

ร้อยเอกวิศวกรโทะดะเลิกคิ้วขึ้น

“ปรับให้แล้วสิคุณ คนน่ะเราสร้างกันฟรี ๆ ได้นะ แต่พวกยานรบพวกนี้ต้องใช้เงินสร้าง เพราะฉะนั้นผมเอาใจใส่การซ่อมบำรุงเสมอแหละ”

“เฮ้ย ยังมีหน้ามาปล่อยมุขตลกฝืด ๆ อีกเหรอ ไอ้...”

หมวกเฮลเม็ตถูกขว้างทิ้งลงบนพื้นอย่างแรงแล้วกระเด้งขึ้นมา นัยน์ตาสีเขียวของปอปแลนทอประกายเพลิงแห่งความโกรธอย่างสุดขีด และตาของโทะดะก็หรี่ลงอย่างเอาเรื่องเช่นกัน

“จะเอาเหรอวะ ไอ้แมงปอ”

“เออ เอาสิวะ ข้าน่ะนะ ฆ่าไอ้พวกทหารจักรวรรดิที่มันเก่งกว่าเอ็งมาตั้งไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไรแล้ว สำหรับเอ็งน่ะ ข้าจะต่อให้โดยใช้มือเดียวด้วย เข้ามา!”

“ทุเรศ! ตัวเองไม่ได้เรื่องเอง จะโทษคนอื่นเหรอ!”

เสียงห้ามปรามดังขึ้นโหวกเหวก แต่ทั้งสองคนก็กระโจนเข้าซัดกันนัวเนียเสียแล้ว หลังจากแลกหมัดกันสองสามหมัด โทะดะก็ตกเป็นฝ่ายรับลูกเดียว จนเริ่มป้อแป้ไปมา ขณะที่ปอปแลนเงื้อแขนของตนไปด้านหลังหมายจะปล่อยหมัดต่อไปนั่นเอง ใครบางคนก็ตรงเข้ามาคว้าแขนเขาไว้อย่างแน่นหนา

“ไอ้บ้าเอ๊ย หยุดเดี๋ยวนี้!”

พลจัตวาเชนค็อปนั่นเอง น้ำเสียงของเขาแสดงความเอือมระอาเต็มที

เรื่องก็คลี่คลายด้วยประการฉะนี้ ไม่มีใครกล้าฮึดฮัดต่อหน้าวีรบุรุษตัวจริงผู้ยึดป้อมอิเซลโลนได้สำเร็จคนนี้ แต่สำหรับตัวเชนค็อปเองแล้ว เขาก็ได้แต่สมเพชตัวเองอยู่เหมือนกันที่ ดูเหมือนว่าศึกครั้งนี้เขาจะมีบทบาทเพียงแค่เป็นกรรมการห้ามมวยเท่านั้น...


ผู้บังคับการกองเรือรบฝ่ายจักรวรรดิที่เข้าโจมตีกองยานรบที่ 10 ของอุลัมฟ์ คือ พลโทบิทเทนเฟลต์ บุรุษผู้นี้เป็นชายผมสีส้มค่อนข้างยาว นัยน์ตาสีชาอ่อน ใบหน้าผอมแต่ร่างกายกลับใหญ่บึกบึน ดูไม่สมส่วนไปบ้าง เขาชอบยกไหล่สูงเป็นนิจ และด้วยนัยน์ตาที่ทอประกายแข็งกล้า บอกให้รู้ว่าเป็นคนชอบการสู้รบอย่างเป็นชีวิตจิตใจ

นอกจากนี้ บรรดาเรือรบในสังกัดของเขาล้วนแล้วแต่ทาสีเป็นสีดำทั้งสิ้น เขาให้สมญานามกองเรือรบของตนเองว่า “ชวาร์ซลันเซนเรเตอร์ (กองอัศวินแลนซ์ดำ)” ช่างเป็นกองเรือรบที่น่าสะพรึงกลัวกระไรเช่นนั้น และในการรบกับกองเรือรบนี้ อุลัมฟ์ก็สามารถสร้างความเสียหายให้กับอีกฝ่ายได้ในระดับหนึ่ง แต่กองยานรบของตนก็รับความเสียหายในจำนวนเท่ากัน-- จำนวนที่เป็นค่าสัมบูรณ์ หาใช่สัดส่วนของความเสียหายเทียบกับกำลังทั้งหมดไม่

กองเรือรบของบิทเทนเฟลต์นั้นมีจำนวนมากกว่ากองยานรบของอุลัมฟ์ อีกทั้งบรรดาทหารก็ยังมิได้ขัดสนเสบียงอาหารและยุทธปัจจัยอีกด้วย ทั้งแม่ทัพและทหารล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยขวัญกำลังใจอันฮึกเหิมเปี่ยมล้น พวกเขาประสบความสำเร็จในการโอบล้อมกองยานรบที่ 10 ไว้อย่างสมบูรณ์แบบได้ในที่สุด แม้ว่าจะต้องประสบความสูญเสียไประดับหนึ่งก็ตาม

กองยานรบที่ 10 ของอุลัมฟ์ซึ่งบัดนี้จะเดินหน้าก็ไม่ได้ ถอยหลังก็ไม่ได้นั้น ตกเป็นเป้าหมายการระดมยิงอย่างหนักหน่วงของบิทเทนเฟลต์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“ยิงยังไงก็โดนโว้ย พวกเรา!”

บรรดาพลยิงของทัพจักรวรรดิพากันระดมส่งทั้งบีม (ลำแสง) และจรวดมิสซายล์จำนวนนับไม่ถ้วน ราวกับฝนห่าใหญ่ เข้าใส่กองยานรบข้าศึกซึ่งอยู่ในรูปขบวนแบบเกาะกลุ่มแน่น

เปลือกชั้นนอกของยานรบที่บาเรีย (สนามแม่เหล็กสลายพลัง) ถูกทำลายลง มีอันต้องสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง และเมื่อแรงกระแทกนั้นล่วงล้ำเข้าไปถึงภายในยานได้ ก็กลายเป็นพายุความร้อนที่พัดพาความตายเข้าใส่นายทหารน้อยใหญ่ในยานโดยถ้วนหน้า

ยานรบที่ถูกทำลาย และสูญเสียการขับเคลื่อนตัวเอง ถูกแรงโน้มถ่วงดึงดูดให้ตกลงสู่พื้นดาวเคราะห์อย่างต่อเนื่องกันไม่ขาดสาย บรรดาราษฎรที่อาศัยอยู่บนดาวนั้น ครึ่งหนึ่งพากันตื่นขึ้นมาดู “ฝนดาวตก” ที่ร่วงลงสู่พื้นดาวอย่างต่อเนื่องนั้น พวกเด็ก ๆ เองก็ถึงกับจ้องมองภาพสวยงามที่แฝงความอัปมงคลนั้นอย่างตื่นตา ลืมความหิวของตนไปชั่วขณะ

(อ่านตอนต่อไป)


กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป 1