นวนิยายแฟนตาซีอวกาศเรื่องยาว

วีรบุรุษทางช้างเผือก銀河英雄伝説

เรื่อง โดย ทะนะกะ โยะชิกิ (田中芳樹) แปลโดย Pae

บทที่ 9 อัมริทเซอร์
-1- (ครึ่งแรก)


ดาวฤกษ์อัมริทเซอร์กำลังคำรามอย่างไร้เสียงใส่มวลมนุษย์ที่กำลังอยู่ใกล้ ๆ มัน ภายใต้บรรยากาศของปฏิกิริยานิวเคลียร์แบบฟิวชัน บรรดาอนุภาคของอะตอมต่าง ๆ พากันชนกันเอง, แตกสลายตัว, รวมตัวกันใหม่อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ก่อให้เกิดพลังงานมหาศาลที่ถูกปลดปล่อยสู่ห้วงอวกาศอันว่างเปล่าไม่รู้จักจบสิ้น ธาตุต่าง ๆ เปล่งแสงอันเป็นสีเฉพาะของมันภายใต้ดวงอาทิตย์ขนาดหนึ่งหมื่นกิโลเมตรนี้และย้อมให้คลองจักษุของผู้มองมัน เป็นสีแดงบ้าง สีเหลืองบ้าง สีม่วงบ้าง ตามแต่จังหวะ

“ให้ตายเถอะ ไม่ชอบดาวนี่เลยจริง ๆ”

ภายในจอภาพสื่อสาร พลโทบิวค็อกกำลังขมวดคิ้วอันขาวโพลนของเขาเข้าหากัน หยางพยักหน้าตอบรับเป็นเชิงเห็นด้วย

“นั่นสิครับ เป็นสีที่อัปมงคลจริง ๆ นะครับ”

“เฮอะ สีก็ด้วยแหละนะ แต่ที่ผมไม่ชอบคือชื่อของดาวนี่แหละ เจ้าหยางเอ๊ย”

“อัมริทเซอร์เนี่ยนะครับ?”

“อักษรตัวแรกมันเป็นเอ (A) เหมือนกับแอสทาเทน่ะสิ สำหรับทัพสมาพันธ์ของเราแล้ว นี่มันปากทางสู่นรกชัด ๆ”

“โอ้โฮ ผมไม่ทันคิดไปถึงนั่นเลยนะครับเนี่ย”

หยางตอบ แต่เขาเองไม่มีความรู้สึกอยากหัวเราะความคิดตีตนก่อนไข้ของผู้การเฒ่านี้แม้แต่น้อย ทั้งนี้ เขาเชื่อว่าสเปซแมน (นักเดินทางอวกาศ) ที่ใช้ชีวิตในยานอวกาศมารวมแล้วยาวนานกว่าครึ่งศตวรรษท่านนี้ ย่อมต้องมีลางสังหรณ์และกฎเกณฑ์เฉพาะตัวของท่านเองที่แม่นยำเอาการ ใจจริงอยากจะบอกว่า คำพูดที่ดูเหมือนจะงมงายของท่านผู้เฒ่านี้ ยังฟังดูน่าเชื่อถือและมีเหตุผลกว่าพวกที่กองบัญชาการรบซึ่งเป็นผู้กำหนดใช้อัมริทเซอร์เป็นสมรภูมิแตกหักนี้เสียอีก

สภาพจิตใจของหยางตอนนี้ ห่างไกลจากคำว่าคะนองศึกอยู่โขทีเดียว กว่าจะมาถึงตอนนี้ เขาต้องสูญเสียไพร่พลในสังกัดไปถึงสิบเปอร์เซ็นต์ทั้ง ๆ ที่ได้สู้รบอย่างดีที่สุดแล้วก็ตาม อีกทั้งยังต้องถอยทัพร่นมาโดยถูกมัดมือไม่ให้ตีตอบข้าศึกอีกด้วย เรียกได้ว่า เหนื่อยยากแสนสาหัสอยู่ ระหว่างที่กองยานรบของเขารับการเสริมยุทธปัจจัยจากอิเซลโลน รวมทั้งลำเลียงผู้บาดเจ็บส่งกลับแนวหลัง และจัดกระบวนกองยานรบใหม่นั้น หยางได้มีโอกาสนอนพักผ่อนในแทงค์เบดบ้างเหมือนกัน แต่ก็ได้พักเพียงทางกายเท่านั้น ระบบประสาทดูเหมือนว่าจะไม่ได้รับการรีเฟรชใหม่เลยแม้แต่น้อย

ปล่อยไว้อย่างนี้ไม่ได้การแน่- เขาเองก็รู้ตัวเหมือนกัน ทั้งนี้ ปัจจุบันกองยานรบที่ 10 ซึ่งสูญเสียผู้บังคับบัญชาไปและสูญเสียกำลังไปกว่าครึ่งได้ถูกโอนมาให้อยู่ในกองยานรบของหยางด้วย ดูเหมือนว่า อย่างน้อยที่สุดทางผู้ใหญ่ที่กองบัญชาการรบก็ยอมรับในความสามารถจัดการกับทหารพ่ายศึกของเขากระมัง แต่นี่ไม่ได้ทำให้หยางรู้สึกดีเลยเพราะนั่นหมายถึงความรับผิดชอบที่ต้องเพิ่มมากขึ้นด้วย คนเรานั้นไม่ว่าจะใครก็ตาม ล้วนมีความรับผิดชอบและความสามารถที่จำกัด ต่อให้ถูกคาดหวัง- หรือถูกเรียกร้อง- เพียงใดก็ตาม สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ก็คือ เป็นไปไม่ได้วันยังค่ำ คิดถึงตอนนี้หยางได้แต่อยากบ่นดัง ๆ เลียนแบบ “ยูซุฟจอมขี้บ่น” ว่า “ทำไมต้องลำบากขนาดนี้ด้วย (โว้ย)”

“อย่างไรก็เถอะ น่าจะให้ไอ้พวกที่อยู่ในกองบัญชาการรบออกมาอยู่ในแนวหน้ากับพวกเรามั่งน้อ จะได้รู้ซึ้งเสียบ้างว่า พวกทหารแนวหน้าเขาลำบากกันแค่ไหน ฮึ”

นั่นคือคำพูดของบิวค็อกก่อนที่จะตัดการติดต่อไป ที่จริงนายพลหนุ่มแก่สองคนนี้เปิดช่องสื่อสารกันเพื่อจะหารือและปรับรูปขบวนทัพของแต่ละฝ่ายต่างหาก แต่คุยไปคุยมา ตอนหลัง ๆ กลับกลายเป็นการบ่นปรับทุกข์เกี่ยวกับความไม่เอาไหนของกองบัญชาการรบซะส่วนมาก

แต่ถึงกระนั้น หยางก็ไม่รู้สึกว่าการพูดคุยในช่วงหลังเป็นการพูดจานอกเรื่องไร้สาระแม้แต่น้อย เพราะเขาเองก็รู้สึกไม่พอใจเหมือนกัน

“ท่านคะ รับประทานอาหารสักหน่อยเถอะค่ะ”

เมื่อเขาหันหน้าไปจากแผงควบคุมที่ไม่มีภาพใด ๆ ฉายอยู่แล้ว ก็พบว่า ร้อยโทเฟรดเดอริกา กรีนฮิลล์กำลังยืนประคองถาดอาหารอยู่ บนถาดนั้นมีทั้งโปรตีนเกษตรยัดไส้ไส้กรอกและม้วนด้วยผักทอดกรอบ, ซุปถั่ว, ขนมปังเรซินเสริมธาตุแคลเซียม, สลัดผลไม้ราดด้วยโยเกิร์ต, นมเปรี้ยวที่ปรุงรสด้วยรอยัลเยลลี่...

“ขอบใจ แต่ผมไม่หิวเลยน่ะ... ว่าแต่ อยากกินบรั่นดีสักแก้วแทนน่ะครับ มีเปล่า?”

นายทหารหญิงผู้ช่วยของเขาใช้สายตาปฏิเสธ ทำเอาหยางหน้ามุ่ยเลยทีเดียว

“ทำไมไม่ได้ล่ะ?”

“เด็กจูเลียนไม่ได้เตือนไว้หรือคะ? ว่าท่านดื่มเหล้ามากเกินไปแล้ว”

“อะไรเนี่ย พวกเธอแทคทีมกันตั้งแต่เมื่อไหร่หรือนี่?”

“พวกเราห่วงสุขภาพของท่านนะคะ”

“แต่ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องให้พวกคุณมาห่วงผมนา ต่อให้บอกว่าผมดื่มเหล้ามากขึ้นก็เหอะ นี่ก็เรียกว่า แค่ดื่มเท่ากับคนทั่ว ๆ ไปเท่านั้นเอง กว่าจะทำให้ผมต้องเสียสุขภาพได้นี่ต้องอีกสักหนึ่งพันปีแสงเป็นอย่างน้อย...”

ขณะที่เฟรดเดอริกาจะเอ่ยปากแย้งนั้นเอง เสียงเตือนภัยอันบาดแก้วหูก็ดังลั่นขึ้น

“ข้าศึกบุก! ข้าศึกบุก! ข้าศึกบุก!”

หยางโบกมือให้ผู้ช่วยของเขาครั้งหนึ่ง

“อย่างที่ได้ยินแหละ ร้อยโทกรินฮิลล์ เอาไว้ถ้าเรารอดจากสนามรบนี้แล้ว ผมสัญญาว่าจะระวังสุขภาพตัวเองให้ดีกว่านี้ก็ละกัน”

กองทัพสมาพันธ์นั้นได้รับความเสียหายไปก่อนแล้วกว่าครึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งข่าวการเสียชีวิตของผู้การอุลัมฟ์ซึ่งเป็นนายทหารที่ห้าวหาญและเชี่ยวชาญกลยุทธคนหนึ่ง ได้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อพวกเขาอย่างใหญ่หลวง ขวัญกำลังใจของทหารก็อยู่ในระดับต่ำ อย่างนี้จะไปต่อกรกับทัพจักรวรรดิซึ่งพรั่งพร้อมสมบูรณ์กว่า และยังฮึกเหิมจากชัยชนะครั้งก่อน ๆ มาได้สักเพียงใดกันเล่า?

รอยเอนธาล, มิตเตอร์ไมเยอร์, เคมป์, บิทเทนเฟลต์และบรรดาผู้การที่ห้าวหาญเหล่านี้ของทัพจักรวรรดิ ต่างก็จัดเรียงแถวเรือรบของตนเป็นหน้ากระดาน เคลื่อนทัพเข้ามาใกล้อย่างองอาจด้วยรูปขบวนหน้ากระดานชิดแน่น หากดูเผิน ๆ เหมือนกับว่าพวกเขากำลังจะใช้กำลังที่เหนือกว่าเข้าบดขยี้อย่างซึ่ง ๆ หน้าโดยไม่คิดจะพึ่งพาอาศัยกลเม็ดหรือยุทธวิธีใด ๆ อีกแล้ว แต่ในความเป็นจริงก็คือ ทัพจักรวรรดิอีกส่วนหนึ่งภายใต้การนำของเคียร์ชไอซ์กำลังเคลื่อนพลอ้อมไปตีด้านหลังของทัพสมาพันธ์นั่นเอง เพื่อที่จะเบี่ยงเบนมิให้ทัพสมาพันธ์สำเหนียกถึงแผนการตีขนาบครั้งนี้ ทัพจักรวรรดิที่โจมตีจากด้านหน้าจักต้องโจมตีให้หนักหน่วงที่สุด ไม่ให้ทัพสมาพันธ์ได้มีโอกาสหายใจเลยแม้แต่น้อย

“เอาล่ะ ยานรบทุกลำ เดินหน้าด้วยความเร็วรบสูงสุด!”

หยางออกคำสั่ง

กองยานรบที่ 13 เริ่มออกปฏิบัติการ ณ บัดนั้น

ทัพทั้งสองฝ่ายเริ่มประจันบาญกันอย่างดุเดือด ลำแสงและมิสซายล์จำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งสวนทางกันไปมา ก่อให้เกิดระเบิดแสงกองแล้วกองเล่าขึ้นในห้วงอวกาศอันมืดมิด ซากยานอวกาศที่ถูกฉีกขาดเป็นริ้ว ๆ ด้วยแรงระเบิดต่างปลิวว่อนไปตามกระแสลมของพลังงานดุจขนนกที่กำลังเต้นระบำตามสายลม และกองยานรบที่ 13 ก็พุ่งทะยานผ่านสิ่งเหล่านั้นไปโจมตีใส่ข้าศึกเบื้องหน้าอย่างเฉียบพลัน

ทั้งนี้ ยุทธวิธีที่พวกเขาใช้ มาจากคำสั่งของหยางและการคำนวณควบคุมอย่างละเอียดพิถีพิถันของฟิชเชอร์ ที่ให้กองยานรบเคลื่อนตัวด้วยโปรแกรมการเร่งและการหน่วงที่เหมาะเจาะ พวกเขา- กองยานรบที่ 13 ปรากฏตัวโผล่ออกมาจากเงามืดของดวงอาทิตย์อัมริทเซอร์อย่างกระทันหัน โดยอาศัยแรงเหวี่ยงหนีศูนย์กลางช่วยเพิ่มความเร็ว ประดุจตัวพวกเขาเองเป็นโคโลนี (สะเก็ดดาวบริวาร, วงแหวนล้อมรอบดวงดาว) หนึ่งของดาวฤกษ์นี้

แม่ทัพของกองเรือรบจักรวรรดิที่เผชิญกับการโจมตีอย่างเฉียบขาดจากทิศทางที่ไม่คาดฝันของหยางนี้ คือ มิตเตอร์ไมเยอร์ ถึงแม้นว่าเขาจะเป็นแม่ทัพที่เก่งเพียงใดก็ตาม แต่เขาก็ไม่สามารถปฏิเสธความเสียเปรียบจากการถูกชิงลงมือก่อนนี้ได้ ทำให้ต้องตกเป็นรอง

เพียงแค่การโจมตีระลอกแรกของกองยานรบที่ 13 ก็ทำให้กองทัพของมิตเตอร์ไมเยอร์เสียหายอย่างหนัก

นั่นคือ กลยุทธการทำลายเป้าหมายรวมศูนย์ เมื่อมิสซายล์ระเบิดไฮโดรเจนจำนวนครึ่งโหลพุ่งเข้าหาเรือรบเพียงลำเดียวพร้อม ๆ กันแล้ว ฝ่ายหลังจะมีวิธีป้องกันตัวเองได้อย่างไรเล่า?

เรือธงของมิตเตอร์ไมเยอร์นั้น ตกอยู่ภายใต้วงล้อมของระเบิดซึ่งเกิดจากเรือของเพื่อนร่วมทัพ และตัวเรือธงเองก็ได้รับความเสียหายที่ปีกซ้าย ทำให้เขาจำต้องถอยทัพของตนออกจากแนวหน้าไปก่อน แต่ถึงจะถอยก็ตาม กองเรือรบของเขาก็มีการจัดรูปขบวนไปด้วยอย่างยืดหยุ่น ทำให้มีความเสียหายน้อยที่สุด และยังพร้อมที่จะโจมตีกลับได้ทุกเมื่อ เหล่านี้ ล้วนแสดงให้เห็นถึงความเหนือชั้นในฐานะเป็นนักยุทธวิธีมือฉกาจของเขานั่นเอง

ส่วนหยางเอง ก็พอใจเพียงแค่ได้ทำความเสียหายให้ข้าศึกในระดับหนึ่งจนอีกฝ่ายต้องถอยร่นไปเท่านั้น ไม่ได้คิดจะไล่ตีตามกระชั้นเลย เพราะเขาไม่อยู่ในฐานะที่เอื้อให้ทำเช่นนั้นได้ แต่อย่างไรก็ตาม นี่ก็เป็นอีกครั้งที่เขาต้องรำพึงในใจว่า ลูกน้องของเคานท์ออฟโรเอนกรัมจะมีแต่คนเก่ง ๆ ไปถึงไหนกัน หากทางฝ่ายเขาเอง ยังมีทั้งอุลัมฟ์และโบโรดีนอยู่ด้วยละก็ อย่างน้อยก็คงสู้กันได้สูสีมากกว่านี้...

ในขณะนั้นเอง กองเรือรบของบิทเทนเฟลต์ก็ทะลึ่งแทรกตัวขึ้นมาระหว่างกองยานรบที่ 8 และ กองยานรบที่ 13 ซึ่งบริเวณห้วงอวกาศนั้นถูกระบุพิกัดว่าเป็นห้วงอวกาศ D-4 เพื่อความสะดวกในการอ้างอิง การรุกขึ้นหน้าของกองเรือรบนี้ เรียกได้ว่าทั้งห้าวหาญและบ้าบิ่นเลยทีเดียว

“ท่านคะ ข้าศึกกองใหม่ ปรากฏตัวขึ้นทางทิศสองนาฬิกาค่ะ”

กับคำรายงานนี้ หยางกลับตอบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดว่า

“ครับ ๆ ให้ตายเหอะ”

แต่หยางก็มีจุดแข็งเหมือนกับไรน์ฮาร์ด นั่นคือ เขาสามารถคุมอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว แล้วเริ่มออกคำสั่งที่เหมาะสมต่อไปได้อย่างรวดเร็ว

เขาสั่งให้ยานพิฆาตขนาดยักษ์ซึ่งมีเกราะและสนามพลังป้องกันตัวที่แข็งแกร่งเรียงแถวตามแนวยาว เพื่อสร้างเป็นกำแพงป้องกันการโจมตีของข้าศึก จากนั้น ให้ยานปืนใหญ่และยานมิสซายล์ซึ่งเปราะบางกว่าแต่คล่องแคล่วและมีอาวุธร้ายแรงกว่า ยิงสาดอาวุธใส่ข้าศึกจากช่องว่างของกำแพงนั้น

ด้วยยุทธวิธีนี้ ทำให้กองเรือรบของบิทเทนเฟลต์เกิดรูโหว่ขึ้นเป็นหย่อม ๆ แต่ความเร็วของกองเรือก็หาได้ลดลงแต่น้อยไม่ อีกทั้งยังตีโต้กลับมาอย่างดุเดือดอีกด้วย ทำเอากำแพงยานพิฆาตส่วนหนึ่งพังทลายลง พาให้หยางเสียวสันหลังวูบขึ้นมาเลยทีเดียว

แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม กองยานรบที่ 13 ก็ไม่ได้รับความเสียหายหนักมากนัก แต่เป็นกองยานรบที่ 8 ต่างหากที่รับความเสียหายนี้เข้าไปเต็ม ๆ พวกเขาไม่สามารถต้านทานต่อความเร็วและความรุนแรงของการโจมตีจากกองเรือรบของบิทเทนเฟลต์ได้ทันการณ์ จึงถูกสอยร่วงจากด้านข้างลึกเข้าไปเรื่อย ๆ และเริ่มสูญเสียหนทางที่จะรบสู้ต่อไปทีละน้อย ๆ ทั้งในด้านวัตถุและพลังงาน

ยานพิฆาตยูริซิสก็เป็นยานลำหนึ่งของกองยานรบนี้ที่ถูกปืนข้าศึกจนได้รับความเสียหายจากการโจมตีครั้งนี้ หากแต่ความเสียหายที่ยานลำนี้ได้รับนั้น เป็น “ความเสียหายระดับเบา แต่ร้ายแรง” กล่าวคือ ระบบบำบัดน้ำเสียโดยอาศัยจุลินทรีย์ได้ถูกทำลายลง ทำให้น้ำเสียแตกเอ่อออกมาท่วมพื้นยาน บรรดาลูกเรือต้องทนยืนแช่น้ำเสียเหล่านั้นแล้วรบต่อไปตลอดการศึกนี้ แน่นอนว่า หากพวกเขารอดชีวิตกลับไปได้ละก็ นี่ย่อมกลายเป็นเรื่องตลกไว้เล่าสู่กันฟังในภายหลังแน่นอน แต่หากพวกเขาตายในตอนนี้ละก็ เรียกได้ว่าเป็นการตายที่สกปรกและไม่สวยงามเลยแม้แต่น้อย

หยางเองก็เห็นฉากที่กองยานรบร่วมทัพกำลังสลายหายไปกับพื้นอวกาศอันมืดมิดนี้เช่นกัน ภาพที่เห็นช่างเปรียบได้กับฝูงลูกแกะ (กองยานรบที่ 8) ที่กำลังถูกฝูงหมาป่ากระหายเลือด (กองเรือรบอัศวินแลนซ์ดำ) ไล่ขย้ำอยู่อย่างไรอย่างนั้นเลยทีเดียว บรรดายานรบของฝ่ายสมาพันธ์เหล่านั้น ได้แต่วิ่งวนหนีอยู่พักหนึ่งเพียงเพื่อจะถูกทำลายในที่สุดด้วยการโจมตีที่ดุดันเฉียบขาด

-- จะเข้าไปช่วยกองยานรบที่ 8 ไหม?--

หยางอดลังเลไม่ได้ จากสถานการณ์ที่เห็นอยู่ตรงหน้าบอกอย่างชัดเจนว่า หากเขาพากองยานรบของตนเข้าไปช่วยละก็ จะต้องรบกับข้าศึกที่กำลังฮึกเหิมนี้อย่างหนัก และสุดท้ายก็จะอยู่ในสภาพการตะลุมบอนอย่างไร้ระเบียบ และเขาจะไม่สามารถควบคุมบังคับบัญชากองยานรบอย่างเป็นระบบได้อีกต่อไป นั่นหมายความว่า เขากำลังฆ่าตัวตายนั่นเอง

สุดท้าย หยางก็เพียงแต่สั่งให้พลปืนของกองยานรบของตน เร่งระดมยิงอย่างหนักเท่านั้น ไม่ได้สั่งการอื่นใดอีก

“บุกเข้าไป! บุกเข้าไป! เทพีแห่งชัยชนะกำลังเปลื้องผ้ารอพวกเจ้าเข้าไปหาแล้วเห็นไหม!”

เสียงตะโกนสั่งการของบิทเทนเฟลต์นี้ อาจจะหยาบโลนไปนิดหนึ่ง แต่ก็เรียกได้ว่า สร้างขวัญและกำลังใจให้ทหารฝ่ายตนได้อย่างชะงัดดีโดยแท้ เพียงพริบตาเดียว กองเรือรบ “อัศวินแลนซ์ดำ” ของเขาก็โลดแล่นอย่างห้าวหาญโดยไม่แยแสต่อการโจมตีจากด้านข้าง แล้วเข้าครอบครองห้วงอวกาศ D-4 ได้โดยสมบูรณ์ กองทัพพันธมิตรกำลังจะถูกตัดขาดเป็นสองเสี่ยง ณ บัดนั้นเอง

-------------------

“ท่าทางจะชนะแล้วนะ”

ไรน์ฮาร์ดหันไปมองทางโอแบร์สไตน์ แล้วก็พึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเล็กน้อย

“ท่าทางจะแพ้แล้วนะ”

และในเวลาเกือบจะไล่เลี่ยกัน หยางก็กำลังนึกในใจด้วยประโยคข้างต้น แต่ฝ่ายนี้ได้แต่เพียงนึกเท่านั้น ห้ามปริปากออกมาเป็นอันขาด

ตั้งแต่โบราณกาลแล้ว คำพูดต่าง ๆ ของแม่ทัพล้วนแล้วแต่แฝงด้วยเวทย์มนต์ที่จะสามารถทำให้สิ่งที่แม่ทัพคิดอยู่กลายเป็นความจริงขึ้นมาได้เสมอ หากแม่ทัพพูดว่า “ทัพเราแพ้แล้ว” ละก็ ทัพนั้นก็จะต้องแพ้แน่นอน – แต่กรณีกลับกันนั้น กลับไม่ค่อยมีให้เห็นบ่อยนัก

คนที่คิดว่า ท่าทางจะชนะแล้ว หาได้มีเพียงไรน์ฮาร์ดคนเดียวไม่

บิทเทนเฟลต์ก็เช่นกัน ถึงตอนนี้ กองยานรบที่ 8 เกือบจะสิ้นสลายอยู่แล้ว เขาไม่จำเป็นต้องหวั่นเกรงการตีขนาบ(โดยกองยานรบที่ 8 และที่ 13) อีก

“ดีล่ะ อีกนิดเดียว จะตอกตะปูปิดฝาโลงให้พวกมันเลย”

บิทเทนเฟลต์ซึ่งกำลังคึกคะนองอย่างหนัก ถึงกับคิดที่จะใช้การรบแบบตะลุมบอนในระยะประชิดเพื่อสร้างความเสียหายให้แก่กองยานรบที่ 13 ซึ่งยังรักษากำลังของตนได้ในระดับที่มากพอสมควร

“เรือรบที่เป็นเรือแม่ด้วยทุกลำ ให้เตรียมปล่อยฝูงบินวัลคิวเร่ออกได้ เรือรบอื่น ๆ ให้เปลี่ยนระบบปืนระยะไกลเป็นปืนระยะใกล้ให้หมด เราจะรบประชิดกับพวกมันในบัดเดี๋ยวนี้!”

แต่... ความมุ่งมาดอันดุดันของเขา ก็ถูกหยางหยั่งรู้ได้เสียก่อน

ทันทีที่กระสุนและลำแสงจากทัพข้าศึกอ่อนแรงลง หยางก็สำเหนียกได้ทันทีว่า นี่เป็นเพราะทัพเรือของข้าศึกกำลังเปลี่ยนโหมดของการใช้อาวุธนั่นเอง ทั้งนี้ หากเป็นแม่ทัพคนอื่นแล้วไซร้ ย่อมสามารถอ่านเจตนาของบิทเทนเฟลต์ได้เหมือนกัน แม้ว่าจะต้องใช้เวลาวิเคราะห์สถานการณ์บ้างก็ตาม แต่ในกรณีของหยางแล้ว เขาคิดได้เร็วเกินไป และหยางก็ไม่ปล่อยโอกาสทองนี้ผ่านไปเฉย ๆ เขารีบกอบโกยประโยชน์จากมันอย่างเต็มที่

“ปล่อยข้าศึกเข้ามาใกล้กว่านี้ ป้อมปืนทุกป้อม เตรียมระดมยิงต่อเนื่อง!”

และอีกไม่กี่นาทีจากนั้น ณ ห้วงอวกาศ D-4 นี้ กองทัพจักรวรรดิก็กำลังจะลิ้มรสชาติของความพ่ายแพ้อันเจ็บปวดแทน...

ไกลออกไป ไรน์ฮาร์ดซึ่งเห็นสถานการณ์ทั้งหมดต้องระล่ำระลักขึ้นว่า

“บิทเทนเฟลต์พลาดเสียแล้ว! เขาปล่อยวัลคิวเรเร็วเกินไป อย่างนี้มีหวังกลายเป็นเป้าให้ปืนใหญ่ข้าศึกแต่ถ่ายเดียวนะสิ!”

แม้แต่โอแบร์สไตน์ที่เยือกเย็นเป็นนิจ ก็ถึงกลับสูญเสียความเยือกเย็นนั้นไปเช่นกัน สีหน้าของเขาซึ่งขาวซีดอยู่แล้ว มีแววตระหนกขึ้น ดุจภาพที่ฉายจากแสงริบหรี่ของหางดาวหาง

“เขาคงอยากจะคว้าชัยชนะให้เด็ดขาดด้วยมือของเขากระมังขอรับ... ไม่น่าเลย”

น้ำเสียงนี้ก็ดังเพียงเสียงกระซิบเท่านั้น

---------------------

ทัพสมาพันธ์ซึ่งประสบความสำเร็จในการล่อให้กองเรือของบิทเทนเฟลต์เข้ามาให้ยิงในระยะประชิดขนาดที่เรียกว่า ระยะศูนย์ นั้น ต่างพากันคึกคะนองและไล่ฆ่าทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้าเป็นว่าเล่น กระสุนเหล็กกล้าของปืนใหญ่เรลแคนนอนพุ่งเข้าเจาะเกราะของเรือรบต่าง ๆ ทะลุ แล้วสะเก็ดระเบิดไม่ว่าจะเป็นระเบิดปรมาณู หรือระเบิดอนุภาคแสง ก็ระเบิดออก พาความตายไปสู่บรรดาลูกเรือ รวมทั้งยานวัลคิวเรทั้งมวลด้วย

ระเบิดแสงสีทั้งเจิดจ้าและมัวหมองเกิดขึ้นลูกแล้วลูกเล่า แต่ละครั้งล้วนเปิดประตูแห่งความตายให้ลูกทัพของบิทเทนเฟลต์ผ่านไปคนแล้วคนเล่า

สีดำของกองอัศวินแลนซ์ดำที่บิทเทนเฟลต์ภาคภูมิใจ กำลังกลายเป็นสีดำของมหกรรมงานศพของพวกเขาแทนเสียแล้ว

เจ้าหน้าที่สื่อสารหันไปทางไรน์ฮาร์ดแล้วก็ตะโกนรายงานว่า

“ใต้เท้าขอรับ มีสารด่วนจากผู้การบิทเทนเฟลต์ขอรับ บอกว่า ขอกำลังเสริมด่วนขอรับ”

“กำลังเสริมรึ?”

จอมพลหนุ่มผมทองย้อนถามเสียงสูง ทำเอาเจ้าหน้าที่สื่อสารแอบย่นคอ

“ขอรับใต้เท้า ท่านผู้การขอกำลังเสริมด่วนขอรับ บอกว่า หากปล่อยให้สถานการณ์การรบเป็นเช่นนี้ พวกเขาต้องพ่ายแน่ขอรับ!”

เกิดเสียงส้นเท้ากระแทกพื้นดังปังที่บริเวณที่ไรน์ฮาร์ดยืนอยู่ทันที หากแถวนั้น มีเก้าอี้หรืออะไรสักอย่างวางอยู่แล้วไซร้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า จะต้องถูกเขาเตะกระเด็นไปเป็นแน่

“นี่มันคิดว่า ข้าเป็นพ่อมด มีตะเกียงวิเศษ ที่พอเอามือถู ๆ แล้วก็มีกองเรือรบลอยออกมาจากตะเกียงนั่นหรืออย่างไร?!!!”

ไรน์ฮาร์ดบริภาษไปหนึ่งชุด แล้วก็รีบควบคุมสติของตนเองทันที คนเป็นแม่ทัพจักต้องเยือกเย็นอยู่เสมอ

“บอกบิทเทนเฟลต์ไป ว่า- ทางกองบัญชาการสูงสุดหามีกำลังเหลือที่จะส่งไปให้เขาไม่ อีกทั้งจะโอนกำลังจากส่วนอื่นก็รังแต่จะทำให้เสียสมดุลในการจัดกำลังในสมรภูมิไปเปล่า ๆ ดังนั้น ขอให้เจ้าจงใช้กำลังเท่าที่ตัวเองมีอยู่ รักษาตัวและลูกน้องให้รอด จงทำหน้าที่ขั้นต่ำของนายทัพให้ดีที่สุด!”

เขาเม้มปากเล็กน้อย แล้วจึงออกคำสั่งต่ออีกว่า

“นับจากนี้ไป ให้ตัดการสื่อสารกับกองเรือรบของบิทเทนเฟลต์ให้หมด ไม่เช่นนั้น เกิดข้าศึกดักฟังได้ จุดอ่อนของทัพเราจะรู้ไปถึงพวกมันเสียก่อน”

นัยน์ตาสีไอซ์บลูของเขากลับไปจ้องมองจอภาพอีกครั้ง โอแบร์สไตน์กวาดสายตามองตามสายตาของไรน์ฮาร์ดไปติด ๆ

เป็นคำสั่งที่เลือดเย็นก็จริง แต่เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพียงแต่ว่า คนผู้นี้จะสามารถตัดสินใจแบบนี้อย่างเสมอภาคเท่าเทียมกันกับทุกผู้คนที่เกี่ยวข้องได้หรือไม่ นี่หรือประเด็นสำคัญในการตัดสินความเป็นผู้นำของเขาล่ะ คนที่เป็นผู้นำคน ย่อมจะต้องไม่เลือกที่รักมักที่ชังจึงจักเป็นผู้นำที่ดีได้- เสนาธิการผมขาวคิดเช่นนั้นในใจ

“สู้กันได้สมน้ำสมเนื้อนี่... ทั้งสองฝ่าย”

ไรน์ฮาร์ดเปรยขึ้น สายตายังคงจับจ้องจอภาพ

ทัพสมาพันธ์ยังคงสู้ได้อย่างเข้มแข็งทีเดียว แม้นว่ากองบัญชาการรบของพวกเขาจะอยู่ห่างออกไปในแนวหลังไกลมาก จนกระทั่งไม่สามารถควบคุมการรบทั้งสมรภูมิให้ประสานงานกันได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเดินทัพของกองยานรบที่ 13 นั่น เรียกว่ายอดเยี่ยมไร้ที่ติทีเดียว ได้ยินว่า ผู้บัญชาการกองยานรบนี้คือ หยางเหวินหลี่ผู้นั้นนั่นเอง สมกับคำกล่าวที่ว่า ภายใต้แม่ทัพที่สามารถย่อมไม่มีทหารเลวที่อ่อนแอจริง ๆ ต่อจากนี้ทุกย่างก้าวที่เขา- ไรน์ฮาร์ดผู้นี้- ก้าวไป จักต้องมีหยางเหวินหลี่คอยขัดขวางอยู่ทุกคราไปหรือไม่หนอ?

โดยไม่ทันยั้งคิด ไรน์ฮาร์ดเอ่ยปากถามโอแบร์สไตน์ขึ้นว่า

“เคียร์ชไอซ์ยังมาไม่ถึงอีกรึ?”

“ยังขอรับ”

หัวหน้าเสนาธิการตอบในทันที แล้วก็ถามกลับด้วยน้ำเสียงกึ่งหยันว่า

“เป็นห่วงเพื่อนหรือขอรับ?”

โดยไม่ทราบว่าเป็นการแกล้งกระทำหรือเป็นนิสัยส่วนตัวของเขาเองกันแน่

“ไม่ได้ห่วงใด ๆ ทั้งสิ้น เพียงแต่ต้องการเช็คสถานการณ์เท่านั้น!”

ไรน์ฮาร์ดตอบกลับด้วยเสียงหนัก ๆ ก่อนจะเม้มริมฝีปากแน่นไม่พูดอะไรอีก คงนิ่งจ้องมองจอภาพอยู่เช่นนั้น

(อ่านตอนต่อไป)


กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป 1